คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
คนเรานั้นเมื่อเกิดมาแล้ว
เหตุผลในการมีชีวิตอยู่ย่อมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความถนัดที่ได้ร่ำเรียน
ความรู้สึกนึกคิด เส้นทางในชีวิตที่เลือกก้าวเดิน ล้วนแล้วแต่มีวิถีทางเป็นของตนเอง
ชิงเถาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาเป็นเพียงคนผู้หนึ่ง ที่มีวิธีคิด และแนวทางการใช้ชีวิตเป็นของตนเอง
จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาเริ่มผิดแผกไปจากครอบครัว
ก็คือวันที่เขากราบตาเฒ่าเร่ร่อนผู้หนึ่งเป็นอาจารย์
จากนั้นตัดสินใจติดตามเขาออกเดินทาง โดยไม่รับฟังคำทัดทานจากครอบครัว
ผ่านไปสองปีเขาจึงได้กลับมายังเมืองเฉิงตูอีกครั้ง
หน้าหนาวปีนั้นมารดาเฝ้ารอเขาอยู่ที่หน้าประตูจวนกับร่มคันหนึ่ง
ทามกลางหิมะที่ตกหนัก นางเพียงเฝ้ามองออกไปบนถนนอย่างเลื่อนลอย
กระทั่งเห็นเงาร่างของเขาเดินเข้าไปใกล้ สตรีที่งดงามที่สุดในใจเขาผู้นั้นก็หลั่งน้ำตาออกมา
ทิ้งกระทั่งร่มในมือ วิ่งเข้ามากอดเขาไว้
เขายังจำได้อีกว่า
หลังจากมารดาจูงมือพาเขาเข้าไปภายในจวนแล้ว บิดาก็ลงโทษโบยเขาด้วยตนเอง
ความจริงยามนั้นเขาอยากจะเกลียดชังบิดายิ่งนัก
แต่เป็นเพราะว่าผู้ให้กำเนิดแม้ฟาดไม้ลงบนหลังเขา แต่กลับร่ำไห้ไม่หยุด บุรุษร่ำไห้น่ามองที่ไหนกัน
ความลำบากตลอดสองปีที่ติดตามตาเฒ่าผู้เป็นอาจารย์ไป
ทำให้เขารู้สึกว่าการถูกบิดาลงโทษเช่นนี้นั้น
ช่างน้อยนิดกับความดื้อรั้นที่เขาไม่เชื่อฟังแล้วจากไป
วันนั้นหลังถูกโบยไปสิบไม้
เขามิได้เอ่ยขอโทษหรือร้องขอให้ได้รับการอภัย เพียงแค่คำนับบิดามารดา
แล้วเอ่ยถามพวกท่านทั้งสองด้วยคำถามที่อยากจะกล่าวมาตลอด
'ลูกจากบ้านไปนาน
ไม่รู้ว่าพวกท่านทั้งสองสบายดีหรือไม่ ท่านพ่อท่านยังหักโหมทำงานอยู่หรือไม่
ท่านแม่ท่านกินอิ่มนอนหลับ พักผ่อนเพียงพอหรือไม่ลูก...คิดถึงพวกท่าน'
เรื่องราวผ่านไปไม่นาน
ผู้ใดจะรู้ว่าคุณชายอันมากพร้อมไปด้วยความรักใคร่จากคนในครอบครัวอย่างเขา
สุดท้ายก็ยังเอาแต่ใจ ไม่ขอเป็นขุนนางมีตำแหน่ง
แต่เลือกติดตามปกป้องรับใช้ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นญาติสนิท
แม้เดิมทีจะเป็นคำขอร้องของพระสนมชิงผู้เป็นน้า แต่การติดตามจวิ้นอ๋องมาหลายปี
เขาล้วนปกป้องคนผู้นี้ด้วยความจริงใจ
แปลกที่วันนี้คุกเข่าอยู่ในห้องโถงในจวนของตนที่มิได้กลับมานาน
ความรู้สึกคล้ายในวันที่มาล่ำลาบิดามารดาเพื่อติดตามอาจารย์ไปยิ่งนัก
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือกระทบกับแก้มดังก้องไปทั่วบริเวณ
ฮูหยินใหญ่แห่งจวนเสนาบดีสำนักตรวจราชการ คุกเข่าลงกับพื้น ร้องขอความเมตตาต่อสามีแทนบุตรชาย “ท่านพี่
อย่าตีลูกอีกเลยนะเจ้าคะ หากจะผิดก็ผิดที่ข้าไม่อบรมเขาให้ดี
จึงได้คิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ออกมาได้”
เสนาบดีชิงเต๋อหลุนมองผู้เป็นภรรยา
ที่ร่ำไห้อยู่บนพื้น จากนั้นหันมองบุตรชายคนโตของตนด้วยความเดือดดาล “เห็นหรือไม่ เพราะความดื้อรั้นของเจ้า
มารดาเจ้าจึงต้องเสียน้ำตาไม่รู้จักจบสิ้น”
“อย่างไรก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว
เรื่องนี้ลูกกราบทูลท่านอ๋องไปแล้ว ย่อมมิมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก”
“เถาเอ๋อร์เจ้าก็อย่าได้ดื้อดึงนักเลย
ยุทธภพเป็นสถานที่เช่นไร เจ้าคิดจะจากไปเช่นนี้ มารดาจะทำอย่างไร”
เหลือบมองมารดาที่น้ำตานองหน้าคราหนึ่ง
ชิงเถาก็ก้มหน้าลง “ครั้งนี้ลูกไม่สามารถรั้งอยู่ได้จริงๆ ขอรับท่านแม่”
“อะไรทำให้เจ้าตัดสินใจกระทั่งปล่อยวางภาระหน้าที่ที่มีต่อท่านอ๋อง
อะไรที่มันทำให้เจ้าตัดสินใจกระทั่งจะทิ้งครอบครัวแล้วออกเดินทางเช่นนี้!” เสนาบดีชิงเอ่ยถามอย่างอดกลั้น วันนี้บุตรชายยอมกลับจวนในรอบหนึ่งปี
เขาหรือก็อุตส่าห์ดีใจคิดว่าบุตรชายห่วงใยบิดามารดา จึงกลับมาเยี่ยมเยียน
ไหนเลยจะรู้ว่า
ข้าวยังกินไม่ทันหมดชาม เจ้าลูกไม่รักดีก็คุกเข่าโขกศีรษะ ล่ำลาเป็นเรื่องเป็นราว
บอกว่าจะออกเดินทางท่องเที่ยวในยุทธภพ มิรู้จะได้กลับมาเมื่อไหร่
“ลูก..." ชิงเถากลอกตาไปมา
มิรู้ว่าควรกล่าวสิ่งใดจึงจะเรียกว่าเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นได้
“หึ” เสนาบดีชิงหัวเราะน้อยๆ ฟังแล้วคล้ายเย้ยหยันตนเองก็มิปาน “เถาเอ๋อร์ บิดาเลี้ยงดูเจ้ามา มิมีทางไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเจ้า
บอกมาตามตรง หากเจ้าโกหกข้าแม้แต่คำเดียว อย่าหาว่าข้าไร้เยื่อใยกับเจ้า”
“ลูกพบเขาแล้วขอรับท่านพ่อ”
“ใคร?”
"คนที่ลูกให้สร้อยประจำตระกูลกับเขาไว้ขอรับ"
"อ้อ"
เสนาบดีชิงพยักหน้าคล้ายรับรู้ ก่อนจะตะโกนถามด้วยความตกใจ
"อะไรนะ"
กระทั่งถางฮูหยินที่ร่ำไห้อยู่บนพื้น
ก็ยังคว้าบ่าของบุตรชายมาจับไว้แน่น ด้วยความตกตะลึง "เจ้าว่าเจ้าพบผู้ใดนะ"
ชิงเถาตอบกลับบิดามารดาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "คนที่ลูกให้ตราประจำตระกูลแก่เขาไปขอรับ"
คล้ายเรื่องราวปะติดปะต่อเป็นรูปร่าง
เสนาบดีชิงใคร่ครวญในใจอย่างเงียบเชียว ถึงสิ่งที่ชิงเถาเอ่ยถึง
สิบสามปีก่อนมีครั้งหนึ่งที่เถาเอ๋อร์ของพวกเขาเล่าว่า
ติดตามตาเฒ่านั่นไปแล้วเกิดพลัดตกจากหน้าผา จากนั้นถูกช่วยไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง
บุตรชายตัวดีของเขา
ที่แท้ก็พบผู้มีพระคุณนี่เอง ใบหน้าที่เคร่งเครียดของชิงเต๋อหลุนผ่อนคลายลง
เขาคล้ายรู้สึกว่าเรื่องที่บุตรชายขอออกไปเร่ร่อนนอกบ้านครั้งนี้
กลายเป็นเรื่องที่พอจะรับได้ ตระกูลชิงให้ความสำคัญกับบุญคุณความแค้น
พระคุณช่วยชีวิตหากไม่ตอบแทน ไหนเลยยังจะกล้าเงยหน้าสู้ฟ้าได้อีก
เมื่ออารมณ์ที่เดือดพล่านเย็นลงแล้ว
ชิงเต๋อหลุนจึงเอ่ยถามชิงเถาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า "นางเป็นผู้ใด
ชาวยุทธ์หรือเหตุใดเจ้าจึงคิดติดตามนางท่องยุทธภพ"
"ใช่แล้ว
เป็นแม่นางน้อยจากที่ใดกัน ทำให้เถาเอ๋อร์ของเรา กระตือรือร้นเช่นนี้"
ถางฮูหยินเอ่ยเสริม
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชิงเถายังไม่กล้าเอ่ยปาก
เรื่องราวการผจนภัยในครั้งนั้น เขาล้วนถ่ายทอดให้บิดาและมารดาฟังจนหมดสิ้น
เพียงแต่เรื่องหนึ่งที่ไม่เคยได้กล่าวถึงก็คือความเข้าใจผิดนี้
ตอนนั้นเขายังเล็กนักการใช้ท่อยคำจึงอาจจะชวนให้ผู้คนเข้าใจผิด
ทำให้บิดาและมารดาคิดว่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเขาเป็นสตรี
ทั้งที่ความจริงแล้วนั้น…
"ยังจะเงียบอยู่ทำไมอีก
รีบเล่ามาเจ้าไปพบนางได้อย่างไร"
"คือ"
เงยหน้าขึ้นมองบิดาคราหนึ่ง ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ก็ต้องขยับถอยหลับไปสองก้าว "ความจริงผู้มีพระคุณนั้น
มิใช่สตรีขอรับ"
เสนาบดีชิงขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความฉงน "เจ้าหมายความว่ายังไง"
"เขา เขาเป็นบุรุษขอรับท่านพ่อ"
"อะไรนะ!"
สองเสียงของผู้เป็นประมุขและฮูหยินของจวนประสานเสียงกัน
เสนาบดีชิงเอ่ยถามบุตรชายอย่างยากลำบากว่า "คะ ใคร?"
"เขาก็คือหลี่เค่อเฟิงขอรับ"
สิ้นเสียงนั้น ร่างของชิงเถาก็ล้มลงไปกองกับพื้น
ด้วยฝีมือของบิดา
"เถาเอ๋อร์!"
ถางฮูหยินร้องลั่นด้วยความตกใจ
ชิงเต๋อหลุนหอบหายใจถี่ด้วยโทสะ
เจ้าลูกไม่รักดี! ผู้คนมีเป็นร้อนพัน เหตุใดจึงเป็นคนผู้นี้
แม้ว่าจะเป็นขุนนางในราชสำนัก แตาเขาก็พอจะเคยได้ยินชื่อหลี่เค่อเฟิงมาบ้าง ประมุขพรรคเสี้ยวจันทรา
ใช่คนที่ผู้อื่นจะเอามาล้อเล่นได้เมื่อไหร่กัน
เดิมก็พอรู้มาบ้างว่าบุตรชายติดต่อกับคนผู้นี้ให้จวิ้นอ๋อง
เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าคนทั้งสองกลับมีอดีตร่วมกันเช่นนี้
คิดแล้วขาทั้งสองข้างก็คล้ายจะยืนไม่อยู่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ชิงเต๋อหลุนถอยหลังกลับไปนั่งในตำแหน่งประมุขของจวน
กระทั่งถางฮูหยินก็ยังมิอาจเรียกสติของตนเองให้กลับคืนมาได้
นานทีเดียวกว่าที่เสนาบดีชิงจะเอ่ยถามบุตรชายต่อไปได้ "เจ้าคิดติดตามเขา?"
"ขอรับ"
ชิงเถาตอบกลับไปอย่างมิลังเล
"สถานะของหลี่เค่อเฟิงในยุทธภพเป็นเช่นไร
เจ้ารู้หรือไม่?" หากวันนี้เขาปล่อยให้บุตรชายเดินพ้นประตูออกไป
มิเท่ากับสนับสนุนให้เขาไปหาที่ตายหรือ
"ลูกทราบขอรับ"
ชิงเถายังคงเงยหน้าขึ้น สบตากับบิดาไม่หลบหลีก
เรื่องนี้เขาตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าผลที่ตามมาจะดีหรือร้าย
ก็ล้วนน้อมรับไว้ด้วยความเต็มใจ มิคิดกล่าวโทษผู้ใดในภายหลัง
หลี่เค่อเฟิงเป็นคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประมุขพรรคมาร
แต่ก็ยังคงเป็นเฟิงอวิ๋นของเขา ไม่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
เขาก็จะติดตามคนผู้นั้นไป
"เถาเอ๋อร์
คิดใหม่ตอนนี้ก็ยังทันนะ บิดาล้วนไม่ฝืนใจเจ้า หากเจ้าคิดเป็นองครักษ์ไปชั่วชีวิต
อย่างไรตระกูลชิงก็ยังหนุนหลังเจ้า แม้ตำแหน่งไม่สูงส่ง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไม่ไว้หน้า"
ไม้แข็งใช้มิได้ผล เสนาบดีชิงจึงลองใช้ไม้อ่อนดูสักครั้ง
"ท่านอ๋องก็เมตตาเจ้ามาก พระชายาก็เป็นน้องบุญธรรมของเจ้า
จะดีร้ายอย่างไร ที่นี่ก็เป็นบ้านเจ้า จะออกไปหาเรื่องใส่ตัวเพื่ออะไร"
"ท่านพ่อ"
ชิงเถาเรียกขานบิดาเสียงเรียบ "บุญคุณช่วยชีวิต
ไม่ตอบแทนถือว่าอกตัญญู ท่านสอนข้าเองมิใช่หรือขอรับ"
"เรื่องนี้…"
มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ!
ลำพังเพียงบุญคุณช่วยชีวิตข้าจะไม่ห้ามเจ้าเลย
ด้วยมิอยากฟังบิดาเอ่ยรั้งตนอีก
ชิงเถาจึงประสานมือขึ้น คำนับบิดามารดาด้วยความนอบน้อม จากนั้นกล่าวว่า "ลูกอกตัญญูไม่รู้เมื่อไหร่จะได้กลับมาหาพวกท่าน
ขอให้ท่านพ่อท่านแม่รักษาสุขภาพด้วย"
กล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นหันหลังเตรียมที่จะเดินจากไป
เมื่อก้าวไปถึงหน้าประตู พลันได้ยินเสียงบิดากล่าวอย่างเด็ดขาดว่า "หากเจ้ากล้าก้าวออกจากประตูบานนี้
ต่อไปเจ้าก็อย่ามาเรียกข้าว่าบิดา!"
ชิงเถาหลับตาลงหลบซ้อนความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาใส่
เขารู้ว่าบิดาไม่มีวันทำเช่นนั้นจริง
และก็รู้ว่าท่านพ่อเจ็บปวดเพียงใดที่ต้องเอ่ยคำนี้ออกมา
เพียงแต่ว่าหากยังคงชักช้าอยู่เช่นนี้ โอกาสครั้งเดียวที่คว้ามาได้ ก็จะสูญเปล่า
"ลูกอกตัญญูแล้ว
ขอท่านพ่อกับท่านแม่โปรดอภัย" เมื่อกล่าวโดยมิได้หันกลับไปจบ
เท้าข้างหนึ่งก็ก้าวพ้นประตูไป
ไม่นานแผ่นหลังก็หายลับไปจากสายตาของคนที่ยังอยู่ภายในห้องโถง
กว่าที่ถางฮูหยินจะได้สติกลับคืนมา
ชิงเถาก็จากไปไกลแล้ว นางหันกลับไปถามสามีที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลัก "ท่านพี่
เราต้องมีลูกสะใภ้เป็นบุรุษจริงหรือเจ้าคะ"
บนนำและเนื้อเรื่องของเรื่องนี้ เป็นส่วนที่ต่อมาจากตอนพิเศษในเล่มของหยุนน้อยและท่านอ๋อง คนที่ยังไม่ได้อ่านหนทางสู่ชิตอันสงบสุขของโจรวิ่งราวอันดับหนึ่ง ก็สามารถอ่านได้ค่ะ จะมีคลายปมไปทีละเรื่อง เถียนซินฝากชิงเถาและเฟิงเกอไว้ด้วยนะคะ^^
พูดคุยกับเถียนซินได้ที่
เพจ เถียนซิน
ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408
ความคิดเห็น