คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่.9 เคล็ดวิชากระบี่ผลาญโลกันตร์ 100%
บทที่.9
เคล็ดวิชากระบี่ผลาญโลกันตร์
ความไม่ลังเลนี้ ไม่เพียงหลี่เค่อเฟิงเท่านั้นที่ตระหนก
กระทั่งอู๋เหลียวตงก็ลอบหลั่งเหงื่อ ดีชั่วเขากับศิษย์คนนี้
ก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาสองสามปี สั่งสอนเขา มองเขาเติบใหญ่
ทุกอย่างผ่านกาลเวลามาหลายปี นิสัยของชิงเถา เขาผู้เป็นอาจารย์ย่อมรู้แจ้งที่สุด
เด็กคนนี้ จะว่าดีก็ดีจนน่าใจหาย
จะว่าไม่ดีก็ไม่ดีเอาเสียเลย แม้ต่อมาคนกลายเป็นองครักษ์ ทำงานในตำแหน่งไม่สูงมาก
ทั้งยังต้องค้อมหัวให้ผู้อื่น แต่นั่นกลับไม่สามารถลดทอนศักดิ์ศรี
และความหยิ่งทะนงของเด็กคนนี้ได้เลย
เนื้อแท้ของชิงเถาคือคุณชายผู้หนึ่ง
เขามีอิสรเสรี ทำอะไรตามอำเภอใจ มีปีกที่บิดามารดามอบให้
มีความแข็งแกร่งของจวนอ๋องอยู่เบื้องหลังเขา เรียกว่ากระทั่งฮ่องเต้ที่อยู่เมืองหลวง
ก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้โดยง่าย
คนที่เขายอมสละชีวิตให้
อู๋เหลียวตงลองนับดูแล้ว เรียกว่านับได้ด้วยมือข้างเดียว
วันนี้เขากลับได้เปิดหูเปิดตา พบคนอีกผู้หนึ่ง ที่มีความสำคัญมากมายเช่นนี้กับศิษย์ตน
แม้อยากจะวางเฉย ประมุขแดนสรวงก็ทำไม่ได้แล้ว
ชิงเถารับการประคองจากอาจารย์
ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ อย่างไรก็ต้องให้คำตอบกับเขาให้ชัดเจน
หากไม่แล้วตาเฒ่าเช่นท่าน ชาตินี้อย่าหวังว่าจะได้ไปไหนเลย!
อู๋เหลียวตงทอดถอนใจด้วยความอ่อนแรง "ก็ได้ ข้าช่วย"
"ขอบคุณอาจารย์"
ในที่สุดก็ยอมนั่งลงดี ๆ แล้ว…
หลี่เค่อเฟิงมองชิงเถา กับอู๋เหลียวตงสลับไปมา
ยังคงตามศิษย์อาจารย์สองคนนี้ไม่ทัน จนมือคู่นั้นเอื้อมมาดึงให้เขานั่งลงข้างกาย
ประมุขหลี่จึงคล้ายตื่นจากภวังค์ค่อย ๆ ดึงชายเสื้อออกจากมืออุ่นเชื่องช้า
อู๋เหลียวตงคันยุบยิบไปทั้งตัว
ท่าทางเหลือบมองกันไปมาเช่นนี้คืออย่างไร พรุ่งนี้ตบแต่งกันเลยดีหรือไม่ เหอะ "ยื่นมือมา
เปิ่นจั้วมิได้ว่างมาดูใจเจ้าทั้งวันนะ"
"..." ยามเขามองเห็นแววตาวิงวอนคู่นั้น
มือไม่รักดีข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปแล้ว ที่ป่วยก็ป่วยจริงอยู่
เพียงแต่เขาเพิ่งด่าคนไปมิใช่หรือ ด่าไปว่าอะไรนะ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง? ทำแต่เรื่องไร้ประโยชน์?
ด่าคนไปแล้ว เขาจะมานั่งตรวจทำอะไร!
แม้ภายในปั่นป่วนจนอยากจะอาเจียนแล้ว
แต่ภายนอกก็ยังคงสามารถรักษาท่าทางวางเฉย ไม่แยแสได้ดี หลี่เค่อเฟิงเพียงรอฟังว่าอาจารย์ของคนผู้นี้จะกล่าวสิ่งใดอีก
สักพักคนก็ขมวดคิ้วมองเขา
กวาดตามองขึ้นลงรอบหนึ่ง จึงเอ่ยปาก "เจ้าฝึกวิชามารอะไร?"
"เคล็ดวิชากระบี่ผลาญโลกันตร์"
"เป็นกระบี่ผลาญโลกันตร์หรือ"
อู๋เหลียวตงเหลือบมองกระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล "เช่นนั้นกระบี่นั่นก็คือซีอี้น่ะสิ"
หลี่เค่อเฟิงถามด้วยความแปลกใจ "ท่านรู้จักซีอี้"
อู๋เหลียวตงยักไหล่ "ไม่รู้จักหรอก"
"..." ไปหลอกผีไป…
"แล้วตกลงอาการของเขา…"
ประมุขแดนสรวงปรายตามองศิษย์ตน
จนอีกฝ่ายหุบปากฉับ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงถามหลี่เค่อเฟิง "เจ้าฝึกไปถึงขั้นไหนแล้ว"
"แปดแล้ว"
"กำลังจะบรรลุถึงขั้นที่เก้า?"
"เป็นเช่นนั้น"
หลี่เค่อเฟิงพยักหน้า พอเห็นชิงเถาดูไม่วางใจ เขาก็พลันลืมตัว
อธิบายเสริมไปอีกหน่อย "ความจริงข้าติดอยู่ขั้นที่แปดมาร่วมสองปีแล้ว
อย่างไรก็ข้ามไปไม่ได้สักที"
"สองปีเชียว?"
ใบหน้างามฉายแววแปลกใจ "มิน่าสภาพจึงเป็นเช่นนี้
รักษาชีวิตมาได้สองปี นับว่าประเสริฐแล้ว"
"อาจารย์
แล้ววิธีรักษา…"
"เจ้าอยู่ฟังเงียบ
ๆ ได้หรือไม่ อาจารย์เช่นข้ากำลังใช้ความคิด"
ชิงเถาหุบปากลงอีกรอบ
เหลือบมองหลี่เค่อเฟิงอย่างร้อนใจ พลางขมุบขมิบปาก คนเขาร้อนใจจะตายแล้ว
สองคนนี้ยังจะมานั่งใจเย็นทำอะไร
เนิ่นนานจนชาร้อนในถ้วยเย็นเฉียบไปแล้ว
อู๋เหลียวตงจึงยืดกายขึ้น ยื่นมือไปลูบศีรษะผู้เป็นศิษย์ เอ่ยปลอบใจเขา "อาจารย์มีวิธีช่วยเขาแล้ว
ไม่ต้องกังวล อย่างน้อยสามปีห้าปีนี้ ก็ไม่ตายหรอก"
*เบื้องหน้าหลังคาสูง บ้านเรือนในเมืองฉางชุนยามค่ำคืน
จุดโคมสว่างไสว ดวงจันทร์คืนนี้กลมโตกว่าเมื่อวาน สองร่างของชิงเถา
และหลี่เค่อเฟิงอยู่เคียงข้างกันที่ริมหน้าต่าง หนึ่งนั่งอยู่ตรงขอบหน้าต่าง
เหม่อมองออกไปด้านนอก อีกหนึ่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ทอดสายตามองอีกฝ่าย
ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดมากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว
ตั้งแต่อู๋เหลียวตงเดินทางจากไป พร้อมกับบอกว่าจะไปจัดการธุระ
แล้วค่อยกลับมาบอกวิธีการรักษาอาการให้กับพวกเขา
ชิงเถายืดขายาว
หลังพิงกับกรอบหน้าต่าง ริมฝีปากบางพึมพำถามไถ่ ราวกับกำลังพูดคุยกับตนเอง "ท่านรู้ว่าตัวเองป่วยตั้งแต่เมื่อใด"
"นานแล้ว"
เหลือบมองอีกฝ่ายคราหนึ่ง หลี่เค่อเฟิงก็หลุบตาลง "หลังจากเริ่มฝึกถึงขั้นที่ห้ากระมัง"
"อาจารย์บอกว่า
เคล็ดวิชานี้ทำลายเส้นชีพจร ผลาญพลังของผู้ฝึก ไปเป็นพลังของกระบี่" ดวงตาเรียวคมที่มักมีรอยยิ้ม วันนี้ท่ามกลางแสงอ่อนจางของดวงจันทร์
กลับแดงระเรื่ออย่างน่าสงสาร "ท่านกลับยังฝึกมาจนถึงขั้นนี้
เฟิงอวิ๋นท่านโง่หรือ"
ไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังรู้สึกเช่นไร
หลี่เค่อเฟิงเคยรับมือกับชิงเถาที่เย็นชา ชิงเถาที่ไม่ไว้หน้าเขา ลงไม้ลงมือกับเขา
ตอแยเขา แต่ไม่เคยรับมือกับชิงเถาที่เป็นเช่นนี้ ห่วงใยเขา คำนึงถึงเขา
โศกเศร้าเพื่อเขา ออกหน้าแทนเขา เขาจึงไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดไปชั่วขณะ
ทำเพียงปล่อยให้เวลาเลยผ่านไป
"...ข้า"
"เฟิงอวิ๋น"
เสียงเรียกนามตนดังขึ้นกระทันหัน
หลี่เค่อเฟิงกลืนคำพูดที่คิดไว้ทั้งหมด ตั้งใจฟังอีกฝ่าย "รออาจารย์กลับมา หากเขาจนปัญญาจะรักษาท่าน พวกเรา...พวกเราไปแดนสรวงกันสักครั้ง
ลองหาวิธีดูดีหรือไม่"
แดนสรวง…
คำนี้หากกล่าวในราขสำนัก
ก็ไม่ชัดเจนนักว่าเป็นสถานที่เช่นไร แต่หากกล่าวในยุทธภพ
ทุกคนจะต้องพูดเป็นเสียงเดียวกัน แดนสรวงก็คือค่ายพรรคสำนักหนึ่ง
หรือเรียกว่าลัทธิเซียนแห่งหนึ่ง ซึ่งลึกลับซับซ้อนยิ่ง
ต้องรู้ก่อนว่า
แดนสรวงนั้นต่างจากสำนักน้อยใหญ่ในยุทธภพ ยุคสมัยนี้แตกต่างจากสมัยบรรพกาล
ชาวยุทธ์ยามนี้ พวกเขาไม่เรียกตัวเองเป็นผู้ฝึกเซียน
ทั้งหมดยามนี้เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธเท่านั้น เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้
ขี่กระบี่ไม่ได้ เรียกลมเรียกฝนไม่ได้
การฝึกฝนคือการฝึกพลังปราณ และกำลัง
ให้ผสานกันจนกลายเป็นเคล็ดวิชา วิทยายุทธ์ต่าง ๆ
อายุขัยก็ยังเป็นอายุขัยของมนุษย์เดินดิน แม้บอกว่าชาวยุทธ์อายุยืน ไม่เจ็บไม่แก่
นี่ก็เป็นเพียงผลจากการฝึกยุทธ์เท่านั้น ที่เจ็บป่วยก็ยังเจ็บป่วย
ที่ต้องแก่เฒ่าก็ฝืนไม่ได้ เพียงแค่ทำให้ช้าลงได้เล็กน้อย
ภายนอกดูอ่อนเยาว์ลงนิดหน่อย
แดนสรวงกลับต่างออกไป
ว่ากันว่าที่นั่นคือหุบเขาเซียน เป็นสถานที่ซึ่งมีเซียนเร้นกายกลุ่มสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในแดนมนุษย์
ที่พวกเขาฝึกคือวิชาเซียน ขี่กระบี่ เขียนยันต์ วาดอาคม เรียกลมเรียกฝน
พลิกฟ้าถมมหาสมุทร ยืดอายุได้หลายร้อยปี
บางคนเล่าว่าพวกเขามีชีวิตอยู่มาตั้งแต่สมัยเบิกฟ้าด้วยซ้ำ
ข่าวลือต่าง ๆ
หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย แต่ในรอบห้าสิบปี หรือร้อยปีมานี้ มีผู้ใดบอกได้บ้าง
แดนสรวงไปทางไหน ตำแหน่งที่ตั้งอยู่แห่งหนใด เซียนเร้นกายเหล่านั้นมีจริงหรือไม่
วิชาเรียกลมเรียกฝนจากสมัยบรรพกาล มีเหลืออยู่จริงหรือ
ยามนี้ชิงเถากล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
หลี่เค่อเฟิงยังถึงกับนิ่งงันไป เขาคิดว่าคนผู้นี้คงจะเป็นห่วงตนมากเกินไป
จนเกิดสับสนเล็กน้อย สุดท้ายก็ทำลายความหวังดีของอีกฝ่ายไม่ลง เพียงกล่าว "เจ้าเคยไปหรือ"
ชิงเถาหลุบตามองมือของตน ก่อนส่ายหน้า "ไม่เคย
ว่ากันว่าที่นั่นมีพลังของฟ้าดิน ถึงกับชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้
หากไปที่นั่นอาการของท่านต้องหายแน่"
"สถานที่ที่ไม่รู้กระทั่งว่าอยู่ที่ใด
เจ้าจะไปยังไง"
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน
ท่าทางยังไม่คล้ายยามปกติ
"ให้ข้า...ให้ข้าลองขอร้องอาจารย์ดู"
"พูดถึงอาจารย์เจ้าผู้นี้…"
เหมือนหลี่เค่อเฟิงจะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง
"ตกลงแล้วเขาอายุเท่าใดกันแน่"
อย่างที่เห็น อู๋เหลียวตงผู้นี้
อย่างไรก็ไม่เกินสามสิบห้าปีแน่นอน คนกลับเอาแต่เรียกเขาว่าตาเฒ่า
นี่ออกจะไม่ถูกต้องไปสักหน่อย
พอมีคนถามเรื่องนี้เข้า ดวงตาคมของชิงเถากลอกไปมาครู่หนึ่ง
จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงชืดชา "เจ็ดสิบเจ็ดปีแล้วกระมัง"
"แค่ก ๆๆๆ"
หลี่เค่อเฟิงสำลักน้ำลายตนเอง ไอออกมาเสียงดัง
ก่อนหันไปเบิกตากว้างมองชิงเถา คนผู้นั้นเหมือนคนอายุเจ็บสิบกว่าที่ไหน
บนหน้าท่านประมุขยามนี้ เหมือนติดป้ายตัวอักษรขนาดใหญ่ ถามชิงเถาทางสายตาว่า
เจ้ากำลังเย้าข้าเล่นหรือ?
ชิงเถาหลุดยิ้มขำออกมา
ยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้อีกฝ่าย หลี่เค่อเฟิงยามนี้ ปิดปากไอจนเจ็บคอแล้ว
มือข้างหนึ่งของเขาปิดปากเอาไว้ แววตาชั่งใจมองผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น
ก่อนสบตากับดวงตาของชิงเถา เนิ่นนานในที่สุดเขาก็ตกผลึกเรื่องหนึ่งในใจ
ยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าจากอีกฝ่าย
ดวงตาของชิงเถาสว่างวาบ
ระยิบระยับไปด้วยหมู่ดาว นี่คืออะไร นิมิตหมายที่ดีใช่หรือไม่
พยายามเอาใจอีกฝ่ายอยู่หลายเดือน ในที่สุดก็ยอมอ่อนข้อให้เขาแล้ว
เห็นความดีใจฉายชัดเต็มใบหน้าเขา
หลี่เค่อเฟิงก็ไม่มองอีก หลุบตาเช็ดปากตัวเองเงียบ ๆ กระทั่งถึงยามเข้านอน
วันนี้ก็เริ่มคุ้นชินแล้ว ยามนอนต่างฝ่ายต่างจับจองมุมของตน ไม่ล้ำเส้นกัน
พอรุ่งสางมาเยือน กลับเป็นชิงเถาที่ตื่นก่อน ทั้งพบว่าตนเองยามนี้
อยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
อกแกร่งของประมุขหลี่อุ่นมาก
สาบเสื้อบริเวณหน้าอกเปิดกว้าง ทำให้ยามนี้เขาซบอยู่บนแผงอกแน่น
โดยไร้สิ่งขวางกั้น หัวใจของเฟิงอวิ๋นเต้นสม่ำเสมอ ทั้งอบอุ่นกอดเขาอย่างอ่อนโยน
และที่สำคัญยามนี้อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่
เขาอยากครอบครองคนผู้นี้
อยากเป็นหนึ่งเดียวที่คนผู้นี้คะนึงหา อยากเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตอีกฝ่าย
อยากเป็น...คนที่ประมุขพรรคเสี้ยวจันทรามอบหัวใจให้
ความปรารถนาเหล่านี้
ช่างดูละโมบโลภมากเหลือเกิน เมื่ออยู่ต่อหน้าพระจันทร์เต็มดวงดวงนี้
แต่ชิงเถาคิดมาดีแล้ว เขาจะไม่ถอดใจทั้งเรื่องความรู้สึกของตน
ทั้งเรื่องช่วยชีวิตอีกฝ่าย เฟิงอวิ๋นเป็นคนของเขา ต่อให้เป็นผีสางยมทูต
ก็อย่าหมายแย่งชิงคนของเขาไป
ฉะนั้นต่อให้แลกด้วยเลือดในกายทั้งหมด
ชีวิตทั้งหมด เขาจะช่วยอีกฝ่ายให้ได้ เสียก็แต่อาจารย์ของเขาผู้นั้น
ไม่รู้ว่าท้ายที่สุด จะยอมรับฟังคำขอของเขาหรือไม่
ชิงเถารู้จักอาจารย์ของตนดี
ดียิ่งกว่ารู้จักตนเองเสียอีก ประมุขแดนสรวงอู๋ซานเซิน หรือเทพสุราอู๋เหลียวตง
จะนามใดก็คือคนเดียวกัน คนผู้นั้นกล่าวว่าภายในสามปีห้าปี หลี่เค่อเฟิงไม่มีทางตาย
นั่นหมายความว่า เขายินดียืดอายุขัยให้ประมุขหลี่
แต่อู๋ซานเซินมิได้กล่าว ว่าหลี่เค่อเฟิงจะไม่ตาย
นั่นหมายความว่า เขาเพียงจะช่วยยื้อชีวิตคนให้ตน ไม่ได้คิดช่วยอย่างถึงที่สุด
อาจารย์ของเขามักเป็นเช่นนี้ แม้รักเอ็นดูเขาแค่ไหน ก็จะไม่ใส่ใจอย่างถึงที่สุด
ช่วยคนให้เขาดีใจได้
แต่ไม่ยอมช่วยให้หายขาด หากต้องการให้อีกฝ่ายช่วยเหลืออย่างจริงจัง
ชิงเถายังต้องคิดอีกหลายรอบ หาข้อแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมไปเสนอ
ขอให้อาจารย์คิดทบทวนใหม่อีกครั้ง
แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
กล่าวตามตรงเขาไม่เคยดูออกเลย ว่าอาจารย์ชมชอบสิ่งใด เกลียดชังสิ่งใด
แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า
ยามนี้เอง
คนข้างกายก็มีความเคลื่อนไหว คล้ายว่ากำลังจะตื่นขึ้น ชิงเถาเหม่อลอยอยู่นานแล้ว
พอได้สติกลับคืนมา ก็หลับตาลงแกล้งหลับเสียอย่างนั้น
แขนซ้ายรู้สึกชาไปหมดแล้ว
หลี่เค่อเฟิงก้มมองดูแขนตน กลับพบร่างของชิงเถาเกยอยู่บนอก
ภาพเช่นนี้คล้ายซ้อนทับกับคืนนั้นที่ห้องเขา เมื่อวานก็ยังนอนอยู่ดี ๆ
เหตุใดเป็นเช่นนี้อีกแล้ว คิ้วหนาขมวดน้อย ๆ ไม่รู้ว่าควรปลุกเขา หรือว่ารอก่อน
ทั้งไม่รู้ว่าควรตำหนิเขา หรือทำเป็นไม่ใส่ใจ
หากที่เป็นเช่นนี้
คือความตั้งใจของชิงเถา เขาก็ยังคิดหาคำมาตำหนิอีกฝ่ายไม่ออก ต่อให้ตำหนิไป
ก็คงไม่สะทกสะท้านอีกตามเคย แค่หากคนที่ดึงอีกฝ่ายมากอดเป็นตนเล่า
นี่ยิ่งไม่ควรพูดออกมา คนผู้นี้กำเริบเสิบสานนัก หากรู้ว่าเขามีท่าทีเช่นนี้ให้
ดีไม่ดีตนอาจจะถูกจูบอีกก็เป็นได้
บ้าจริง ชายอกสามศอกเช่นตน
เหตุใดต้องกลัวองครักษ์น้อยผู้หนึ่งด้วย!
พอคิดเช่นนั้น
ต่อไปก็ควรจะผลักคนออกเต็มแรง ด่าเขาสักรอบหนึ่ง แต่ด้วยเหตุและผล
ทั้งอารมณ์ที่ไม่สอดคล้องกันสักเท่าไหร่ หลี่เค่อเฟิงทำเพียงง้างมือขึ้น
จากนั้นเปลี่ยนจากจะผลักคนออกไป เป็นเอามือข้างนั้นมานวดขมับตนเอง
ช่างเถอะ นอนก็นอนไปแล้ว
กอดก็กอดไปแล้ว ขอเพียงไม่ถูกหยอกเย้าอีก เปิ่นจั้วจะละเว้นเจ้าสักครั้ง
ประมุขหลี่คิดอย่างเรียบง่าย
พลางปิดเปลือกตาลง วันนี้ตื่นสายสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
พร้อมกันกับที่คนในอ้อมแขนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ชิงเถายกยิ้มมุมปากอย่างห้ามไม่ได้
เห็นอยู่ว่าคนตื่นแล้ว ย่อมเห็นท่าทางเช่นนี้ของตน
แต่กลับไม่ผลักไสไล่ส่งเหมือนอย่างเคย
นี่...วิเศษไปเลย
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม
หลี่เค่อเฟิงจึงลอบปล่อยมืออีกฝ่าย ก้าวลงจากเตียงก่อน ประมุขหลี่ล้างหน้าล้างตา
ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ท่าทางยังเผลอระมัดระวัง ไม่ให้เสียงดังเกินไป
ชิงเถาลอบมองการกระทำทุกอย่างนี้อยู่บนเตียง
เขามองเห็นคนผู้นั้นค่อย ๆ เช็ดหน้าเช็ดตาบ้วนปากค่อย ๆ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่หลังฉากกั้น
เสียงเบายิ่งกว่าเวลานกกางปีก ดูเอาใจใส่เหลือเกิน
พอหลี่เค่อเฟิงเดินกลับมา
ตั้งใจจะปลุกชิงเถาก็พลันชะงักไป ชิงเถาตื่นแล้ว ทั้งใบหน้าก็ไม่งัวเงียแม้แต่น้อย
ยังมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับเอาไว้ ต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยความชื่นมื่น หลี่เค่อเฟิงปั้นหน้าเคร่งขรึม "ยิ้มอะไร"
"ยิ้มให้ท่าน"
"..."
"น่ามองจริง ๆ
ด้วย"
เจ้าตัวดี!
ประมุขหลี่ถลึงตาใส่อีกฝ่าย
ก่อนหลุบตาลง รีบกล่าว
"ตื่นแล้วก็รีบไปล้างหน้าล้างตา นอนอุดอู้ราวกับคนเกียจคร้าน
ไม่เอาไหน"
"ข้าลุกไม่ขึ้น"
"...เจ้า"
"ลุกไม่ขึ้น"
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาข้างหน้า ส่งให้หลี่เค่อเฟิงอย่างใสซื่อ
"เฟิงอวิ๋นช่วยดึงข้าหน่อย"
หลี่เค่อเฟิงหลุบตามองมือข้างนั้น
ถามเขาอย่างถากถาง
"เป็นง่อยไปแล้ว?"
ชิงเถากลับไม่ถือสาแม้แต่น้อย
อธิบายอย่างใจเย็น
"นี่เป็นเพราะเมื่อคืนท่านกอดข้าแน่นเกินไป อุ่นเกินไป
ทั้งยังรู้สึกร้อนเกินไป ยามจะลุกขึ้นก็เลย…"
"พอแล้ว!"
ใบหูประมุขหลี่แดงก่ำ เจ้าคนน่าตายนี่ หากไม่แทะโลมเปิ่นจั้วสักวัน
เกรงว่าจะขาดใจตายกระมัง เพราะทนให้เขาเอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อยไม่ไหว
สุดท้ายจึงยอมยื่นมือไปจับมือเขา ดึงคนขึ้นจากเตียง
ผู้ใดจะคาด
ชิงเถารอจังหวะเช่นนี้มานานแล้ว พออีกฝ่ายจับมือของตน
เขาก็กระชากร่างของหลี่เค่อเฟิงให้โน้มลงมา ประกบริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
หนึ่งคนจุมพิตตามใจชอบ อีกคนตกใจจนขวัญกระเจิง นิ่งงันอยู่เป็นนาน นี่จูบ…
ถูกจูบอีกแล้ว บัดซบ!
หลี่เค่อเฟิงผละออกราวกับถูกลวก
ชิงเถากลับยกมือขึ้นแตะกลีบปากของตนยิ้ม ๆ ลิ้นเล็กไล่เลียรสชาติหวานหอม
ที่ยังติดอยู่ เสียดายก็แต่ทำได้เพียงแตะริมฝีปากไว้เช่นนั้น
มิอาจล่วงล้ำมากไปกว่านี้ เขาเหลือบตามองหลี่เค่อเฟิง
จากนั้นหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
"เจ้า!"
น้ำเสียงของหลี่เค่อเฟิงสั่นพร่า
หลอกกินเต้าหู้ข้าอีกแล้ว ข้า ข้า
ประมุขเช่นข้าโมโหจนแก้มร้อนจะตายแล้ว ทำอย่างไรดี!
ถูกชี้หน้าอย่างดุดันเช่นนี้
ชิงเถากลับยิ้มกว้างขึ้น
"ประมุขหลี่ไม่สำรวมเอาเสียเลย ข้าแค่ให้ท่านดึงข้าเท่านั้น
เหตุใดท่านไม่รู้จักหักห้ามใจเล่า นี่ยัง นี่ยัง…"
คำพูดติด ๆ ขัด ๆ ของเขา
ฟังดูแล้วทั้งหยอกเย้า ทั้งเขินอายอยู่ในที แต่ว่าเจ้าจะเขินอายอะไร
แล้วข้าไม่สำรวมอะไร บัดซบ เป็นคนจูบข้าเองแท้ ๆ เชียว
หลี่เค่อเฟิงแทบจะพ่นฟองเลือดออกจากปากอยู่แล้ว เขาคิดกลับไปกลับมาหลายครั้ง
สุดท้ายยังหาคำด่าเหมาะ ๆ ไม่ได้ จึงสะบัดชายเสื้อเดินปึงปังออกจากห้องไป
ทิ้งให้ชิงเถาหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บนเตียง
เฟิงอวิ๋นของเขาน่ารักมากจริง ๆ
เมื่อวันก่อนได้ยินเรื่องงานชุมนุมกระบี่
หลี่เค่อเฟิงให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก วันนี้เขาอยากจะไปหาข้อมูลสักหน่อย
จึงขอแยกกับชิงเถา ประจวบเหมาะกับที่ชิงเถาต้องไปพบสหาย จึงมิได้เอ่ยรั้งเขา
สหายที่ว่า ความจริงคือคนใต้อาณัติของจวิ้นอ๋อง
ปกติหากอยากส่งข่าวกลับเมืองเฉิงตูสักครั้ง ชิงเถาต้องใช้คนของหวางเมิ่งหยวน
ที่อยู่ทั่วทุกสารทิศเพื่อส่งข่าว
แต่เสียดายอำนาจของผู้เป็นนายเอื้อมมาไม่ถึงเขตเหนือนัก เขาจึงต้องใช้นกพิราบสื่อสารเป็นบางครั้ง
ในหนึ่งเดือนส่งไปแล้วสามฉบับ
จดหมายตอบกลับด้วยอักษรตัวเดียวก็ไม่มี มีเพียงครั้งนั้นที่หลี่เค่อเฟิงนำมามอบให้
เขาถึงได้อ่านลายมือของผู้เป็นนาย ครั้งนี้ที่จะไปจวนเจ้าเมืองฉางชุน
ก็เพื่อดูว่าผู้เป็นนายเคยฝากฝังอะไรไว้หรือไม่
เจ้าเมืองฉางชุนแซ่เกา นามเหลียง
เกาเหลียงเดิมเป็นขุนนางผู้น้อยในราชสำนัก
เกือบถูกโทษทัณฑ์ฐานยักยอกทรัพย์ของกรมพระคลัง
ปีนั้นท่านอ๋องของเขาเพิ่งอายุได้สิบห้าปี เขามองเห็นว่าคนผู้นี้มีประโยชน์ไม่น้อย
แม้นิสัยละโมบ ก็ยังเอามาเป็นหมากได้
หวางเมิ่งหยวนวัยสิบห้า ต้องแย่งชิงอำนาจขุนนางกับฮ่องเต้
เพื่อปกป้องตนเองและตระกูลชิง ตระกูลฝั่งมารดา เขาใช้เวลาร่วมแปดเดือน
กัดฟันสู้จนเกาเหลียงได้รับการอภัยโทษจากฝ่าบาท
จากนั้นทำการส่งตัวเขามาเป็นรองเจ้าเมืองที่ฉางชุน
สถานที่ห่างไกลประเนตรของฮ่องเต้ หลายปีผ่านไปค่อย ๆ มีเส้นสายของจวิ้นอ๋องอยู่ทุกที่
แม้เขาจะไม่ชมชอบเจ้าเมืองผู้นี้มากนัก
แต่คนก็ชราแล้ว ไม่กี่ปีก็สิ้นอายุขัย คนที่เขากำลังจะไปหา หาใช่ตัวเจ้าเมืองไม่
แต่เป็นบุตรชายคนรองของเขา เกาอี้เทา
ใจลอยมาตลอดทาง ในที่สุดก็ถึงที่หมาย
ชิงเถามองประตูจวนเจ้าเมืองเบื้องหน้า ก่อนส่งตราประจำตัวให้คนเฝ้าประตู "บอกคุณชายรองของพวกเจ้า
ว่าข้ามาหา"
จวนเจ้าเมืองคือสถานที่ซึ่งแขกไปใครมา
มากหน้าหลายตา แม้สงสัยแค่ไหน
บ่าวไพร่ก็ไม่กล้าปริปากถามให้มากความเพียงรับป้ายห้อยเอวของเขาไป
แล้วบอกให้เขารอสักครู่
ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนมาจากทางด้านหลัง
ฝีเท้าเบาดุจขนนก ท่าทางการวาดเท้าเดินเร่งรีบ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นผู้ใด อึดใจต่อมา
แผ่นหลังของชิงเถาก็ถูกคนผู้หนึ่งยึดครอง คนถือวิสาสะกระโดดขึ้นมาขี่หลังเขา
สองมือเล็กกอดคอเขาเอาไว้แน่น "พี่ใหญ่!"
ชิงเถาเซไปด้านหน้าเล็กน้อย
มือประคองใต้เข่าของอีกฝ่าย กันไม่ให้คนพลัดตกลงไป ส่ายหน้ายิ้ม ๆ อย่างเอือมระอา "ดูเจ้าสิ
ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว"
"ข้าคิดถึงท่านมากเลย!"
เกาอี้เทากล่าว มือยังกอดรอบลำคอของชิงเถาแน่นขึ้น "หลายปีไม่ได้พบ ท่านยังแข็งแรงดีกระมัง"
"หากล้มป่วยอยู่
เจ้ากระโดดขี่หลังข้าเช่นนี้ ไม่แคล้วข้าจะอายุสั้นลง"
กล่าวจบ คนจึงยอมไถตัวลงจากหลังเขา
เมื่อยืนดีแล้ว ชิงเถาจึงได้มองคนตรงหน้าให้ดีอีกครั้ง
เกาอี้เทาปีนี้อายุสิบแปดแล้ว เด็กคนนี้เขารู้จักมานานแล้ว น่าจะตั้งแต่ก่อนที่บิดาอีกฝ่ายจะย้ายมาที่ฉางชุน
พบหน้าครั้งนี้
คล้ายเพิ่งจากกันเมื่อวานก่อน ไป ๆ มา ๆ ก็ไม่ได้พบกันหลายปีแล้ว
คนโตเป็นหนุ่มรูปงาม หน้าตาพริ้มเพรา
ไม่ใช่เด็กน้อยที่เอาแต่กอดขาเขาอยู่หน้าประตูเมือง ร้องเรียกพี่ใหญ่เป็นพันคำ
อย่างไรก็จะไม่ยอมจากไปผู้นั้นอีกแล้ว
"เจ้าคงสบายดีกระมัง"
"แน่นอนสิ"
เกาอี้เทายิ้มแย้ม "สบายดีมากเชียวละ
แต่ก็คิดถึงท่านมาก"
เขาส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
คนผู้นี้ยามเด็กไม่ค่อยได้ความเท่าไหร่ ขี้แยทั้งอ่อนแอยิ่ง
แต่ก็ยังมีความสดใสที่น่ามอง โตมาก็ยังออดอ้อนเขาไม่เปลี่ยน "ระวังเถอะ
หากฮูหยินน้อยมาได้ยินเข้า จะถูกนางตีเอา"
เกาอี้เทากลอกตา "แม่เสือนั่นไม่ยุ่งกับข้าหรอก
ยามนี้ก็ไม่อยู่ด้วย ออกไปดูกิจการในตรอกโน่น"
เกาอี้เทาปีนี้อายุสิบแปด
คนแต่งงานมีฮูหยินแล้วหนึ่งคน เป็นบุตรสาวคนโตของรองเจ้ากรมโยธา
ไม่รู้ว่าไปพบกันตั้งแต่เมื่อใด สองปีก่อนก็แต่งกันแล้ว
แม้สิบหกปีจะถือว่าแต่งงานค่อนข้างเร็ว แต่ก็มิใช่ปัญหาอะไร ตอนเขาได้ยินข่าวนี้
นอกจากแปลกใจ ก็ไม่มีอะไรอีก ส่งของขวัญวันแต่งงานให้เขาชิ้นหนึ่ง
เผลอไปครู่หนึ่งก็ผ่านมาสองปีแล้ว
"นินทานางลับหลัง
เป็นวิสัยของสามีที่ดี?"
"เอาละ
ท่านสั่งสอนได้ถูกทั้งหมด อี้เทาย่อมเชื่อฟัง" มือเล็กคู่นั่นคว้ามือของชิงเถาไปกุมไว้
"ไปเถอะ วันนี้ข้าอยู่คนเดียว ดูบัญชีจนตาจะบอดแล้ว
ท่านอยู่เป็นเพื่อนข้าให้นานหน่อย มีอะไรเราค่อย ๆ พูดคุยกัน"
ชิงเถาเดินไปตามแรงดึงของอีกฝ่าย
ก้าวเข้าไปในเรือนส่วนหลัง เป็นเรือนพักของเกาอี้เทา และฮูหยินน้อย
ภายในห้องหนังสือ มีสมุดจดบัญชีของกิจการทั้งหมดของจวนสกุลเกา
กระจัดกระจายเต็มห้อง เดิมไม่ควรให้คนนอกเข้ามา แต่สำหรับชิงเถา
คุณชายรองเกาไม่เคยนับเขาเป็นคนนอก ยามนี้จะสมุดบัญชีเหล่านี้ หรือสมบัติทั้งหมด
เกาอี้เทาก็ยังเอาออกมาเปิดให้ชิงเถาดูได้ทั้งหมด
ชิงเถากวาดตาดูทุกอย่างในห้อง
ก่อนมุมปากกระตุกไปรอบหนึ่ง เขานั่งลงตรงข้ามกับอีกฝ่าย เอ่ยถามอย่างจนใจว่า "เจ้า...ไม่เก็บห้องมานานเท่าไหร่แล้ว"
เกาอี้เทายิ้มเก้อ
เกาแก้มตนเองอย่างกระอักกระอ่วน "สักพักแล้วกระมัง"
"หากข้าเป็นฮูหยินน้อย
จะตีขาเจ้าให้หัก"
"นางตีข้าแน่
แต่หากเป็นท่าน ท่านไม่ใจร้ายกับข้าหรอก"
ชิงเถาเลิกคิ้วขึ้นมองดวงหน้างดงามของเด็กหนุ่ม
สบตากับดวงตาใสกระจ่างคู่นั้น ก็เบี่ยงหลบ "ช่างเถอะ เรียกบ่าวไพร่มาเก็บกวาดเสีย"
คุณชายชิงไม่ชอบสถานที่รก ๆ
เรื่องนี้ผู้คนทั่วไปย่อมทราบดี ว่ากันว่าวังอ๋องของหวางเมิ่งหวาน
ทำความสะอาดกันแทบตลอดทั้งวัน ฝุ่นผงสักกระผีกริ้น ก็ห้ามปรากฏให้เห็น
ใบไม้ร่วงสักใบ ก็ห้ามมีให้ขัดตา
นี่ไม่ใช่เพราะจวิ้นอ๋องรักความสะอาดขนาดนั้น
แต่เป็นเพราะเขามีญาติผู้น้อง ซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจ ชิงเถายืนอยู่ข้างกายหวางเมิ่งหยวน
เขาคือหัวหน้าองครักษ์ เป็นคนที่คอยเอาตัวเองเข้ามาปกป้องผู้เป็นนาย
แต่เขาไม่ใช่ลูกสุนัขใช้แล้วทิ้ง กลับกันเขาคือแก้วตาดวงใจของจวิ้นอ๋อง
เป็นน้องชายคนเดียวของหวางเมิ่งหวาน
ตำแหน่งในใจท่านอ๋อง
เขาคือคนในครอบครัว มิใช่บ่าวไพร่ไร้ศักดิ์ เพราะฉะนั้นทั่วทั้งวังอ๋อง ครึ่งหนึ่งเป็นความพอใจของหวางเมิ่งหยวน
อีกครึ่งทำให้ชิงเถาอยู่อย่างสบายใจ กระทั่งมีพระชายาเข้ามาอีกคน
ชีวิตของจวิ้นอ๋องจึงมีแก้วตาดวงใจเพิ่มเป็นคนที่สอง
เกาอี้เทาเรียกบ่าวเข้ามา
เก็บกวาดเช็ดฝุ่นใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็เรียบร้อย ระหว่างนี้ชิงเถาก็ไม่ได้ย้ายตนเองไปที่อื่นค่อย
ๆ เปิดอ่านรายได้ของจวนสกุลเกาทีละหน้า เปิดไปเปิดมาก็อ่านได้เกินครึ่งแล้ว
พอบ่าวไพร่ออกไปหมด
เขาถึงวางสมุดเหล่านั้นลง เริ่มเอ่ยเข้าเรื่อง "ท่านอ๋องส่งข่าวมาบ้างหรือไม่"
"ย่อมส่ง"
เกาอี้เทาหยิบเอาจดหมายออกมาจากลิ้นชัก ส่งให้ชิงเถาสีหน้ากลับลังเล
ไม่กล้าเอ่ยคำต่อ
ชิงเถารับจดหมายมาเปิดอ่าน
ก่อนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
"มีคำถามก็ถามมา"
"พี่ใหญ่…"
เกาอี้เทาเรียกบุรุษตรงหน้า พอนึกไปถึงเนื้อความในจดหมาย
ที่ท่านอ๋องส่งให้ตน ลำคอของเขาก็แห้งผาก "ท่าน ท่าน"
ท่านหนีตามบุรุษมาจริงหรือ
คำถามเช่นนี้
อยากจะเอ่ยก็เอ่ยไม่ออกหรอก ชิงเถากลับเข้าใจเขา เพียงเอ่ย "ข้าไม่ได้อยู่รับใช้ข้างกาย
ท่านอ๋องคงเป็นกังวลไม่น้อย"
"...เป็นประมุขพรรคมารผู้นั้นจริงหรือ"
เรื่องที่คนในยุทธภพแทรกแซงเรื่องในราชสำนัก
จนทำให้รัชทายาทถูกปลด เขาย่อมเคยได้ยินมา แต่กลับมารู้ทีหลังว่าหลังจบเรื่อง
คนที่เขาเรียกอย่างเคารพนับถือว่าพี่ใหญ่ผู้นี้ ถึงกับทิ้งหวางเมิ่งหวานเอาไว้ ท่ามกลางสถานะการณ์ที่ยังคลุมเครือ
เพื่อวิ่งตามอีกฝ่ายกลับไปยังหุบเขาแสงจันทร์
ตอนแรกที่ได้ยินข่าวจากปากฮูหยินตน เกาอี้เทายังบอกกับนางว่าเหลวไหล
ต่อมาได้รู้จากจดหมายของท่านอ๋อง ที่ฝากฝังให้เขาช่วยเป็นหูเป็นตา
หากว่าญาติผู้น้องของพระองค์มาหาที่นี่ ให้ช่วยดูว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
จึงรู้ว่านี่หาใช่เรื่องเหลวไหลไม่
คุณชายรองผู้งดงามยามรู้ข่าวนี้
วันนั้นเขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน พ่นเลือดออกมาหนึ่งคำ จากนั้นล้มป่วยอยู่หลายวัน
ในสายตาของเกาอี้เทา
ชิงเถาคือบุรุษที่ห้าวหาญ เก่งกาจ ทั้งหล่อเหลา ชาติกำเนิดมิได้ต่ำต้อย
เป็นคนที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ไม่มีสิ่งใดให้ติ แต่เขาไม่นึกว่าจะมีสักวัน
ที่จะได้ยินข่าวจากปลายพู่กันของท่านอ๋อง ว่าอีกฝ่ายหนีตามบุรุษ
นี่มันออกจะเป็นเรื่องที่รับไม่ได้อย่างรุนแรงเรื่องหนึ่ง
"หากรู้แต่แรก…"
หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ "โอ้ย!"
ชิงเถามองคนที่ยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตน
น้ำตาคลอเบ้า
"อีกสักทีไหม"
"ท่านตีข้าทำไม!"
เกาอี้เทาเบ้หน้า เจ็บจนแทบร้องออกมาแล้ว
หน้าผากขาวเนียนถูกชิงเถาดีดจนแดงเถือก
"เจ้าทำหน้าราวกับกำลังมองป้ายวิญญาณข้าทำไมเล่า
ข้ายังไม่ตาย"
ดวงตากลมราวลูกกวางถลึงมองอีกฝ่าย "ท่านนี่มัน
ไม่ได้เรื่องเลย!"
ชิงเถายักไหล่ไม่แยแส
พอได้รับจดหมายจากผู้เป็นนาย คนก็หมดประโยชน์แล้ว เขายอมรับปากอยู่กินข้าวกลางวันกับเกาอี้เทา
แต่ก็ขอประลองยุทธ์กับอีกฝ่าย ผลคือคุณชายรองเกา ถูกชิงเถาตีจนเจ็บไปหมด
คนกลิ้งลุ่น ๆ บนพื้นหลายตลบ
ก่อนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ชี้หน้าด่าเขา "ท่านมันใจยักษ์ใจมาร!"
กระทั่งถึงเวลานำอาหารขึ้นโต๊ะ
ฮูหยินน้อยของเกาอี้เทาก็กลับมาพอดี พอเห็นภาพสามีของตนเข้า
นางก็หัวเราะเสียงดังลั่น กล่าวกับชิงเถาด้วยความร่าเริงว่า ตีได้ดี!
ชิงเถา "..."
กั่วเป้ยเป้ยชวนชิงเถาอีกครั้ง
เชิญเขากินข้าวด้วยตนเอง บรรยากาศบนโต๊ะแปลกประหลาดไปสักหน่อย
กับกั่วเป้ยเป้ยชิงเถาเคยพบนางในเมืองเฉิงตูไม่กี่ครั้ง ไม่นับว่าสนิทสนม
พอมีนางมาร่วมโต๊ะ จึงไม่ได้เล่นอะไรเกินเลยไป กลับเป็นสามีคนงามของนางเสียอีก
ตั้งแต่ต้นจนจบ คอยคีบอาหารให้ชิงเถาไม่หยุด จนเขาต้องเอ่ยปากห้าม
แม้จะแปลกประหลาดไปบ้าง
ก็ไม่นับว่าแย่อะไร กลับกันชิงเถาพบว่า ภรรยาเอกของเกาอี้เทา คือยอดสตรีผู้หนึ่ง
นางมีความกล้าหาญในการคิด มีนิสัยที่เฉียบขาด ทั้งยังเด็ดเดี่ยว
ดูแล้วปกป้องเจ้าขี้แยอี้เทาได้แน่นอน ชิงเถาค่อนข้างถูกใจนางมาก
พอพูดคุยกันมากเข้า เกาอี้เทาก็ถูกลอยแพร
คุณชายรองไหนเลยจะเคยพบเหตุการณ์เช่นนี้
ภรรยาคนดี นี่เจ้าคิดจะแย่งชิงความโปรดปรานของสามีหรือ! เขาเม้มริมฝีปากน้อย ๆ
ครุ่นคิดหาเรื่องมาคุยกับชิงเถา สุดท้ายก็นึกเรื่องที่ชายหนุ่มน่าจะสนใจ
ขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง
"พี่ใหญ่"
"หืม"
ชิงเถาหันมองเขา
"ท่านคงจำองค์หญิงจูรั่วซีได้กระมัง"
จูรั่วซี...
นามนี้หลุดออกมา
ชิงเถาก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขาพยักหน้ารับ "ทำไมหรือ"
"ได้ยินว่าพอนางกลับแคว้นฉินไปแล้ว
ก็ถูกฮ่องเต้ตำหนิอย่างหนัก จากนั้นยังกักบริเวณอีกด้วย"
ตะเกียบในมือของชิงเถาไม่ขยับแล้ว
เขาหันมองหน้าของเกาอี้เทา แววตาฉายความตื่นตระหนก "จริงหรือ"
"ข่าวลือนี้มาจากแคว้นฉิน
น่าจะมีความจริงอยู่หลายส่วน" เกาอี้เทากล่าว
"เดิมนางก็มิใช่องค์หญิงที่ได้รับความโปรดปราน
ยามนี้เกรงว่าจะยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก"
ชิงเถาวางตะเกียบลงในที่สุด
ยามนี้กระทั่งจะกลืนข้าวก็ทำไม่ลงแล้ว "สืบมาให้ข้า"
"อี้เทารับทราบ"
คุณชายรองเกายิ้มจนตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
พอมื้ออาหารผ่านพ้นไป
ก็ไม่มีอะไรให้รั้งคนแล้ว เกาอี้เทาและฮูหยินน้อยมาส่งเขาถึงประตูจวน
ดวงตาของคุณชายรองเกาแดงก่ำ "ท่านจะไปแล้วจริงหรือ มิอยู่ค้างที่นี่สักคืน…"
"อายภรรยาเจ้าบ้าง
ข้าเห็นสภาพเจ้าแล้วสงสารนาง" ชิงเถาเอ่ยตำหนิ
เหลือบมองดุคนที่เริ่มจะร่ำไห้อีกแล้ว
กั่วเป้ยเป้ยกลับโบกไม้โบกมือ "คุณชายชิงไม่ต้องเกรงใจ
เดี๋ยวท่านจากไป เขาก็หยุดร้องเจ้าค่ะ ไม่ตายหรอก ๆ"
ชิงเถา "..."
เกาอี้เทาถลึงตามองภรรยาตน
ก่อนหันกลับมาสั่งบ่าวไพร่
"เปิดประตู"
กั่วเป้ยเป้ยกลอกตามองท้องฟ้า
คันไม้คันมืออย่างไรชอบกล ประตูจวนเจ้าเมืองก็มีเท่านี้ มิใช่ใหญ่โตเท่าประตูเมือง
เกาอี้เทากระทั่งปลายนิ้ว ก็ไม่ยอมให้ชิงเถาไปเปิดเอง
นี่มันก็ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง
แต่นางพึมพำกับตนเองในใจ
ย่อมไม่มีผู้ใดได้ยิน เมื่อประตูเปิดออกแล้ว กลับเป็นชิงเถาที่ชะงักไป
ที่หน้าประตูมีร่างของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เหมือนว่าเขาเพียงเดินผ่านมา
และกำลังจะเดินจากไป แต่เพราะประตูจวนเปิดขึ้นกระทันหัน จึงเหลือบมองมา
คนทั้งสองชะงักไป
หลี่เค่อเฟิงมองเห็นดวงหน้าของชิงเถา ยามแรกยังคิดจะเรียกเขาสักคำ ต่อมากลับพบว่ามีมืออีกคู่
กำลังดึงแขนชายหนุ่มเอาไว้อยู่ ประมุขหลี่ลืมตัวตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
หรี่ตาลงมองมือคู่นั้นนิ่งงัน กระทั่งจะเดินจากไปก็ลืมไปแล้ว
ชิงเถามองตามมืออีกฝ่าย
เห็นเกาอี้เทายังเกาะแขนตนอยู่ ก็รีบดึงออก ไม่สนใจสองสามีภรรยาคู่นี้อีก
ตัวรีบเดินไปหาอีกฝ่าย พลางเอ่ยถามเขาอย่างอารมณ์ดี "ท่านมาได้อย่างไร"
"เดินผ่านมา"
"ธุระของท่านเรียบร้อยแล้วหรือ"
"อืม"
"เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถอะ"
ปรายตามองชิงเถาคราหนึ่ง
ก่อนมองคนงามที่ยืนอยู่หลังธรนีประตู หลี่เค่อเฟิงก็พยักหน้ารับ
ยื่นมือไปกุมมือชิงเถาเอาไว้ พาเขาเดินจากไปทั้งอย่างนี้
เกาอี้เทามองแผ่นหลังของชิงเถาที่ค่อย
ๆ ไกลออกไป ในใจมีรสชาติเช่นไรเขาก็บอกไม่ถูก เดาจากท่าทางเช่นนั้นของชิงเถา
เขาก็พอมองออกแล้ว คนผู้นั้นคงเป็นประมุขหลี่ที่ร่ำลือกัน
เขาเคยถามตนเองหลายต่อหลายครั้ง
คนที่ทำให้คนเช่นชิงเถาไล่ตามได้ เป็นบุรุษเช่นไรกันแน่ ดูฉลาดมีความรู้
งดงามล่อลวงใจคน วรยุทธ์สูงส่งไร้ผู้เทียบเคียง
วันนี้เขารู้แล้ว
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…
แววตาอาลัยอาวรณ์นี้
กั่วเป้ยเป้ยย่อมเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ นางมองสามีตนร่ำให้เงียบ ๆ
ยังถึงกับตบบ่าเขาปลอบใจ
"ที่แท้คนที่ท่านฝากรักไว้ก็เป็นบุคคลที่น่ามองเพียงนี้
น่าเสียดาย"
เกาอี้เทาปาดน้ำตา
หันมาถลึงตาใส่แม่เสือของตน "เสียดายอะไร"
"เสียดายที่บุรุษที่เขาชมชอบ
ไม่มีทางเป็นคนเช่นท่าน"
เกาอี้เทา "..."
แล้วกั่วเป้ยเป้ยก็เห็น
สามีคนงามของตนผู้นี้ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้ถึงกับพุ่งเข้ามากอดนาง
แล้วร้องไม่หยุด จนนางต้องลากเขากลับเข้าห้อง
ระหว่างเขากับนาง
เรื่องนี้จะว่าเป็นบุพเพก็ไม่ผิด จะว่าเป็นความจำใจก็ไม่เชิง
คนทั้งคู่ต่างฝากรักไว้ที่ผู้อื่นนานแล้ว เพียงแต่ชีวิตคนเรามีผิดหวังมีสมหวัง
นางและสามีก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายคนบนโลกใบนี้ มีความรักแต่กลับต้องผิดหวัง
คนที่นางรัก ยามนี้อยู่ในปรโลกแล้ว
จากนางไปอย่างไม่มีวันกลับ ส่วนคนที่สามีนางมอบใจให้
ยามนี้ก็มีคนที่เขามอบใจให้เช่นกัน เราทั้งคู่สุดท้ายตัดสินใจลงเอยกันเช่นนี้
ก็ไม่นับว่าแย่นัก แม้มิได้รักใคร่กันแน่นแฟ้น ก็ยังปฏิบัติต่อกันอย่างให้เกียรติ
สร้างครอบครัวด้วยกัน ค่อยประคับประคองกันไปได้
ชะตารักของเสี่ยวชิงคือชายหนุ่มที่ผู้คนหมายปองเจ้าค่ะ
ท่านประมุขรีบเลยนะเจ้าคะ รีบหายปากแข็ง เดี๋ยวพอมีพระรองโผล่มา ท่านจะถูกทิ้งเอา
เหอะเหอะ
พูดคุยกับเถียนซินได้ที่
เพจ เถียนซิน
ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408
ความคิดเห็น