คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่.1 หวนคำนึงถึงวันวาน 100%
บทที่.1
หวนคำนึงถึงวันวาน
เคยได้ยินเผ่ามนุษย์กล่าวกันว่า
ผู้คนเมื่อพบเจอกับฤดูใบไม้ผลิของตนแล้ว ก็จะดูเยาวัยขึ้นมาอีกหน่อย
คำกล่าวเช่นนี้ เดิมทีหากกล่าวกันในเผ่ามาร
ก็ยังคล้ายการกล่าวเรื่องเหลวไหลเรื่องหนึ่ง อายุขัยของผู้คน
สามารถกำหนดได้จากความรักเมื่อไหร่กัน เพียงแต่ว่าเวลานี้ ภายในสวนดอกสือซว่าน
ของวังสือซว่าน ที่มีสองร่างนั่งแอบอิงเคียงคู่
หนึ่งคือท่านจอมมารผู้เป็นเจ้าของที่แห่งนี้
อีกหนึ่งคือท่านแม่ทัพเผ่าศัตรู ซึ่งกำลังออดอ้อน? ให้ท่านจอมมารป้อนขนมอยู่ไม่ห่าง
เมื่อทอดสายตามองภาพของคนทั้งคู่ ยามที่อยู่ด้วยกันแล้ว คำกล่าวเหลวไหลของเผ่ามนุษย์
กลับน่าเชื่อถือขึ้นมาอีกหลายส่วน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
ที่ท่านจอมมารที่เคารพของคนทัเงแดนมาร มีรอยยิ้มที่น่ามองถึงเพียงนี้
ดูเยาวัยขึ้นถึงเพียงนี้ เป็นยามที่มีท่านศิษย์ให้พร่ำสอน
หรือเป็นตั้งแต่ยามที่แม่ทัพเผ่าศัตรูผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมากันแน่
"อาฉู่"
"เรียกอยู่ได้"
ฉู่ชิงซาเหลือบตามองหยวนชงเมิ่ง ที่ยังคงหนุนนอนอยู่บนตัก
"พร่ำเรียกราวกับวันหน้า จะไม่มีข้าให้เรียกอีกแล้ว"
"ก็พี่คิดถึง"
คนคะนึงหาภรรยาตนเอง เรียกหาเขาอีกร้อยปีหยวนชงเมิ่งก็คิดว่า
เขาจะไม่มีทางเบื่อหน่าย
ฉู่ชิงซาวางมือนุ่มลงบนกุมผมสีน้ำหมึก
ลูบแผ่วเบาบนกวานสีเงินสลักลายเมฆา "แดดร้อนแล้ว กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ"
"อืม
พี่จะประคองเจ้าเข้าไปพัก" ว่าแล้วคนก็ลุกขึ้นหนึ่ง
หยวนชงเมิ่งลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จากนั้นส่งมือให้คนรักจับเอาไว้
ประคองฉุ่ชิงซาอย่างทะนุถนอม ท่วงท่าอ่อนโยนราวกำลังประคองหยกล้ำค่า
ฉู่ชิงซาเองก็ไม่ขัดข้องที่เขาปฏิบัติต่อตนเช่นนี้
แม้ว่าจะขัดแย้งกับความเป็นจริงไปมากโข เขามิใช่ทั้งหยกงาม
ยิ่งมิใช่สตรีที่ต้องให้บุรุษรักถนอม แต่หากเขาต้องการความรักทั้งหมดของคนผู้นี้
ยอมให้เขาเอาอกเอาใจ ยอมเป็นอาฉู่เจ้างูน้อยกับหยวนชงเมิ่งเพียงผู้เดียว
จะเป็นไรไป
ความรักของหยวนชงเมิ่งเป็นของเขา
ชีวิตของอีกฝ่ายก็เป็นของเขา ชาตินี้ภพนี้ คนผู้นี้ติดค้างเขามากมาย
ให้เขาเอาอกเอาใจตนชดเชย ก็นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว
คนแม้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยา
แต่พลัดพรากจากกันไปแสนนาน อย่างไรอะไร ๆ ก็ไม่เหมือนเก่า
เขากับหยวนชงเมิ่งยังต้องปรับตัวเข้าหากันอีกมาก นี่คือสิ่งที่ฉู่ชิงซาสรุปในใจ
ตั้งแต่ที่คุยกันไปเมื่อคืนนี้
เขาก็คิดถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขี้นมาได้ เขาควรคืนร่างกายที่แท้จริงให้ชงเมิ่ง
แม้ว่าเจ้าร่างนี้จะไม่เลวนัก แต่ก็อดที่จะเวทนาผู้เป็นสามีของตนมิได้
ใจยังนึกสงสารตนเองอยู่อีกเล็กน้อย ยิ่งนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้
ฉู่ชิงซาก็พลันเปลี่ยนทิศทาง จากที่จะไปที่ห้องโถง
คนกลับเลือกเดินไปทางประตูใหญ่แทน
หยวนชงเมิ่งมองมือที่ถูกกุมไว้
พลางบังคับให้ตนเดินตามอย่างไม่เข้าใจ เป็นคนประคองภรรยาอยู่ดี ๆ เหตุใดกลายเป็นเขาเป็นผู้ตามไปเสียแล้ว? "อาฉู่เราจะไปไหนกันหรือ"
ฉู่ชิงซามิได้ตอบกลับคำถามของเขา
แต่เลือกที่จะถามเขากลับมาแทน "ร่างกายนี้ของเจ้า เดินทางได้ไกลแค่ไหน"
เขากลัวอีกคนจะได้รับความลำบากมากเกินไป…
"มากเท่าที่ต้องการ"
หยวนชงเมิ่งบีบมือภรรยาให้มั่นใจในคำพูดตน "แม้ร่างกายนี้จะมิใช่ของจริง แต่ล้วนใช้งานได้ปกติ ข้าแข็งแรงดี"
"...ไม่"
"อะไรนะ"
"...ไม่ปกติ"
ร่างบางเม้มริมฝีปาก เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อกล่าวประโยคต่อมา
ที่ฟังอย่างไรก็คล้ายการพึมพำกับตนเองเสียมากกว่า "เรื่องนั้นไม่ปกติ
"..." หยวนชงเมิ่งหมดคำจะกล่าวทั้งอย่างนั้น
ใบหูของแม่ทัพหยวนแดงเถือก จนใจกับภรรยาตน
ฉู่ชิงซากลับไม่นำพาท่าที่ของเขา
เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาใด ก็กึ่งฉูดกึ่งลากคนให้เดินตาม กระทั่งมาถึงหน้าวังแล้ว
จึงค่อยนึกขึ้นได้อีกเรื่อง หันกลับไปมองหยวนชงเมิ่งนิด ๆ "ท่านพาข้าไป"
"ได้"
วงแขนแกร่งโอบกอดภรรยาเข้ามาแนบชิด
เพียงชั่วพริบตาร่างของคนทั้งสองก็หายลับไปจากตรงนั้น
มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกของแผ่นดินแดนมาร
ป่าต้องสาปคือจุดมุ่มหมายของพวกเขา
สถานที่แห่งนี้ ก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของคนทั้งคู่
ในปีนั้นป่าต้องสาปทั้งหมดความจริงล้วนถูกทำลายไปแล้ว
ต่อมาฉู่ชิงซาขึ้นรับตำแหน่งจอมมาร เขาจีงกางอาณาเขต ฟื้นฟูป่าต้องสาปขึ้นมาใหม่
แม้มิอาจชุบชีวิตสหายเก่าที่จากไปได้
แต่ก็ยังดีที่ทำให้บ้านหลังเดิมกลับมาอีกครั้ง
กระทั่งเข้าสู่เขตแดนป่าต้องสาปแห่งนี้
ความทรงจำเก่าก่อนก็หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย หยวนชงเมิ่งประคองคนรักไว้
พาเขาก้าวลงพื้นอย่างปลอดภัย เมื่อเท้าทั้งสองข้างยืนได้มั่นคงแล้ว
ฉู่ชิงซาก็ผละออกจากอีกฝ่าย
เป็นผู้เดินนำเข้าไปในป่ากว้างที่ดูลึกลับซับซ้อนตรงหน้า
กลิ่นอายมารปีศาจอบอวนรอบกาย
กระนั้นทั่วทุกที่ที่ท่านจอมมารเดินผ่านไป ก็ไม่มีกระทั่งมดสักตัวเข้ามากล้ำกราย
คนทั้งคู่หนึ่งเดินนำหน้าอีกหนึ่งตามหลัง ไร้ซึ่งบทสนทนากระทั่งมาหยุดยืนอยู่ ณ
ต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง
ฉู่ชิงซาเงยหน้าขึ้น
หรี่ตามองกิ่งไม้บนศีรษะ
"จำได้ไหม นี่ก็คือสถานที่แรกที่ข้าพบท่าน"
หยวนชงเมิ่งยืนห่างจากภรรยาประมาณห้าก้าว
เขามองเส้นผมดุจไหมเงินปลิวไสว แผ่นหลังเล็กของภรรยาตัวน้อยที่เขาเพิ่งได้เฝ้ามอง
คล้ายซ้อนทับกับงูน้อยเมื่อหลายร้อยปีก่อน กระทั่งคนรักหันกลับมามองตน
พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูโศกเศร้าอีกครั้ง แม่ทัพหนุ่มถึงพบว่า
ตนเอยราวกับกำลังถูกวันเวลาดูดกลืน หมุนวนให้เรื่องราวในอดีตของเขาทั้งคู่
หวนกลับคืนมาตรงหน้าอีกครั้ง
"เป็นข้าที่ยื่นมือไปหาท่านก่อน
เป็นข้าที่ทำให้เรื่องระหว่างเรากลายเป็นเช่นนี้"
ห้าร้อยปีก่อน…
ร่างเล็กของเด็กน้อยผู้หนึ่ง
นอนเอกเขนกอยู่บนต้นไม้ ในมือของเขามีผลไม้สีแดงสดหลายลูก รสชาติเปรี้ยวอมหวาน
ยามโยนเข้าปากแล้วเคี้ยว ให้ความรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก เด็กผู้นั้นก็คือฉู่ชิงซาในวัยเยาว์
นามเดิมของเขาความจริงคือฉู่ แค่ฉู่เพียงพยางค์เดียวเท่านั้น
เขาสูญเสียมารดาไปหลายปีแล้ว หลังจากบำเพ็ญตบะจนกระทั่งกลายร่างเป็นมนุษย์ได้
อายุลวงของเขายามนี้ จีงเป็นเพียงเด็กมนุษย์วัยสิบขวบเท่านั้น
อาฉู่น้อยเติมใหญ่ในป่าต้องสาป แม้อยู่ตัวคนเดียวงูน้อยก็ปกป้องตนเองได้ดีมาก
ตั้งแต่เช้าจรดเย็น หากมิใช่เพื่อนปีศาจตัวน้อยแวะเวียนมาหา
ก็เป็นเหล่าตาเฒ่าตายยาก ออกหาจับเด็กไปกิน คอยมารบกวน
เขามีนิสัยร่าเริงซุกซนแต่เล็ก จึงกลายเป็นหัวโจกของปีศาจน้อยในป่าแห่งนี้
วันนี้สายลมในวสันตฤดูพัดเอื่อย
อากาศยามบ่ายไม่ร้อนมากนัก ช่างเป็นเวลาที่เหมาะแก่การนอนกลางวันของเขาเสียจริง
ริมฝีปากเล็กเคี้ยวผลไม้สุดโปรดจนสองแก้มพองเป็นก้อนกลม
ฉู่ชิงซายามนั้นสบายกายสบายใจ ราวกับโลกนี้ไม่มีสิ่งใดให้เขาวิตกก็มิปาน
ชั่วขณะนั้นเอง
จมูกของงูน้อยกลับสัมผัสกลิ่นอายประหลาดได้กลิ่นหนึ่ง ทิศทางกลับไม่แน่ชัดนัก
อาฉู่น้อยดม ๆ อยู่สองสามครั้งพลันเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
รีบกลายร่างกลับไปเป็นงูขาว พันร่างของคนไว้กับตนไม้
หลบวัตถุประหลาดที่ร่วงลงมาตรงที่ที่เขานอนอยู่เมื่อครู่
กิ่งไม้ที่เขาเพิ่งเลื้อยหนีมา หักโค่นลงไปตามแรงกระแทกจากอีกฝ่าย
งูน้อยชะโงกหน้าลงไปด้านล่าง
ดวงตาสีแดงฉานของอสรพิษ จับจ้องไปยังคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
มองอยู่นาน
อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนสติ มิใช่ว่าคอหักตายไปแล้วหรอกนะ งูน้อยค่อย ๆ
เลื้อยลงมาจากต้นไม้ จากนั้นเลื้อยขึ้นไปบนตัวของบุรุษหนุ่มที่สลบอยู่
เขาใช้หางสีขาวนวลของตนอังไปที่จมูกของอีกฝ่าย
'ยังหายใจ’
เมื่อรู้ว่ายังไม่ตาย
งูน้อยก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ลิ้นเล็กแลบออกไปเลียข้างแก้มของคนที่หมดสติ
ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลกใหม่
กลิ่นอายของคนผู้นี้
ไม่เหมือนพวกปีศาจน้อยใหญ่ที่ฉู่ชิงซาเคยพบ เป็นกลิ่นอายที่ให้ความรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
เบาสบายราวสายลม ยังคล้ายแสงอรุณยามเช้าที่เจ้างูน้อยชมชอบ
หรือนี่จะเรียกว่ามนุษย์ เอ๊ะ
หรือจะเป็นเทพสวรรค์นะ…?
เจ้างูน้อยตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก
เพราะอาฉู่น้อยไม่เคยได้พบเจอกับคนเผ่ามนุษย์ หรือเผ่าสวรรค์
เรียกได้ว่านอกจากมารปีศาจในป่าแห่งนี้แล้ว เขาก็ไม่เคยได้พบเจอคนจากเผ่าอื่นเลย
เมื่อคิดได้ว่าคนตรงหน้ามิใช่คนของเผ่ามาร มันก็เกิดความระแวงขึ้นมา
หากว่าผู้อื่นพบเห็นคนผู้นี้
อีกฝ่ายอาจจะถูกจับกินก็เป็นได้ ถูกจับกินก็เรื่องของอีกฝ่ายเถอะ
แต่เขาเป็นคนพบคนผู้นี้ก่อน *เหล่าต้ายังไม่หมดความสนใจ
ผู้ใดก็อย่าหวังว่าจะมาแย่งชิงเลย!
งูขาวน้อยรวบรวมปราณมารในร่าง
ขยายร่างกายตนเองให้ใหญ่ขึ้น
ในตอนนี้อาฉู่ยังเป็นเพียงเด็กขยายร่างได้ใหญ่ที่สุดก็เพียงสามารถโอบรัดบุรุษแปลกหน้าไว้ได้
แล้วลากร่างนั้นพากลับไปยังถ้ำมรกต จะให้ขยายได้ใหญ่เท่ามารดาเหมือนที่เคยเห็นในวัยเยาว์
บางทีอาจจะต้องใช้เวลาถึงร้อยปี แต่ตอนนี้แค่สามารถลากอีกฝ่ายกลับบ้านด้วยได้
ก็ดีที่สุดแล้ว
หลังจากนั้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหวาดกลัว
งูน้อยจึงกลายร่างกลับไปเป็นเด็กชายตัวน้อยอายุสิบขวบอีกครั้ง
แต่กลายเป็นคนแล้วต้องทำอย่างไรต่อฉู่ย่อมไม่รู้เลย เขาตัวคนเดียวมาหลายปีแล้ว
ไม่เคยต้องดูแลใคร ที่พอจะทำได้ จึงมีเพียงการหาเศษผ้าเก่า
มาชุบน้ำเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย แล้วนั่งเฝ้า
เฝ้าไปเฝ้ามาเจ้างูน้อยก็กลายเป็นฝ่ายที่หลับเสียเอง...
“อือ…”
สัมผัสเย็นชื้นที่แตะลงบนผิวแก้ม
ทำให้เจ้างูน้อยส่งเสียงครางออกมาด้วยความรำคาญใจ แล้วพลิกตัวหนี
บุรุษหนุ่มมองเด็กน้อยที่ตนเซ็ดหน้าเช็ดตาให้
หันหลังใส่ก็ได้แต่อมยิ้มขำ เจ้าเด็กที่มานอนซบอกเขานี่เป็นใครกัน
แล้วที่นี่ที่ไหน
เขาตื่นมาพร้อมกับร่างเล็กตรงหน้า
และความทรงจำที่หายไป… ชายหนุ่มจำไม่ได้ว่าตนเองนั้นเป็นใคร รู้เพียงฟื้นขึ้นมาก็พบกับเจ้าเด็กนี่แล้ว
บางทีอีกฝ่ายอาจจะรู้จักเขา
“ตื่นเร็ว” ชายหนุ่มเขย่าแขนเด็กน้อยตรงหน้า “เด็กน้อยเจ้าตื่นเร็ว…”
ดวงตาสีแปลกค่อย ๆ
ลืมขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เด็กน้อยตรงหน้าเบะปากออก
ท่าทางยังงัวเงียแต่ก็ยอมลุกขึ้นมานั่งดี ๆ แล้วจ้องหน้าเขาเขม็ง “จะปลุกข้าทำไม!”
คนโดนเด็กตะคอกใส่ตกตกลึงอยู่ชั่วครู่
ก่อนจะเผยรอยยิ้มแห้งแล้งส่งให้ เขาไม่รู้ว่าตนเองนั้นเป็นอะไรกับเด็กน้อยผู้นี้
จึงไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรกับอีกฝ่าย “ข้าแค่...มีเรื่องอยากจะถาม”
“ถาม? ก็ถามมาสิ” งูน้อยหงุดหงิด
ไม่เคยมีใครกล้ามาปลุกเวลามันนอนเลยนะ!!
ก็อยู่คนเดียวใครจะมาปลุก...
ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ย “...ข้า เป็นใคร”
“จิ๊
เจ้าก็...เดี๋ยวนะ” งูน้อยตื่นเต็มตา
ดวงตาสีแดงฉานกวาดมองชายหนุ่มตรงหน้าขึ้นลงรอบหนึ่ง “เจ้าถามว่าอะไรนะ”
“ข้าเป็นใคร”
งูน้อยเอียงคอมอง “เจ้าเป็นใครล่ะ”
บุรุษหนุ่มขมวดคิ้ว “ข้าก็ถามเจ้าอยู่นี่ไง
ว่าข้าเป็นใคร”
งูน้อยทำหน้าครุ่นคิด พลางกล่าว “เอ๊ะ
ข้าไม่รู้จักเจ้า ก็แค่บังเอิญเก็บมาได้จากใต้ต้นไม้เท่านั้นเอง
จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นใคร”
เก็บมาได้? ชายหนุ่มทำหน้าไม่ถูก
นี่เจ้าเด็กนี่เห็นเขาเป็นสุนัขหรือไรกันจึงใช้คำว่า ‘เก็บ’
กับเขา
ชายหนุ่มจนคำจะกล่าว
จากนั้นจีงเพียงอธิบายให้เด็กน้อยตรงหน้าฟัง “ข้าจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร”
งูน้อยถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “แล้วอย่างไร”
“ก็ถ้าจำไม่ได้
ก็กลับบ้านไม่ได้น่ะสิ”
อาฉู่อ่าปากหาว
ก่อนเริ่มขมวดคิ้วเมื่อฟังเขากล่าวจบ “กลับ? กลับไปไหน กลับทำไม
ใครให้กลับ”
อีกฝ่ายหน้าเหวอไปแล้ว
ถามเช่นนี้ก็ได้หรือ…
ร่างเล็กยืนขึ้นยกมือเท้าสะเอวอย่างแก่แดด
เชิดคางขึ้นอย่างถือดี กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าจำได้หรือไม่ข้าไม่สน
แต่ชีวิตเจ้าข้าเก็บมา เจ้าเป็นของข้าแล้วต้องอยู่กับข้าที่นี่!”
"...ห๊ะ"
เรื่องเช่นนี้ก็มีหรือ
หลังจากโวยวายเอาแต่ใจได้สำเร็จ
งูน้อยก็มานั่งจ้องหน้าคนที่เขา 'เก็บ’ มาได้อย่างเงียบเชียบ
มองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น จนเป็นอีกฝ่ายที่ทนไม่ไหว เอ่ยทำลายความเงียบระหว่างกัน
“จ้องหน้าข้าทำไม”
งูขาวน้อยเอ่ยตอบ “คิดชื่อ”
“หืม ชื่อของข้า?”
อาฉู่พยักหน้ารับ
เขาอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด
ชื่อที่มารดาตั้งให้ก็นานมากแล้วที่ไม่ได้มีคนเรียกขาน เหล่าสหายของงูน้อยในป่า
ก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะมีนามว่าอะไรจึงไม่เคยนึกเอ่ยถึง ตอนนี้มีอ
คนผู้นี้มาอยู่ด้วย
ก็คงต้องคิดหาชื่อเพื่อใช้เรียกกันมิใช่หรือ มารดาบอกว่านี่เป็นธรรมเนียมของชนชั้นสูง
ความจริงปีศาจชั้นต่ำไม่จำเป็นต้องมีชื่อ เพียงแต่อาฉู่นั้นเป็นงูน้อยที่น่ารักมาก
มารดาจึงต้องตั้งชื่อให้เขา
ยามนี้เขาคิดเลี้ยงชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ไว้
ตั้งชื่อให้อีกฝ่ายนับว่าสมควรแล้ว
“ฉู่” งูน้อยก็เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ด้วยความประหม่า “ฉู่...นามของข้าหรือ”
“มิใช่
ฉู่คือชื่อที่มารดาตั้งให้ข้า” งูน้อยยิ้มแฉ่ง
ก่อนชี้นิ้วขาวไปทางอีกฝ่าย “ส่วนเจ้าชื่อจิ่นเหิงก็แล้วกัน”
“...ชื่อข้าหรือ”
บุรุษหนุ่มคิ้วกระตุกยิก ๆ เหตุใดเป็น*จิ่นเหิงเล่า
ชื่อที่ดีกว่านี้ไม่มีแล้วหรือ
“ใช่ ชื่อเจ้า”
“เหตุใดต้องเป็นจิ่นเหิง”
“เพราะเจ้าตัวใหญ่มาก
หนักมาก จิ่งเหิงนั่นแหละดีแล้ว” งูน้อยอธิบายชัดถ้อยชัดคำ
“พูดอย่างกับเคยแบกข้าอย่างนั้นแหละ”
ชายหนุ่มหรี่ตามองงูน้อยอย่างจับผิด ส่วนเจ้างูตัวน้อยก็รีบหลบตา
“อะ เอ่อ
ข้าไปหาอะไรให้เจ้ากินดีกว่า” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่าย
คล้ายผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก “จิ่นเหิงเด็กดี รอที่นี่นะ”
คนถูกเด็กลูบศีรษะได้แต่กระพริบตาปริบ
ๆ มองดูเด็กน้อยที่เก็บตนมา เดินออกไปหาอาหารมาให้
นี่เด็กนั่นคิดว่าเขาเป็นสุนัขจริง ๆ ใช่หรือไม่?
*เหล่าต้า = ลูกพี่
*จิ่นเหิง =
มีน้ำหนักมาก
หลังจากนี้จะพาทุกคนไปย้อนอดีตความเป็นมาของคู่นี้กันนะเจ้าคะ
เถียนซินอาจจะมาเป็นพัก ๆ เพราะคุณหมอสั่งให้ปิดตาที่อักเสบ เปิดตาตรวจอาการอีกครั้งช่วงกลางเดือน ต้องขอโทษที่มาอัพให้อ่านกันล่าช้าด้วยน้า
หนังสือรอบ 10 วัน
ยังเหลือเวลาพรีถึงวันที่ 5นี้นะคะ!
ความคิดเห็น