คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่.5 ลั่วลั่ว 100%
บทที่.5
ลั่วลั่ว
หลี่เค่อเฟิงหลุบตาลง
กระทั่งนิ้วมือก็ขยับไม่ออกแล้ว
เขารวบรวมเศษอารมณ์ของตนเองที่กระจัดกระจายอยู่ครู่หนึ่ง
จึงค่อยเงยหน้าสบตากับชิงเถา ประมุขหลี่ระบายรอยยิ้มออกมาเชื่องช้า
ทั้งเป็นยิ้มที่ซีดเซียวและน่ามอง "ข้าไม่รู้จะทำเช่นไรกับเจ้าดีแล้ว"
ไล่ก็แล้ว ด่าก็แล้ว ขู่เข็นก็แล้ว
ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย
"ไม่ยาก"
ชิงเถากล่าว "ดั่งสายน้ำที่ไหลในมหาสมุทร
ท่านแค่ปล่อยให้เข้าได้ลองพยายามดู หากจนแล้วจนรอดในใจท่านไม่มีข้าอยู่
นี่ย่อมไม่โทษท่าน พวกเราเจอกันครึ่งทางก็พอ"
"ง่ายดายปานนี้?"
"ก็ง่ายแค่นี้แหละ"
หลี่เค่อเฟิงนิ่งงันไปนาน ก่อนถามต่อ "หากวันนั้นมาถึง
เจ้าจะไม่เศร้าเสียใจหรือ"
"ย่อมเศร้าโศกเป็นธรรมดา"
"เช่นนั้นจะทำไปทำไม"
หากรู้แต่แรกอยู่แล้ว การเอาตนเองโยนลงไปในกองเพลิง
ปล่อยให้ไฟรักเผาผลาญสนุกมากหรือ
"เศร้าเสียใจหรือไม่
ทุกข์ทรมานหรือไม่ ถึงวันนั้นก็รู้เอง" ชิงเถาปรายตามองอีกฝ่าย
"อีกอย่าง นี่ก็เป็นปัญหาของข้า เกี่ยวอะไรกับท่าน?"
เขาไม่ควรเลย
ไม่ควรเกิดความห่วงใยคนเช่นนี้จริง ๆ!
หลี่เค่อเฟิงผุดลุกขึ้น
เขาโอบผีผาไว้ในอ้อมแขน ไม่หันมองชิงเถาอีก กระโดดลงไปจากหลังคาเรือน
พอเท้าแตะพื้นก็จ้ำอ้าวจากไปเช่นนั้น ชิงเถาหัวเราะออกมาเสียงดัง
ยังถึงกับยกมือขึ้นทุบอกเพราะหายใจไม่ทัน
เช้าวันต่อมา
ชิงเถาตื่นแต่เช้าเพื่อเดินตามหากองฟืนที่หายไป
เขาพบว่ามันถูกย้ายไปไว้ที่โรงไม้เก่าด้านหลังห้องครัว
จึงจัดการถือมีดพร้าเข้าโรงไม้ ผ่าฟืนอยู่ตลอดช่วงเช้า
ท่ามกลางสายตาที่คอยสอดส่องมองตลอดเวลา
เขาจัดการงานกิจของตนจนเหงื่อท้วมตัว
ทั้งยังถูกมองจนมุมปากกระตุกไปหลายที สุดท้ายทนไม่ไหว
ต้องหันกลับไปมองคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล "พวกเจ้าไม่มีอะไรทำ"
"บ่าวกำลังทำอยู่เจ้าค่ะ"
กวาดตามองนางรอบหนึ่ง ชิงเถาถามอย่างไม่เข้าใจ "ทำอะไร"
"จับตาดูท่านเจ้าค่ะ"
หรงซินเยว่กล่าว
ด้วยคร้านจะสนใจนาง
ชิงเถาจึงเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น "ท่านประมุขของพวกเจ้าล่ะ"
หรงซินเยว่ส่งเสียงจีปากเบา ๆ
อย่างไม่พอใจ นางเองก็งดงามไม่น้อย ยังสู้ท่านประมุขมิได้อีกหรือ "บ่าวมิทราบเจ้าค่ะ"
ชิงเถาเรียงฟืนที่ผ่าเสร็จไว้อย่างเป็นระเบียบ
จากนั้นหยิบมีดพร้าที่หยิบยืมมา เตรียมเอาไปคืนที่ห้องครัว ปากก็พูดไปเรื่อย "เช่นนั้นข้าค่อยไปหาเองแล้วกัน"
ในพรรคเสี้ยวจันทรานั้น
มีสถานที่ต้องห้ามซึ่งหากไม่ได้รับอนุญาตแล้ว
ก็จะไม่สามารถย่างกลายเข้าไปได้อยู่สามแห่ง
หนึ่งในนั้นคือตำหนักซึ่งเป็นที่พักของหลี่เค่อเฟิง
ประมุขพรรคเสี้ยวจันทราชมชอบความสงบ หากไม่มีธุระเร่งด่วน ก็จะไม่อนุญาตให้เข้าพบ
นอกจากยามที่เรียกประชุมผู้อาวุโสในพรรคเป็นบางครั้ง หรือยามมื้ออาหาร ก็น้อยครั้งมาก
ที่ท่านประมุขจะออกมาให้ผู้คนได้ยลโฉม
ชิงเถาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
เส้นผมยาวถูกเขาปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง พอสบมองกับดวงตาคมของตนเองในกระจกแล้ว
ชิงเถาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาเองก็ใช่ว่าเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่เมื่อไหร่กัน
หากวันทั้งวันมิใช่ต้องวิ่งวุ่นตามรับใช้จวิ้นอ๋องผู้นั้น ยามนี้ก็คงติดอันดับ
หนึ่งในสามคุณชายที่สง่างามที่สุดในเมืองเฉิงตูไปแล้ว
พอแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว
ซึ่งน้อยครั้งจะหยิบมาใส่ ก็ให้ความรู้สึกดูดีไปอีกแบบ วันนี้แหละ
ต้องทำให้เฟิงอวิ๋นหันมามองให้ได้!
อาภรณ์สีขาวของคุณชายชิงนั้น
ปักดิ้นทองเป็นลวดลายเมฆาพลิ้ว ยามที่เขาออกเดินแต่ละก้าว
ก้อนเมฆสีทองทั่วร่างก็ขยับตาม ให้ความรู้สึกอิสระเสรี ไม่ผูกมัดกับสิ่งใด
เหล่าสานุศิษย์น้อยใหญ่ในพรรคเสี้ยวจันทรายามนี้
ล้วนรวมตัวกันอยู่ในลานกว้าง ฟังผู้อาวุโสฮวาสอนสั่ง ตำหนักของหลี่เค่อเฟิงนั้น
เดินตามทางจากโรงฟืนไป ยังต้องผ่านลานกว้างแห่งนี้ พอชิงเถาปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง
ภายใต้รูปลักษณ์ที่แปลกตา จากที่เคยสวมเพียงอาภรณ์สีดำเรียบ ๆ
ก็เปลี่ยนเป็นอาภรณ์หรูหราเช่นนี้ กระทั่งผู้อาวุโสฮวา
และผู้อาวุโสหูที่บังเอิญเหลือบมาเห็น ก็ต่างพากันตกตะลึงอยู่เป็นนาน
ไม่รู้เป็นศิษย์น้อยผู้ไหนได้สติขึ้นมาก่อน
จากนั้นเริ่มการซุบซิบนินทา กระแสเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
ขนาดที่ชิงเถาที่อยู่ไกลออกไปก็ยังได้ยิน ผู้อาวุโสฮวาได้สติกลับมาก่อน นางกวาดตามองเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง
ทั้งด้วยยังคาใจจากการประลองครั้งที่แล้ว
สุดท้ายจึงตะโกนเรียกชิงเถาอย่างเอิกเกริก "เจ้าหนู!"
"..."
"เจ้าหนูลูกท้อ!"
ชิงเถาชะงักฝีเท้าพลางหันกลับไปมองนาง
นิ้วเรียวชี้เข้าหาตนเองช้า ๆ "เรียกข้า?"
ฮวาเหลียนพยักหน้า "เจ้านั่นแหละ
มานี่"
เขาหมุ่นกลายเดินย้อนกลับไปหาอีกฝ่ายโดยง่าย
เมื่อมาถึงตรงหน้าฮวาเหลียนแล้ว ยังถูกนางกวาดตามองสำรวจขึ้นลงอยู่เป็นนาน
สุดท้ายเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่า "เจ้ากำลังจะไปหาท่านประมุข?"
"แน่นอน"
"ยามนี้ยังไปไม่ได้"
"หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันที
"ทำไมหรือ"
ฮวาเหลียนหันมองสุริยันบนท้องฟ้า
พลางคำนวณในใจอยู่ครู่หนึ่ง "ยังเป็นเวลาอาหารของลั่วลั่ว ห้ามเข้าไปรบกวน"
"ลั่วลั่ว?"
เป็นตัวบัดซบอะไรอีก…
เห็นดวงตาของเด็กหนุ่มเข้มขึ้น
ฮวาเหลียนพลันยกยิ้ม รีบดึงแขนเขา "เอาเถอะ อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกมา
เจ้าก็อย่าเพิ่งไปเลย มาแลกเปลี่ยนความรู้กับเราผู้เฒ่าเป็นไร"
"แลกเปลี่ยนความรู้?"
เขาไม่อยากทำสักนิด ยามนี้แทบอยากจะหายไปจากตรงนี้
ไปโผล่ที่ข้างกายหลี่เค่อเฟิง ดูให้ดีว่า'ลั่วลั่ว' ที่ผู้อาวุโสฮวากล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นตัวอะไร เพียงเพราะเป็นเวลาอาหาร
ถึงกับห้ามมิให้ผู้ใดรบกวน
ใบหน้าของชิงเถายามนี้
ราวกับเพิ่งถูกบังคับให้กินยาขม เขาเดินตามแรงดึงของผู้อาวุโสหญิงไป
ใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนกระทั่งหลังถูกผลักไปเบื้องหน้าเล็กน้อย
จากนั้นถูกกดไหล่ให้นั่งลงบนตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ทั่วทั้งลายกว้าง
จึงได้สติกลับคืนมา หันกลับไปถามฮวาเหลียน "ผู้อาวุโสท่านนี้…"
"ฮวาเหลียน"
"ผู้อาวุโสฮวาคิดจะแลกเปลี่ยนความรู้อย่างไรหรือขอรับ"
"แน่นอน"
ฮวาเหลียนกล่าวอย่างใจกว้างเปิดเผย "ดูพวกเขาประลอง!"
หูสือที่นิ่งเงียบอยู่นานร้องเหอะขึ้นมาคำหนึ่ง
ที่แท้นางปีศาจก็หาเรื่องทรมานคนเล่นนี่เอง ผู้อาวุโสเช่นหูสือแค่นเสียงออกมารอบหนึ่ง
จากนั้นไม่สนใจอีกก็แล้วไปเถอะ แต่คนที่เหลือล้วนหน้าถอดสีกันไปแล้ว
ทั่วทั้งพรรคเสี้ยวจันทรา มีผู้ใดไม่รู้บ้าง ว่าฮวาเหลียนชมชอบวรยุทธ์แปลกใหม่
ทั้งยังมีงานอดิเรกเป็นการทรมานคน
หากการจัดการประลองทดสอบศิษย์ จัดขึ้นด้วยมือนางแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานจะต้องมีศิษย์ที่ทุ่มเทต่อยตีกัน จวบจนแข้งขาหักกันบ้างละ
หากชนะแลกมาด้วยแขน หรือขาหักสักข้าง
นี่ยังดีกว่าต้องแพ้การประลอง เพราะคนที่แพ้การประลอง จะต้องรับการชี้แนะแบบ 'ตัวต่อตัว' จากผู้อาวุโสฮวา เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าจะไม่มีทางจบที่แขน หรือขาหักเป็นแน่
เช่นนั้นแล้ว ชนะนั้นย่อมดีกว่า
ชิงเถาเห็นทั่วทั้งลานกว้างเงียบเสียงลงราวกับสุสาน
ก็เกิดลางสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล เพียงแต่เขายังมิได้เอ่ยค้าน
ฮวาเหลียนก็ประกาศให้เริ่มการประลองแล้ว นี่เรียกว่าประลองทดสอบฝีมือ
ซึ่งเริ่มแรกชิงเถายังคิดว่าพรรคมารจัดการประลองเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ
ต่อมาจึงรู้สึกกว่ายิ่งผ่านไปนาน ลานกว้างแห่งนี้ก็ยิ่งร้อนระอุ
ดุเดือดจนชวนให้มุมปากกระตุก
พอผ่านไปถึงคู่ที่เจ็ด
ฮวาเหลียนจึงหันกลับมาถามไถ่ความเห็นเขา อย่างที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาอยู่ "เจ้าหนุ่ม
เห็นว่าฝีไม้ลายมือของศิษย์พรรคเราเป็นเช่นไร"
ชิงเถาพยักหน้าเล็กน้อย "ไม่เลว"
"ไม่เลว?"
คิ้วงามของนางขมวดทันที "เหตุใดความทุ่มเทของคนพรรคเรา
ในสายตาคนเมืองเช่นพวกเจ้า อธิบายออกมาได้สั้นกระชับเพียงนี้"
ชิงเถาหันกลับมาหานาง
กล่าวอย่างจริงจัง
"ไม่เลว ก็นับว่าดีแล้วมิใช่หรือ"
วรยุทธ์คนเหล่านี้ไม่เลวจริง ๆ
แต่หากจะให้เขาบรรยายความเก่งกาจ หรือจุดเด่น
เขายังไม่พบคนที่สะดุดตาพอให้กล่าวถึง
ฮวาเหลียนเห็นเขาเป็นเช่นนี้
ก็ให้ความรู้สึกคันยุบยิบในใจ นางกวาดตามองทั่วลานรอบหนึ่ง จึงตะโกนว่า "จีชง!"
ไม่นานนักชิงเถาก็เห็น
คนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าสานุศิษย์ เดินออกมาเบื้องหน้า
พลางคุกเข่าลงตรงหน้าผู้อาวุโสฮวา "อาจารย์"
"รอบต่อไปเจ้าขึ้นประลอง"
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างตกตะลึง "แต่ว่า"
"ไม่มีแต่"
ฮวาเหลียนมองศิษย์เอกของตนนิ่ง ๆ"แสดงฝีมือให้คุณชายชิงดูเสียหน่อย
เดี๋ยวเขาจะหาว่าพรรคเสี้ยวจันทราเราไร้ผู้คน"
จีชงผู้นั้นใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลังจากสบตากับชิงเถาคราหนึ่ง เขาจึงจำต้องพยักหน้ารับคำอาจารย์
จากนั้นลุกขึ้นไปเตรียมตัว พอคนจากไปแล้ว ฮวาเหลียนจึงหันมาคุยโวกับชิงเถา "นั่นคือศิษย์เอกของข้า
ทั้งเขายังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ในสำนักเรา
ฝีมือนับว่าเป็นรองผู้อาวุโสอยู่เพียงขั้นเดียว"
หูสือกล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์ "ฝีมือก็ไม่เลวอยู่หรอก
เสียอย่างเดียว…"
"หุบปาก!"
เสียอย่างเดียวคำนี้
พอจีชงเริ่มประลองชิงเถาก็เข้าใจแล้ว เขานั้นฝีมือไม่เลวจริง ๆ ทั้งยังเฉลียวฉลาด
รู้จักใช้สมองมากกว่ากำลัง ไม่ด้อยไปกว่านายทหารที่ชิงเถาเคยฝึกฝนเลย
แต่เสียอย่างเดียว
เสียอย่างเดียว...เขาใจอ่อนเกินไป
หลายครั้งบุกเข้าประชิดตัวศัตรูได้
กลับไม่ลงมือ เลือกวิธีการที่ออมมือที่สุด และอ่อนโยนที่สุด คนเช่นนี้แม้ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ
วันข้างหน้าสามารถเป็นหนึ่งในใต้หล้าได้ ก็ไร้ประโยชน์
หากใช้ชิงเถาบรรยายเด็กคนนี้ออกมาเป็นประโยคสั้น ๆ สักคำ เขาก็คงพูดได้เพียงว่า "ไร้จิตสังหาร"
ผู้อาวุโสหูได้ยินคำนี้
ก็ถึงกับปรบมือให้เขา
"กล่าวได้ดี!"
"เจ้าลูกหมา!"
ฮวาเหลียนหันกลับไปลงมือกับอีกฝ่าย ก่อนจะถลึงตามองชิงเถา
"ปากไม่รู้ดีชั่ว!"
"ข้าเพียงกล่าวตามที่เห็น"
ชิงเถาไหวไหล่ "หากทั้งหมดนี่คือการแลกเปลี่ยนความรู้
ข้าเกรงว่าคงเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
ผู้แซ่ชิงอยู่ในวงล้อมแห่งการฆ่าฟันมานาน ให้มานั่งมองเด็กทะเลาะกันเช่นนี้
ยังรู้สึกลำบากใจมากจริง ๆ ขอผู้อาวุโสโปรดอภัย"
กล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นยืน
แต่ก่อนที่ฮวาเหลียนจะได้เอ่ยรั้ง ร่างของคนผู้หนึ่งก็กระเด็นออกนอกลานประลอง
ทิศทางที่ลอยไปคือเสาหินขนาดยักษ์ หากกระแทกถูกมันเข้า
เกรงว่าคงได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย
ก่อนที่จะมีใครได้ทันรู้สึกตัว
ชิงเถาก็พุ่งตัวออกไปก่อนแล้ว คว้าร่างของชายหนุ่มผู้นั้นเข้าสู่อ้อมแขน
ใช้ปลายเท้าถีบเข้ากับเสาใหญ่ ส่งตัวเองให้ลอยกลับมายังลานกว้าง
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้คนทั้งหมด
พอเท้าแตะพื้น
ชิงเถาก็ก้มหน้าเล็กน้อย มองใบหน้าซีดเผือดของคนในอ้อมแขน
ก็คือจีชงที่เขาเพิ่งกล่าวถึงเมื่อครู่
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองชิงเถาดวงตายังเหม่อลอย คล้ายยังไม่หายจากอาการตกใจ
ชิงเถาพยุงให้เขทยืนให้ดี
แต่คนก็เอาแต่เอนพิงเขา
"ยืนไหวหรือไม่ บาดเจ็บตรงไหน"
น้ำเสียงนี้ของเขา
เรียกสติของจีชงให้แจ่มชัด เด็กหนุ่มใบหูแดงก่ำ รีบลนลานออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย
พลางโค้งกายคารวะชิงเถา
"ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ"
ชิงเถาพยักหน้ารับ "ไม่เป็นไร"
เขาผละจากเด็กหนุ่มรู้สึกหมดธุระกับที่นี่แล้ว
ทั้งใจยังพะวงไปถึงหลี่เค่อเฟิง ด้านหลังมีเสียงเรียกนามเด็กหนุ่ม
ทั้งยังมีเสียงเรียกศิษย์พี่ใหญ่ ชิงเถาเดินห่างออกมาเรื่อย ๆ
ก่อนได้ยินเด็กหนุ่มผู้นั้นตะโกนเรียกเขา "คุณชาย!"
ชิงเถาหันกลับไปมองอีกฝ่าย
ที่รีบวิ่งตามเขามาพลางขมวดคิ้ว "มีอะไรอีกหรือ"
"คือ...เอ่อคือว่า"
จีชงละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง จนเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นมองตนเอง
จึงกลั้นใจถามออกไป "ทึ่คุณชายบอกว่า…"
"เรียกชิงเถาก็ได้"
"เช่นนั้นเอ่อ...ที่พี่ชิงบอกว่า
ข้าไร้จิตสังหาร นี่หมายความว่าเช่นไร"
"เจ้าเสียสมาธิ
จนจะปลิวไปกระแทกเสาตายเพราะเรื่องนี้?"
เด็กหนุ่มใบหน้าแดงก่ำ
เขาก้มหน้าน้อย ๆ สุดท้ายยอมพยักหน้ารับ
ดวงตาคมพินิจมองรองเท้าผ้าสีดำบนเท้าของคู่สนทนา ทั้งยังมองชายผ้าจากชุดของเขา
นี่เป็นครั้งที่สองที่จีชงได้พบชิงเถา กลับเป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยกับอีกฝ่าย
เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่พบคนผู้นี้ เขายืนมองอีกฝ่ายอยู่ไกลมาก
วันนั้นอาจารย์ประลองฝีมือกับเขา จากนั้นบุรุษเบื้องหน้ายังเสมอกันกับอาจารย์
เขาเคยถามอาจารย์
หากให้สู้กันอีกครั้ง จะสามารถชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่
อาจารย์ของเขาหรือผู้อาวุโสฮวากลับส่ายหน้า จากนั้นนางก็หัวเราะออกมาอย่างขื่นขน
กล่าวกับเขาประโยคหนึ่ง
ยุทธภพช่างกว้างใหญ่…
จีชงยามนั้นยังไม่เข้าใจ คนที่ทำให้อาจารย์ของเขากล่าวเช่นนี้
กับคนที่ยึดมั่นถือมั่น วิ่งตามท่านประมุขกลับมาจากเมืองเฉิงตู
เป็นคนเดียวกันได้อย่างไร เมื่อครู่ที่ทำขายหน้าต่อหน้าแขก ก็เป็นเพราะคำพูดของเขา
จีชงรู้ว่าอีกฝ่ายมีความสามารถ แต่ถึงกับวิจารณ์เขาต่อหน้าอาจารย์ได้
เขาจึงเกิดความสนใจไม่น้อย จากนั้นจึงกลายเป็นอย่างเมื่อครู่ ทำตัวเองขายหน้า
จากนั้นยังลากอาจารย์มาขายหน้าด้วย
ชิงเถาไม่ใช่คนถือสาหาความผู้อื่นโดยง่าย
อีกฝ่ายตั้งคำถามกับคำพูดเขา เขาก็ยินดีตอบกลับ เพียงแต่ตอบกลับในแบบของเขาเอง "เช่นนั้นข้าถามเจ้าก่อน"
"เชิญท่านกล่าว"
"เมื่อครู่มีโอกาสลงมือมากมาย
ทั้งโอกาสชนะมีถึงเก้าในสิบส่วน เหตุใดต้องรั้งรอไม่ลงมือ"
"ข้า…"
"เจ้ากลัวศิษย์ร่วมพรรคเหล่านั้นบาดเจ็บ?"
จีชงเงยหน้าขึ้นมองชิงเถาเต็มตา ต่อมาก็รู้สึกละอายจนต้องยอมรับ
ชิงเถากล่าวต่อ "เช่นนั้นจึงเป็นเหตุผลนี้
ที่ให้ตัวเจ้าเองเกือบจะต้องตายแทน โง่เง่า"
"..." ศิษย์เอกที่น่าภาคภูมิใจของฮวาเหลียนเม้มปากแน่น
ถูกคำกล่างของเขาตีแสกหน้า กลับมิอาจโต้เถียงได้สักครึ่งคำ
"ไร้จิตสังหารต่อผู้อื่น
มิใช่ว่าผู้อื่นจะคิดเช่นเจ้าทุกคน วันนี้เป็นอุบัติเหตุ ไม่กล่าวโทษคู่ประลอง
แต่หากวันหน้าเป็นศัตรูเล่า พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าด้วยจิตใจเช่นไร เจ้าลองตรองดู"
"ข้า…"
"หากยังเป็นเช่นนี้
ก็มีแต่จะพาตนเองไปตาย ทั้งยังปกป้องผู้อื่นไม่ได้
พาเหล่าศิษย์น้องของเจ้าไปตายด้วย" กล่าวจบคนก็เงียบไปนาน
ก่อนที่น้ำเสียงนุ่มนวลที่ไร้วี่แววของการเย้ยหยันจะดังขึ้นอีกครั้ง "แต่ว่า นิสัยเช่นนี้ของเจ้าน่ะ ข้าไม่เกลียดหรอก"
จีชงเงยหน้าขึ้น
เป็นครั้งแรกที่เขาทั้งถูกสั่งสอน และถูกเชยชมในเวลาเดียวกัน
เด็กหนุ่มใบหน้าแดงก่ำ บื้อใบ้ไปชั่วขณะ
ก่อนที่เสียงของผู้อาวุโสฮวาจะดังก้องตามมา "เจ้าลูกท้อห้ามล่อลวงศิษย์ข้า!"
ชิงเถาคร้านจะสนทนากับนางแล้ว
จึงตบไหล่จีชงอย่างปลอบโยน
"ข้ายังต้องไปดูลั่วลั่วอะไรนั่น ขอตัวก่อน"
จีชงมองตามแผ่นหลังแกร่งนั้นไปอย่างเหม่อลอย
กระทั่งถูกฝ่ามือของอาจารย์ตบเข้ากลางศีรษะ จึงค่อยได้สติกลับมา เขาครางเสียงอ่อน "อาจารย์…"
"ห้ามเจ้ามอง!"
ผู้อาวุโสฮวากล่าวด้วยโทสะ "คนผู้นั้นเป็นบุรุษของท่านประมุข
เจ้ามองเช่นนี้ อีกหนึ่งเค่อผ่านไป อาจจะเหลือแค่วิญญาณแล้ว
ศิษย์โง่อย่าขวัญกล้าเพียงนั้น"
"ข้าก็แค่มองเอง"
จีชงงึมงำ "อาจารย์เมื่อครู่พี่ชิงบอกว่าจะไปดูลั่วลั่ว
ลั่วลั่วมีอะไรน่ามอง?"
"อยากจับชู้กระมัง"
ฮวาเหลียนหัวเราะออกมาน้อย ๆ จากนั้นตบหลังศิษย์เอก "ไป อาจารย์จะพาเจ้าลงเขาไปปลอบใจ"
"เป็นท่านที่ดีกับข้าที่สุด!"
"พอกลับมาข้าจะฝึกให้เจ้าใหม่ตั้งแต่ต้น"
จีชงสะดุ้งสุดตัวทันที "อาจารย์!"
*หลังจากผละออกมาจากคนเหล่านั้นแล้ว
ชิงเถาก็ไม่รั้งรออีก รีบพุ่งไปยังตำหนักที่พักของหลี่เค่อเฟิงทันที
พอไปถึงก็ไม่มีผู้ใดขัดขวางเขา ทำให้เขาเข้ามาภายในได้โดยง่าย
ปกติหลี่เค่อเฟิงกินข้าวที่ตำหนักกลาง
ฉะนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่ชิงเถาบุกเข้ามาถึงตำหนักซึ่งเป็นหอนอนของอีกฝ่าย
ในใจจึงเกิดความประหม่าไม่น้อย
ตามทางเดินยาว
มีต้นหลิวให้ความร่มรื่น อากาศวันนี้ครึ้มฝนเล็กน้อย มีสายลมอ่อนโยนพัดผ่านร่าง
ให้ความรู้สึกสบายตัว เส้นผมที่ปล่อยสยายเต็มแผ่นหลังปลิวไปตามแรงลม
คลอเคลียไปกับสันจมูก ยิ่งขับเน้นให้ดวงหน้าคมดูเย้ายวน
พอเดินมาถึงด้านในแล้ว
กระทั่งเงาของสิ่งมีชีวิตสักหนึ่งเงาก็ไม่มี ชิงเถาขมวดคิ้ว
เดินเข้าไปด้านในลึกกว่านี้ สอดส่องสายตาตามหาหลี่เค่อเฟิง
ยามนั้นเองสายลมอ่อนเบากลับพัดพาเสียง ๆ หนึ่งดังแว่วเข้าหูเขา
กรร…
ดวงตาเอื่อยเฉื่อยของชิงเถาแปรเปลี่ยน
ความระแวดระวังฉายชัดขึ้นมาในม่านตา สัญชาตญาณระวังภัยทั่วร่างของเขาร้องเตือน
ชายหนุ่มหยุดนิ่งอยู่กับที่ ใช้สายตากวาดมองทั่วบริเวณ
เสียงนั้นคล้ายเสียงคำรามขู่ของสัตว์ ทั้งไม่หยุดดัง
แต่ก็ฟังไม่ออกว่ามาจากทิศทางไหน
ความคิดของเขาวนเวียนอยู่ที่คนผู้หนึ่ง
เมื่อมีอีกฝ่ายอยู่ในใจทุกลมหายใจก็คะนึงถึง ยามนี้ภายในตำหนักของหลี่เค่อเฟิงมีเสียงคำรามของสัตว์ร้าย
ใจเขาก็ยิ่งพะวงห่วงอีกฝ่าย ก่อนที่จะทันได้ตั้งตัวให้ดี
ร่างของสัตว์สี่ขาชนิดหนึ่งก็กระโจนลงมาจากกำแพง ชิงเถาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
เท้ายังไม่ทันจะได้ถอยหลังหลบ ก็ถูกมือคู่หนึ่งฉุดดึงให้ถอยหลัง
จนทั้งร่างเซไปซบกับอีกฝ่าย คนทั้งคู่หมุนตัวเป็นวงกลม
หลบการโจมตีของเดรัจฉานตัวใหญ่
ราวกับความอันตรายเมื่อครู่ไม่อยู่ในสายตาแล้ว
ชิงเถาเหม่อมองคนที่ประคองกอดตนเอาไว้ ในใจยังอบอุ่นขึ้นมาอีกเท่าตัว
ต่างกับหลี่เค่อเฟิงที่ยามนี้ขมวดคิ้วชนกัน จนใบหน้าดูยุ่งเหยิงไปหมด
หลี่เค่อเฟิงมองคนในอ้อมแขน
ที่เนียนซบอยู่บนไหล่ตน แววตาเอือมระอา "คงมิใช่ว่าเมื่อครู่นี้
กำลังจะถูกตะปบจนตกใจตายแล้วนะ"
ชิงเถาเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้อีกฝ่าย "ไม่ตายอยู่แล้ว
เฟิงอวิ๋นช่วยข้าเอาไว้ นี่ต้องขอบคุณท่าน"
"เหอะ!"
พออีกฝ่ายผละออกไป
ชิงเถาก็ทำหน้าเสียดาย เมื่อครู่น่าจะกอดให้นานกว่านี้หน่อย….
โฮก!
เขาหันไปตามเสียงคำรามก้อง
พบว่าบนพื้นห่างออกไปไม่ไกล มีเสือขาวตัวใหญ่นั่งอยู่
ดวงตาของเดรัจฉานดุร้ายจ้องมองเขาไม่กระพริบ ราวกับพร้อมที่จะเข้ามาจู่โจมตลอดเวลา
ชิงเถาขยับถอยหลังเล็กน้อย ก่อนหลี่เค่อเฟิงจะคว้าข้อมือของเขาไว้
จากนั้นหันไปกล่าวกับเจ้าตัวสี่ขาตรงนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ
"ลั่วลั่วอย่าซน"
ลั่วลั่ว…
ชิงเถากระพริบตาปริบ ๆ
มองสิ่งมีชีวิตตรงหน้า พลางหันมองหลี่เค่อเฟิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ลั่วลั่วหรือ
คงมิใช่ลั่วลั่วที่ผู้อาวุโสฮวากล่าวถึงกระมัง "นี่…"
หลี่เค่อเฟิงปรายตามองชิงเถาอย่างเย็นชา
พลางปล่อยมือเขา แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง "ลั่วลั่วมานี่"
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือ
คำพูดเดียวของประมุขหลี่ ราวกับประกาศิตที่มิอาจขัดขืน เขาบอกให้มันมาตรงนี้
เสือขาวลายพาดกลอนตัวนั้นก็ลุกขึ้น เดินนวดนาดเข้ามาหาอีกฝ่ายจริง ๆ
ทั้งยังคล้ายหลงลืมไปชั่วขณะ
ว่าตนเองคือเสือร้าย พออยู่ต่อหน้าหลี่เค่อเฟิงแล้วกลับทำราวกับว่า
ตนเองเป็นเพียงลูกแมวยักษ์ตัวหนึ่ง
ลูกแมวยักษ์ที่มีนามว่าลั่วลั่ว…
"หึ"
หลี่เค่อเฟิงปรายตามองชิงเถา ที่อยู่
ๆ ก็หัวเราะออกมาราวกับคนโง่งม "เป็นบ้าไปแล้วหรือ"
เพิ่งจะเกือบถูกเจ้าลั่วลั่วตะปบเอา
ยังจะมายืนยิ้มทำอะไร พิลึกคนโดยแท้
"เปล่า"
ชิงเถากล่าวพลางนั่งลงข้างชายหนุ่ม "ข้าเพียงรู้สึกว่า
ตนเองยังคงไม่ได้เรื่องเท่าใดนัก"
ถึงขนาดคิดไปว่าลั่วลั่วที่ผู้อาวุโสฮวากล่าวถึง
อาจจะเป็นบ่าวอุ่นเตียงคนโปรดของประมุขหลี่ หรืออาจจะมีสถานะคลุมเคลือกว่านั้น
ทั้งที่ความจริง ลั่วลั่วก็คือลั่วลั่ว เป็นเพียงเสือขาวตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
ชิงเถาเอ๊ยชิงเถา โง่จริง…
เขาเมินสายตาของหลี่เค่อเฟิงไปแล้ว
ทั้งยังรู้สึกว่าเจ้าแมวยักษ์ตรงหน้า ที่เมื่อครู่เกือบจะคะปบเขาไว้ภายอุ้งเท้า
มองไปก็น่ารักไม่หยอก จึงเอ่ยถามหลี่เค่อเฟิงด้วยความสนใจว่า "ข้าจับมันได้ไหม"
"มันไม่เคยให้ใครจับ"
นี่เป็นความจริง ลั่วลั่วคือสัตว์เลี้ยงของประมุขพรรคเสี้ยวจันทรา
มันมีทั้งความแข็งแกร่ง และสง่างามอย่างสัตว์ร้าย ดุดันน่าเกรงขาม
นอกจากหลี่เค่อเฟิงแล้ว มันไม่เคยให้ผู้ใดเข้าใกล้ หรือแตะต้องมาก่อน
นี่เป็นอีกเหตุผล ที่ว่าทำไมถึงไม่มีผู้ใดมาเยือน ณ ที่แห่งนี้
เพราะเพียงก้าวเข้ามา ก็อาจจะกลายเป็นอาหารว่างของเจ้าแมวยักษ์ตัวนี้
ชิงเถากลับไม่สนใจ
ยิ่งรู้ว่ามันก็คือลั่วลั่ว เขาก็ยิ่งอารมณ์ดี ลั่วลั่วที่เป็นเสือขาวตัวหนึ่ง
ย่อมดีกว่าลั่วลั่วที่เป็นคนอยู่แล้ว องครักษ์หนุ่มยื่นมือของตนออกไป
ส่งให้ถึงตรงหน้าของเสือร้าย "เด็กดี ให้ชิงเถาจับเจ้าหน่อย"
เจ้าลั่วลั่วที่นั่งอยู่เอียงคอมองชิงเถา
ใบหน้าที่ปกคลุมด้วยขนหนาย่นเข้าหากันน้อย ๆ พลางคำรามขู่ในลำคอ
จากนั้นจมูกของมันก็เริ่มทำงาน ดมฝ่ามือของชิงเถาอย่างสนใจ ผ่านไปสักพัก
มันก็คล้ายจะยิ่งสนใจชายหนุ่มมากขึ้น จึงถึงกับยกอุ้งเท้าใหญ่โตขึ้นมาเขี่ยมือเขา
ทั้งตะปบเบา ๆ อย่างหยอกล้อ
ชิงเถาหัวเราะในลำคอกับความเป็นมิตรที่มันมอบให้
ชายหนุ่มถึงกับนั่งลงไปกับพื้นอย่างไม่นึกรังเกียจ เรียกเจ้าลั่วลั่วอย่างเป็นกันเอง "ลั่วลั่วมานี่
ให้ชิงเถาดูเจ้าใกล้ ๆ หน่อย"
ภายใต้สายตาตกตะลึงของหลี่เค่อเฟิง
เจ้าลูกเสือไม่รักดีที่เขาคอยประคบประหงม เลี้ยงดูจนเติบใหญ่
ก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหาชิงเถาอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ตุบ
หงายท้องเอาศีรษะใหญ่โตของมันไปวางไว้บนตักของอีกฝ่าย
ให้คนแปลกหน้าผู้นี้เกาพุงเล่น
ลั่วลั่ว… เจ้าเสือเนรคุณ!
ลั่วลั่ว = พระเอกตัวจริงค่ะ แค่ก
พูดคุยกับเถียนซินได้ที่
เพจ เถียนซิน
ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408
ความคิดเห็น