ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    麒麟與月亮 กิเลนเคียงจันทร์

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่.11 จดหมายหนึ่งฉบับ 100%

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 64


    บทที่.11

    จดหมายหนึ่งฉบับ

    คิดดูแล้ว สำหรับชิงเถาเขารู้เรื่องของอีกฝ่ายน้อยยิ่งนัก เดิมคิดว่าคนเป็นเพียงองครักษ์ธรรมดาผู้หนึ่ง ที่ติดตามอยู่ข้างกายหวางเมิ่งหยวน พอมาลองคิดให้ดีอีกครั้ง หลี่เค่อเฟิงพบว่ารายละเอียดรอบตัวของคนผู้นี้ มีมากมายเหลือเกิน ทั้งเป็นสิ่งที่เขามองข้ามไปทั้งสิ้น 

    องครักษ์ที่ใดจะชิดใกล้ผู้เป็นนายได้เพียงนั้น ตัดสินใจแทนผู้เป็นนายได้ทุกสิ่ง ล้ำเส้นสั่งสอนหวางเมิ่งหยวนอย่างกำเริบเสิบสาน ไม่กลัวโทษทัณฑ์ ทั้งยังวิ่งตามเขามาถึงหุบเขาแสงจันทร์ ทำตัวไร้กฎระเบียบ ทิ้งหวางเมิ่งหยวนไว้ในเมืองเฉิงตู ไม่เหลียวแลสักนิดได้ 

    ประมุขหลี่เม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาหม่นแสงภายในหัวใจยังเย็นเฉียด เขา...อยากรู้เรื่องของชิงเถาให้มากกว่านี้สักหน่อย 

    ชิงเถาเองก็ลอบมองคนอยู่ตลอด ไม่มีทางที่เขาจะไม่เห็นท่าทางเหล่านี้ของอีกฝ่าย ทั้งสับสน ลังเล ไม่เข้าใจ รวมแล้วออกจะดูน่าสงสารไปสักหน่อย 

    เดิมเขาคิดว่าฐานะ หรือชาติกำเนิดของตนนั้น หาได้มีสาระสำคัญอะไรไม่ ที่สำคัญคือเขาจริงใจต่อคนผู้นี้ ทั้งฝากใจไว้ที่อีกฝ่ายจนหมดสิ้น เขาแค่ต้องเอาชนะใจอีกฝ่ายให้ได้ จากนั้นครองคู่กันอีกเขาเท่านั้นเอง

    ชิงเถากลับลืมไปแล้ว ว่าด้วยฐานะของเขา หากหลี่เค่อเฟิงรู้เข้า ชายหนุ่มจะต้องเป็นกังวลแน่ ในเมื่อยามนี้กล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรเขาก็ต้องพูดกับอีกฝ่ายให้ชัดเจน 

    เขาคว้าชายเสื้อของประมุขหลี่มากุมไว้ "เฟิงอวิ๋น…"

    หลี่เค่อเฟิงเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่าย ก่อนก้มหน้ามองชายเสื้อของตนที่เขากุมไว้ พึมพำคล้ายกล่าวกับตนเองอีกครั้ง "เจ้า...เป็นใครกันแน่"

    ที่ผ่านมา ข้าเชื่อเจ้าได้แค่ไหน…

    "ข้าก็คือข้า" ชิงเถากล่าว "ข้าก็คือชิงเถา เป็นแค่ชิงเถา"

    "แต่เจ้ากับหวางเมิ่งหยวน…"

    "ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แต่ตัวข้าหาใช่เชื้อพระวงศ์ ท่านอย่าได้กังวลใจถึงเพียงนั้น"

    ประมุขหลี่ตาเหลือกขึ้นมองเขา แค่นเสียงสูงด้วยความหงุดหงิด "เจ้าเอาตาที่ไหนมองว่าข้ากังวลใจ!"

    คุณชานชิงระบายยิ้มออกมา นั่งลงตรงพนักแขน กำชายเสื้อของอีกฝ่ายไม่ปล่อย "เช่นนี้แล้วกัน ท่านอยากรู้อะไรเกี่ยวกับข้า ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง"

    "ทุกอย่าง?" สบตากับดวงตาคมที่โน้มลงมาหาตน หลี่เค่อเฟิงไม่หลบสายตาแล้ว "ทุกอย่าง ไม่ปิดบัง"

    "ไม่มีสิ่งใดปิดบังท่านอยู่แล้ว"

    ชั่งใจครู่หนึ่ง หลี่เค่อเฟิงก็ตัดสินใจเอ่ยถามเขา นอกจากมีญาติผู้พี่เป็นเชื่อพระวงศ์แล้ว ก็คงไม่มีอะไรน่าตกใจไปกว่านี้กระมัง "เช่นนั้นครอบครัวของเจ้า...ทำอะไร"

    "ท่านน้าของข้ามีวาสนา ได้เข้าวังตั้งแต่ยังสาว ยามนี้เป็นสนมชั้นเฟยอยู่ในวังหลวง อันนี้บอกท่านแล้ว" ครุ่นคิดเล็กน้อย ชิงเถากล่าวต่อ "บิดาข้าเป็นเสนาบดีสำนักตรวจราชการแผ่นดิน มารดาเป็นสามัญชนธรรมดา ส่วนสองคนนี้พบรักกันได้อย่างไร ขอไม่กล่าวถึงจะดีกว่า"

    เสนาบดีสำนักตรวจราชการ… 

    เสนาบดี

    ตำแหน่งเสนาบดีเชียว

    เสนบดีก็ต้องเป็นขุนนางผู้มีอำนาจในวังหลวงใช่หรือไม่

    มีอำนาจ ก็แปลว่าต้องร่ำรวยมากใช่หรือไม่ พอคิดไปถึงเรื่องเงินทองแล้ว หลี่เค่อเฟิงก็คิดไปถึงคนผู้นั้น หวางเมิ่งหยวนร่ำรวยออกปานนั้น ชิงเถาเป็นญาติฝ่ายมารดาของเขา ไม่มีทางยากจนข้นแค้นเป็นแน่ 

    เช่นนั้นชิงเถาก็คือคุณชายผู้หนึ่ง ทั้งยังมีบิดาเป็นคนใหญ่คนโตในวัง ร่ำรวยมากด้วย…

    สมองของประมุขหลี่พองโตทันที จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจเสียขวัญ แรกเริ่มที่คนตามเขามา เขาถึงกับใช้บุตรชายผู้อื่นไปแบกน้ำผ่าฟืน! 

    เห็นสีหน้าเขาดูไม่ได้แล้ว ชิงเถาก็ดึงมือเขาเรียกสติ "เฟิงอวิ๋น ๆ ท่านเป็นอะไร เฟิงอวิ๋น"

    หลี่เค่อเฟิงหันหน้าไปมองคนให้เต็มตา เขาถึงกับรู้สึกได้ ว่าคอที่กำลังหันไปทางอีกฝ่าย หันไปด้วยท่าทางแข็งทื่อเพียงใด "เจ้า…"

    ร่ำรวยมากหรือ…

    ชิงเถาเอียงคอน้อย ๆ มองอีกฝ่าย ท่าทางของคนผู้นี้ช่างน่าสนใจนัก "เป็นอะไรไป อยู่ดี ๆ ทำท่าทางเช่นนี้ทำไม"

    "เจ้า บ้านเจ้า ข้า...เจ้าเป็นคุณชายตระกูลเสนาบดี?"

    น้ำเสียงทั้งตั้งคำถาม ทั้งย้ำกับตนเองของหลี่เค่อเฟิงยามนี้ เรียกความขบขันจากชิงเถาได้ไม่ยากเลย ชายหนุ่มกุมมืออีกฝ่ายบีบเบา ๆ คล้ายปลอบประโลม "ตกใจอะไร ก็เพียงอาชีพของครอบครัวข้าเท่านั้น บิดาข้าเป็นเสนาบดี มิใช่ข้าเป็นเสียหน่อย"

    มันก็ไม่ต่างกันหรอก! 

    เป็นเช่นนี้แล้วจะทำเช่นไรดี ต่อไปหากคนที่บ้านอีกฝ่ายรู้ ว่ายามที่คนผู้นี้ติดตามเขากลับมา ได้รับความลำบากไม่น้อยเลย จะทำอย่างไรเล่า มิใช่ว่าจะเป็นเหมือนเรื่องเล่าในโรงน้ำชา ที่หรงซินเยว่ชอบฟังกระมัง 

    นักเล่านิทานเหล่านั้นชอบเล่าอะไรนะ ตำนานรักขององค์หญิงกับชาวนา หรือว่าชีวิตของบุรุษหนุ่ม ที่ถูกครอบครัวของภรรยากีดกัน เพราะยากจนเกินไป

    อะ…

    ในคลังสมบัติข้ามีเงินทองอยู่เท่าไรกันนะ แล้วยามนี้ผู้ใดดูแลบัญชีภายในพรรค?

    เรื่องนี้กล่าวมาถึงตรงนี้ ชิงเถาก็ไม่รู้จะบอกอะไรแล้ว เขาหยิบจดหมายของตนเองขึ้นมา ชี้ให้หลี่เค่อเฟิงดูอีกครั้งอย่างกระตือรือร้น "ครอยครัวข้าก็มีกันเท่านั้น บิดามิได้มีสามภรรยา สี่อนุ ชีวิตที่ผ่านมาล้วนดียิ่ง ท่านดูตรงนี้ดีกว่า คิดว่าเป็นเช่นไร"

    ศีรษะของหลี่เค่อเฟิง อยู่บริเวณอกของชิงเถา นี่เป็นเพราะเขานั่งอยู่บนพนักแขน ประมุขหลี่จึงไม่ต้องสบตากับเขาตรง ๆ เพียงก้มหน้าลงเล็กน้อย คนก็ไม่เห็นสายตาของเขาแล้ว 

    หลี่เค่อเฟิงอ่านส่วนที่เหลือในจดหมายฉบับนั้น พออ่านจบก็อ้าปากค้าง เงยหน้ามองชิงเถาอย่างไม่อยากเชื่อ "นี่เจ้า…"

    คุณชายแซ่ชิงยิ้มจนตาหยี "นี่เรียกว่าเตรียมพร้อมอย่างไรเล่า พวกเราต้องเดินทางไกล อย่างไรมีเงินทองติดกระเป๋าไว้ ย่อมอุ่นใจกว่าไปตัวเปล่า"

    "แต่นี่ นี่…" ไม่เยอะไปหรือ

    "เงินเท่านี้สำหรับท่านอ๋องนับเป็นอะไร เศษเงินของเขากระมัง ท่านไม่ต้องกังวลหรอก" มือที่กุมกันไว้บีบกระชับ เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจ

    หลี่เค่อเฟิงมองมือของตนที่ถูกกุมเอาไว้ ในใจคล้ายมีเตาผิงมาให้ความอบอุ่น คนผู้นี้มักเป็นเช่นนี้ แอบกินเต้าหู้ข้าจนเป็นนิสัยแล้ว แม้คิดอย่างขุ่นเคืองเพียงนั้น ทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

    ช่างเถอะ ข้าอารมณ์ดีที่เจ้าไถเงินหวางเมิ่งหยวน จะละเว้นเจ้าสักครั้ง

    สองคนหนึ่งสัตว์ขนปุย นั่งพูดคุยกันไปเรื่อย ไม่นานก็ถึงเวลาอาหารมื้อค่ำแล้ว วันนี้ประมุขหลี่นั่งกินข้าวข้างกันกับชิงเถา ยังคีบกับข้าวให้เขาหลายอย่าง จนหรงซินเยว่และเสี่ยวซีที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้า พากันตกใจจนตาเหลือกแทบจะหลุดออกจากเบ้า 

     

    วังจวิ้นอ๋องช่วงนี้ สงบเงียบอย่างยิ่ง นับตั้งแต่มีการถอดถอนรัชทายาทขึ้น ก็ยังไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องการแต่งตั้งคนใหม่อีก ยามนี้หวางเมิ่งหยวนจึงนับได้ว่ามีวันเวลาที่ดีมาก เขาทั้งได้พักหายใจจากการสู้รบกับฮ่องเต้ ทั้งมีเวลาเอาอกเอาใจเสี่ยวหยุนน้อยของเขา วันนี้หลังกลับจากท้องพระโรง ด้วยเพราะพระชายาทรงเบื่อหน่ายเกินไป จวิ้นอ๋องจึงสั่งให้เปิดคลังสมบัติ คัดเลือกเอาเพชรพลอยงดงามหลายแบบ ออกมาให้พระชายาขัดเล่นสร้างความสำราญ 

    กระทั่งถึงช่วงบ่าย ก็มีบ่าวไพร่มารายงานว่าพระสนมชิง และเสนาบดีชิงมาขอพบ หวางเมิ่งหยวนจึงหอบเอากองสมบัติมาไว้ในอ้อมแขน ส่วนอีกมือก็จูงมือคนรัก เดินไปที่ศาลาริมน้ำด้านหลัง

    "วันนี้มารบกวนท่านอ๋องกระทันหัน ต้องให้ท่านอ๋องลำบากต้องรับแล้ว" ชิงเต๋อหลุนยิ้มแย้มเอ่ยทักทาย "พระชายาก็ทรงสุขสบายดีกระมัง"

    ลู่หยุนพยักหน้าขึ้นลง "ท่านพ่อท่านแม่เมตตาให้ความห่วงใย ลู่หยุนย่อมสุขภาพแข็งแรง"

    ถางฮูหยินหัวเราะออกมาอย่างแช่มชื่น "ดูเอาเถอะเพคะพระสนม บุตรชายของข้าผู้นี้ ทั้งน่ารักท่านช่างพูดช่างจา"

    พระสนมชิงเองก็เบิกบานใจยิ่ง "ลูกสะใภ้ผู้นี้ ข้าถูกใจ"

    "พวกท่านอย่าได้เย้าข้า" ลู่หยุนพึมพำ ดวงตาแดงก่ำ จากนั้นก้มหน้าก้มตาขัดจองน้ำชาที่ทำจากทองคำในมือต่อ

    บรรยากาศครอบครัวอบอวนไปทั่วศาลาริมน้ำ ที่พวกเขามาวันนี้ บังเอิญตรงกับที่พระสนมชิงขอออกมาเยี่ยมจวิ้นอ๋อง เรียกว่าเป็นการพบหน้าของครอบครัวโดยมิได้นัดหมาย คนหนุ่มคนแก่ พูดคุยกันสนุกสนาน ชิงเต๋อหลุนร่วมวงครึกครื้น สักพักกลับรู้สึกหดหู่อย่างห้ามไม่ได้

    เขาถอนหายใจแผ่วเบา ยิ้มอย่างซีดชา "หลายปีมานี้บุตรชายไม่ได้ความได้ท่านอ๋องคอยดูแล รบกวนท่านอ๋องอยู่หลายครั้ง กระหม่อมเกรงใจมากจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าท่านอ๋องได้ติดต่อเขาบ้างหรือไม่ เจ้าเด็กนั่นเฮ้อ"

    ได้ยินผู้อาวุโสทอดถอนใจ หวางเมิ่งหยวนก็รีบปลอบเขา "ข้าส่งจดหมายหาเขาบางครั้ง คาดว่าเขาคงกำลังยุ่งอยู่ ยังไม่ตอบกลับมา"

    เสนาบดีชิงกำหมัดแน่น "ดื้อด้าน

    "เขาก็เป็นเช่นนี้" เรื่องที่สองพ่อลูกมีปากเสียงกัน ก่อนชิงเถาจะจากไป เขาได้ยินมาบ้างจริง ๆ เจ้าตัวดีก็แสนจะดื้อรั้น ทำสิ่งใดก็มุทะลุ ไม่สนใจคนรอบข้าง "ท่านลุงอย่ากังวลใจ ล้วนเป็นครอบครัวกันทั้งนั้น หากเขาเกิดเรื่องข้าย่อมไม่นิ่งดูดาย ต้องไปลากตัวเขากลับมาแน่"

    ได้ยินจวิ้นอ๋องกล่าวเช่นนี้ ชิงเต๋อหลุนก็ยิ่งอยากจะฟาดบุตรชายตนเองสักที "ท่านอ๋องเมตตาเขายิ่งนัก พระชายาก็รักใคร่เขา เจ้าเด็กนั่นกลับเอาแต่สร้างปัญหา!"

    คำพูดนี้ก็เพียงคำที่บิดาตำหนิบุตรเท่านั้น แต่เมื่อพระสนมชิงได้ยินเข้า ก็เอ่ยขัดเขาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก "ที่ไหนกันล่ะ พี่ใหญ่อย่าได้กล่าวเช่นนี้ ความจริงต้องบอกว่ายังดีข้างกายองค์ชายมีเถาเอ๋อร์ ที่ผ่านมาจึงไม่นับว่าลำบากนัก โอรสของข้าผู้นี้โชคดีแค่ไหนแล้ว ที่เขามีญาติผู้น้องที่จริงใจต่อเขา ยังดีกว่าสายเลือดเดียวกันในกำแพงวังเหล่านั้น…"

    "เสด็จแม่กล่าวได้ถูกต้อง" หวางเมิ่งหยวนพยักหน้ารับ ช่วยชิงเถาคลายโทสะของบิดา "เป็นเพราะมีชิงเถา วันเวลาที่ผ่านมาของลูกจึงนับว่าไม่เลว ทั้งยังได้พบพระชายา

    สองแม่ลูกใจสื่อถึงกัน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับกันเป็นจังหวะ "นั่นสิ นี่ก็ต้องยกความดีความชอบให้เถาเอ๋อร์ เป็นเขาช่วยจัดการหลายสิ่ง จนถึงตอนนี้พวกท่านดูสิ ข้าก็ได้ลูกสะใภ้ที่น่ารักเพิ่มมาอีกคนแล้ว"

    ไหนเลยชิงเต๋อหลุนจะดูไม่ออก สองน้าหลานรักใคร่กันยิ่งกว่าบุตรแท้ ๆ ทั้งจวิ้นอ๋องยังเอ็นดูชิงเถามาก คนเหล่านี้ย่อมปกป้องชิงเถาต่อหน้าเขา เสนาบดีชิงระบายยิ้ม "พระสนมชมเขาเช่นนี้ หากเจ้าลูกไม่เอาไหนอยู่ที่นี่ด้วย คงต้องโขกศีรษะให้พระสนมแล้ว"

    "ท่านเองก็เถอะพี่ใหญ่ ท่านเข้มงวดกับเขาเกินไปหรือไม่ ดุด่าเขารุนแรงเกินไปหรือไม่ บุตรชายต้องค่อย ๆ เลี้ยงค่อย ๆ สอน เถาเอ๋อร์เป็นเด็กดียิ่ง ท่านกลับชอบทำให้เขาลำบากใจ"

    "ข้าหรือจะกล้ารังแกเขา" ชิงเต๋อหลุนแค่นเสียงเหอะ "ในช่วงที่เขาเติบใหญ่เขาอยู่ให้ข้าสอนหรือ พระสนมก็ทรงทราบ หากมิใช่เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีให้ญาติผู้พี่ เด็กคนนั้นป่านนี้คงเร่ร่อนไปทั่วกับอาจารย์ของเขา ยังไม่แน่ว่าอีกร้อยปี เขาก็คงบินขึ้นไปเป็นเซียนอยู่บนฟ้า ไม่อยู่กราบไหว้ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษแล้ว"

    ก่อนหน้ายังพอมีหวังอยู่บ้าง อย่างน้อยอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ไม่กลับจวนเจ็ดวันสิบวัน ก็ยังรู้ว่าเขาอยู่ในเมืองเฉิงตู อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก กินอิ่มนอนหลับ ปลอดภัยไร้ทุกข์โศก ยามนี้จากไปไกลถึงเพียงนั้น ตามประมุขพรรคมารผู้หนึ่งไป หากบอกว่าเขาจะไม่ได้รับความลำบาก นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้ 

    ในราชสำนักมีเสือซ่อนเขี้ยว มังกรซ่อนเล็บ ยุทธภพเล่า ก็หาใช่สถานที่ดีเด่อะไรเช่นกัน ที่นั่นต่างอะไรกับดงหมาป่า จ้องแต่จะกระชากเนื้อสูบเลือดกัน เจ้าลูกไม่รักดีนั่นติดตามหลี่เค่อเฟิงไป ไม่มีทางมีวันคืนดีที่แน่ เช่นนี้จะไม่ให้เขาทุกข์ใจได้หรือ

    "เด็กผู้ชายต้องมีความใฝ่ฝันสักอย่างสองอย่าง เถาเอ๋อร์วาสนาดี ได้ติดตามประมุขแดนสรวง หากสุดท้ายเขาอยากเป็นเซียนโบยบินขึ้นฟ้า นี่ก็เป็นวาสนาของเขา" กล่าวถึงตรงนี้ถางฮูหยินก็ทอดถอนใจ "เสียดาย วาสนาเป็นของครึ่งๆ กลางๆ สุดท้ายก็ยังไปได้แค่ครึ่งทาง มิอาจบรรลุมรรคที่แท้จริง"

    เรื่องนี้หวางเมิ่งหยวนเห็นด้วยกับท่านป้าของตน วาสนาล้วนเป็นเช่นนี้ เอาแต่เอานอนมิได้ "เขาทำได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว"

    "นั่นสิ บรรพกาลผ่านมานานเท่าใด ผู้ใดเล่าบอกได้ เขาเป็นคนที่ประมุขแดนสรวงยอมรับ อย่างน้อยนี่ก็คือความโชคดี" พระสนมชิงกล่าวต่อ "มิอาจบรรลุเป็นเซียน หรือมิอาจก้าวเข้าสู่วิถีเซียนเต็มตัวได้ เรื่องนี้สำคัญที่ไหน ต่อให้สุดท้ายเขาสิ้นไร้หนทาง ก็ยังมีญาติผู้พี่ของเขาให้พึ่งพา ไม่ต้องห่วงว่าจะลำบาก"

    ถางฮูหยินปาดน้ำตาที่เอ่อคลอ "เด็กคนนั้นชอบทำอะไรตามใจตนเอง บางครั้งก็ไร้ขอบเขตมากจริง ๆ ต่อไปรบกวนท่านอ๋องแล้ว"

    "ท่านลุงท่านป้าอย่าได้เกรงใจ" แม้ว่าคนจะชอบไถเงินเขา ก็ยังมีเหตุมีผล ญาติผู้น้องคนเดียวเขาย่อมเลี้ยงได้

    "พูดถึงแดนสรวง พี่ใหญ่ได้พบท่านเซียนบ้างหรือไม่"

    ชิงเต๋อหลุนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ "พระสนมอยากพบท่านเซียนหรือ"

    พระสนมชิงปิดปากหัวเราะแผ่วเบา "เพียงอยากรบกวนท่านเซียนสักเรื่อง ให้เขาดูดวงชะตาบางสิ่งเท่านั้น"

    "เรื่องนี้ค่อนข้างยากจริง ๆ" เสนาบดีชิงหันไปสบตากับภรรยา "จากปีนั้นที่เขาส่งชิงเถากลับมา ก็ไม่ปรากฏตัวในเฉิงตูอีก ท่านเซียนไปมาไร้ร่องรอย อยากพบเขา คงมีเพียงต้องขอร้องบุตรชายไม่เอาไหนของกระหม่อม ส่งข่าวให้เขาสักหน หากเขายอมพบย่อมมาพบพวกเราเอง หากไม่ยอมพบ ก็ได้แต่กล่าวว่าพวกเราไร้วาสนาต่อท่านเซียนแล้ว"

    "ที่แท้เป็นเช่นนี้" ริมฝีปากแต้มสีชาดของพระสนมชิงเม้มเข้าหากัน นางเหลือบตามองบุตรชาย "ชงเอ๋อร์เจ้าเขียนจดหมายให้แม่สักฉบับ สอบถามเรื่องนี้กับเถาเอ๋อร์ดูสักครั้งเถอะ หากญาติผู้น้องเจ้าไม่สะดวกใจ ก็อย่าบังคับเขา ท่านเซียนเป็นผู้สูงส่ง จะผิดใจต่อท่านไม่ได้เด็ดขาด"

    "ลูกทราบแล้ว

    ยังไม่ทันที่หวางเมิ่งหยวนจะกล่าวต่อ เรียกให้คนเอาหมึกกับพู่กันมา เขาก็เห็นหลิงเดินอาด ๆ เข้ามาในศาลา คนคุกเข่าลงหนึ่งข้าง ยื่นสองมือที่มีจดหมายวางอยู่ขึ้นเหนือศีรษะ "ทูลท่านอ๋อง องครักษ์ชิงให้คนนำจดหมายมาส่งพ่ะย่ะค่ะ"

    พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ญาติผู้น้องของเขาผู้นี้อายุยืนโดยแท้ 

    หวางเมิ่งหยวนหยิบจดหมายขึ้นมา กางออกอ่านตรงหน้าผู้อาวุโสทั้งหมด พออ่านจบ จวิ้นอ๋องพลันผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ

    เจ้าตัวบัดซบ!

    ลู่หยุนที่เงียบมาตลอด พอเห็นมือของคนรักสั่นระริก เขาก็รีบคว้ากระดาษที่ร่วงออกจากมือสามีมาถือไว้เอง พระชายากวาดตาอ่านอย่างเชื่องช้ารอบหนึ่ง ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกตะลึง "โอ้!"

    ผู้อาวุโสทั้งสามคนเห็นท่าทางของพวกเขา ต่างก็พากันร้อนรนตามไปด้วย 

    พระสนมชิง "เป็นอะไรไป ญาติผู้น้องของเจ้าเกิดเรื่องหรือ"

    ถางฮูหยินได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น ก็ยิ่งกังวล "บุตรชาย บุตรชายของข้า เกิดเรื่องกับเถาเอ๋อร๋หรือ"

    ชิงเต๋อหลุนเองก็หลั่งเหงื่อเย็นเต็มแผ่นหลัง รีบเอ่ยถาม "เจ้าเด็กนั่นเป็นอะไรหรือ ท่านอ๋องทรงรีบกล่าวมาเถอะ"

    หวางเมิ่งหยวนกระอักกระอ่วนใจอย่างยิ่ง เขานั่งลงจัดท่าทางให้ดี พลางหันไปสบตากับภรรยา ลู่หยุนกลับเพียงยิ้มแหยให้เขา คนก็ก้มหน้าก้มตาขัดทองคำแท่งชิ้นใหม่ในมือต่อ "เอ่อ...ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ท่านลุงท่านป้าโปรดอย่าได้ตื่นตกใจ"

    "เช่นนั้นเหตุใดเมื่อครู่จึงร้อนใจนักเล่า" พระสนมชิงเอ็ดโอรสเบา ๆ "ทำคนแก่อย่างแม่ ตกใจเสียขวัญไปถึงไหนต่อไหน"

    "ลูกผิดไปแล้ว ท่านแม่อย่าได้มีโทสะ" หวางเมิ่งหยวนยิ้มแห้งแล้ง "ชิงเถาเพียงส่งจดหมายมาเล่าสารทุกข์สุกดิบ เล่าถึงความเป็นอยู่ที่นั้น แล้ววานให้ลูกทำธุระให้เล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรสำคัญ"

    เสนาบดีชิงตีหน้าขรึม น้ำเสียงดุดัน "ธุระอะไรหรือ สำคัญถึงกับต้องรบกวนท่านอ๋อง"

    "อะ...เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เล็กน้อย"

    "เจ้าลูกชั่วมาขอเงินท่านอ๋อง?" 

    "เรียกว่าขอก็ไม่ถูก" หวางเมิ่งหยวนลอบกลอกตา คิดหาคำกล่าวให้ดีสักหน่อย มิให้ผู้อาวุโสมีโทสะ "เสี่ยวเถาทำงานให้ข้าตั้งนาน เบี้ยหวัดอะไรเขาไม่เคยรับไว้เลย ยามนี้จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง จึงอยากให้ข้าจัดการให้เขา"

    "ทำงานให้ท่านอ๋อง นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ยามนี้เขาหาได้อยู่ข้างกายท่านอ๋องไม่ มิอาจรับเงินท่านอ๋องจริง ๆ หากเดือดร้อนขัดสนก็ควรให้คนที่บ้านจัดการ ไม่กล้ารบกวนท่านอ๋อง ให้เป็นธุระจัดการเรื่องเหลวไหลของเขา"

    รู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายจวิ้นอ๋องต้องออกหน้าให้บุตรชายตน ชิงเต๋อหลุนเองก็ไม่สะดวกใจจะมีโทสะที่นี่จริง ๆ เขาเองก็ยังคงต้องไว้หน้าท่านอ๋องบ้าง จึงถามต่ออย่างไม่พอใจนัก "เป็นเงินสักกี่มากน้อยหรือ ข้าจะให้คนไม่นำมาให้"

    หวางเมิ่งหยวนลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา ชิงเถาเจ้าตัวดี เจ้าหาเรื่องเองนะ จวิ้นอ๋องหลุบตาลง พึมพำเสียงแผ่ว "ห้า…"

    "ห้าสิบตำลึง?" ชิงเต๋อหลุนนิ่งอึ้งไป จากนั้นสบถด่าออกมาอย่างเหลืออด "เจ้าลูกชั่วนั่น!"

    "...เปล่า" หวางเมิ่งหยวนส่ายหน้า 

    "เช่นนั้นคงมิใช่ห้า ระ ร้อย"

    หวางเมิ่งหยวนยังคงส่ายหน้า พลางยิ้มอย่างซีดชา "ห้าพันตำลึงเงิน"

    ตุบ 

    เสนาบดีชิงร่วงลงจากเก้าอี้ อ้าปากพะงาบ ๆ แต่อย่างไรก็ด่าไม่ออก ห้าพันตำลึงเงิน เขาจะเอาไปสร้างหมู่บ้านหรือ ข้าว่าแล้ว ว่าแล้วเชียว! นี่ต้องเป็นเพราะตามประมุขพรรคมารผู้นั้นไปเป็นแน่ ถูกเขาล้างสมองแล้วเป็นแน่ จึงคิดอ่านรีดไถเงินมากมายเช่นนี้จากจวิ้นอ๋องได้ 

    ข้าว่าแล้ว ประมุขพรรคมารผู้นั้นมิใช่ตัวดีอะไรจริง ๆ!!

     

     

    ยืนไว้อาลัยให้ท่านประมุข 1 วิ

     

    พูดคุยกับเถียนซินได้ที่

    เพจ เถียนซิน

    ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×