คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่.2 หนึ่งความสัมพันธ์ 100%
บทที่.2
หนึ่งความสัมพันธ์
วันเวลาที่ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เรื่องราวในวันเก่าหมุนผ่านไปตามกาลเวลา
บัดนี้เข้าสู่ปีที่ห้าแล้ว ที่จิ่นเหิงอาศัยอยู่กับเจ้างูน้อยอาฉู่
ในช่วงแรกที่จิ่นเหิงยังคิดหาหนทางที่จะรื้อฟื้นความทรงจำเพื่อกลับบ้าน
ทั้งคู่ก็ทะเลาะกันแทบทุกวัน นานวันเข้าอาฉู่ก็ถึงกลับร้องไห้ออกมา
หาว่าจิ่นเหิงไม่อยากอยู่กับตน ชายหนุ่มจึงยอมละทิ้งอดีต
ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับอาฉู่ในป่าแห่งนี้
งูน้อยอาฉู่ตัดสินใจบอกความจริง
เรื่องที่ตนเองนั้นเป็นปีศาจให้จิ่นเหิงได้รับรู้
เขาทำใจไว้แล้วว่าต่อให้ถูกรังเกียจก็จะต้องบอกออกไป
เพราะเขาไม่อยากมีความลับกับอีกฝ่าย
วิธีที่เขาใช้คือการกลายร่างกลับไปเป็นงูขาวต่อหน้าต่อตาของจิ่นเหิง
แล้วเลื้อยเข้าไปหาอีกฝ่ายช้า ๆ
แต่แทนที่คนผู้นั้นจะหวาดกลัวเขา
กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเลือกที่จะรวบเอาตัวของเขาในร่างของอสรพิษ
เข้าไปกกกอดไว้แนบอก อย่างที่ชอบกอดเขาในร่างมนุษย์
เมื่ออาฉู่เอ่ยถาม
จิ่นเหิงก็เพียงยิ้มขบขันกล่าวว่า “คิดว่าตนเองเก็บความลับเก่งนักหรือ
ข้ารู้ตั้งแต่ปีแรกที่อยู่ด้วยกันแล้ว”
คำกล่าวนั้น
ทำให้เจ้างูน้อยไม่ยอมกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ถึงสามวัน…
การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไม่ง่ายนัก
หนึ่งคนต้องการอาหารสุก และสดใหม่ อีกหนึ่งกลับเป็นปีศาจน้อยจอมตะกละที่เลือกกิน
อาหารที่อาฉู่น้อยกิน นอกจากไก่ป่าก็มีเพียงกระต่ายตัวอ้วนเท่านั้น
ปัญหาก็คือหนึ่งคนกินสุก อีกหนึ่งกินดิบ แรก ๆ คนทั้งคู่ก็ยังแยกกันกินอยู่ดี ๆ
แต่พอนานวันเข้า ชายหนุ่มก็เริ่มทนไม่ไหว
นำกระต่ายป่ามาย่างไฟหอมกรุ่น
หลอกให้เจ้างูน้อยกิน ทั้งยังเริ่มสอนมารยาทให้อีกฝ่ายใหม่ ตั้งแต่ต้นจนจบ
จากเหล่าต้าของป่าต้องสาป ใช้เวลาเพียงห้าปี ก็กลายเป็นอาฉู่น้อยที่สง่างาม
"จิ้นเหิง ๆ"
เสียงเล็กของอาฉู่ร้องเรียกชายหนุ่ม
ยามนั้นจิ้นเหิงกำลังย่างเนื้อกวางที่ล่ามาได้
เขาหันกลับไปมองเจ้างูน้อยจอมเกียจคร้านคราหนึ่ง จึงรับคำในลำคอ
อาฉู่ขยับเข้ามาใกล้ ๆ
นั่งอย่างเรียบร้อย
"เจ้าว่า ทำไมตนเองจึงรู้เรื่องราวมากมาย
อืมมารยาทเหล่านี้ที่สอนข้า ไหนจะเรื่องเล่าจากตำราอะไรพวกนั้นที่เจ้าชอบเล่าอีก"
กลิ่นหอมของเนื้อกวางอบอวนไปทั่วบริเวณ
จิ้นเหิงครุ่นคิดอย่างไม่อยากใส่ใจนัก "คงเป็นเพราะก่อนหน้า ข้าเคยเป็นบัณฑิตกระมัง"
งูน้อยเอียงคอถามท่าทางไร้เดียงสา "คือตัวอะไรหรือ"
"..." รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ้นเหิงแข็งค้าง
เขาเค้นหาความทรงจำอย่างสุดความสามารถ แม้ไม่รู้ที่มาที่ไปของตนเอง แต่เรื่องมารยาทอันพึ่งมี
หรือความรู้อื่น ๆ เขากลับจดจำได้ คล้ายว่าแม้ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตไป
แต่สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เขาเพียรอ่าน จนแต่ฉาน อย่างไรก็ไม่ลืม "บัณฑิตก็คือ...คนที่ฉลาด ๆ ในโลกมนุษย์ บ้างมีความรู้มาก ก็ไปสอบขุนนาง
รับใช้จักรพรรดิ บ้างมีความรู้น้อย ก็อุทิศตนสอนหนังสือ ณ
สถานที่อันห่างไกลสักแห่ง"
"เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนเผ่ามนุษย์?"
ชายหนุ่มชะงักงัน
มิอาจตอบคำถามนี้ได้ทันที เขามองฝ่ามือของตน บนนั้นมีรอยหยาบกระด้างไม่เรียบเนียน
จิ้งเหิงยามนั้นก็ไม่เข้าใจ รอยเหล่านี้บอกเขาว่า เขาไม่คล้ายบัณฑิตในความทรงจำ
กลับแยกแยะไม่ออกว่าตนเองมีความเป็นมาเช่นไร
แต่ด้วยไม่อยากให้งูน้อยคิดมากไปด้วย
เขาจึงระบายยิ้ม แบมือให้อีกฝ่ายดู "บางทีข้าอาจจะเป็นบัณฑิตยากจนก็ได้
ดูสิหากเป็นผู้มีฐานะร่ำรวยสักหน่อย เกรงว่ามือทั้งสองข้างคงไม่มีสภาพเช่นนี้"
งูน้อยมองฝ่ามือใหญ่คู่นั้นเงียบงัน
ก่อนใช้สองมือเล็กกุมเอาไว้ "ข้าชอบมือของเจ้า แม้จะไม่เรียบเนียนนุ่มนิ่ม
แต่อบอุ่นมาก!"
ยามนั้นเขาไม่เข้าใจหรอกว่า
มือของชาวไร่ชาวนาที่ทุกข์ยาก กับมือของคนที่ฝึกยุทธ์แตกต่างกันเช่นไร
เขาเพียงรู้สึกว่า ไม่อยากให้คนตรงหน้ารื้อฟื้นอะไรครั้งเก่าก่อน
คนเราเมื่อเริ่มผูกพันห่วงหาผู้ใดแล้ว
ก็อยากจะให้เขาอยู่กับตนเองตลอดไป ไม่แยกจาก
อาฉู่น้อยในวัยลวงสิบห้าหนาวคิดเช่นนั้น
กระทั่งวันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน
จนล่วงเข้าสู่ปีที่สิบ ที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันมา
ความผูกพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ทำให้จิ่นเหิงเลือกที่จะรักอาฉู่
รักในแบบที่มากกว่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิต หรือน้องชาย
ยามนั้นเป็นหนึ่งคืนที่สงบสุข
ดวงจันทร์สาดแสงส่องป่าต้องสาปทั้งผืนให้สว่างไสว
เจ้างูน้อยถูกจับจูงมือให้มายืนรับลมที่ริมหน้าผา คนทั้งคู่ยืนเคียงไหล่กัน
ทอดสายตามองใต้หล้า กระทั่งมือหนากระชับกุมมือคนน้อง อาฉู่จึงได้สติกลับคืนมา
หันกลับไปมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย เอ่ยเรียกชายหนุ่มอย่างไม่แน่ใจนัก "จิ้นเหิง?"
จิ้นเหิงเผยรอยยิ้มเจิดจ้า
แม้ดูโง่งมไปบ้างแต่ก็น่ามองมากจริง ๆ สายลมริมหน้าผาพัดโบกแผ่วเบา
พร้อมทั้งน้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยเปล่งวจี "อาฉู่"
"หืม"
งูน้อยขานรับ
"เจ้า…"
มือที่กุมกันไว้บีบกระชับด้วยความประหม่า "เจ้าเคยคิด...เอ่อ อยากจะแบบว่า"
"อะไร"
อาฉู่น้อยเอียงคอมองอีกฝ่าย ไม่เข้าใจท่าทีเช่นนี้ของชายหนุ่ม
จิ้นเหิงสูดลมหายใจลึก
กลั้นใจเอ่ยถามไปด้วยเรี้ยวแรงทั้งหมดที่มี "เจ้าเคยคิดอยากมีคู่ครองหรือไม่"
คนเป็นน้องนิ่งอึ่งไปครู่หนึ่ง
จึงเพิ่งเข้าใจที่อีกฝ่ายถาม เขาเติบโตแล้ว บางครั้งยามเข้าสู่ช่วงฤดูผสมพันธุ์
ก็จะมีอาการอยากหาคู่ขึ้นมาบ้างตามสัญชาตญาณ โชคดีที่เวลาอยู่ในร่างมนุษย์
อาการโหยหาเหล่านั้นไม่ใคร่จะเกิดขึ้นนัก อีกทั้งวันทั้งวัน ตนเองอยู่แต่กับชายหนุ่ม
จะให้ไปหาปีศาจงูสาวเวลาใดเล่า
อาฉู่ส่ายหน้า "ไม่ละ
ข้าอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต กลับไม่เคยพบปีศาจงูสาวสักตัว
เกรงว่าคงมิอาจมีลูกหลานแล้ว"
อีกอย่างหนึ่งก็คือ
เขาเป็นปีศาจงูขาว หากคิดหาคู่ครอง ก็ย่อมต้องเป็นปีศาจที่กลายร่างแล้ว
หรือมีตบะทัดเทียมกัน ในป่าแห่งนี้ย่อมมีงูอยู่แล้ว
แต่ก็มีเพียงงูน้อยที่เป็นบริวารของเขา กลายร่างเป็นคนไม่ได้สักตัว หากเป็นแต่ก่อน
อาฉู่น้อยย่อมไม่รังเกียจที่จะทำเรื่องเช่นนั้นในร่างงู
เพียงแต่วันเวลากล่อมเกลาให้เขามีนิสัยคล้ายมนุษย์มากขึ้น
ทั้งอยู่ในร่างมนุษย์มานาน หากต้องทำเช่นนั้น กับงูสาวที่แม้แต่ร่างมนุษย์ยังไม่มี
เขาทำไม่ลง อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ จิ้นเหิงมักเรียกมันว่าอะไรนะ… มียางอาย?
ชายหนุ่มฟังงูน้อยกล่าวเช่นนี้
ภายในใจก็ทั้งวูบโหวง และตื่นเต้น เขาลูบหลังมือขาวเนียนอยู่นาน
ก่อนตัดสินใจได้ในที่สุด
งูน้อยของเขาเติบโตแล้ว
ยังไม่รู้ว่าหลายปีมานี้ เป็นผู้ใดเลี้ยงดูผู้ใดกันแน่ แต่อาฉู่ของเขางดงามหมดจด
ไร้เดียงสา ทั้งว่านอนสอนง่าย เขารักและหวงแหนอีกฝ่ายด้วยใจจริง อยากครอบครองด้วยความปรารถนาที่แรงกล้า
ฉะนั้นแล้ว เขาจะไม่ยอมให้ปีศาจหน้าไหน มาล่อลวงอาฉู่ไปจากอ้อมอกของเขาเด็ดขาด
"เช่นนั้นหากเป็นข้า…"
"เจ้าว่าไงนะ?"
งูน้อยเอียงคอมองอีกฝ่าย สายลมพัดเข้าหูจนอื้ออึงไปหมด
จิ่นเหิงดึงรั้งอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมแขน
กอดรัดร่างเพรียวบางเอาไว้แนบแน่น น้ำเสียงยังแหบต่ำลง "อาฉู่
ข้าชอบเจ้า"
"..."
"ข้ารักเจ้า"
"..."
"เจ้า...แต่งงานกับข้าได้หรือไม่"
"!!!"
งูน้อยอาฉู่เบิกตากว้าง
ดวงตาสีแดงฉานคู่นั้นเบิกขึ้นเท่าไข่หาน ทั้งตกตะลึง ทั้งมึนงง
ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดไปชั่วขณะ
จิ่นเหิงบอกว่ารักข้า?
รักข้าผู้นี้น่ะหรือ
ทั้งยังบอกว่าอยากแต่งงานกับข้า
ทำอย่างไรดี
ข้าไม่เคยแต่งงานมาก่อนเลยนะ!
พอเห็นว่าคนน้องแน่นิ่งไป
จิ่นเหิงก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เขาคว้าตัวอีกฝ่ายออกจากอ้อมแขน
เมื่อพบว่าใบหน้างามฉายแววตื่นตะลึงไม่คลาย หัวคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน เขาใช้สองมือประคองใบหน้าขาวซีดของอีกฝ่าย
เกลี่ยพวงแก้มนิ่มให้หายตกใจ "ไม่เป็นไร หายใจเช้าลึก ๆ"
อาฉู่ทำตามอย่างว่าง่าย
เขากระพริบตามองคนตรงหน้า ดวงตากลมคล้ายเปล่งประกายระยิบระยับด้วยหมู่ดาว "เมื่อครู่ที่เจ้าพูด...หมายความเช่นไร"
"หมายความตามนั้น"
จิ่นเหิงยกยิ้ม "หากเจ้าตกลง
ให้สวรรค์เป็นพยาน พวกเรากราบไหว้ฟ้าดินกันที่นี่ ต่อไปไม่แยกจากกันอีก
ข้าย่อมดีกับเจ้าไปชั่วชีวิต"
งูน้อยขมวดคิ้วมุ่น สวรรค์บ้าบออะไร
เขาเป็นคนเผ่ามาร เหนือศีรษะขึ้นไปคือมารดา ต่อมาเป็นท่านจอมมาร
หากจะให้เป็นพยานอะไร ก็ต้องเป็นท่านจอมมารเป็นพยานสิ สวรรค์เกี่ยวอะไรด้วย!
ใบหน้าเล็กงอง้ำด้วยความไม่พอใจ
ดวงตาสีแดงฉานถลึงมองอีกฝ่าย "ข้าไม่ชอบเผ่าสวรรค์
ต้องให้ท่านจอมมารเป็นพยานสิ"
คำกล่าวนี้ทำเอาจิ่นเหิงนิ่งงันไปชั่วครู่
ไม่รู้เพราะเหตุใด จึงรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ เขากวาดตามองดวงหน้างามของอาฉู่
จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย ตามใจว่าที่ภรรยา "ได้ ให้ท่านจอมมารเป็นพยาน"
งูน้อยถูกหลอกล่อให้กราบไหว้ฟ้าดิน
ร่วมหัวจมท้ายกับอีกฝ่ายเช่นนี้ กว่าจะรู้ว่าการแต่งงานนั้น
แตกต่างกับยามปกติเช่นไร อาฉู่ก็ถอยหลังกลับไปไม่ได้แล้ว
“อือ...อาเหิงข้าจะนอน”
ฟันคมขบกัดลงไปที่ใบหูเนียนอย่างหยอกล้อ
จิ่นเหิงกดจูบผะแผ่วข้างขมับคนขี้เซา
พลันกระซิบเสียงพร่า “แต่พี่ยังมิอยากให้เจ้านอน”
ในถ้ำมรกตมีสองร่างเปลือยเปล่าที่ตระกองกอดกันไม่รู้จบ
เป็นการแสดงความรัก ความปรารถนาที่แสนเอาแต่ใจ
คล้ายตอกตะปูยึดพื้นที่กลางใจของกันและกัน
ตอกย้ำถึงตัวตนของอีกฝ่ายในใจอย่างชัดเจน…
อาฉู่มองผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของตน
ที่ยามนี้หลับไหลไปแล้วจากความอ่อนล้า ภายในใจมีริ้วอารมณ์แห่งความหวงแหน
ความรักที่ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้
ทั้งที่ชีวิตที่เป็นอยู่ยามนี้ดีเหลือเกิน
เขากลับเกิดความกังวลอันไร้ซึ่งที่มา เป็นลางสังหรณ์ที่น่าหวาดกลัว
เขากลัวตนเองจะยึดติดกับจิ่นเหิง กลัวว่าจะต้องสูญเสีย ไม่เหลือใครอย่างครั้งที่ต้องสูญเสียมารดา
งูน้อยรู้ดี จิ่นเหิงมิใช่คนเผ่ามารโดยกำเนิด ในอนาคตข้างหน้าอีกฝ่ายอาจจะจากเขาไป
ทิ้งเขาไว้ตรงนี้แล้วไม่เหลียวมองกันอีก
เขาเป็นงูหัวช้า
ก่อนหน้าไม่เคยคำนึงถึง เพียงแต่หนึ่งชีวิตยืนยาวที่ผูกมัดไว้กับอีกฝ่าย
ทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องขบคิด คอยย้ำเตือนตนเองเอาไว้
ว่าจิ่นเหิงไม่ใช่ของเขา ต้องมีที่สักวันอีกฝ่ายจะต้องจาดไป
หากเลือกได้อาฉู่น้อยอยากผูกจิ่นเหิงไว้กับตัว
ไม่ต้องให้อีกฝ่ายจาก ณ ที่แห่งใด ให้อีกฝ่ายรักเขา
ให้โลกทั้งใบของจิ่นเหิงมีเพียงเขา...
สามปีต่อมา ความหวาดกลัวนี้ก็เริ่มมีเค้าลางของความจริง
ฝันหวานชื่นหนึ่งตื่นนี้ ในที่สุดก็จบลง สองสามีภรรยาเริ่มมีปากเสียงกันมากขึ้น
จิ่นเหิงเริ่มหาทางหว่านล้อมเขา บอกกับเขาว่า ใต้หล้ากว้างใหญ่ ขอเพียงเขายินดี
อีกฝ่ายจะไปกับเขา เราสองออกจากป่ามรกตด้วยกัน เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ค้นหาดินแดนที่เจริญด้วยวัฒนธรรม
ใช้ชีวิตครองคู่กันตลอดไป
คำกล่าวหวานล้ำเช่นนี้
หากเป็นเขาในวัยเยาว์คงหลงเชื่อแล้ว แต่งูน้อยยามนี้ไม่เหมือนกัน เขาสังเกตได้
คนร่วมเรียงเคียงหมอนทุกค่ำคืน มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เขาย่อมมองออก
อาฉู่น้อยกลับไม่กล้าเปิดโปงอีกฝ่าย
เขาเพียงรู้สึกว่า หากตนเองเอ่ยถามออกไปตรง ๆ ทุกสิ่งตรงหน้า
ทั้งจิ่นเหิงและอดีตแสนหวาน จะสลายกลายเป็นหมอกควันต่อหน้าเขา
แต่กระนั้นเขาก็ยังยืนกราน
หัวเด็ดตีนขาด ก็จะไม่ยอมออกจากป่าต้องสาปแม้เพียงครึ่งก้าว ที่นี่คือบ้านของเขา
เป็นสถานที่ซึ่งเขาเติบใหญ่ เป็นสถานที่ซึ่งมีจิ่นเหิงที่เป็นของเขา
ด้านนอกน่าหวาดกลัวเกินไป เขาพยายามหลายต่อหลายครั้ง พูดให้คนรักเปลี่ยนใจ
แต่ทุกครั้งมันไม่เคยได้ผลเลย
กระทั่งครั้งสุดท้าย
ที่ได้พูดคุยกับอีกฝ่าย...
“เหตุใดจึงอยากอยู่ที่นี่นัก”
จิ่นเหิงมองภรรยาของตนอย่างไม่เข้าใจ แรงโทสะทำให้ร่างสูงสั่นเทิม
“แล้วเหตุใดจึงอยากออกไปนัก
ที่นี่ไม่ดีตรงไหน” งูน้อยเองก็ไม่คิดยอมแพ้
“อาฉู่
ที่นี่มีแต่ป่ามีแต่ปีศาจ ใต้หล้านี้ยังมีดินแดนอีกเป็นร้อยเป็นพันแห่ง
ให้เราไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน” จิ่นเหิงกุมมือคนรักเอาไว้
พยายามกล่าวอย่างใจเย็นที่สุด "พวกเราไปกันเถอะนะ
อย่ารั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไปเลย"
“แต่ข้าอยากอยู่ที่นี่!"
เมื่อความอดทนหมดลง
น้ำตาแห่งความอึดอัดใจก็หลั่งไหลออกมาจากดวงตาสีแปลก "เจ้าลืมไปแล้วหรือจิ่นเหิง
ว่าข้าก็เป็นปีศาจ เป็นปีศาจงูตัวหนึ่งเท่านั้น หากเจ้ารังเกียจกันนักก็ไปคนเดียว
จะไปไหนก็ไปเลย!”
“ข้า…” จิ่นเหิงมองมือของตนที่ถูกสะบัดออก หยดน้ำตาจากดวงตาคู่งาม
ราวกับสายน้ำเย็นยะเยือก ที่สาดใส่ใบหน้าของเขาให้ได้สติกลับคืนมา
แล้วตรองดูคำพูดของตนเองเมื่อครู่ ว่าเลวร้ายขนาดไหน เขาคิดเข้าไปปลอบคนรัก
กอดอีกฝ่ายไว้แนบอก แต่อาฉู่กลับไม่ให้โอกาสเขา
เจ้าตัวกลายร่างเป็นงูขาวแล้วเลื้อยหนีไป
จิ่นเหิงหลับตาลงอย่างปวดร้าว “อาฉู่
พี่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้าทั้งสิ้น หวังก็แต่ว่าเจ้าจะเข้าใจก่อนที่มันจะสายเกินไป”
ความจริงตั้งแต่ต้นจนจบ
ท่านอม่ทัพรักภรรยามาก ๆ เลยนะคะ
รอบ10 วัน โอนได้วันนี้วันสุดท้ายแล้วน้า
โอนภายในวันที่ 04/05/2021 เวลา 00.00 น.
อย่าลืมไปรับท่านฉู่มาไว้ในอ้อมกอดกันนะคะ
พูดคุยกับเถียนซินได้ที่
เพจ เถียนซิน
ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408
ความคิดเห็น