คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่.7 โฉมงาม กับ หนุ่มหล่อ 100%
บทที่.7
โฉมงาม กับ หนุ่มหล่อ
"ข้าไม่ไป"
"ไป"
"ไม่ไป"
"ไป"
"ไม่"
"หากท่านยังดื้ออีก
ข้าจะลากท่านออกไปต่อหน้าคนทั้งพรรค" ชิงเถาเชิดคางขึ้น
ถลึงตามองอีกฝ่าย
หลี่เค่อเฟิงกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะ
เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าให้ดี ทำท่าทีดุร้ายราวกับแม่เสือ ยังจะขู่ขวัญเขาอีก
ประมุขเช่นเขายังมีตัวตนอยู่หรือไม่ ดวงหน้าหล่อเหลาพลันปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน "กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว
อย่างเจ้าจะทำอะไรได้"
"ไม่สู้กับท่านอยู่แล้ว"
ชิงเถากล่าว พลางโน้มตัวเข้าหาอีกฝ่าย "แต่ลากท่านออกไปด้านนอก
นี่ย่อมทำได้แน่นอน"
"ออกไปแล้ว
จะต่างกันตรงไหน?"
"ออกไปแล้ว
ก็จะจูบท่านตรงนั้น จูบต่อหน้าคนทั้งพรรคเสี้ยวจันทรานั่นแหละ" คุณชายชิงยิ้มจนดวงตาหยี่ลง "ให้ชั่วชีวิตท่านมิอาจแต่งฮูหยิน
ต้องแต่งข้าเข้าเรือนแทน"
"เจ้า!"
น่าตายนัก!
"แล้วตกลงจะไปหรือไม่"
คนทั้งคู่สบตากันชนิดตาไม่กระพริบ
เป็นหลี่เค่อเฟิงที่บ่ายหน้าออกก่อน ฮึดฮัดขัดใจอยู่นาน สุดท้ายก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ "ไปก็ไปสิ
กลัวเจ้าหรือไง"
ชิงเถาเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก
มองตามชายเสื้อคลุมยาวของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชาชินแล้ว
หรือว่าเกิดอะไรกระทันหัน ยามทอดสายตามองทุกย่างก้าวที่คนผู้นั้นเดิน
ท่าทางฮึดฮัดขัดใจ แต่ไม่รู้จะทำเช่นไรเพราะตน ทั้งมิอาจปฏิเสธตนได้อย่างเด็ดขาด
ถึงทำให้เขารู้สึกพอใจนัก
หลี่เค่อเฟิงเป็นพวกมีนิสัยแข็งกร้าว
หากคิดเข้าหาเขา ความจริงทำตัวอย่างลู่หยุนคงดีกว่า ทำตัวอย่างลู่หยุนทำเช่นไร
ก็คือทำตัวใสซื้อ ไร้เดียงสา ทั้งไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราว ยามเผชิญหน้ากับอันตราย
ก็วิ่งไปหลบหลังอีกฝ่ายให้ไว อ่อนแอเล็กน้อย ให้ผู้คนมองไปแล้ว เกิดความอยากปกป้อง
และทะนุถนอม
แต่เขาคือชิงเถา
ชิงเถาที่เป็นองครักษ์ของหวางเมิ่งหยวนมาครึ่งชีวิต ชิงเถาที่เป็นบุตรชายของเสนาบดีสำนักตรวจราชการ
ต่อให้เขาอยากทำตัวอ่อนแอ ก็ทำไม่ได้ ทั้งหนังหน้านี้ก็บางเกินไป
ยามนี้อยากทำก็ทำไม่ลงหรอก
เป็นเช่นนี้แล้ว
แม้ว่าวิธีการนั้นจะดีกว่าเพียงใด ก็ใช้ไม่ได้สำหรับเขา เพราะฉะนั้น
เขาคิดว่าเป็นตัวของตัวเอง เข้าหาอีกฝ่ายแบบตรงไปตรงมาเช่นนี้ แม้ลำบากไปสักหน่อย
ก็ดีกว่าเสแสร้งแกล้งทำ ให้ลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย
วันนี้ที่ชิงเถากระตือรือร้น
รบเร้าให้หลี่เค่อเฟิงออกไปข้างนอกด้วย ด้านหนึ่งเพราะอยากชวนคนไปเปิดหูเปิดตา
อีกด้านเป็นเพราะเขาต้องไปพบคนผู้หนึ่ง โอกาสอยู่ตามลำพังกับอีกฝ่ายเช่นนี้
จะพลาดได้อย่างไร
ภาพของท่านประมุขที่เดินนำหน้า
โดยมชิงเถาเดินตามหลัง เป็นภาพที่เห็นจนชิงตาของคนพรรคเสี้ยวจันทราไปแล้ว
พวกเขาบางคนถึงกับหมดความสนใจต่อเรื่องนี้ บางคนก็นับวันรอ
ว่าเมื่อไหร่จะได้เรียกคุณชายชิง ว่าหลี่ฮูหยิน บางคนถึงกับคิดไปว่า
บางทีท่านประมุขอาจจะเป็นฮูหยินเสียเอง
หรงซินเยว่ที่กำลังลงพนันกับเสี่ยวซีอยู่
พอเหลียบตามองเห็นเงาร่างของชิงเถา นางก็ทิ้งกระดานหมากของน้องสาว
วิ่งเข้าไปหาชายหนุ่ม กระทั่งเห็นท่านประมุขยืนอยู่ตรงนั้นด้วย จึงหยุดฝีเท้าลง
ย่อกายคำนับหลี่เค่อเฟิง
"ท่านประมุขจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?"
"ตีนเขา"
"ไปทำไมหรือเจ้าคะ"
เหลือบตามองคนที่เดินตามตนมาตลอดทาง
หลี่เค่อเฟิงก็สะบัดหน้าหนี "ถามเขาสิ"
ชิงเถายิ้มให้หรงซินเยว่ พลางกล่าว "เพียงรู้สึกว่าในเรือนอุดอุ้นัก
จึงชวนท่านประมุขไปเดินเล่น แม่นางหรงไม่ต้องใส่ใจ"
เดินเล่น?
เดินเล่นกับเทพมารเช่นประมุขหลี่เนี่ยนะ
ดวงตาหงส์ของหรงซินเยว่กระตุกถี่ นางมองบุรุษสองคนที่มีท่าทาง
ไม่สอดคล้องกับคำว่าไปเดินเล่นสักกระผีกริ้น มองจนปวดหัวตาลาย จึงกล่าว "เช่นนั้นบ่าวไปด้วยเจ้าคะ"
"แต่…"
"ไม่ต้อง"
น้ำเสียงของหลี่เค่อเฟิงดังแทรกเข้ามา ดวงตาคมของประมุขหลี่
ปรายมองดวงหน้างามของนางอย่างเย็นชา จนนางตกใจถอยหลังไปสองก้าว "หากว่างมาก ก็ไปทำความสะอาดกรงเจ้าลั่วลั่ว ไม่ต้องมาวิ่งตามข้า"
"แต่ว่า…"
"ยังไม่ไปอีก"
"...ทราบแล้วเจ้าค่ะ"
หรงซินเยว่หลุบตาลงน้อย ๆ อย่างผิดหวัง
นางอยากจะเถียงเหลือเกิน
ว่าไม่ได้ตามท่านเสียหน่อย ข้าจะตามคุณชายชิงต่างหาก แต่หลี่เค่อเฟิงเป็นผู้ใด
ใช่นางสามารถล้อเล่นด้วยได้เมื่อไหร่กัน พอเห็นเขาปฏิเสธเช่นนี้
หรงซินเยว่จึงได้แต่ยกมือยอมแพ้ กลับไปนั่งพนันกับเสี่ยวซีต่อ
เงาร่างของหญิงงามจากไปแล้ว
ชิงเถาถือวิสาสะเดินเคียงไหล่กับอีกฝ่าย ลงเขาไปพร้อมกัน
หลี่เค่อเฟิงปรายตามองเขาเล็กน้อย จากนั้นทำเป็นไม่สนใจอีก
ชิงเถาเอามือไขว้หลัง
ท่าทางยังเอื้อยเฉื้อย ต่อมาเขาถึงกับกล่าวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย "ข้ามักชมชอบบรรยากาศเช่นนี้
ได้เดินไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ไม่ต้องระแวดระวัง ไมต้องกังวลสิ่งใด"
หลี่เค่อเฟิง "..."
"ท่านโตมาในยุทธภพ
คงเห็นโลกภายนอกมามากกว่าข้าใช่หรือไม่" เขาหันไปถามคนข้างกาย
ก่อนเดินขึ้นหน้า หมุนกายกลับมาหาหลี่เค่อเฟิง เดินถอยหลังคุยกับอีกฝ่าย
"เช่นนั้นท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อย ยุทธภพของพวกท่านเป็นเช่นไร
แล้วมีสิ่งใดน่าสนใจบ้าง"
คิ้วหนาของประมุขหลี่ขมวดเข้าหากัน
หรี่ตาลงมองท่าเดินที่ไม่สำรวมเช่นนี้ของอีกฝ่าย ยังนึกอยากดุเขาสักคำ
หากไม่ระวังหกล้มลงไปจะทำเช่นไร โชคดีประมุขหลี่ยั้งปากตนเองไว้ได้ทัน "เจ้าอยากรู้อะไร"
"เช่นว่ายามนี้
ผู้ใดคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า"
"ข้า"
"..." ชิงเถากระพริบตาปริบ
ๆ มองคนตรงหน้า เขาถามต่อ "เช่นนั้นพรรคใหญ่ในยุทธภพ
พรรคใดมีอิทธิพลที่สุด"
"พรรคเสี้ยวจันทรา"
"...เช่นนั้น"
ชิงเถาระบายยิ้ม "ผู้ใดหล่อเหลาที่สุดในยุทธภพยามนี้…"
"ข้า...เอ๋"
หลี่เค่อเฟิงตวัดสายตามองอีกฝ่าย ดวงตาคมดุถลึงมองชิงเถาอย่างดุร้าย
คนกลับหัวเราะคิกคักที่แกล้งเขาสำเร็จ
ชิงเถาพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม "ประมุขหลี่กล่าวได้ถูกต้อง
ท่านหล่อเหลา และส่งงามที่สุดจริงดังว่า"
"น่าตายนัก"
ถึงกลับกล้าหยอกเย้าข้าเช่นนี้ แต่ก่อนที่หลี่เค่อเฟิงจะได้ถลึงตาใส่เขาอีก
ก็ต่องเบิกตากว้าง มองร่างของคนตรงหน้าลื่นไถล เกือบหงายหลัง
มือหนาพลันเอื้อมไปคว้าข้อมือของอีกฝ่าย ดึงรั้งร่างของชิงเถาเข้ามาแนบอก
หลี่เค่อเฟิงตวาดเสียงเครียด "ระวังหน่อยมันจะตายหรือไง!"
ชิงเถานิ่งงันไปแล้ว
เขาตกใจที่ตนเองเกือบล้มเมื่อครู่
แต่ยิ่งตกตะลึงเมื่อมือคู่นั้นยื่นมาดึงเข้าเอาไว้ เสียงตวาดของหลี่เค่อเฟิง
ราวกับไม่อาจทะลุผ่านหูของเขา เนิ่นนานกว่าที่จะได้สติกลับคืนมา "ท่าน…"
"เรียกผีหรือ!"
มือหนาค่อย ๆ พยุงให้ชิงเถายืนให้ดี ก่อนกล่าวต่อ "หากครั้งหน้ายังไม่ระวังอีก เปิ้นจั้วจะผลักเจ้าตกหน้าผาด้วยตนเอง"
"ทราบแล้ว"
ชิงเถาเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้า "ครั้งหน้าไม่กล้าอีกแล้ว"
กว่าจะกลับมาสงบสุขได้
ก็ใช้เวลานานทีเดียว ทั้งคู่เดินมาจนถึงโรงเลี้ยงม้าของพรรค
จากนั้นนำม้าออกมาคนละตัว ขี่ลงไปยังเมืองเล็ก ๆ ตรงตีนเขา
กว่าจะเดินทางมาถึง ดวงตะวันก็ตรงศีรษะแล้ว
ม้าถูกนำไปฝากไว้ที่ร้านขายเครื่องหอม ซึ่งเป็นกิจการของพรรค
ส่วนชิงเถาและหลี่เค่อเฟิง พากันแวะไปหาอะไรกิน ที่โรงเตี๊ยมใกล้ ๆ
เมืองที่พวกเขาจะไปรอบนี้
ความจริงไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นเมืองฉางชุน ที่อยู่ห่างออกไปอีกราวห้าสิบลี้
ดังนั้นยามนี้จึงต้องหาอะไรรองท้องก่อน เกี๊ยวน้ำมันพริก สองชามใหญ่ถูกยกมาเสิร์ฟ
พร้อมน้ำแกงไก่ตุ๋นอีกสองชาม ชิงเถาและหลี่เค่อเฟิงจึงค่อยกินกันไปเงียบ ๆ
ไปพลางฟังเสียงผู้คนรอบข้างไปพลาง
"งานชุมนุมกระบี่รอบนี้
ผู้ใดเป็นเจ้าภาพจัดงานนะ"
เสียงนี้ดังมาจากโต๊ะที่อยู่ด้านหลังของชิงเถา
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองหลี่เค่อเฟิงที่ยังก้มหน้ากินเกี๊ยว ไม่สนใจพวกเขา
"พรรคหมื่นกระบี่กระมัง"
"ค่ายสำนักใหญ่มากมาย
หมื่นกระบี่คืออันดับหนึ่งในใต้หล้า พวกเขาออกหน้าจัดงานนี้ ก็สมควรแล้ว"
หนึ่งในใต้หล้าคำนี้ ประมุขหลี่ก็เพิ่งพูดไป…
"แค่ก ๆ"
ชิงเถายกมือขึ้นป้องริมฝีปาก พยามยามไม่หัวเราะออกมา
จนถูกหลี่เค่อเฟิงถลึงตาใส่ เขาพลันคิดว่าเรื่องงานชุมนุมอะไรเหล่านั้น
ช่างน่าสนใจนัก จึงลอบตั้งใจฟังอีกหลายส่วน
"ข้ากลับคิดว่า
วังฮวาหลานเหมาะสมกว่า พรรคหมื่นกระบี่นั่นเป็นตัวอะไร
ก็แค่กลุ่มชายฉกรรจ์ไร้อารยธรรมกลุ่มหนึ่ง
จะสู้บรรดาสาวงามจากวังฮวาหลานได้อย่างไร"
"เจ้ามันมากตัณหา
ฮ่า ๆๆๆ"
"หากพูดเรื่องความสามารถ
อารามอานผิงก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่อื่น
ทั้งไต้ซือต้วนเฉายังเป็นพระโพธิสัตว์ลงมาจุติ
เขาต่างหากจึงจะเหมาะสมจัดงานออกหน้าออกตาเช่นนี้"
"นี่เป็นเรื่องของสามัญชน
หาใช่กิจของสงค์ไม่ หากไต้ซือต้วนเฉาเข้ามาข้องเกี่ยว
ยังจะกล้ากล่าวว่าตนเองตัดขาดกิเลส ไม่ข้องแวะธุรีแดงได้อีกหรือ"
น้ำเสียงนั้นฟังออกว่าเป็นเสียงของสตรี
ชิงเถามองไปตามเสียง ก็พบกับคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นสตรีถึงหกคน หนึ่งในนั้นคือคนที่เพิ่งกล่าวประโยคเมื่อครู่
นางสวมหมวดสานจากไม้หวาย มีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า จึงมองไม่ออกว่าหน้าตาหมดจดงดงาม
หรือว่าขี้ริ้วขี้เหร่
แต่คำพูดของนางประโยคนี้
กลับทำให้คนที่จับกลุ่มพูดคุยกันเมื่อครู่หันไปมอง บุรุษที่เพิ่งยกยอไต้ซือต้วนเฉา
ถลึงตามองนาง
"เป็นหญิงสาวจากสกุลใด ไม่อยู่ในเหย้าในเรือน
กลับออกมากล่าววาจาเหลวไหลภายนอก"
สตรีอีกนางตบฝักกระบี่ลงบนโต๊ะ "คนของวังฮวาหลานเรา
ใช่คนที่พวกเจ้าจะมาสนทนาด้วยหรือ"
"ที่แท้ก็สตรีที่ชอบจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มก้อน"
"เจ้า!"
"พอแล้ว"
สตรีที่ปิดหน้านางนั้นกล่าว ก่อนหันกลับมามองบุรุษกลุ่มนั้น
"กล่าวถึงการจัดงานชุมนุมกระบี่
สามค่ายพรรคอย่างไรก็คานอำนาจกันมานานแล้ว จะบอกว่าเหมาะสมก็เหมาะอยู่
จะบอกว่าไม่เหมาะสมก็ใช่จะไม่ถูก กล่าวมาถึงตรงนี้ สำนักใหญ่สำนักที่สี่
ยังเข้าข่ายควรเป็นเจ้าภาพยิ่งกว่าสามสำนักใหญ่"
สำนักที่สี่ผีสางมาจากไหน…
ต้องรู้ว่า หมื่นกระบี่ วังฮวาหลาน
และอารามอานผิงนั้น เป็นค่ายสำนักใหญ่ฝ่ายธรรมะ ที่มีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย
นับไปแล้วก็มีเพียงสามสำนักนี้ ที่เหมาะเป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมกระบี่
ในยุทธภพยังไม่เคยปรากฏสำนักที่สี่มาก่อน พอนางกล่าวเช่นนี้ บุรุษสามสี่ชีวิตบนโต๊ะนั้นก็ต่างพากันงุงงงไปตาม
ๆ กัน
เป็นคนที่กล่าวว่าวังฮวาหลานเหมาะสมเมื่อครู่
ออกหน้าประสานมือถามยิ้ม ๆ
"ที่แม่นางกล่าวถึง คือที่ใดหรือ
สามารถออกหน้าจัดงานแทนสามสำนักใหญ่ ใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดอาจหาญอีก"
นางถอดหมวดสานออกเชื่องช้า
เผยให้เห็นใบหน้างามหยดราวสวรรค์สร้าง น้ำเสียงยังอ่อนหวานดุจน้ำค้างยามเช้า "ก็คือพรรคเสี้ยวจันทราอย่างไรเล่า
ประมุขหลี่ของพวกเขา องอาจห้าวหาญ ทั้งวรยุทธ์สูงส่งเพียงนั้น เขาไม่เหมาะสม
ผู้ใดยังจะเหมาะสมอีก"
โฉมงามผู้นั้น งดงามชวนตะลึงมากจริง
ๆ แต่เมื่อคนที่นางกล่าวถึงคือหลี่เค่อเฟิง ผู้คนที่รอฟังการถกเถียงครั้งนี้
ก็ถึงกับสั่นสะท้าน พรรคเสี้ยวจันทราเป็นสถานที่เช่นไร
ต่อให้ไปถามเอากับเด็กสามขวบ ก็ยังคงได้คำตอบเช่นเดิม ก็คือพรรคมาร หลี่เค่อเฟิง
เป็นคนเช่นไร ก็คือประมุขพรรคมาร กล่าวไปกล่าวมา ตามเห็นตามผลแล้ว
จะบอกว่าให้ประมุขพรรคมารมาจัดงานชุมนุมกระบี่ รวบรวมชาวยุทธ์
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร
ชิงเถาปรายตามอง'ประมุขหลี่'ผู้องอาจห้าวหาญ ในบทสนทนาครู่หนึ่ง พบว่าเขาไม่เพียงไม่สนใจ
ยังคงตั้งอกตั้งใจกินยิ่งกว่าเดิม จึงถอนสายตากลับมามองกลุ่มคนอีกครั้ง
"ประมุขหลี่?"
คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น "หลี่เค่อเฟิงเป็นคนพรรคมาร
ฝึกวิชามารชั่วช้าต่ำทราม แม่นางกลับบอกว่าเขาองอาจห้าวหาญ
นี่ออกจะเป็นการยกยอเกินไปกระมัง"
"..."
"อีกทั้งนี่เป็นเรื่องของฝ่ายธรรมะเรา
เกี่ยวอันใดกับคนฝ่ายมารเล่า พรรคเสี้ยวจันทราก่อกรรมทำเข็น สองมือมีแต่คาวเลือด
หลี่เค่อเฟิงเป็นประมุขพรรค ย่อมมิใช่ตัวดีเด่อะไร วังฮวาหลานของพวกเจ้า
พูดจายกหางเขาเช่นนี้ คงมิใช่ว่า มีความคิดไม่ชอบมาพากลหรอกกระมัง"
"วาจาเน่าเหม็น!"
สตรีอีกห้าคนที่เหลือต่างลุกขึ้นชักกระบี่ "ศิษย์พี่หลิวเพียงรู้สึกชื่นชมประมุขหลี่ ทั้งว่ากันตามหลักแล้ว
พรรคเสี้ยวจันทราเร้นกายในหุบเขามาเนิ่นนานปานนี้ ไม่เคยก่อความวุ่นวายในยุทธภพ
พวกเจ้าใส่ร้ายคนลับหลัง ยังกล้าเรียกตนเองเป็นวีรชนหรือ!"
ต่อจากองอาจห้าวหาญ
ก็กลายเป็นคนชั่วช้าต่ำทราม หลี่เค่อเฟิงฟังพวกเขาทะเลาะกันจนไม่อยากอาหารแล้ว
ชายหนุ่มวางตะเกียบลง ไม่แตะเกี๊ยวในชามอีก
ชิงเถาเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะน้อย ๆ
อดสัพยอกเขาไม่ได้
"คนเขามีใจให้ท่านอย่างเปิดเผยปานนี้
ประมุขหลี่ก็ออกหน้าปกป้องนางหน่อยเป็นไร"
หลี่เค่อเฟิงแค่นยิ้มหยัน "เจ้าแน่ใจหรือ
ว่าอยากให้ข้าออกหน้าให้นาง?"
รอยยิ้มของชิงเถานิ่งค้าง ก่อนค่อย ๆ
หุบลง เขาจ้องมองหลี่เค่อเฟิงราวกับแมวมองเหยื่อ จากนั้นจึงค่อยเห็น
รอยยิ้มของประมุขหลี่จางหายไปจากใบหน้า ชายหนุ่มวางตั๋วเงินลงบนโต๊ะ พลางกล่าว "ไปเถอะ
เรื่องพวกนี้อย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเรา"
ชิงเถากวาดตามองรอบกายคราหนึ่ง จึงตัดสินใจลุกขึ้น
เตรียมที่จะเดินตามอีกฝ่ายจากไป กลับเป็นเสียงของกลุ่มคนด้านหลัง
ที่ทำให้เขาชะงักฝีเท้าอีกครั้ง
"หรือแม่นางท่านนี้
อยากปีนขึ้นเตียงหลี่เค่อเฟิงจนตัวสั่นหรือ จึงทนมิได้ที่ผู้อื่นต่อว่าเขา
ก็อย่างที่ว่ามา ประมุขมารผู้นั้นข้าได้ยินมาว่า เราร่ำรวยมากทีเดียว
หากจะมีใครคิดเข้าหาเขา ใช้เรือนร่างประจบสอพอ เพื่อความก้าวหน้า
ก็พอเข้าใจได้อยู่"
หลิวอวี่เป็นศิษย์เอกของเจ้าวังฮวาหลาน
ไหนเลยจะเคยถูกลบหลู่เช่นนี้ "เจ้า!"
"หากคิดอยู่ข้างกายหลี่เค่อเฟิง
ก็คงต้องเป็นพวกหญิงหยำฉ่าแล้ว จึงจะเหมาะสมกัน ฮ่า ๆๆ"
ยามนั้นเอา
หางตาของชิงเถาพลันปรากฏเส้นสายของการเคลื่อนตัว
ชั่วขณะที่หลี่เค่อเฟิงผ่านหน้าเขาไป ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
รีบหันกลับไปมองทางนั้นอีกครั้ง
ในฝ่ามองของประมุขหลี่ยามนี้
มีลำคอของคนผู้หนึ่งอยู่ ก็คือบุรุษที่พูดคำเมื่อครู่จบพอดี
จากนั้นทั้งร่างก็ถูกกระแทกเข้ากับผนัง ลำคอซึ่งเป็นจุดตาย
ยังถูกหลี่เค่อเฟิงบีบเอาไว้แน่น
ประมุขหลี่ยามแผ่ไอสังหารออกมา
ต่อหน้าผู้คนช่างน่าเกรงขาม และน่าหวั่นเกรง ชิงเถากระพริบตาปริบ ๆ
มองคนที่เมื่อครู่ยังทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยามนี้กลับลงไม้ลงมือแล้ว
หลี่เค่อเฟิงปรายตามองคนผู้นั้น
ราวกับกำลังมองคนตาย
"เปิ้นจั้วกลับเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง คนข้างกายของข้า
พวกเจ้าก็ยังกล้าเอามาวิจารณ์ ลบหลู่กันตามใจชอบ?"
คำกล่าวนี้ไร้ที่มาที่ไป
ผู้อื่นยังคงมึนงงที่เขาลงมือ ชิงเถากลับหัวใจกระตุกวูบ
จ้องมองแผ่นหลังของคนผู้นั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
ยิ่งไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง นี่หลี่เค่อเฟิงกำลังทำอะไร
เหมือนว่าอีกฝ่ายกำลัง
ปกป้องเขาอยู่หรือ…
แม้ฟังดูเข้าข้างตนเองไปสักหน่อย
แต่หากกล่าวว่าเป็นคนข้างกายประมุขหลี่ ชิงเถากลับมองเห็นเพียงตนเองเท่านั้น
ต่อมาจากความดีใจ ก็เป็นความไม่แน่ใจเล็กน้อย หลี่เค่อเฟิงย่อมปกป้องเขาสิ
คงไม่ถึงกับปกป้องคนที่ตามไปแล้วผู้นั้นหรอกกระมัง…
"จะ จะ
เจ้าเป็นใคร!" เสียงของคนที่ถูกบีบคออยู่สั่นสะท้าน
หลี่เค่อเฟิงแค่นเสียงเย็นชา "เหอะ
กล้าพูดถึงเปิ่นจั้วลับหลัง กลับไม่รู้จักกระทั่งหน้าตาของเปิ่นจั้วหรือ"
แรงรัดที่ลำคอแน่นขึ้นอีก
จนคนผู้นั้นตาเหลือกขึ้น แม้อยากซึมซับความดีใจให้มากอีกหน่อย
ชิงเถาก็ไม่อยากให้เขาสังหารคนที่นี่ จึงเดินเข้าไปจับไหล่เขาอย่างถือวิสาสะ
หลี่เค่อเฟิงปรายตามองมือที่อยู่บนไหล่ตน ก่อนค่อย ๆ คลายมือออก "เจ้ายุ่งอะไร?"
"ถือสาหาความกับพวกเขาทำไม"
ชิงเถายิ้มน้อย ๆ ดึงมือหนาออกมาจากร่างของคนผู้นั้น
ต่อหน้าคนมากมาย เขายังถึงกับเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ
เช็ดมือให้หลี่เค่อเฟิงอย่างถนอม "พวกเขาไม่มีค่าพอ
ให้มือท่านแปดเปื้อนหรอก"
"แต่…"
"ท่านปกป้องข้าหรือ"
ท่าทีเอียงคอน้อย ๆ ทั้งยิ้มมองเขาเช่นนี้
ทำให้โทสะของหลี่เค่อเฟิงคลายลงไม่น้อย เขาถลึงตามองมือของชิงเถา
ที่เกาะกุมมือของตนอยู่ จากนั้นสะบัดออกราวกับต้องของร้อน "ใครปกป้องเจ้า
โง่นัก ข้าแค่รู้สึกระคายหูเท่านั้นแหละ"
"เช่นนั้นหรือ"
"ใช่น่ะสิ!"
"หึ"
เกรงว่าในสายตาของพวกเขา ยามนี้คงมีเพียงกันและกันแล้ว
ผู้คนรอบข้างต่างไร้ความหมาย ชิงเถาอารมณ์ดียิ่ง อะไรก็ล้วนไม่ถือสาอีก
"เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ยังมีอีกหลายอย่างต้องไปจัดการ"
เขามองชิงเถาอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง
ก่อนพยักหน้ารับ เตรียมที่จะเดินจากไป ยามนั้นกลับมีเสียงของสตรีนางหนึ่ง
เอ่ยรั้งพวกเขา "ช้าก่อน!"
หลี่เค่อเฟิงเหลือบมองนางเล็กน้อย
ไม่กล่าวคำ กลับเป็นชิงเถาที่ยืนขวางเอาไว้ ระว่างนางกับประมุขหลี่ "แม่นางท่านนี้
มีอะไรหรือ?"
นางมองแผ่นหลังของหลี่เค่อเฟิงอย่างลังเล
ก่อนมองชิงเถาท่าทางยังดูอ่อนหวาน "คือเอ่อ ท่าน ท่านใช่ประมุขหลี่หรือไม่เจ้าคะ"
แน่นอนว่าคำถามนี้ มิได้ถามเขา
ชิงเถาเหลือบมองหลี่เค่อเฟิงที่นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำ ก่อนหันกลับมาตอบนาง
ทั้งไม่สนใจว่านางจะฟังหรือไม่ "ประมุขของเรารักความสงบ แม่นางอย่าได้ถือสา"
"เป็นท่าน…"
นางกล่าวอย่างเลื่อนลอย ดวงหน้างามแดงระเรื่อ "เป็นท่านจริง ๆ ด้วย เอ่อ ผู้น้อย หลิวอวี่ จากวังฮวาหลาน
ขอบคุณประมุขหลี่ที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ"
"แม่นางไม่ต้อง…"
"ข้าช่วยเจ้าหรือ"
หลี่เค่อเฟิงปรายตามอง "เจ้านับเป็นตัวอะไรล่ะ"
"!!!"
ชิงเถาระบายยิ้มออกมาเต็มใบหน้า
ทั้งรู้สึกเบิกบานใจยิ่ง ปากกลับกล่าว "วันนี้ประมุขของพวกเราอารมณ์ไม่ค่อยดี
แม่นางหลิวอย่าได้ถือสา"
นางไหนเลยจะไม่ถือสา ดวงตาหงส์แดงก่ำ "ประมุข…"
"ไปได้แล้ว"
หลี่เค่อเฟิงกล่าวกับชิงเถา "พิรี้พิไรอยู่นั่น"
"ได้"
ชิงเถาย่อมเชื่อฟังเขา "เช่นนั้น
คงต้องลาก่อนแล้ว"
นางเห็นว่าอย่างไรคนในใจก็คงไม่คุยด้วย
จึงยอมพูดกับชิงเถาในที่สุด "พวกท่าน เอ่อ พวกท่านจะไปที่ไหนกันหรือ"
คุณชายชิงกล่าวไปเรื่อย "สุดหล้าเขาเขียว
ขอเพียงประมุขหลี่ต้องการไปที่ใด ข้าก็จะไปกับเขา"
จากนั้นก็ถูกหลี่เค่อเฟิงคว้าข้อมือเอาไว้
พลางลากให้เดินตามออกนอกร้าน ท่ามกลางสายตาตกตะลึง และสับสนมึนงงของผู้คน
หลิวอวี่สั่นสะท้านในใจ
นางเคยพบเจ้าหลี่เค่อเฟิงนานแล้ว ตั้งแต่อีกฝ่ายยังคงเป็นประมุขน้อย
คนในใจเติบโตขึ้นมา ยามพบกันอีกครั้ง เขาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
ไม่เหลือบแลมองนางแม้เพียงเศษเสี้ยงของหางตา
พอออกมาจากโรงเตี๊ยมแล้ว
ชิงเถาก็ปล่อยให้อีกฝ่ายจับจูงมือของตนเช่นนั้น ไม่ปริปากกล่างแม้เพียงครึ่งคำ
เพียงรับเอาไออุ่นจากหลี่เค่อเฟิงมาเงียบ ๆ
กระทั่งหลี่เค่อเฟิงรู้สึกตัว
ว่าคนด้านหลังเงียบผิดปกติ จึงหันกลับไปมอง ดวงหน้าหล่อเหลาขององครักษ์หนุ่ม
แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า ยังดูโง่งมเล็กน้อย ประมุขหลี่ก้มมองตามมือเขาไป
พบว่าคนกำลังมองข้อมือของตนที่เขากุมอยู่ มือข้างนั้นราวกับโดนลวกก็มิปาน
หลี่เค่อเฟิงสะบัดมือออก จากอีกฝ่าย
ยังถลึงตามองเขาอย่างขัดเคือง "เป็นบ้าไปแล้วหรือ ยิ้มอะไรอยู่ได้
จมูกบานออกมาแล้ว!"
"คงเป็นบ้าไปแล้วจริง
ๆ" แม้ถูกด่า ก็ยังคงชื่นบานยิ่ง "ไม่จับต่อแล้วหรือ"
"เจ้า!"
"ข้าทำไมหรือ"
ใบหน้าหล่อเหลาของชิงเถายื่นเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
ระยะห่างของคนทั้งคู่ลดลงอีกไม่น้อย "ข้าน่ารักมาก
หรือว่าน่าปกป้องมาก ในสายตาของเฟิงอวิ๋น ข้าเป็นเช่นไรหรือ”
"หน้าหนาหน้าทน"
"หึ
คำชมนี้ขอไม่รับไว้แล้วกัน" ปลายเท้าของชิงเถาชนกับเท้าของอีกฝ่าย
เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองคนที่รีบเอนตัวไปด้านหลัง "แต่ว่าข้าเองก็เพิ่งรู้
ระหว่างโฉมงามกับหนุ่มหล่อ เฟิงอวิ๋นยังคงเลือกข้า"
"เลือกเจ้ากับผีน่ะสิ!"
อะไรเอ่ยแข็งกว่าหยกชั้นดี เฉลยยยยยย ปากท่านประมุขเจ้าค่ะ
พูดคุยกับเถียนซินได้ที่
เพจ เถียนซิน
ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408
ความคิดเห็น