คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่.5 เยือนเผ่าสวรรค์
บทที่.5
เยือนเผ่าสวรรค์
สองศิษย์อาจารย์หยอกเย้ากันอยู่ครึ่งค่อนวัน ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่ามีจอมทัพบางคนรอฟังข่าวภรรยาอยู่ด้านนอก ฉู่ชิงซาฟังศิษย์รักเล่าเรื่องนั้น เรื่องนี้ให้ฟัง ฟังไปฟังมาก็หัวเราะไปกับอีกฝ่าย
เรื่องเล่าของเจ้าก้อนขนน้อยตัวนี้ มีเยอะมาก ตั้งแต่ยามอยู่แดนมนุษย์ทำสิ่งใดบ้าง พบเจอลูกค้าแบบในในหอคณิกา จัดการกับบุรุษชั่วช้าเหล่านั้นอย่างไร ออกไปเดินเล่นอย่างไร ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างไร
กระทั่งลากยาวมาถึงแดนมายา ในนั้นมีเจ้าก้อนขนน่ารักน่าชังมากมายเท่าใด จิ้งจอกตัวไหนคลอดเด็กน้อยออกมาในปีนี้ สามีภรรยาจิ้งจอกบ้านไหนทะเลาะกันบ้าง วันทั้งวันถูกซูเม่ยอิงผู้เป็นมารดาด่าอะไรบ้าง ก็ต่างถูกเฟยเมี่ยวเล่าออกมาหมด
ฉู่ชิงซาถูกเขาทำให้ขำจนน้ำตาไหล หางตาหงส์ซับสีแดงระเรื่อจากการหลั่งน้ำตา มือเรียวที่เย็นเล็กน้อย แตะปลายจมูกรั้น ๆ ของศิษย์รัก ฉู่ชิงซาบีบปลายจมูกอีกฝ่ายเบา ๆ อย่างนึกเอ็นดู "เอาละ ไม่ต้องเล่าแล้ว อาจารย์ไม่เป็นไร"
เฟยเมี่ยวยู่หน้าลงอย่างขัดเคือง แต่เมื่อสังเกตเห็นแววตาที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาของอีกฝ่าย ถึงยอมรามือในที่สุด มือเล็กบีบนวดขาให้เขา "เช่นนั้นท่านรีบบอกข้าเร็ว อะไรทำให้อาจารย์ผู้ไม่เกรงฟ้ากลัวดินของข้าเศร้าหมอง หืม"
ท่านจอมมารยิ้มอย่างจนใจ "เด็กโง่"
เรื่องบางเรื่อง กับคนบางคน ไหนเลยจะเรียบเรียงเป็นคำพูด เล่าออกมาได้ง่ายดายปานนั้น
"แม่ทัพผู้นั้นรังแกท่านหรือ" พอเห็นเขาไม่อยากตอบ ดวงตาเรียวก็เบิกกว้างขึ้น พยายามทำให้ใบหน้างามล่มเมืองของตนดูดุร้าย "หากเขากล้ารังแกท่าน ข้าจะจัดการเขา!"
"เด็กคนนี้นี่…" ฉู่ชิงซาหมดคำจะกล่าว สุดท้ายก็หัวเราะออกมาอย่างฝืน ๆ"ที่ผ่านมา ข้ารักเอ็นดูเจ้าอย่างไม่เสียเปล่าจริง ๆ"
"แน่นอน!" เฟยเมี่ยวถอนหายใจออกมาในที่สุด "ท่านหิวไหม ข้าทำเกี๊ยวให้ท่านสักชามได้นะ"
"ดี" ท่านจอมมารลูบศีรษะเจ้าตัวน้อย "ได้กินฝีมือเจ้า หากมารดาเจ้ารู้เข้า ต้องอิจฉาข้าจนตายแน่"
จิ้งจอกน้อยหัวเราะคิกคัก ก่อนจะออกไปทำอาหารให้ผู้เป็นอาจารย์ พอออกมาพ้นประตูห้อง กลับพบกับบุรุษสองคนที่ยืนรออยู่ คนแรกกล่าวว่า "เป็นอย่างไรบ้าง อาฉู่จะออกมาเมื่อไหร่"
อีกคนกล่าวว่า "เฟยเอ๋อร์เข้าไปหาท่านจอมมารทำไม เกิดเรื่องอะไรกับเขาหรือ"
เฟยเมี่ยวกลอกตามองฟ้าอย่างเบื่อหน่าย คนแรกแน่นอนว่าก็คือ สามีผู้พลัดพรากของอาจารย์เขาเอง ส่วนอีกคนนั้น ย่อมเป็นเหวินฮุ่ยเฉิงที่ทำตัวเป็นผี คอยวิ่งไล่ตามเขาอยู่ในช่วงนี้
เฟยเมี่ยวสุดแสนจะรำคาญเขา จึงถลึงตามองเขาอย่างดุร้าย "เรื่องของอาจารย์ข้า เจ้าตำหนักเหวินอย่าได้ยุ่งมากนัก"
จากนั้นหันกลับไปหาแม่ทัพหนุ่ม รอยยิ้มเล็ก ๆ พลันปรากฏบนใบหน้าเขา "ท่านแม่ทัพวางใจเถอะ อาจารย์ไม่เป็นไรหรอก"
"...ไม่เป็นไรก็ดี" หยวนชงเมิ่งพึมพำกับตนเอง ความเคร่งเครียดบนใบหน้าคม พลันคลายลงไม่น้อย
จิ้งจอกน้อยไม่อยากสนใจพวกเขาแล้ว จึงหันกลับมาหาบ่าวไพร่ที่ยืนรออยู่ "เตรียมน้ำอุ่นให้อาจารย์ที ข้าจะเข้าครัวทำอาหารก่อน"
"เจ้าค่ะ" บ่าวหญิงผู้นั้นยอบกายลง คารวะเฟยเมี่ยวเต็มพิธี ก่อนจะเดินผละออกไป
พอเหลือพวกเขาอยู่สามคน บรรยากาศก็ชักจะประหลาดขึ้นทุกที เฟยเมี่ยวเบือนหน้าหนีเล็กน้อย เมินเหวินฮุ่ยเฉิงที่ยืนเฝ้าอยู่ ก่อนกล่าวกับหยวนชงเมิ่ง "อย่างไรเชิญท่านแม่ทัพกลับเรือนก่อนเถอะ เดี๋ยวอาจารย์ก็คงกลับไป"
"ไม่ดีกว่า" วาจานี้กล่าวได้อย่างสุขุมนัก หากมิใช่ว่าเฟยเมี่ยวยังเห็นอยู่เต็มตา ว่าเขาเอาแต่ชะเง้อคอพยายามมองเข้าไปด้านใน ภาพลักษณ์ของจอมทัพท่านนี้ในใจตน ก็คงนับว่าไม่เลว
แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว...ช่างมันไปแล้วกัน
การวิจารณ์สามีของอาจารย์ในใจ ก็มิใช่เรื่องดีเท่าไหร่
"เช่นนั้นท่านจะไปไหน" เฟยเมี่ยวถามกลับไปอย่างใจเย็น
"อาหารมื้อนี้ของอาฉู่ เดี๋ยวข้าทำเองแล้วกัน" จอมทัพหนุ่มกล่าว "อาฉู่อยากกินอะไรหรือ"
"...เกี๊ยวร้อน ๆ สักชามกระมัง"
"ได้" หยวนชงเมิ่งพยักหน้าพลางยิ้ม "ขอบคุณเจ้ามาก"
"...ไม่เป็นไร" มองแผ่นหลังคนที่เดินจากไป เฟยเมี่ยวก็เพิ่งนึกได้อยู่ ๆ เขาก็ถูกแย่งหน้าที่หรือนี่…
จิ้งจอกตัวน้อยยักไหล่ ช่างเถอะ ปล่อยให้พวกเขาคุยกันเองก็แล้วกัน พอหันกลับมา เขาก็แทบผงะล้มลงหงายหลัง เพราะถูกดวงตาคมกริบของบุรุษตรงหน้าจ้องมอง นี่ก็อีกคน เป็นบ้าหรือ!
ดวงตาเรียวถลึงมองอีกฝ่าย "มองอะไร"
"เจ้าคุยกับแม่ทัพสวรรค์ผู้นั้นตั้งหลายคำ" เหวินฮุ่ยเฉิงพึมพำ คล้ายกล่าวกับตนเอง "ดูสนิทสนมกันมาก"
คราวนี้ขนจิ้งจอกพองฟูด้วยความโกรธแล้ว อะไรคือดูสนิทสนมกันมาก นั่นมันสามีผู้แสนประเสริฐของอาจารย์เขานะ
เจ้าคนแซ่เหวินบัดซบ!
"ระวังคำพูดเจ้าหน่อย"
"..."
"ไม่ก็ไสหัวไป!"
"...เฟยเอ๋อร์"
"ไม่ต้องเรียก!" กล่าวจบ คนงามก็สะบัดหน้า รีบเดินหนีไป
ผ่านไปอีกสองชั่วยาม ฉู่ชิงซาก็ยอมออกมาจากห้องพิธีกรรม มีบ่าวไพร่ปรนนิบัติอาบน้ำ เปลี่ยนอาภรณ์อยู่ในเรือนนอน กระทั่งทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หยวนชงเมิ่งก็มาถึงพอดี ในมือจอมทัพหนุ่มมีชามเกี๊ยวร้อน ๆ อยู่ชามหนึ่ง รอยยิ้มไม่เลือนไปจากใบหน้า
เขายังถึงกับเอ่ยทักคนที่ไม่ได้พบหน้า ด้วยน้ำเสียงหวานหู "อาฉู่"
ฉู่ชิงซาถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ เงยหน้าขึ้นยิ้มให้อีกฝ่าย "หลายวันมานี้ข้ายุ่งมากจริง ๆ ละเลยเจ้าแล้ว"
"ไม่เป็นไร" หยวนชงเมิ่งยิ้มน้อย ๆ ไม่เปิดโปงคนรัก เขาวางเกี๊ยวชามนั้นลงตรงหน้าอีกฝ่าย หยิบช้อนส่งให้เขากับมือ ท่าทางยังดูเอาอกเอาใจ "ชิมดูว่าถูกปากหรือไม่"
ฉู่ชิงซามองเจ้าก้อนสีขาวตัวอ้วนในชาม ก็ถามอย่างแปลกใจ "เหตุใดเป็นเจ้ายกมา"
"ย่อมต้องเป็นสามียกมาให้เจ้า" มือของจอมทัพบางคนนั้นอยู่ไม่สุข เขาเดินไปหยิบหวีไม้จันทร์หอมจากหน้ากระจก จากนั้นเดินกลับมาหยุดอยู่ด้านหลังของภรรยา เริ่มหวีผมให้เขาใหม่ "ของที่ข้าทำ จะให้คนอื่นยกมาได้อย่างไร"
ท่านจอมมารชะงักไปหนึ่งจังหวะ ก่อนหลุบตามองอาหารในชามตรงหน้าอีกครั้ง คำกล่าวยังดูเหม่อลอยเล็กน้อย "สิ่งนี้...เจ้าทำหรือ"
"ย่อมเป็นข้า" น้ำเสียงของจอมทัพบางคนยามนี้ ยังถึงกับดูคล้ายคนอยากได้รับคำชม "สามีไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้ามาหลายปี อาฉู่เจ้าผอมลงรู้ไหม ต่อไปพวกเราอยู่ด้วยกัน ข้าจะทำของที่เจ้าชอบให้เจ้ากินเยอะ ๆ ดีหรือไม่"
คล้ายมีก้อนอะไรก็ไม่รู้จุกอยู่ที่ลำคอ หางตาเริ่มซับสีแดงจาง ๆ กระทั่งจะตักน้ำแกงขึ้นมาชิม ฉู่ชิงซาก็ยังรู้สึกว่าตนเองจะกลืนไม่ลง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะถึงกับร้องไห้ออกมา เพียงเพราะกินเจ้าสิ่งนี้ไปสักคำก็ได้
นานเพียงใดแล้วนะ ที่ไม่ได้ยินคนผู้นี้เอาอกเอาใจเขา เป็นห่วงเขา บอกว่าจะอยู่ข้างเขา ความรู้สึกหลายสิ่ง ช่างดูเลือนลางเหลือเกิน นานมากแล้วจริง ๆ
เขากัดเกี๊ยวคำหนึ่งอย่างทนไม่ไหว กลิ่นหอมของเนื้อหมู กับรสชาติของน้ำซุป พอกินรวมกัน กลับอร่อยมาก ฉู่ชิงซายิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก เอ่ยชมคนรักด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ทำได้ดี"
"เจ้าชอบก็พอแล้ว" หยวนชงเมิ่งยังคงช่วยเขาหวีผม ดูเขากินเกี๊ยวทีละคำอย่างช้า ๆ เขาพลันรู้สึกว่า นี่ต่างหากคือเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของเขา ภรรยาที่น่ารักของเขาผู้นี้ ถึงจะเป็นความหมายของโลกใบนี้ที่แท้จริง
สองสามีภรรยา ไม่กล่าวถึงการหลบหน้าโดยไร้เหตุผล ของท่านจอมมารน้อยอีก พวกเขาทำราวกับว่าที่ผ่านมา ก็อยู่ด้วยกันเช่นนี้ ไม่เคยแยกจากกัน ทั่วทั้งวังสือซว่านคล้ายปกคลุมด้วยไออุ่นนุ่มนวล แห่งช่วงเวลาของฤดูใบไม้ผลิลาง ๆ ให้ความรู้สึกแตกต่างจากที่ผ่านมา
เดิมสถานที่อย่างวังจอมมารแห่งนี้ หากจะให้คนนอกกล่าวถึง ก็คงจะเป็น หรูหรา อู้ฟู่ และดูรโหฐาน แต่หากจะให้คนในเอ่ยถึง กลับกล่าวได้เพียงว่า เป็นสถานที่ซึ่งงดงามที่สุดในแดนมาร แต่ก็โดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะบนบัลลังก์สูงสุดนั้น ทั้งสูงส่งและเดียวดายยิ่งนัก
นานมากแล้วจริง ๆ แม้กระทั่งยามที่มีท่านศิษย์เข้ามาอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ยังไม่ได้เห็นท่านจอมมารที่เป็นเช่นนี้ เรียกตามภาษาของมนุษย์ ก็อาจจะบอกได้ว่า บรรยากาศรอบตัวดูเปลี่ยนไปกระมัง มันดูเหมือนว่า ท่านจอมมารที่รัก และเคารพของคนเผ่ามารนั้น ดูมีชีวิตชีวา และมีความเป็นคนมากขึ้น
เรื่องนี้ย่อมน่ายินดีอย่างยิ่ง ทุกชีวิตในวังสือซว่าน ล้วนมีฉู่ชิงซาเป็นเจ้าชีวิต พวกเขาย่อมยินดี หากผู้เป็นนายเป็นสุข และทุกข์ทรมาน หากผู้เป็นนายต้องพบเจอกับความทุกข์ใจ
ระหว่างนั้น ก็มีหลายครั้งที่หยวนชงเมิ่งพยายามจะบอกคนรัก เรื่องที่อยากจะพาอีกฝ่ายกลับเผ่าสวรรค์ด้วย จนกระทั่งในที่สุดฉู่ชิงซาก็ยอมฟังเขา "พวกเรากลับไปพร้อมกันเถอะนะ"
เผ่าสวรรค์เป็นสถานที่เช่นไร เกรงว่าคงมีเพียงฉู่ชิงซารู้แจ้งที่สุด เพียงคิดว่าจะต้องเหยียบขึ้นไปบนเมฆาเหนือฟ้า ต้องหายใจร่วมกับเดรัจฉานในคราบคนดีเหล่านั้น เขาก็แทบจะอาเจียนออกมา
ยามนี้หยวนชงเมิ่งกล่าวเรื่องนี้ออกมาอีกแล้ว อย่างไรก็หลีกหนีไม่ได้ เขาจึงยอมฟังที่อีกฝ่ายพูด แต่ว่าเขาก็ไม่อยากจะไปที่นั่นจริง ๆ "หากข้าไม่ไปล่ะ"
"เช่นนั้นก็รอพี่ก่อน" หยวนชงเมิ่งโอบกอดคนรักไว้ในอ้อมแขน "พอเสร็จธุระแล้ว จะรีบกลับมาหาเจ้า"
ธุระใดสำคัญยิ่งกว่าเขา ฉู่ชิงซาเย้ยหยันตนเองอยู่ในใจ บนโลกนี้ในสายตาสามีตน แม้แต่ด่านเคราะห์บ้าบอนั่น ก็ยังสำคัญกว่าเขา ช่างน่าสมเพชนัก แต่แม้เป็นเช่นนั้น เขาก็รักคนผู้นี้เหลือเกิน ทั้งไม่อยากให้อีกฝ่ายลำบากใจ
ท่านจอมมารยื่นแขนออกไป กอดเอวสอบของสามีเอาไว้แน่น เลือกที่จะออดอ้อนเขา แทนที่จะต้องแตกหักกัน "เจ้าโกหกใช่ไหม จะทิ้งข้าไว้คนเดียวอีกแล้ว"
ใจของจอมทัพบางคนอ่อนยวบลง กลายเป็นของเหลว มือหนากระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น "คนดี สามีไหนเลยจะหลอกเจ้า ข้าไปไม่นานก็กลับมาแล้ว"
ไม่นานกับผีน่ะสิ!
ในที่ที่หยวนชงเมิ่งมองไม่เห็น ดวงตาสีแดงทับทิมของฉู่ชิงซา แดงฉานราวกับจะหลั่งโลหิตออกมา หากยามนี้มีคนบังเอิญผ่านมา เผลอสบตากับเขาเข้า เกรงว่าอาจจะถึงกับตกใจเสียขวัญ หรือสิ้นใจตายได้เลยเชียวละ
ฉู่ชิงซาระงับโทสะในใจตนช้า ๆ บอกตนเองให้ใจเย็นสักหน่อย อย่าได้เผลอตบเจ้าโง่นี่จนตายไปเสียก่อน เขาเม้มปากเบา ๆ ซุกหน้าเข้ากับลำคอของคนรัก เอ่ยเสียงลอดไรฟัน "ได้"
สัมผัสของจอมทัพหนุ่มนั้นไวมาก เขารู้สึกได้ว่าภรรยาตัวน้อยไม่เต็มใจแยกจากตน หยวนชงเมิ่งทั้งยินดี และเป็นสุข แต่เขาก็ลำบากใจ จึงประคองคนรักลงจากตัก ลงไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าเขา มือหนาคว้าข้อเท้างามของคนรักขึ้นมาจูบ ท่วงท่าทั้งรักใคร่และหลงใหล สัมผัสนุ่มนวลราวกับอยากปลอบประโลม ให้ภรรยาตัวน้อยอย่าเศร้าใจ
โชคดีตรงนี้คือในห้องนอน ภาพเช่นนี้หากให้คนนอกมาเห็นเข้า คงทำลายภาพลักษณ์จอมทัพผู้เย่อหยิ่งเย็นชา และสูงส่งของเผ่าสวรรค์ไปจนหมดสิ้น
ฉู่ชิงซาจ้องมองการกระทำนั้นของคนรัก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ปลายนิ้วเรียวสั่นน้อย ๆ เขารู้สึกได้ว่าตรงที่คนรักจุมพิตลงไปนั้น ทั้งชาและร้อนผ่าว
ท่านจอมมารสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ลอบกลืนน้ำลาย เบือนหน้าหนีภาพนั้นช้า ๆ
แย่แล้ว แย่แล้ว อยากจะชวนเขาขึ้นเตียงเหลือเกิน ทำอย่างไรดี...
มือเรียวที่ขาวเนียนของฉู่ชิงซา ยกขึ้นมาปิดปากกระแอมแห้ง ๆ ทีหนึ่ง เขาหลุบตามองสามีตัวดี ที่พยายามล่อลวงตน ในอากาศยังคล้ายได้กลิ่นหอมจาง จากร่างของอีกฝ่าย เขาถามอย่างโง่งมเล็กน้อย "ทำอะไรน่ะ"
หยวนชงเมิ่งยกยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลานุ่มนวลอ่อนโยน เขาหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ มองให้ดีแล้วจะพบว่า มันคือกำไลข้อเท้าซึ่งทำจากเงินวงหนึ่ง ด้านข้างสลักลวดลายงดงาม มีกระพรวนน้อย ๆ อยู่ด้วย จินตนาการได้ว่ายามสวมใส่ แล้วก้าวเดิน คงทำให้เกิดเสียงน่าฟังไม่น้อยเลย
"ให้เจ้า"
ฉู่ชิงซาเหยียดขาออก ฝ่าเท้าขาวเนียนยกขึ้นวางบนบ่ากว้าง แววตาท่านจอมมารงูน้อยยั่วยวน ท้าทาย "ให้ข้า...เป็นของแทนใจ หรือว่าโซ่ตรวนเอาไว้ผูกมัดกัน"
"หากเป็นของแทนใจเล่า"
"ข้าย่อมรับไว้ด้วยความเต็มใจ"
"แล้วหากพี่บอกเจ้าว่า สิ่งนี้เป็นโซ่ตรวนใช้ผูกมัดเจ้า หากสวมมันแล้ว เจ้าจะไม่สามารถจากข้าไปได้ตลอดชีวิตล่ะ"
"เช่นนั้นยิ่งต้องสวมมันเดี๋ยวนี้" ฉู่ชิงซากล่าว ขาเรียวถูกดึงกลับมา แทนที่ด้วยร่างกายที่โน้มตัวลงไปหาคนรัก มือที่เย็นเล็กน้อยยกขึ้น ลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของคนรัก "มิใช่เพียงข้าที่ไปจากเจ้าไม่ได้ ชงเมิ่ง…"
"..."
"ชงเมิ่ง เจ้าเองก็อย่าได้หวังว่าจะสามารถไปจากข้าได้ ชั่วชีวิตนี้ของเจ้า ต้องอยู่ข้างกายข้าเท่านั้น"
ยามนั้น จอมทัพหนุ่มสบตากับภรรยาตน เพียงรู้สึกว่าตนตกลงสู่ห้วงรัก อย่างมิอาจหักห้ามใจ นี่ก็คืองูน้อยของเขา ภรรยาของเขา เป็นอาฉู่ที่เติบโตขึ้นมาแล้ว เป็นอาฉู่ที่พูดจาอวดดี เป็นจอมมารตัวน้อยที่เผด็จการ เอาแต่ใจ เป็นคนรักที่เขารักที่สุด
หยวนชงเมิ่งคันยุบยิบในใจ สุดจะทนจนต้องยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตเขา ใจอยากจะจับเขากดลงบนตั่งไม้ บดขยี่ริมฝีปากช่างพูดช่างจานั้นให้บวมช้ำ
ทั้งสองยิ้มให้กัน คนหนึ่งยื่นขาเรียวให้สามีอย่างว่าง่าย อีกคนสวมกำไลข้อเท้าที่ตนนำมาให้ภรรยา ลูบข้อเท้าน้อย ๆ ของเขาอย่างรักใคร่ ก่อนก้มลงจุมพิตมันอีกครั้ง
หลังจากนั้น หยวนชงเมิ่งก็จากไป ฉู่ชิงซานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ดวงจันทร์นวลวันนี้เป็นจันทร์เต็มดวง งดงามหมดจด ส่องสว่างสร้างแสงภายในห้องที่ไม่ได้จุดเทียน
เฟยเมี่ยวนั่งมองอาจารย์ตนเอง คนนั่งเหม่อลอยมาสองชั่วยามแล้ว เมื่อไหร่จะหันมาสนใจข้าสักทีละเนี่ย สุดท้ายจิ้งจอกน้อยก็ทนไม่ไหว เอ่ยกระซิบเรียกเขา "อาจารย์"
"หืม" ฉู่ชิงซาบ่ายหน้าหันกลับมา "อะไร"
"ท่านเหม่ออะไร คิดถึงแม่ทัพหยวน?"
"สู่รู้"
"...ท่านนี่นะ" เฟยเมี่ยวกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย "หากไม่อยากแยกจากเขา เหตุใดไม่ตามเขาไปเล่า"
"ไปสิ" ผู้เป็นอาจารย์เห็นศิษย์รักกลอกตาใส่ตน ก็เพียงยิ้มให้เขา น้ำเสียงผ่อนคลายมาก "เหตุใดคิดว่าข้าจะไม่ไป"
"ก็ถ้าจะไป เหตุใดไม่ไปพร้อมเขาล่ะ" เขาไม่เข้าใจอาจารย์ของตนยิ่งนัก เหตุใดงูขาวตัวนี้มักคิดอะไรให้ยุ่งยาก อยากไปก็ไปสิ มานั่งเหม่อคิดถึงเขาทำซากอะไร
ฉู่ชิงซาลูบศีรษะศิษย์ของตน จากนั้นในเสี้ยววินาที ก็ยังยัดยาเม็ดหนึ่งเข้าปากเขา "กลับไปนอนได้แล้ว หากว่างมาก ก็ไปคัดลอกสิ่งที่ข้าสอนมาร้อยจบ"
จิ้งจอกน้อยเบิกตากว้าง มองผู้เป็นอาจารย์อย่างตกตะลึง
เดี๋ยวก่อนนะเดี๋ยว!
เมื่อครู่เอาอะไรให้ข้ากิน!
เฟยเมี่ยวผุดลุกขึ้น ตวาดลั่น "อาจารย์! ข้าบอกแล้วใช่ไหม อย่ายัดของเข้าปากข้าส่งเดช"
"ไม่ตายหรอก" ฉู่ชิงซาหันหน้าหนี ไม่สนใจเขาอีก "วันนี้เหนื่อยแล้ว เลิกสอน เจ้าไปนอน"
สอนบ้าสอนบออะไร นั่งมาสองชั่วยามเอาแต่เหม่อลอย พอไม่เหม่อลอยก็ยัดของแปลก ๆ ให้เขากิน ให้กินเสร็จก็ไล่ออกไปข้างนอก อาจารย์แบบนี้มีที่ไหน!
แม้ว่าจะโมโหจนขนฟูไปหมด เฟยเมี่ยวก็รู้ว่าคนผู้นี้ค่อนข้างผีเข้าผีออก เอาแน่เอานอนไม่ได้ ต่อให้เขาโมโหจนตาย ก็ตายเปล่าแน่ สุดท้ายจิ้งจอกน้อยที่อยากร้องไห้ แต่ไร้น้ำตา ก็ทำได้เพียงเดินลากเท้าคอตกกลับห้องตัวเอง คอยดูนะ ข้าจะไม่มาหาท่านสามวัน!
พอถูกศิษย์ตัวน้อยสะบัดหน้าใส่ ฉู่ชิงซาก็อารมณ์ดีมาก เขามักรู้สึกอยู่เสมอ ว่าการได้กลั่นแกล้งเจ้าจิ้งจอกน้อยนี่ ทำให้เขาเบิกบานใจยิ่ง นับว่าเป็นจิ้งจอกตัวน้อย ที่เข้ามาเติมเต็มบางสิ่ง ทำให้ชีวิตของเขาไม่น่าเบื่อนัก
ที่เขาบอกว่าจะไปเผ่าสวรรค์ เขามิได้โกหกเจ้าลูกจิ้งจอกเลย แม้ว่าจะรังเกียจเดียดฉันท์คนเหล่านั้นมากเพียงใด ฉู่ชิงซาก็วางแผนจะไปที่นั่นอยู่แล้ว
เพียงแต่การไปของเขา จะต้องไม่ไปพร้อมกับสามี เขาเพียงอยากก่อเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คนรักรำคาญใจเล่น อยากดูว่าห่างจากกันไปหลายปี คนผู้นี้เหลือความอดทนให้เขามากน้อยเท่าใด
ทิ้งเวลาไปอีกหลายวัน ในที่สุดท่านจอมมารก็เชิญตนเองมายังหน้าประตูเผ่าสวรรค์ ฉู่ชิงซาเงยหน้าขึ้น มองประตูสลักลายมังกรคู่หงส์ตรงหน้า ยังคล้ายมองตัวโรคระบาดที่น่ารังเกียจ ร่างกายรู้สึกไม่สบายตัวไปหมด
เทพเฝ้าประตูเห็นผู้มาใหม่ ตอนแรกยังคิดว่า เขาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ของเทพท่านใดในเผ่าสวรรค์ ต่อมาพบว่ารอบกายคนผู้นี้มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ไอมารอ่อนจางค่อย ๆ เข้มข้นขึ้นมาจนสัมผัสได้ ทุกย่างก้าวที่เขาเดินเข้ามาใกล้ ก็คล้ายกับว่าจะฉีกอากาศรอบ ๆ ออกเป็นผุยผง
เทพเฝ้าประตูทั้งสอง ต่างยกทวนยาวขึ้นสูง ปลายทวนแหลมคมชี้ไปทางฉู่ชิงซา กล่าวคำข่มขวัญ "ผู้มาเยือนเป็นผู้ใด!"
ฉู่ชิงซาเลิกคิ้วขึ้น มองการกระทำของสวะเผ่าสวรรค์สองคนนี้ พลางหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา "นี่เป็นวิธีต้อนรับแขกของพวกเจ้าหรือ"
"...นี่"
"เผ่าสวรรค์ เผ่าสวรรค์สินะ" ฉู่ชิงซาพึมพำ ก่อนแค่นเสียงใส่อย่างเฉยชา เหยียดหยัน "ช่างเป็นสวะกันทั้งนั้น"
"เจ้า!" เทพเฝ้าประตูทั้งสองโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม เหตุใดหน้าประตูใหญ่เผ่าสวรรค์ จึงมีมารน้อยปรากฏตัวขึ้นมาได้ มาแล้วยังด่าคนไปทั่วอีก ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!
พวกเขากำลังจะเอ่ยปาก ทวงความเป็นธรรมให้กับเผ่าสวรรค์สักคำ พลันได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะดังมาจากทางด้านหลัง "คำด่าเช่นนี้ หาไม่ได้เป็นคนที่สองในเผ่าสวรรค์แล้ว คุณชายน้อยเป็นคนจากตำหนักใดหรือ ข้าไม่เคยพบมาก่อน"
ฉู่ชิงซามองผู้มาใหม่ แววตายังเจือด้วยความไม่ชอบใจอยู่หลายส่วน กลับเป็นเทพผู้น้อยสองนายนั้น ตอบคำถามชายหนุ่มผู้มาใหม่แทน "เรียนท่านเทพเหอผิง คนผู้นี้เป็นคนเผ่ามารขอรับ"
เหอผิงแววตาเป็นประกาย ดวงตาหงส์ดูเจ้าชู้ไม่หยอก เดิมทางเส้นนี้ก็มีคนผ่านไปผ่านมามากอยู่แล้ว เขาเองก็เพียงกำลังจะผ่านไปเท่านั้น กลับได้ยินคำบริภาษที่น่าสนใจมากเข้าพอดี พอลองมองดูให้ดี ก็ถูกดวงหน้างามล่มเมืองล่อลวง จึงต้องเอ่ยปากสักคำ
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนเผ่ามาร…
ว่าแต่ คนเผ่ามารมาทำอะไรที่นี่?
อย่างไรก็ตาม เหอผิงไม่ได้สนใจมากนัก เขาเป็นเทพแห่งการละเล่น ที่เชี่ยวชาญที่สุด ก็คือการประพันธ์กาพย์กลอน และบทนำทำนองร้องรำ สิ่งที่ชมชอบที่สุด ก็คือการได้คบหาสังสรรค์กับสหายใหม่ ๆ
ยามนี้มีคนงามเผ่ามารมายืนอยู่ตรงหน้า หากไม่ทำความรู้จัก นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ผิดต่อตนเองอย่างยิ่ง ดังนั้นเหอผิงจึงยิ้มกว้างเท่าฝาหม้อ ประสานมือคารวะฉู่ชิงซาก่อน "เป็นผู้น้อยสองคนไม่รู้ความ ขอคุณชายอย่าได้ถือสา"
"..."
พอเห็นว่าเขาไม่ยอมกล่าวคำ เหอผิงก็คิดว่าคนงามคนยังไม่พอใจอยู่ ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว "...หากคุณชายไม่พอใจ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้คนที่รับผิดชอบทราบ ให้ปลดพวกเขาเป็นการลงโทษ คลายความขุ่นข้องให้คุณชาย"
ฉู่ชิงซาไม่หลบหลีกการคารวะนี้ ทั้งไม่สนใจว่าเขาจะยืนตัวตรงเมื่อไหร่ ยิ่งไม่มีทางเห็นเทพตัวเล็ก ๆ สองคนอยู่ในสายตา เขากล่าวกับเหอผิงอย่างเย็นชาว่า "ข้ามาหาคน"
เหอผิงชะงักไปเล็กน้อย หดมือที่ประสานกันไว้กลับมาข้างตัว ยืนตัวตรงเงียบ ๆ "คุณชายมาหาเทพองค์ใดหรือ เหอผิงรู้จักคนไม่น้อย เผื่อว่าจะเป็นธุระให้คุณชายได้"
"หยวนชงเมิ่ง" น้ำเสียงเรียบเย็นเอ่ยออกมา เป็นชื่อสามีที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน
พอเขาเอ่ยจบ กลับพบว่าทั้งสามชีวิตที่เหลือตรงนี้ต่างหน้าซีดเผือด เหอผิงมองเทพเฝ้าประตูสองคนอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนเดินเข้ามาใกล้ฉู่ชิงซาอีกหน่อย ห้าวหาญไม่กลัวตาย ถึงกับก้มลงกระซิบกับเขา "คุณชาย...ท่านมาหาแม่ทัพหยวนยามนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะ…"
"เขาอยู่ไหน" ฉู่ชิงซาพอฟังออก ท่าทางเช่นนี้ของพวกเขา เกรงว่าหยวนชงเมิ่งอยู่ทางนี้ จะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว พอคิดไปว่าเจ้าสามีโง่ผู้นั้นจะได้รับความลำบาก ใบหน้าของท่านจอมมารก็ยิ่งทวีความเย็นชาขึ้นไปอีก
เหอผิงกลับคล้ายนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ เขากวาดตามองฉู่ชิงซาใหม่อีกครั้ง ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีตรงไหนที่ไม่ถูกสายตาคู่นั้นสำรวจ สุดท้ายเจ้างี่เง่านี่ยังลดเสียงลง กระซิบถามฉู่ชิงซาอย่างตื่นเต้น
"เรียนถามคุณชายท่านนี้ หรือท่านจะเป็นคนในข่าวลือผู้นั้น ชู้รักลับ ๆ เผ่ามารของแม่ทัพหยวน?"
ใบหน้างดงามของฉู่ชิงซาแข็งทื่อไปทันที อะไรคือ ชู้รัก ทั้งยังเป็นชู้รักลับ ๆ ของสามีตนเองอีกด้วย
ข้า...ฉู่ชิงซา เป็นจอมมารมาหลายร้อยปี นี่กลับเป็นครั้งแรก ที่ได้ยินคนเอาตัวเขาไปลือกันผิด ๆ อย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ ดี ช่างดีจริง!
มาเผ่าสวรรค์ครั้งนี้ คงไม่เสียเที่ยวแล้ว
ความคิดเห็น