คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่.10 เจ้าเป็นใครกันแน่? 100%
บทที่.10
เจ้าเป็นใครกันแน่?
"ท่านได้อะไรมา" ชิงเถาเอ่ยถาม
ในมือของหลี่เค่อเฟิงยามนี้ มีห่อกระดาษที่ปิดสนิท ร้อยไว้ด้วยเชือกป่านเส้นเล็ก
"นี่หรือ" หลี่เค่อเฟิงชูห่อกระดาษขึ้นมาให้อีกคนมอง
"ขนมกับถั่วไว้กินเล่น"
ชิงเถาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ "ท่านกินขนม?"
"ก็เพียงช่วยซื้อสองสามห่อ
มาจากเด็กคนหนึ่งเท่านั้น" ประมุขหลี่ชะงักไปนิด
ก่อนใบหน้าคมจะเรียบเฉย จากนั้นห่อขนมสองสามห่อนั้น ก็ถูกยัดใส่มือชิงเถา
"ข้าไม่กิน"
ห่อขนมที่ยังไม่แม้แต่จะได้แกะ ข้างในเป็นขนมอันใดก็หาทราบไม่ ชิงเถากลับรู้สึกหวานไปทั่วทั้งปาก
ทั้งอยากหยุดเดินแกะขนมออกมาเคี้ยวเดี๋ยวนี้
ทั้งอยากดึงคนที่สีหน้าเรียบนิ่งผู้นี้เข้ามาจูบ
เขาคันยุบยิบราวกับถูกกรงเล็บแมวข่วนลงกลางใจ อดไม่ได้เอ่ยสัพยอกอีกฝ่าย "อ๋อ
ที่แท้ก็ซื้อมาฝากข้า"
"หูหนวกหรือ" หลี่เค่อเฟิงปรายตามองอย่างเย็นชา
"ข้าบอกว่าซื้อช่วยชาวบ้านเขามา มิได้ตั้งใจซื้อมาให้เจ้า"
"ก็เหมือนกันนั่นแหละ" ชิงเถากลับไม่สนใจจะฟังสิ่งใด กล่าวต่ออย่างอารมณ์ดี "ท่านซื้อมา ทั้งส่งมันให้ข้า ก็คือซื้อมาฝากข้า นี่ถูกต้องแล้ว"
"...ตามใจเถอะ" หลี่เค่อเฟิงเอ่ยอย่างหมดแรง
กับคนผู้นี้นับวันเขายิ่งรู้สึกจนปัญหา คนก็ไม่ยอมลดลาวาศอก
หรืออ่อนข้อให้เขาแม้แต่น้อย หลี่เค่อเฟิงบอกตนเองอีกครั้ง
ภายในใจอันห่อเหี่ยวของเขา สำหรับชิงเถาเขาหมดหนทางจะสู้รบด้วยแล้วจริง ๆ
สุดท้ายจึงเออออตามอีกฝ่ายไป
ท่าทางว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ เรียกความพึงพอใจจากแววตาคมของชิงเถาได้ไม่ยาก
เห็นกันอยู่ว่าหลี่เค่อเฟิงสามารถปฏิเสธเขาได้ ทั้งยังทำได้อย่างเฉียบขาด
อีกฝ่ายกลับยอมเออออตามเขา ท่าทีที่มีต่อเขายังไม่แข็งข้อเท่าแต่ก่อน
ชิงเถาระบายยิ้มอ่อนโยน คุกเข่าให้อาจารย์หนึ่งครั้ง แลกกับเฟิงอวิ๋นที่เอาใจใส่เขามากขึ้นอีกหน่อย
คุ้มค่าแล้ว
คนทั้งคู่กลับมาถึงที่พักไม่นาน ก็ไม่อยู่ที่นี่ต่อ
ตัดสินใจกลับพรรคเสี้ยวจันทราเดี๋ยวนั้น
ชิงเถาวุ่นวายกับเรื่องรักษาอาการของหลี่เค่อเฟิงแล้ว
ก็ถึงคราวประมุขหลี่วุ่นวายเรื่องในยุทธภพบ้าง งานชุมนุมกระบี่ของพวกฝ่ายธรรมะ
ด้านหน้าบอกว่าแลกเปลี่ยนความรู้ของคนรุ่นหลัง
ความจริงกลับเป็นการสุมหัวกันหารือเรื่องไม่เป็นเรื่อง หาทางหาเรื่องพรรคฝ่ายมาร
หนึ่งในนั้นย่อมต้องมีพรรคเสี้ยวจันทราของเขาอยู่
ประมุขหลี่นั้นรักสงบยิ่ง
หากเป็นไปได้เขาอยากให้หุบเขาแสงจันทร์เป็นอย่างทุกวันนี้ สงบเงียบร่มเย็น
มีแต่ความสุขและปลอดภัย ไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับผู้ใด
ให้คนในพรรคของเขาได้มีชีวิตที่ดี น่าเสียดายความปรารถนาเช่นนี้
สวรรค์ไม่คล้ายจะเห็นด้วยกับเขา จึงนำพาปัญญามาให้ได้ไม่รู้จักจบสิ้น
เขาไม่อยากมีเรื่องกับผู้ใด คนกลับจะมาหาเรื่องเขาเสียเอง
หากไม่หาวิธีรับมือกับปัญหา ในไม่ช้าต้องเกิดเรื่องวุ่นวายแน่
ชิงเถาเองก็คิดเช่นนั้น ฟังจากที่หลี่เค่อเฟิงเล่า
คนพวกนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องสร้างปัญหา เช่นนี้มิสู้ไปดูด้วยตาตนเองสักรอบ
ให้รู้ว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด
ม้าสองตัวห้อตะบึงผ่านขุนเขาลำน้ำ พบค่ำของอีกวัน ก็กลับมาถึงทางขึ้นเขา
ชิงเถาเดินเคียงข้างหลี่เค่อเฟิง หนทางทอดยาว แสงสุริยันที่กำลังจะลับขอบฟ้า
สายลมอ่อนจางที่ไร้รูปลักษณ์พัดผ่านร่าง กลับไม่สร้างความอึดอัดแม้แต่น้อย
ตลอดทางแม้ไม่ได้พูดคุยกัน ชิงเถาก็ยังรู้สึกได้อย่างเลือนลาง
ว่ากำแพงสูงของหลี่เค่อเฟิงเริ่มพังทลาย อีกฝ่ายค่อย ๆ
ก้าวเข้ามาหาเขาอย่างเชื่องช้า ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกอยากเรียกเขาขึ้นมา "เฟิงอวิ๋น…"
หลี่เค่อเฟิงชะงักไป ก่อนเหลือบตามองอีกคน
มือที่ไขว้หลังอยู่กำไว้หลวม ๆ "...หืม"
"เปล่า" ชิงเถาหลุบตาลง
มองปลายเท้าของตน "..."
"...เจ้า"
ดวงหน้าคมเงยขึ้น แววตาเปล่งประกายคู่นั้นสบมองกับประมุขหลี่ "หืม"
หลี่เค่อเฟิงเองก็เกิดประหม่าเล็กน้อย ลังเลอยู่นานก็ลองถามดู "หากข้าจะถามอะไรเจ้าสักอย่าง...ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่"
น้ำเสียงตอนท้ายทั้งแผ่วเบา และไม่มั่นใจ ชิงเถาหลุดยิ้มออกมา
เขาพยักหน้ารับ "ได้สิ"
หากเป็นคนผู้นี้ ต่อให้เขาต้องตอบอีกกี่สิบคำถาม เขาก็ยินดีทั้งนั้น
ดวงตาคมกลอกไปมา หาคำกล่าวที่น่าฟังสักหน่อย สุดท้ายก็หาที่ดี ๆ
ไม่เจอสักคำ "คือเอ่อ
คือว่าคนผู้นั้นที่อยู่กับเจ้าที่จวนเจ้าเมืองก่อนหน้า คือ…"
คิ้วงามเลิกขึ้นน้อย ๆ ชิงเถาเอียงคอมองอีกฝ่าย ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำถามนัก "ท่านหมายถึงเกาอี้เทา?"
"อะ มีนามว่าเกาอี้เทาหรือ" ประมุขหลี่หลุบตาลง พึมพำไม่เต็มเสียง "เขาเป็นคนรู้จักของเจ้าหรือ"
รอยยิ้มของชิงเถาแข็งค้าง คำถามเช่นนี้ ท่าทางเช่นนี้ คงมิใช่ว่าเกิดสนใจคนงามขึ้นมาหรอกกระมัง
ใบหน้าขององครักษ์หนุ่มเคร่งขรึมขึ้นมาโดยพลัน พอมาคิดดูให้ดีแล้ว
เกาอี้เทาเองก็เป็นชายงามผู้หนึ่ง ทั้งดูเหมือนว่าบุรุษแบบที่ประมุขหลี่พึงใจ
น่าจะมีลักษณะประมาณนี้กระมัง
คิดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มบนใบหน้าคมก็หุบฉับ เขาตวัดสายตาคมดุมองอีกฝ่าย
หลี่เค่อเฟิงกลับไม่ทันสังเกตสิ่งนี้ ชิงเถาถลึงตามองเขาครู่หนึ่ง
คนก็ยังเอาแต่ก้มหน้าเดิน ท่าทางใส่ใจรอให้เขาตอบคำถาม ขัดตานัก!
"เหอะ!" ชิงเถาแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ
"คนรู้จักข้าเอง มองดูไกล ๆ ก็งดงามอยู่ แต่บุรุษผู้นั้นแต่งงานมีภรรยาแล้ว
ท่านอย่าคิดอะไรเหลวไหล"
"เอ๊ะ…" หลี่เค่อเฟิงเงยหน้าขึ้น
มองตามแผ่นหลังของชิงเถาที่ทิ้งเขาเอาไว้ แล้วเดินนำไปก่อน
เมื่อครู่ชิงเถาว่าอะไรนะ คนผู้นั้นแต่งฮูหยินแล้ว?
อะ… ที่แท้ก็แต่งงานแล้วนี่เอง แต่งงานแล้วสินะแต่งงานแล้วก็ดี
ดีจริง ๆ
รอยยิ้มอบอุ่นระบายเต็มใบหน้าคม หลี่เค่อเฟิงเดินตามหลังอีกฝ่ายไป
ทั้งยกมือขึ้นมาปิดมุมปากที่ยกขึ้นอย่างไร้การควบคุม
ในใจก็รู้สึกนุ่มฟูเหมือนอมน้ำตาลก้อนไว้ในปาก ทั้งหวานทั้งหอม ดียิ่ง
พอกลับมาถึงเรือนพัก เจ้าลั่วลั่วก็เข้ามาคลอเคลียชายหนุ่มทันที ชิงเถาหัวเราะออกมาน้อย
ๆ ก่อนนั่งลงไปกับพื้นลูบขนหนาของเจ้าแมวยักษ์คล้ายต้องการเอาใจ "คิดถึงข้าหรือ"
กรร
เสียงครางแผ่วเบาในลำคอของมัน คล้ายกับเป็นการตอบกลับ
องครักษ์หนุ่มพอใจเป็นอย่างมาก เขาชอบเสือขาวตัวนี้มากจริง ๆ ทั้งน่ารักติดคน
ว่านอนสอนง่าย หากวังอ๋องมีเจ้าตัวแบบนี้อยู่สักตัวคงดีไม่น้อย
ความคิดนี้คิดได้ แต่ชิงเถาไม่กล้านำมันไปเสนอให้จวิ้นอ๋องแน่นอน
หากเขาหาเสือสักตัวไปเลี้ยงไว้ในวังอ๋องจริง ไม่รู้ว่านกของท่านอ๋อง
กับพระชายาน้อยผู้นั้น อะไรจะหายไปก่อนกัน
ส่วนหลี่เค่อเฟิงเรียกประชุมผู้อาวุโสในพรรค หูสือและฮวาเหลียงต่างมากันแล้ว
จากนั้นคนอื่นในพรรคก็ตามมา ไม่นานภายในห้องโถงใหญ่ก็มีคนอยู่เต็มไปหมด
น้ำเสียงคำนับประมุขพรรคดังกึกก้อง พอเสียงเงียบลง ทั้งได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้น
หรงซินเยว่ก็เป็นคนแรกที่เอ่ยปากถาม
นางก้าวขึ้นไปข้างหน้าสามก้าว ด้วยความองอาจของสตรีชาวยุทธ์
ถามหลี่เค่อเฟิงเสียงดังว่า "ท่านประมุขเจ้าคะ คุณชายชิงของบ่าวเล่าเจ้าคะ?"
หลี่เค่อเฟิง "..."
ทุกคน "..."
หรงซินรั่วยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าของตน แฝดผู้พี่ของนางผู้นี้
สมองมีปัญหายังไม่พอ ชอบทำตัวให้ขายหน้า ทำให้นางอับอายไปด้วย เหลวไหลสิ้นดี!
หลี่เค่อเฟิงกระแอมไอครู่หนึ่ง พอหาเสียงตนเองพบ
เขาก็ถลึงตาใส่หรงซินเยว่ ให้นางถอยกลับไป
แล้วเริ่มปรึกษากับผู้อาวุโสทั้งสองที่อยู่ที่นี่ "ที่เรียกพวกเจ้ามา
ก็เป็นเพราะข้าได้ข่าวมาว่า อีกสองเดือนข้างหน้า
วีรชนจอมปลอมพวกนั้นจะจัดงานชุมนุมกระบี่"
หูสือขมวดคิ้วมุ่น "วันเวลาช่างผ่านเลยไปรวดเร็วนัก
ไม่ทันไรก็ผ่านมาสิบปีแล้ว"
ผู้อาวุโสฮวาก็พลันถอนหายใจ "สิบปีแล้วจริง ๆ
งานชุมนุมกระบี่หวนกลับมาอีกครั้งแล้ว"
หลี่เค่อเฟิงพยักหน้ารับ "ครั้งนี้ข้าคิดจะไปชมดูความคึกคักด้วยตนเองสักครั้ง"
ทั่วทั้งห้องโถงพลันมีเสียงถกเถียงกันดังขึ้น
ต้องรู้ว่างานชุมนุมกระบี่นั้น คือสถานที่รวบรวมชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะมากฝีมือ
จากค่ายพรรคสำนักต่าง ๆ กลุ่มคนที่ชอบถกเถียงกันเรื่องความดีความชั่ว
แบ่งฝักแบ่งฝ่ายตัดสินดีชั่วของผู้อื่นอยู่รวมกันเช่นนั้น สำหรับสำนักฝ่ายมารแล้ว
ไม่มีอะไรน่าเข้าใกล้สักนิด
ประมุขของพวกเขากลับบอกอย่างเรียบง่ายประโยคหนึ่ง
ว่าจะไปชมดูความคึกคักสักหน่อย วีรชนจอมปลอมรวมตัวกันมีอะไรน่าดู
ผู้อาวุโสทั้งสองย่อมไม่เห็นด้วย
ฮวาเหลียงเอ่ยค้านขึ้นมาเป็นคนแรก "สถานที่เช่นนั้น
มีอะไรให้ท่านประมุขใส่ใจกัน ก็แค่ลิงฝูงหนึ่งสุมหัวกันเท่านั้น"
หูสือพยักหน้าเห็นด้วยกับนาง "ยังไม่รู้ว่าครั้งนี้
คนพวกนั้นจะมีความคิดประหลาดอะไรอีก ท่านประมุขไปที่นั่น
มิเท่ากับไปเป็นเป้าให้คนเล่นงานหรือ"
"เพราะไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรน่ะสิ
ข้าถึงต้องไป" หลี่เค่อเฟิงเตรียมจะปรึกษาพวกเขาอยู่แล้ว
อย่างไรคนก็เป็นผู้อาวุโสในพรรค รู้ตื่นลึกหนาบางเป็นอย่างดี "สิบปีก่อนคนพวกนั้นทำบางสิ่งไม่สำเร็จ สิบปีให้หลัง
ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มีความคิดเช่นนั้นอีก"
เรื่องนี้จะว่าไม่เกี่ยวกับพวกเขา ก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก
จะว่าไม่เคยบาดหมางกันก็ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่ เมื่อสิบปีก่อนเพื่อรวบรวมกำลังคนบุกหุบเขาแสงจันทร์
คนพวกนั้นหาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีพรรคมารทั่วแผ่นดิน
ทั้งสาดโคลนในพวกเขาจนทนดูไม่ได้
แม้ไม่รู้จุดประสงค์ที่คนอยากบุกขึ้นเขามา แต่ประมุขหลี่คนก่อน
ซึ่งก็คือบิดาบุญธรรมของหลี่เค่อเฟิง
ก็ได้ทุ่มเทวิธีการมากมายออกมาขัดขวางพวกเขาเอาไว้ กระทั่งขับไล่คนออกไปได้
ผ่านมาสิบปี อดีตประมุขไม่อยู่แล้ว
จากประมุขน้อยเปลี่ยนเป็นท่านประมุขเช่นทุกวันนี้
ครั้งนี้กำลังจะจัดงานชุมนุมกระบี่อีกครั้ง
หลี่เค่อเฟิงนั่งไม่ติดก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
"ความหมายของท่านประมุขคือ…" คนพวกนั้นคิดจะหาเรื่องกันอีกหรือ ผู้อาวุโสหูสือ
และผู้อาวุโสฮวาเหลียงต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน
เรื่องที่ยังไม่เข้าใจนักเมื่อสิบปีก่อน มาถึงตอนนี้หากเกิดขึ้นซ้ำอีก
คนก็ต้องมีจุดประสงค์แล้ว
ฮวาเหลียงขมวดคิ้วจนเป็นปมใหญ่
นางชั่งใจอยู่นานจึงถามหลี่เค่อเฟิงออกไป "ท่านประมุขคิดว่า
คนพวกนั้นจะหาทางบุกขึ้นมาบนหุบเขาแสงจันทร์ อย่างที่ทำปีนั้นหรือ"
"ระวังไว้ย่อมดีกว่า" หลี่เค่อเฟิงกล่าว
"ปีนั้นจุดประสงค์ที่พวกเขามาไม่แน่ชัด
โชคดีท่านพ่อขัดขวางพวกเขาได้ ครั้งนี้ข้าก็จะไม่ให้เกิดความผิดพลาด
ไม่ยอมให้ทุกชีวิตในพรรคต้องพบเจออันตราย"
ได้ยินเช่นนั้นหูสือจึงกล่าว "ท่านประมุขจะเดินทางเมื่อใดหรือขอรับ"
"อีกหนึ่งเดือน"
"เร็วเพียงนี้?"
"จากที่นี่ไปถึงเมืองที่จัดงานชุมนุมกระบี่
ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน ที่นั่นไม่ใช่อาณาเขตของเรา ทำอะไรก็ควรระวังไว้หน่อย"
หรงซินเยว่วางกระบี่อ่อนของนางลงด้านหน้า
คุกเข่าลงตรงหน้าหลี่เค่อเฟิง นางประสานมือ "บ่าวและพี่น้องในพรรค
ยินดีตามท่านประมุขไปเจ้าค่ะ"
หลี่เค่อเฟิงปลายตามองนางอย่างเฉยชา "ใครให้พวกเจ้าไป?"
แม่นางหรงคนพี่กระพริบตาปริบ ๆ มองประมุขของตน นางเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ "หะ
หากมิใช่บ่าว หรือพี่น้องเราเหล่านี้ ท่านประมุขจะไปคนเดียวหรือเจ้าคะ"
"ไป…" ประมุขหลี่หลุบตาลงน้อย
ๆ ในความคิดมีคนผู้หนึ่งแวบผ่านเข้ามา
โดยไม่ทันได้ยั้งปากเขาก็เผลอกล่าวสิ่งที่คิดออกไป "ไปกับชิงเถา"
ทุกคน "..."
แล้วสุนัขตัวใดกล่าวว่ามิได้มีใจให้เขาเล่า ผ่านไปไม่กี่เดือน
ก็หายใจเข้าออกเป็นคุณชายชิงผู้นั้นแล้ว หรงซินเยว่กลอกตา
ใจนางคันยุบยิบจนแทบอยากยกมือขึ้นมาเกาหน้าอกตัวเองสักรอบ
ทั้งอยากตะโกนใส่หน้าบุรุษตรงหน้าสักคำ ท่านประมุขเจ้าคะ เป็นเช่นนี้แล้ว
ท่านยังคิดว่าตัวเองจะไปไหนพ้น!
พอออกมาจากโถงหลักแล้ว หลี่เค่อเฟิงก็กลับเรือนพักของตน
สั่งห้ามมิให้ผู้ใดรบกวนอีก เขาบอกให้ชิงเถาเตรียมตัวเอาไว้
อีกหนึ่งเดือนต้องออกเดินทาง ยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลากับเรื่องนี้ไปกี่มากน้อย
ทั้งยังกลัวว่าจะคาดกันกับอู๋เหลียวตง
ชิงเถากลับไม่แยแสต่อสิ่งนี้ ชายหนุ่มตวัดพู่กันลงบนกระดาษสองแผ่น
เขียนอยู่นานจากนั้นระหว่างรอให้น้ำหมึกแห้ง
ก็เงยหน้าขึ้นมาคุยกับหลี่เค่อเฟิงอย่างเป็นธรรมชาติ "ฉบับนี้ข้าเขียนให้อาจารย์
บอกเขาชัดเจนแล้ว ว่าหากเขาหาวิธีได้ให้มารอพวกเราที่นี่
เดี๋ยวเรียกต้าอู่มารับไปส่งให้ถึงมือเขา ฝากท่านแจ้งคนในพรรค
ต้อนรับอาจารย์แทนข้าที"
หลี่เค่อเฟิงพยักหน้ารับ "ได้"
"ส่วนฉบับนี้ ข้าเขียนให้ท่านอ๋อง"
ท่านอ๋อง…
มุมปากของหลี่เค่อเฟิงกระตุก
เขาตวัดสายตามองจดหมายฉบับนั้นในมืออีกฝ่าย ก่อนหลุบตาลงทำทีเป็นจิบชาอย่างไม่สนใจ
ท่านอ๋องที่ว่าก็คงไม่พ้นหวางเมิ่งหยวนเป็นแน่
เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขา ชิงเถาก็เข้าใจว่าหลี่เค่อเฟิงไม่พอใจแล้ว
ก็ถูกคนผู้นี้ไม่ชมชอบญาติผู้พี่ของเขา นี่เป็นเพราะน้องชายบุญธรรมของเขาผู้นั้น
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันด้วยความรู้สึกสับสน เขาชั่งใจอยู่นานจึงกล่าวต่อ "ท่าน...อยากจะเขียนจดหมายถึงเสี่ยวหยุนหรือไม่"
น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบในตอนท้ายนี้
หากเป็นผู้อื่นคงฟังไม่ออกว่าชิงเถากล่าวสิ่งใด แต่ประมุขหลี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์
เขาย่อมฟังออกทุกคำ ดวงหน้าคมเงยขึ้นมองคนพูดทันที
หลังจากนั้นการสบตากับดวงตาเรียวคมคู่นั้น ก็กินเวลาเนิ่นนานจนแทบหยุดหายใจ
หลังจากพิจารณาอารมณ์ของคู่สนทนาอย่างถีถ้วนแล้ว
หลี่เค่อเฟิงค้นพบแววตาตัดพ้อเล็กน้อย จากอีกฝ่าย
ประมุขหลี่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เขากลอกตาไปมาอย่างคนไม่รู้จะทำเช่นไร "ข้า…"
"ไม่เป็นไร" การกระพริบตาครั้งหนึ่งของชิงเถา
พัดพาเอาความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมดออกไปด้วย เหลือไว้เพียงแววตากระจ่างราวกับกระจก
แก้วตาดวงนั้นสะท้อนเพียงภาพของบุรุษผู้หนึ่ง
หลี่เค่อเฟิงพบว่า คนผู้นั้นความจริงก็คือตัวเขาเอง…
มือเรียวพลักกระดาษกับพู่กันไปตรงหน้าอีกฝ่าย ชิงเถายิ้มน้อย ๆ"ท่านเขียนเถอะ
ข้าจะฝนหมึกให้"
"..." หลี่เค่อเฟิงมองมือคู่นั้นค่อย ๆ
ฝนหมึกให้เขา ทั้งยังช่วยนำพู่กันไปจุ่มหมึกให้อย่างเอาใจใส่ พลันก็เขียนอะไรดี ๆ
ไม่ออกแล้ว
ช่วงระยะเวลาหลายวันมานี้ เรียกว่ากว่าจะรู้ตัวก็นับเป็นเดือนแล้ว
หลี่เค่อเฟิงเพิ่งจะรู้สึกตัว เขาไม่ได้คิดถึงดวงหน้าน่ารักน่าเอ็นดูของลู่หยุนเลย
เรียกว่าไม่มีเวลาคิดถึงจะถูก
ข้างกายของเขามักจะมีชิงเถาปรากฏตัวขึ้นมาโดยไร้ซุ่มเสียง
คนผู้นี้ทั้งดื้อรั้นมุทะลุ เข้าหาเขาราวกับพายุคลั่งลูกหนึ่ง
พุ่งชนจนเขาเสียหลักล้มลงไปในหลุมลึก ทั้งล่อลวงจนเขามึนงง
พอรู้ตัวอีกครั้ง เขาคล้ายว่าจะลืมวันเวลา
เผลออยู่ในหลุมที่อีกฝ่ายขุดเอาไว้ ลืมออกไปแล้ว
ตั้งแต่เมื่อไหร่ วันไหนกันนะ ที่เขาเริ่มที่จะไม่คิดถึงอาลู่แล้ว...
เหม่อมองน้ำหมึกที่หยดลงบนกระดาษเป็นดวง ๆ หลี่เค่อเฟิงรู้สึกว่า
ยามนี้ตนเองไม่รู้จะกล่าวอะไรกับอาลู่ดี กลับกันเขายังลอบสังเกตสีหน้าของของชิงเถาเป็นพัก
ๆ อีกด้วย สุดท้ายจึงตัดใจตวัดพู่กันเป็นคำถามเรียบง่ายสองสามประโยค
แล้ววางพู่กันลง
ชิงเถาหลุบตาอ่านตัวหนังสือบนกระดาษ รอยน้ำหมึกที่ยังไม่แห้งดี
ตัวอักษรเรียบง่ายสองสามคำ เรียกให้หัวคิ้วของชายหนุ่มเลิกขึ้นมองอย่างแปลกใจ "สบายดีหรือไม่
มีความสุขดีหรือไม่ คนผู้นั้นรังแกเจ้าไหม...แค่นี้?"
"อะไร"
"จดหมายหนึ่งฉบับ ส่งไปหลายร้อยลี่
ท่านเขียนแค่นี้?"
หลี่เค่อเฟิงบ่ายหน้าหนีไปทางอื่น พึมพำว่า "แค่นี้แหละ"
รอยยิ้มที่หากมีแม่นางน้อยสักคนมาเห็น
จะต้องเป็นลมล้มพับไปแน่ระบายเต็มใบหน้าของชิงเถา เขาหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา
อมยิ้มจนรู้สึกว่าตนเองปวดแก้มไปหมด นี่นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีใช่หรือไม่
คนคงเริ่มที่จะอืม...ปล่อยวางจากลู่หยุนได้แล้วกระมัง
พอหันมาอีกครั้ง
หลี่เค่อเฟิงก็เห็นชิงเถามองจดหมายที่ตนเขียนฉบับนั้น ทั้งยังยิ้มกว้างจนดูโง่งม ประมุขหลี่พลันรู้สึกเสียหน้าอย่างไม่อาจอธิบาย "เป็นบ้าอีกแล้ว?"
"ใช่" ชิงเถาพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น
"ข้าคิดว่าข้าคงอาการหนักมากแล้ว กลางวันแสก ๆ
ก็อยากจะชวนท่านขึ้นเตียง"
หลี่เค่อเฟิง "..."
"เฟิงอวิ๋นท่านน่ารักจริง ๆ"
ให้ตายเถอะ เจ้าตัวดี!
ประมุขหลี่กระแอมแห้ง ๆ ออกมา
มือหนาคว้าจดหมายอีกฉบับของชิงเถามาถือไว้ เขากวาดตาอ่านเนื้อความในจดหมาย
ทุกตัวอักษรบนนั้นยิ่งอ่านก็ยิ่งชวนให้ขมวดคิ้ว "ต้องเล่าละเอียดเพียงนี้เชียว…"
กระทั่งเรื่องเจ้าลั่วลั่ว ก็ยังเขียนบอกคนผู้นั้น
นี่มันเจ้านายกับลูกน้องแบบใดกันแน่
เพราะพอจะเดาแววตานั้นของอีกฝ่ายได้ ชิงเถาจึงรีบอธิบาย "พอดีท่านอ๋องฝากจดหมายมากับเกาอี้เทาหลายฉบับ
ญาติผู้พี่ของข้าค่อนข้างน่าเบื่อ หากไม่ตอบจดหมายเขานานกว่านี้ อธิบายให้เขาฟังดี
ๆ ไม่แน่ว่าเขาจะตามมาหาข้าถึงที่เอง"
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ "ญาติผู้พี่?"
"ไม่เคยบอกท่านหรือ" ชิงเถาเอียงคอมองเขา
"ท่านอ๋อง หวางเมิ่งหยวนน่ะ เป็นญาติผู้พี่ของข้า"
"อะไรนะ"
"เขาเป็นญาติผู้พี่ของข้า
พระสนมชิงมารดาของท่านอ๋อง คือน้าแท้ ๆ ของข้า"
กระดาษในมือร่วงลงไปเมื่อใดก็ไม่ทราบ
เนิ่นนานหลี่เค่อเฟิงถึงเพิ่งได้สติกลับคืนมา เขาควานหาเสียงของตนจนพบ
น้ำเสียงของประมุขหลี่ยังแหบแห้งคล้ายระฆังแตก "เจ้า...เป็นใครกันแน่"
ตอนหน้าเตรียมยื่นยาดมให้ท่านประมุขนะเจ้าคะ
ครอบครัวว่าที่เมียไม่ธรรมดาเด้อ
พูดคุยกับเถียนซินได้ที่
เพจ เถียนซิน
ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408
ความคิดเห็น