คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่.4 ในฝันนั้น มีท่านอยู่จริง ๆ 100%
บทที่.4
ในฝันนั้น มีท่านอยู่จริง ๆ
ลานกว้างในพรรคเสี้ยวจันทรายามนี้
พรั่งพร้อมไปด้วยเหล่าสานุศิษย์ และผู้อาวุโสในพรรค
ชิงเถายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่คุ้นเคย แผ่นหลังของชายหนุ่มเหยียดตรง มั่นคงราวกับภูผาที่ไม่มีวันถล่มลงมา
สบตาสบกับประมุขพรรคเสี้ยวจันทรา ที่อยู่ห่างออกไป
เขายังอุตส่าห์คลียิ้มกว้างให้อีกฝ่ายด้วย
หลี่เค่อเฟิงนั่งเท้าคางอยู่บนตำแหน่งประมุข
มุมปากกระตุกไปไม่รู้กี่รอบ ท่าทางราวกับกำลังเที่ยวชมทัศนียภาพงดงามของทิวเขา
หรือทุ่งดอกไม้ ผ่อนคลายเอ้อระเหยเช่นนี้
ช่างขัดแย้งกับบรรยากาศภายในพรรคของเขายิ่งนัก
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งแลเห็นแล้ว
ว่าผ่านไปครึ่งค่อนวันท่านประมุขก็ยังคงเองแต่ถลึงตา จ้องมองบุรุษแปลกหน้าผู้นั้น
คนก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว จะกล่าวสิ่งใดก็ไม่กล่าวสักอย่าง จึงทำใจกล้าเอ่ยถามหลี่เค่อเฟิงโดยตรง "เรียนถามท่านประมุข
คนผู้นี้คือ…"
"เขา…"
"ข้าชื่อชิงเถา"
ชิงเถาเอ่ยตอบ ยังลอบขยิบตาให้อีกฝ่าย "มาจากเมืองเฉิงตู
ฝากตัวกับทุกท่านด้วย"
ผู้อาวุโสที่เอ่ยถาม มีนามว่าหูสือ
เขาเหลือบมองชิงเถาคราหนึ่ง จึงหันกลับไปมองหลี่เค่อเฟิงอีกครั้ง เมื่อพบว่าท่านประมุขไม่กล่าวคำใด
จึงตัดสินใจไถ่ถามคนด้วยตนเอง "เช่นนั้นคุณชายชิงเดินทางไกลครั้งนี้
ดั้นด้นมาถึงหุบเขาแสงจันทร์ของเรา มิทราบว่ามีธุระใดสำคัญหรือ"
ชิงเถาตอบกลับไม่เร็วไม่ช้า
น้ำเสียงยังไร้ซึ่งความลังเล "ตามเขามา"
ทั่วทั้งลานกว้างตกอยู่ในความเงียบ 'เขา' ที่ว่าย้อมเป็นประมุขพรรคเสี้ยวจันทราไม่ผิดแน่ ผู้คนภายในพรรคต่างรู้แจ้ง
ท่านประมุขจากไปหลายเดือน มุ่นหน้าไปยังเมืองเฉิงตู เพื่อสืบข่าวคราวของคนในพรรค
ข่าวสืบมาได้แล้วก็แล้วไป คนจากไปแล้วก็ช่างเถอะ
แต่เหตุใดจึงถึงกับมีบุรุษติดตามกลับมาด้วย หรือท่านประมุขคิดจะรับอนุชาย?
ความคิดนี้เกิดขึ้นมาภายในใจคนหลายคน
เพียงแต่เมื่อหันไปพบใบหน้าของหลี่เค่อเฟิงยามนี้ อะไรก็ไม่อาจคิดต่อไปได้แล้ว
ใบหน้าของบุรุษที่กำลังจะรับอนุ จะดูน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้อย่างไร
ราวกับเขากำลังเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ก็ไม่ปาน
ฮวาเหลียนผู้อาวุโสหญิงเพียงคนเดียวในพรรคเสี้ยวจันทรา
เหลือบมองชิงเถาอย่างสนใจ ก่อนถามเขา "ตามท่านประมุขของเรามา
ไม่ทราบว่ามีจุดประสงค์ใดหรือ"
"ย่อมต้องอยากมาอยู่ที่นี่"
ชิงเถาระบายยิ้ม ใบหน้าของคุณชายชิงนั้นหล่อเหลา
ทั้งยังมีความสง่างามดั่งสายเลือดขุนนาง แม้กลิ่นอายทั่วร่างเป็นชาวยุทธ
ก็มิอาจลดทอนความสูงศักดิ์ของเขาได้ "ข้ามิได้มีเจตนาใดแอบแฝง
เพียงแค่…"
ช่องว่างของคำพูดที่ถูกเว้นไว้
เรียกความสนใจของคนทั้งหมดให้นิ่งงัน รอฟังวาจาต่อไปของเขา
ชิงเถายกยิ้มสูงขึ้นอีกหน่อย ทั้งดูหยอกล้อและพอใจ "เพียงแค่อยากใกล้ชิดประมุขหลี่ให้มากอีกหน่อย"
"แค่ก ๆ"
หลี่เค่อเฟิงสำลักอากาศทั้งอย่างนั้น เขาปิดปากไอแห้ง ๆ
ออกมารอบหนึ่ง จึงค่อยมีแรงไปถลึงตาใส่ผู้คนที่กำลังจ้องมองตนด้วยความตกตะลึง
"หากกล้ามองอีก จะควักลูกตาพวกเจ้าออกมา!"
ทุกคนต่างก้มหน้าลงโดยพลัน จะมีก็แต่ชิงเถาที่ยังคงยืนอยู่ตรงหน้า
เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างถือดี หลี่เค่อเฟิงข่มโทสะกลืนลงท้อง
พยายามอย่างยิ่งให้ตนเองไม่ลงมือกับอีกฝ่าย "พูดจาเหลวไหลให้น้อยหน่อย"
"ข้าไม่ได้…"
"เจ้าอยากตามมา
ข้าก็ให้ตามมาแล้ว ยังต้องการอะไรอีก"
"ข้าก็บอกไปแล้ว"
ชิงเถายกมือขึ้นกอดอก ราวกับไม่มีผู้ใดยืนอยู่ตรงนี้ "ข้าอยากใกล้ชิดกับท่านอีกหน่อย อีกสัก…"
"พอ!"
หลี่เค่อเฟิงถลึงตาจนรู้สึกปวดไปหมด "รีบพูดธุระของเจ้ามา
อย่ามาพิรี้พิไร"
"เฟิง…"
"ชิง เถา"
"ได้"
ท่าทางหยอกเย้าถูกเก็บกลับไปจนหมด
ชิงเถาเพิ่มความจริงจังเข้าไปในน้ำเสียงอีกหน่อย "ข้าจะอยู่ที่นี่"
"เจ้ายังจะ…"
"จะ อยู่ ที่ นี่"
คนทั้งสองต่างสบตากันเนิ่นนาน
ล้วนไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวคำ สุดท้ายเป็นหลี่เค่อเฟิงถอนสายตากลับไปก่อน กัดฟันกล่าว "แต่ใดมา
พรรคเสี้ยวจันทรารับศิษย์ตามใจอาจารย์ หากไม่มีผู้อาวุโสท่านใดยินดีรับเจ้าเป็นศิษย์
เจ้าก็อยู่ที่นี่ไม่ได้"
ชิงเถากวาดตามองผู้อาวุโสสองคนที่อยู่ตรงนี้
เขาระบายยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหน้า "ข้าไม่กราบพวกเขาเป็นอาจารย์"
หูสือได้ยินเช่นนั้นก็พลันขมวดคิ้ว
เอ่ยถามด้วยความไม่พอใจนัก
"ทำไม หรือเห็นว่าพวกเราผู้เฒ่าวรยุทธไม่ถึงขั้น
ไม่คู่ควรสั่งสอนเจ้าหรือ?"
"มิได้"
คนหนุ่มมีมารยาท เมื่อกล่าวคำที่ดูล่วงเกินผู้คน
ชิงเถาจึงหันไปทางพวกเขา โค้งกายคำนับหนึ่งครั้งเป็นการขออภัย "เพียงแต่ผู้น้อยกราบอาจารย์มาหลายปีแล้ว ชั่วชีวิตสาบานเอาไว้
จะมีตาเฒ่าผู้นั้นเป็นอาจารย์เพียงผู้เดียว"
ผู้อาวุโสฮวาเหลียนกลับอดไม่ได้
เกิดความสงสัยจนต้องเอ่ยถาม "เป็นผู้เยี่ยมยุทธท่านใด ที่รับศิษย์ไปแล้ว
ยังถึงกับให้สาบานเช่นนี้"
"ความจริงเป็นข้าที่สาบานเอง"
ชิงเถากล่าว "อีกทั้งอาจารย์พเนจรในยุทธภพ
หลายปีมานี้ก็เป็นเพียงตาเฒ่าผู้หนึ่ง ไม่มีชื่อเสียง ไร้ซึ่งสังกัด
วันทั้งวันไม่ดื่มสุรา ก็อยู่ในหอโคมเขียว ไม่มีอะไรน่ากล่าวถึง"
ผู้อาวุโสทั้งสองลอบส่งสายตาให้กัน
คนที่มีบุคลิกโดดเด่นเช่นนี้ ทั่วทั้งใต้หล้ามองแล้ว ยังหาไม่พบสักคน
แล้วเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นศิษย์คนดีของผู้ใดกัน
ฮวาเหลียนนั้นเป็นสตรีที่หลงไหลในวรยุทธ
แม้ปีนี้นางย่างเข้าห้าสิบปีไปแล้ว ก็ยังคงมีความกระตือรือร้นกับสิ่งใหม่ ๆ
ยิ่งได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ่งเกิดความสนใจ นางเหลือบมองหลี่เค่อเฟิงคราหนึ่ง
ตัดสินใจด้วยตนเองอย่างฉับพลัน "ในเมื่อไม่กราบอาจารย์เข้าสำนัก
ก็จะไม่พูดกับเจ้าถึงผู้อาวุโสอีกสองคนที่เหลือ แต่หากเจ้าอยากอยู่ที่นี่
อย่างน้อยก็ควรแสดงความสามารถสักหน่อย พรรคเสี้ยวจันทราก็มีกฎเกณฑ์
ใช่สถานที่ให้อยากมาเยือนเมื่อใดก็ได้"
ชิงเถาเลิกคิ้วขึ้นมองนาง ทั้งถามด้วยรอยยิ้ม "ความหมายของผู้อาวุโสคือ"
"ท่านประมุขพาเจ้าเข้ามา
จะใช้วิธีที่โหดร้ายก็ดูจะไม่เหมาะสม อย่างไรก็ประลองยุทธกับเราผู้เฒ่าสักรอบ
ภายในสิบกระบวนท่า หากเจ้ายังยืนหยัดอยู่ได้ เรื่องอยู่ที่นี่
ท่านประมุขต้องคิดทบทวนอีกครั้งแน่"
"คำพูดนี้ของผู้อาวุโส
มีความจริงอยู่กี่ส่วนหรือ"
ฮวาเหลียนหันมองหลี่เค่อเฟิงทันที
ราวกับอยากจะบอกเขาว่าท่านประมุขคนดี จะดีร้ายก็เติบโตมากับเราผู้เฒ่า
ข้าอยากประลองแลกเปลี่ยนวรยุทธกับเจ้าเด็กนี่ ท่านก็ช่วยส่งเสริมข้าสักครั้งเป็นไร
หลี่เค่อเฟิงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ก็เพียงประลองกันไม่กี่ขบวนท่า หากชิงเถาพ่ายแพ้ ก็จะได้ยอมรามือจากไปเสียที
ไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ได้ ไม่มีเสีย สุดท้ายประมุขหลี่จึงพยักหน้าตกลงข้อเสนอนี้
"ขอเตือนเจ้าสักคำ"
หลี่เค่อเฟิงกล่าว "ผู้อาวุโสฮวาแม้เป็นสตรี
ก็ยังเป็นหนึ่งในสี่เสาหลักของพรรคเรา หากดูถูกนางแล้วละก็ ชีวิตน้อย ๆ
ของเจ้าก็ยากจะรักษาเอาไว้ได้"
ชิงเถาขยิบตาให้อีกฝ่ายอย่างหยอกเย้า "ขอบคุณประมุขหลี่ที่ห่วยใย"
ห่วงใยมารดาเจ้าสิ!
*หนึ่งสุริยันสาดส่องทั่วผืนธรณี
ปลายกระบี่คมในมือผู้อาวุโสฮวาเหลียนทอประกายเจิดจ้า ชิงเถายืนเผชิญหน้ากับนาง
หนึ่งคนตัวเปล่าไร้ซึ่งอาวุธ ทำให้ผู้คนต่างลอบแปลกใจได้ไม่ยาก
ฮวาเหลียนเห็นผ่านไปนานแล้ว
เด็กหนุ่มก็ยังคงยืนอยู่เช่นนั้น บนลานประลองที่ต้องห้ำหั่นกันให้ดุเดือด
เขากลับวางเฉยราวกับไม่มีใจจะประลองกับนาง "เจ้ากำลังทำอะไร ครึ่งค่อนวันไม่ยอมชักกระบี่
ยังจะยืนรอชมดวงตะวันยามที่อยู่ตรงศีรษะหรือ"
ชิงเถาส่ายหน้า "ข้าไม่ใช้อาวุธ"
ฮวาเหลียนถลึงตามองผู้เยาว์เบื้องหน้า
ภายในใจยังคุกรุ่นไม่น้อย
"ไม่ประมาณตรง!"
ท่าร่ายกระบี่กระบวนท่าแรกสำแดงออกมา
ปลายกระบี่ก็พุ่งเข้าสู่จุดตายของชิงเถาทันที ชิงเถาก้าวถอยหลังสามก้าว
จากนั้นเบี่ยงตัวหลบคมกระบี่ ในมือมีถุงมือเสินมู่คอยปัดทิศทาง
ผ่านไปหนึ่งเค่อ
คนก็ประลองกันไปเกินสามสิบกระบวนท่า ไม่รู้ผลแพ้ชนะกันโดยง่าย ยิ่งสู้กลับยิ่งยืดเยื้อ
หลี่เค่อเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย
มองดูการประลองในครั้งนี้ แม้เป็นสตรี
วรยุทธ์ของผู้อาวุโสฮวาก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสคนอื่น
เรียกได้ว่าเป็นกำลังหลักของพรรคเสี้ยวจันทรา ผ่านมาอีกสองเค่อ
ชิงเถายังสู้กับนางได้อย่างสูสี ความสามารถของเขานั้น อย่างไรก็คงมิอาจดูเบาจริง ๆ
เขาชั่งใจครู่หนึ่งจึงบอกให้หงซินเยว่จุดธูป
ผ่านช่วงหนึ่งก้านธูปนี้ไป หากการประลองยังไม่รู้ผล ก็ควรหยุดได้แล้ว
หูสือเห็นว่าท่านประมุขมีความเคลื่อนไหว
จึงหันกลับไปประสานมือ กล่าวอย่างนอบน้อม "การประลองครั้งนี้ ในความเห็นของท่านประมุข…"
หลี่เค่อเฟิงส่ายหน้า
เท้าคางอย่างเกียจคร้าน
"เขาไม่ยอมเอาจริง
สู้ต่อไปก็รังแต่จะทำให้ผู้อาวุโสฮวาเหนื่อยเปล่า"
ผู้อาวุโสหูหลุบตามองพื้น
มิได้ออกความเห็นอีก พอผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป หลี่เค่อเฟิงก็โยนถ้วยชาในมือออกไป
เล็งให้ตกลงที่ข้างเท้าของชิงเถาพอดิบพอดี หนึ่งถ้วยชาแตกละเอียด
หยุดการเคลื่อนไหวของชิงเถาในชั่วพริบตา
"ถือว่าเสมอกัน
หยุดมือได้แล้ว"
"ท่านประมุข!"
ฮวาเหลียนแผดเสียงร้อง นางไหนเลยจะยินยอม เจ้าเด็กน่าตายนี่
จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมเอาจริง หากวันนี้นางยอมให้ผลออกมาเสมอกัน
วันหน้ามิถูกคนขึ้นมาเหยียบอยู่บนศีรษะหรือ ตำแหน่งผู้อาวุโสนี้ จะมีไว้เพื่ออะไร
"คำไหนคำนั้น
ข้าตัดสินไปแล้ว" ดวงตาของประมุขหลี่คมดุ
ยามมองผู้อาวุโสฮวาก็เย็นชาจนน่าใจหาย "หากท่านยังดึงดันจะประลอง
ก็ประลองกับข้า"
ผู้อาวุโสฮวาสั่นสะท้าน
หากบอกว่าให้ประลองต่อนางย่อมยินดี แต่หากต้องเปลี่ยนคู่ประลองเป็นท่านประมุข
ไหนเลยนางจะยังลำพองเอาตนเองไปเทียบเคียง คนผู้นี้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์
อัจฉริยะในรอบร้อยปีจะพบสักครั้ง อายุเพียงเท่านี้วรยุทธ์กลับมิอาจดูเบาได้
สุดท้ายฮวาเหลียนจึงยอมล่าถอย
กลับไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่ที่เดิมของนาง
ชิงเถาเงยหน้าขึ้นมองหลี่เค่อเฟิงที่อยู่ด้านบน
เขาถามอีกฝ่าย
"เช่นนี้ควรตัดสินเช่นไร"
"เจ้าอยู่ได้"
มือของประมุขหลี่รับชาถ้วยใหม่จากหงซินเยว่ หลุบตามองน้ำชาร้อน
"แต่พรรคข้ามิใช่โรงทาน หากอยากอยู่เจ้าต้องมีประโยชน์"
"อย่างเช่น?"
"ไปหาบน้ำตัดฟืนเป็นไร
อย่างไรบ่าวรับใช้คอยทำงานจิปาถะเหล่านี้ ในพรรคเราช่วงนี้ก็ขาดแคลนอยู่"
ชิงเถา " …"
เห็นเขาเงียบเสียงไป
หลี่เค่อเฟิงก็เลิกคิ้วขึ้นมอง แววตามีความเหยียดหยามลาง ๆ "ทำไม
ทำมิได้หรือ"
ชิงเถาหลุบตาลง ขมวดคิ้วน้อย ๆ
พึมพำด้วยน้ำเสียงไม่เบานัก "ง่ายดายเพียงนี้?"
น้ำชาในถ้วยบนมือของประมุขหลี่หกไปกว่าครึ่ง
เขากัดฟันกรอด
"ดื้อด้าน ข้ากำลังทำให้เจ้าลำบากอยู่นะ!"
สิ่งที่ตอบกลับมา
กลับมีเพียงเสียงหัวเราะน้อย ๆ "ท่านไม่เคยต้องรับใช้จวิ้นอ๋อง ข้าเข้าใจ"
ท่านอ๋องคำนี้
ย่อมหมายถึงคนผู้นั้นที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้
หวางเมิ่งหยวน หวางเมิ่งหยวน…
ช่างเป็นคำที่หลี่เค่อเฟิงฟังแล้วระคายหูยิ่งนัก
แค่ได้ยินว่าเป็นคนแซ่หวาง ท้องไส้เขาก็ปวดตุบ
ดวงหน้าหล่อเหลาไม่น่ามองขึ้นมาทันใด
แต่แล้วตกลงว่า
วังอ๋องของหวางเมิ่งหยวนเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่
ขนาดคนที่ติดตามเขามาครึ่งชีวิตยังกล่าวเช่นนี้
เหลือบมองชิงเถาอีกครา
หลี่เค่อเฟิงก็ลุกขึ้นเดินสะบัดชายเสื้อออกไปเช่นนั้น
ปล่อยให้ผู้อาวุโสที่เหลือจัดการกันเอาเอง ผู้อาวุโสหูเห็นประมุขเดินจากไปแล้ว
ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม เดินอาด ๆ เข้ามาหาชิงเถา "เจ้าเด็กน้อย"
"ชิงเถาขอรับ
ชิงเถาที่แปลว่าลูกท้อสีฟ้า"
"นั่นแหละ!
เจ้าเด็กแซ่ชิง ตามบิดามา บิดาจะพาเจ้าไปดูงานที่ต้องทำ"
เขาเดินตามผู้อาวุโสผู้นี้ไปอย่างว่าง่าย
ยังไม่พ้นไปจากลานกว้าง ก็ได้ยินเสียงของหรงซินเยว่ตะโกนตามหลัง "หากคุณชายเหน็ดเหนื่อยเกินไป
ให้บ่าวไปช่วยก็ได้นะเจ้าคะ!"
เสี่ยวซีที่อยู่ไม่ไกลจากนาง
ปรายตามองนางด้วยความเหยียดหยาม "นางมารอย่างเจ้าจะไปช่วยอะไรได้
ช่วยแบกฟืนแทนเขาหรือ"
"ช่วยนวดให้เขาต่างหาก!"
หรงซินเยว่หัวเราะคิกคัก "คุณชายชิงใบหน้าหล่อเหลา
วรยุทธ์สูงส่ง ย่อมเหมาะเป็นคู่ฝึกของข้า"
ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างมีสีหน้าเอือมระอา
นิสัยไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินเช่นนี้ของนาง พวกเขาย่อมชินแล้ว
เพียงแต่ถึงกับจะตอแยบุรุษของท่านประมุข ก็ออกจะเลยเถิดเกินไปสักหน่อย
หรงซินรั่วทนฟังวาจาของผู้เป็นพี่ต่อไปไม่ไหว
ในที่สุดก็ต้องกล่าวกับนางอย่างจริงจัง "ระวังคุณชายชิงจะหักคอเจ้าเข้าสักวัน"
"ระวังท่านประมุขจะถลกหนังเจ้าออกมารองเท้า!"
เสี่ยวซียิ้มหยัน
หรงซินเยว่กลับไม่อาทรต่อคำพูดเหล่านั้น
ท่าทางยิ่งขยันขันแข็ง
"เสี่ยวม่าว ๆ เจ้ารีบไปจัดการธุระที่ท่านประมุขมอบหหมายเร็ว
ข้าไม่ทำแล้ว จะไปดูแลท่านโน้นแทน"
"ดูแลอะไร"
แม่นางหรงผู้น้องเอ่ยถาม
"ดูแลคุณชายชิงน่ะสิ
แบกน้ำผ่าฟืน ไม่แน่ว่าอาจจะมีอาหารตาดี ๆ รอพวกเราอยู่ก็ได้!"
"อย่างเช่น?"
"ก็เช่นว่า"
นางเอียงหน้าไป กระซิบข้างหูน้องสามประโยคหนึ่ง
ใบหน้าของหรงซินรั่วก็แดงก่ำ
ไร้ยางอาย!
หาบน้ำแบกฟืนแม้เป็นงานหยาบ
ก็ยังไม่นับว่าหนักหนาอะไร พอหูสือจัดแจงให้เขารู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนเรียบร้อย
ก็เดินหนีหายไป ปล่อยให้เขาจัดการที่เหลือด้วยตนเอง
ตั้งแต่มิได้ติดตามอาจารย์
ชิงเถาก็มิได้แตะต้องงานเช่นนี้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
นี่ก็แค่ไม่ได้ทำมานานเท่านั้นมิใช่หรือ ใช่ว่าไม่เคยทำเสียเมื่อไหร่ คุณชายชิงก้มมองถังไม้เก่าบนพื้น
หยิบขึ้นมาพร้อมกับไม้หาบ เดินตรงไปยังลำธารที่ผู้อาวุโสหูบอก
ระหว่างทางเขายังได้รับความสนใจจากผู้คนไม่น้อย
บ้างลอบมองเขาอยู่ห่าง ๆ บ้างก็มองให้รู้ซึ่ง ๆ หน้า
ยังดีที่ไม่ถึงกับพุ่งเข้ามาขอพูดคุยด้วย มิเช่นนั้นคงกลายเป็นเรื่องน่าขบขันไม่น้อย
บุรุษผู้หนึ่งวิ่งตามผู้อื่นมาจนถึงหน้าประตูบ้านเขา
เฝ้าอยู่เช่นนั้นอย่างไรก็ไม่ยอมจากไป สุดท้ายยังยินยอมเป็นคนหอบน้ำแบกฟืน
นี่สามารถเอาไปเขียนเป็นนิยายรักได้หลายหน้าเชียว
หากพวกนักประพันธ์ว่างงานในเมืองหลวงล่วงรู้ ไม่แน่ว่าจะถึงกับรีบมาที่นี่เพื่อเกาะติดสถานการณ์
คิดไปคิดมา
เขาก็คิดหารายได้เข้ากระเป๋าได้อีกทางแล้ว
ถลุงเงินท่านอ๋องก็สุขกายสบายใจดีอยู่หรอก แต่อย่างไรก็ทำได้ไม่นาน
หากวันดีคืนดีรู้ไปถึงหูมารดาบิดา ยังจะทำให้พวกท่านขายหน้ากันโดยเปล่าประโยชน์
บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของเสนาบดีสำนักตรวจราชการ
อยู่ข้างนอกเงินทองไม่พอใช้ ติดหนี้ชาวบ้านไปทั่ว
วันดีคืนดีก็ถึงกับมีเจ้าหนี้ถือหนังสือสัญญาไปหาจวิ้นอ๋อง
ทวงหนี้สินที่องครักษ์คนสนิทติดค้างไว้ แค่คิดก็ทนฟังไม่ได้แล้ว
เช่นนั้นชิงเถาจึงตกลงปลงใจกับตนเอง
ช่วงนี้จะขอห่างจากการฝึกยุทธ์ เปลี่ยนเป็นหาบน้ำผ่าฟืนฝึกร่างกาย
กลางวันเป็นคนงานที่ใบหน้าหล่อเหลาที่สุดในพรรคเสี้ยวจันทรา
ให้หลี่เค่อเฟิงเชยชมจนจำฝังใจ กลางคืนจะลองเรียนแบบพวกบัณฑิตว่างงาน
กางกระดาษฝนน้ำหมึก เขียนนิยายประโลมโลกดูสักเรื่อง
แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องราวของเขาตอนนี้นี่แหละ!
พอเขียนจบ เขายังจะเอาไปให้ท่านประมุขคนดีอ่าน
ดูสิว่าใบหน้าที่มักเรียบนิ่งถือดีนั้นของเขาจะทนได้สักแค่ไหน
เฟิงอวิ๋นเอ๊ยเฟิงอวิ๋น พวกเรามาดูกันสักตั้ง ข้ากับท่าน ผู้ใดจะเป็นฝ่ายถอยก่อน!
คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
รู้ตัวอีกทีก็มาถึงริมธารน้ำที่หลังเขาแล้ว ระยะทางไม่ไกลนักแต่ก็ไม่นับว่าใกล้หากสองบ่าต้องแบกถังน้ำไปด้วย
ชิงเถาจัดการตักน้ำในลำธารใสขึ้นมาจนเต็มถัง ถังไม้สองถังใหญ่ถูกเขาหามขึ้นบ่า
แผ่นหลังของชายหนุ่มเหยียดตรงงดงาม ท่วงท่ายามแบกหามยังมิคล้ายสามัญชน มองเผิน ๆ
ยังดูเหมือนแม่ทัพหนุ่มกำลังฝึกตนด้วยการหาบน้ำก็มิปาน
หรงซินเยว่คันยุบยิบไปทั่วทั้งร่าง
หากทำได้ยามนี้นางอยากพุ่งเข้าไปหาคุณชายชิง ช่วยเขาแบกน้ำให้รู้แล้วรู้รอดไป
เหตุใดบนโลกนี้ยังมีบุรุษที่ดูดีแม้แต่ในยามทำงานแบกหามเช่นนี้อยู่!
พระพุทธองค์ทรงส่งคุณชายท่านนี้มาโปรดนางโดยแท้ นึกย้อนไปถึงวันที่ตนเองคิดปีนขึ้นเตียงอีกฝ่าย
กะจะใช้เหตุการณ์นั้นขับไล่เขาแทนท่านประมุข
คิดดูแล้วหากไม่นับเรื่องที่เกือบจะถูกสังหาร นางก็อยากจะสวดภาวนา
ให้ตนเองยามนั้นทำสำเร็จจริง ๆ
หรงซินรั่วมองจนไม่อยากมองแล้ว
จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อออกมา พับให้ดีครู่หนึ่งจากนั้นเอามาปิดตาพี่สาวตนเอง "มองก็มองแล้ว
อีกนิดตาจะหลุดออกมาแล้วนะ เจ้าก็เก็บอาการ เก็บน้ำลายไว้หน่อยเถอะ"
พอชิงเถาเติมน้ำจนเต็มโอ่งใหญ่ทุกใบแล้ว
ก็ล่วงเข้าสู่ยามอู่ตอนปลายแล้ว ท้องก็เริ่มแสบร้อน เขาจึงวางมือลงจากงานที่ทำ
เปลี่ยนทิศทางไปยังโรงครัว ที่นั่นมีอาหารเตรียมไว้สำหรับเหล่าศิษย์
เพียงแต่ที่นี่รับอาหารกันเป็นเวลา ยามนี้จึงแทบไม่เหลืออะไรให้เขากินแล้ว
แม่ครัวสองคนกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่
พอสังเกตเห็นชิงเถาเข้า ก็ดีดกายผึ่งด้วยความตกใจ หนึ่งในนั้นแผดเสียงร้อง "ไม่มีอาหารแล้ว
ๆ หากหิวก็ต้องรอยามเย็นตะวันใกล้ตกดิน!"
ชิงเถาระบายยิ้ม "ข้าคงรอไม่ได้
เพิ่งหาบน้ำเสร็จยามนี้หิวมากจริง ๆ อย่างไรก็ขอให้พี่สาวทั้งสองเมตตา
ขอแผ่นแป้งสักแผ่น ไม่ก็หมั่นโถวเย็นชืดสักลูกได้หรือไม่"
พอได้ยินคำว่าพี่สาวทั้งสอง
ทั้งสบกับดวงตาระริบระยับของชิงเถา แม่ครัวสองคนก็ใบหน้าแดงระเรื่อ
เด็กบ้านี่เป็นผีหิวหลงมาจากไหน เหตุใดถึงได้ปากหวานนัก "ไม่มีหรอก
เจ้าไสหัวไปเลยไป"
"ลูกเดียวก็ไม่มีหรือ"
ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะไม่เชื่อ ว่าเขากำลังหิวจริง ๆ
ชิงเถาจึงยกมือกุมท้องตนเองเอาไว้ด้วย พลางถามย้ำไปอย่างน่าสงสาร "ไม่มีเหลือเลยจริง ๆ หรือ"
แม่ครัวทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนหันกลับไปหยิบหมั่นโถวที่เย็นแล้วออกมาสองลูก
ส่งให้เขาแย่างจำใจ
"ให้แค่ครั้งนี้นะ วันหน้าหากเรียกกินข้าวเจ้าไม่มากิน
ต่อไปก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาขอของกินอีก!"
ชิงเถารับหมั่นโถวเอาไว้อย่างว่าง่าย
พลางยิ้มให้พวกเขา
"ต่อไปจะมาให้ตรงเวลา ขอบคุณพี่สาวทั้งสองมาก"
พอคุณชายชิงหมุนกายจากไป
สองแม่ครัวแห่งพรรคเสี้ยวจันทราก็ต่างกลายเป็นของเหลว หนึ่งนั่งกุมหัวใจตนเอง
ใบหน้าเคลิบเคลิ้ม อีกหนึ่งก็โกยเมล็ดแตงโมมาเคี้ยวทั้งเปลือก
"เป็นเทพบุตรมาจากสถานที่ใด
หลงเข้ามาในแดนป่าเถื่อนเช่นนี้กัน! เจ้าเห็นไหมเมื่อครู่พ่อหนุ่มน้อยเรียกข้าว่าพี่สาวด้วย"
"เพ้ย!"
แม่ครัวอีกคนที่ยังคงกุมอกร้องออกมา พลางปรายตามองสหายตน
"เขาเรียกเจ้าที่ไหน นั่นเห็นกันอยู่ว่าเรียกข้า
นังแก่หนังเหี่ยวอย่างเจ้า อย่าว่าแต่ไปเป็นพี่สาวเขา
เป็นมารดาเขายังไม่แน่ว่าจะเป็นได้!"
"นังเฒ่าปากเน่าเหม็น!"
"ทำไม
ไม่พอใจก็มาสู้กัน!"
เบื้องหลังความวุ่นวายของสองหญิงวัยไม้ใกล้ฝั่ง
ชิงเถาหอบหมั่นโถวแข็ง ๆ ออกมาอย่างอารมณ์ดี เขาก็เป็นเช่นนี้
อยู่ข้างกายท่านอ๋องไม่ยอมพูดจา มิใช่ว่าเขาเป็นคนพูดน้อย
เพียงแต่ด้วยความสามารถของเขา ฝีปากยังเทียบชั้นผู้เป็นนายไม่ได้
ดังนั้นเงียบไว้ยังจะมีผลดีกว่า
ยามอยู่ข้างนอกตัวคนเดียว
ไม่พูดไม่จา ไม่สนทนากับผู้ใด สุดท้ายก็รังแต่จะอดตายเท่านั้น
หลังจากกัดเจ้าอาหารประทังชีวิตหนึ่งคำ เคี้ยวอยู่นาน ในที่สุดชิงเถาก็ตัดสินใจได้
ว่าตัวเขาต้องผูกมิตรกับแม่ครัวทั้งสองไว้
อีกทั้งวันนี้หาบน้ำเสร็จแล้ว
ฟืนอยู่ในโรงฟืนหรือก็คือที่ซุกหัวนอนของเขา อย่างไรก็ไปดูก่อนค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ
ไปก็แล้วกัน ชิงเถาเดินทอดน่องไปตามทาง ยังคอยสังเกตสิ่งต่าง ๆ ไปด้วย
รายละเอียดยิบย่อยของผู้คน ทุกสิ่งล้วนอยู่ในสายตาของเขา
ระหว่างทางชิงเถายังเดินสวนกันกับเสี่ยวม่าว
และเสี่ยวซี พอเห็นหน้าเขาคนทั้งสองก็ไม่ทักไม่ทาย ยังทำหน้าราวกับเห็นผี
จากนั้นรีบพากันเดินจากไป ชิงเถาย่อมไม่เข้าใจพวกเขาทั้งสอง แต่ก็มิได้ถือสาหาความ
เขาเดินกลับไปที่ห้องเก็บฟืนของตน ตั้งใจว่าจะนั่งพักสักหน่อย ค่อยทำงานต่อ
แต่ทันทีที่เปิดประตูไม้เก่าเข้ามาด้านใน ชิงเถาก็ต้องผงะเกือบหงายหลัง
เขาเข้าห้องผิดหรือ!
คุณชายชิงถอยหลังออกมามองภาพเบื้องหน้าให้ดี
ก่อนเหลือบซ้ายแลขวา มองให้ชัดว่าเขามาไม่ผิดที่ ที่ตรงนี้ ห้องนี้ห้องเดียวตรงนี้
เดิมทีเป็นห้องเก็บฟืนอยู่ชัด ๆ ผ่านมายังไม่ถึงวัน เหตุใดจีงมีสภาพเช่นนี้เล่า
ชิงเถาก้าวเข้าไปด้วยความลังเล
กวาดตามองโดยรอบ ภายในห้องไม่มีกองฟืนสูงท่วมศีรษะอีกแล้ว
ยามนี้กลับมีเตียงไม้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งหลัง โต๊ะตู้อีกอย่างละหนึ่ง
ห้องถูกทำความสะอาดจนไม่มีแม้แต่เศษผงฝุ่น แม้มิได้หรูหรา ยังห่างไกลจากคำว่าดูดี
แต่นี่ก็เป็นสภาพที่เทียบไม่ได้กับห้องเก็บฟืนที่เขาหลับนอนเมื่อคืน
เรียกว่าพลิกจากหน้าเท้าเป็นหลังมือ
นี่ฝีมือผู้ใด…
ทันใดนั้นชิงเถาก็สังเกตเห็น
ผ้านวมอุ่นที่เขากอดไว้เมื่อเช้า พอหลังจากประลองเสร็จเขาก็ลืมไปเลย
ที่แท้กลับมาอยู่ที่นี่หรือ ชิงเถาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่ปูเรียบร้อย
ดึงผ้านวมผืนนั้นมากอดไว้ ยังยกยิ้มน้อย ๆ"เจ้ามีขาเดินมาได้หรือไง"
หากไม่มีขา
เช่นนั้นเจ้าของของเจ้าให้เจ้ามาหรือ…
นึกไปถึงใบหน้าเย็นชาของประมุขหลี่
รอยยิ้มของชิงเถาก็ระบายกว้างขึ้น เขาไม่รู้ว่าเหตุใดหลี่เค่อเฟิงจึงทำเช่นนี้
ทั้งรู้สึกว่าเขาเอาใจใส่ และไม่กล้าคิดเข้าข้างตนเอง
บางทีนี่อาจเป็นความเมตตาน้อบนิดที่ประมุขหลี่มอบให้
ในฐานะพี่ชายบุญธรรมของเสี่ยวหยุนก็ได้
ก็แล้วไปเถอะ จะในฐานะอะไร
เขาก็มอบให้แล้ว นี่นับเป็นสัญญาณที่ดี
ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าใด
ตื่นมาอีกครั้งชิงเถาพบว่าในห้องมืดสลัวไปแล้ว เขางัวเงียตื่นขึ้นมา
แม้ยังไม่ตื่นดี ใบหน้ากลับยังคงประดับยิ้ม
ไม่รู้ว่ายังไม่คลายความดีใจจากเรื่องของห้องนอนใหม่ หรือว่ายามที่หลับไหลไป
เกิดฝันดีขึ้นมา
เสียงผีผาดีดเป็นทำนองกังวาลก้อง
ทั่วทั้งพรรคเสี้ยวจันทราถูกอาบไล้ไปด้วยแสงดวงจันทร์นวลตา
หัวคิ้วหงส์ขมวดชนกันน้อย ๆ พอดวงตาปรับให้มองเห็นในความมืดได้บ้าง
ชิงเถาก็เปิดประตูเดินออกไปตามเสียงนั้น เขาเดินวนตามท่วงทำนองนั้นไป วนอยู่ในตัวเรือนหลายรอบ
จึงพบว่าเสียงผีผาดังอยู่บนหลังคา ขายาวก้าวเดินออกไปตรงลานกว้าง
เงยหน้าขึ้นมองภาพบุรุษผู้หนึ่ง นั่งหันแผ่นหลังให้ดวงจันทร์งาม
ในอ้อมแขนกอดผีผาเอาไว้ มือยังเกลาสายเป็นทำนอง ดวงตากลับมองออกไปไกลสุดฟ้า
เหม่อลอยไม่สิ้นสุด
ชิงเถาจ้องมองเขาอยู่เช่นนั้น
เนิ่นนานก็ถึงกับเผลอยื่นมือออกไป คิดคว้าจับภาพนั้นเอาไว้ในใจตน
หลี่เค่อเฟิงยามนี้ ห่างจากเขาจากพื้นถึงบนหลังคา
กลับดูห่างไกลราวกับดวงจันทร์ที่อยู่เบื้องหลังเขา สุขสกาวแต่มิอาจแตะต้อง
จากฝ่ามือที่คิดเอื้อมคว้า
กำเข้าหากันกลายเป็นหมัดหนัก ๆ ที่เหวี่ยงออกไปในอากาศ
เริ่มต้นฝึกยุทธ์อย่างที่เคยทำ หนึ่งคนดีดผีผาเป็นท่วงทำนอง
อีกหนึ่งร่ายรำกระบวนท่ายุทธ์ ไม่ยุ่งเกี่ยวกันกลับสอดประสาน
ทำนองดนตรีบรรเลงเป็นลำนำผีผา
กล่าวถึงชายหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นเรือแขกสำคัญ พบสาวงามกลางแม่น้ำกว้าง ในมือนางมีผีผา
ดีดเพลงกล่อมทั่วหล้า ลำน้ำโศกรับความเศร้า หนึ่งเรือของชายหนุ่ม
หนึ่งเรือของหญิงงาม ต่างไหลไปตามกระแสน้ำทอดยาว ฟังนางเล่าถึงชีวิต
หญิงสาวจากเมืองหลวง ขายเสียงดนตรีแลกเศษเหรียญ
ต่อมาไร้ที่พึ่งพิงน้องชายถูกส่งไปชายแดน นางจึงเลือกแต่งกับคนไร้ใจผู้หนึ่ง สุดท้ายทอดทิ้งนางอย่างไร้เยื่อใย
เดินทางแสวงหากำไรการค้า ดนตรีของนางสะท้านในใจชายหนุ่ม หวนนึกถึงตนเองเมื่อปีนั้น
ชิงเถาก้าวไปตามท่าร่างในหัว
ยังนึกไปถึงความหมายของลำนำผีผาบทนี้ต่อ ชายหนุ่มถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวง
เร่ร่อนมาถึงเมืองเผินเจียง จากนั้นล้มป่วยอยู่เป็นนาน
ชีวิตคนผู้หนึ่งห่างไกลบ้านเกิด ได้รับความลำบากอย่างสุดแสน
เมื่อพบเจอคนที่ชะตาชีวิตคล้ายครึงกัน ย่อมเกิดความสนใจ
ทั้งเศร้าหมองหดหู่ไปกับบทเพลงของนาง
"ต่างก็เป็นผู้ที่อ่อนแอต่อโชคชะตาบนโลก"
ชิงเถาเอ่ยขึ้น "ต้องเป็นผู้ที่รู้จักเห็นใจผู้อื่น
น่าเสียดายชะตากลับผกผัน"
หลี่เค่อเฟิงปรายตามองอีกฝ่าย
จากนั้นหันกลับไปสนใจผีผาในมือ ต่อจากตรงนั้น ทำนองเล่าถึงชายหนุ่มบอกหญิงสาว
ผู้มีชะตาร่วมโลก ข้าจะเขียนบทกวี 'ลำนำผีผา' ปำนัลแก่นาง
หญิงสาวยืนฟังและทบทวนอยู่เป็นนาน สุดท้ายนั่งลงกระชับสาย ดีดเพลงอย่างรวดเร็ว ทำนองรันทด
ท่วงทำนองเศร้าโศกทั้งตอกย้ำความเจ็บปวด
จนกระทั่งผู้คนโดยรอบต่างร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด ในบรรดาคนทั้งหมด
มีคนผู้หนึ่งร้องไห้จนใจแทบขาด ยามนั้นชายหนุ่มเพียงตั้งคำถามสุดท้ายภายในใจ
ทอดถอนใจอย่างโศกา ใยต้องเป็นคนผู้นั้นที่ร้องไห้จนเสื้อสีไพรินเปียกโชก
พอทำนองเพลงท่อนสุดท้ายจบลง
ชิงเถาก็หมุนตัวจบกระบวนท่าสุดท้าย สองมองชายหนุ่มไขว้หลังท่าทีสบาย ๆ
ยังดูเอ้อละเหย เงยหน้ามองหลี่เค่อเฟิง "นั่นสิ เหตุใดคนผู้นั้นต้องร่ำไห้มากมายปานนั้น"
"..." หลี่เค่อเฟิงไม่คิดตอบ
ขยับมือเตรียมดีดเพลงใหม่
ชิงเถากลับไม่ยอมปล่อยเขาไป
พอได้ขยับร่างกายฝึกยุทธ์แล้ว ใบหน้าของเขาก็สดชื่นแจ่มใส ชายหนุ่มใช้วิชาตัวเบา
แตะเท้าเหินฟ้าขึ้นไปหาหลี่เค่อเฟิงบนหลังคน สองร่างนั่งเคียงข้างกัน
ชิงเถาไม่ย่อท้อ
เอ่ยถามต่ออย่างอารมณ์ดี
"ตกลงท่านคิดว่าเป็นใคร"
"ซือหม่าแห่งเจียงโจวกระมัง"
"มิใช่น้องชายของนางหรือ"
"ไม่หรอก"
มือหนาเกลาสายผีผาแผ่วเบา "มิใช่น้องชาย
ยิ่งมิใช่มารดาผู้ล่วงลับของนาง"
"นี่ตั้งใจตอบไหม?"
"เจ้าถามเอง
ในกวีบทนี้ก็มีเขียนไว้ 'เสื้อสีครามของซือหม่าแห่งเจียงโจวเปียกชุ่ม'
ไม่อ่านแล้วยังจะถามอะไรไม่คิด"
"โอ้"
ดวงตาคมของชิงเถาหยักขึ้น "วันนี้ประมุขหลี่ด่าข้าหลายประโยคเชียว
เกรงว่าวันหน้าจะไม่ได้พูดหรือ"
สายผีผาในมือเกิดเสียงแหว่งจากการดีดพลาด
หลี่เค่อเฟิงถามอย่างไม่เข้าใจ "เหตุใดภายภาคหน้าจะพูดไม่ได้?"
คุณชายหนุ่มกล่าวยิ้ม ๆ"แต่งเข้าจวนแล้ว
ยังคิดจะด่ากราดสามี ท่านคิดว่าตนเองเป็นคนเช่นไร"
"สำรวมหน่อย!"
ประมุขหลี่ถลึงตามอง "ผู้ใดจะแต่งให้เจ้า
ผู้ใดจะเข้าบ้านเจ้า"
ชิงเถายักไหล่ "หากท่านรังเกียจว่าข้าไม่ดีพอ
เช่นนั้นให้ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว ข้าแต่งเป็นภรรยาให้ท่านเอง
จากนั้นย้ายเข้าบ้านท่าน ท่ามกลางหุบเขาแสงจันทร์ ชั่วชีวิตอยู่ที่นี่ก็ไม่เลวเลย"
"ไม่แต่ง!"
"ไม่แต่งจริงหรือ"
ชายหนุ่มเอียงคอน้อย ๆ มองใบหน้าเดือดดาลของอีกคนด้วยความพออกพอใจ
"ยืนกรานเช่นนี้ หากวันหน้าเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ระวังนะ"
หลี่เค่อเฟิงเอนตัวไปด้านหลัง
หรี่ตามองชิงเถาด้วยความหวาดระแวง "ระวังอะไร"
"ระวังข้าจะทำให้ท่านนึกเสียใจ"
รอยยิ้มงดงามระบายเต็มใบหน้า "เสียใจที่วันนี้พูดคำเหล่านี้ออกมา"
"เจ้า!"
"ประมุบหลี่อย่าถือสือ
ชิงเถาเป็นคนเช่นนี้ ความจริงนิสัยเสียเล็กน้อย เจ้าคิดเจ้าแค้นบางครั้ง"
ชิงเถาเอื้อมมือไปเกี่ยวสายผีผา ดีดเป็นทำนอง ใบหน้าค่อย ๆ
ยื่นเข้าไปหาอีกคน "ยังดีที่ในฝันมีท่านอยู่
ยามนี้จึงยังพอจะอดทนได้"
หลี่เค่อเฟิงพยายามฟังแล้ว
แต่สุดท้ายก็ไม่เข้าใจ
"ฝันบ้าฝันบออะไร"
"ฝันว่าในอีกหลายปีข้างหน้า
จะได้ชีวิตที่สงบสุขเรียบง่าย ท่องเที่ยวไปพร้อมกับท่าน"
"เจ้า!"
"ในฝันนั้น
มีท่านอยู่จริง ๆ"
"..."
ดวงตาสองคู่สบกัน
หนึ่งลึกซึ้งหนึ่งสับสน
"มันเป็นท่านที่อยู่ในนั้นมานานแล้วเฟิงอวิ๋น"
บางครั้งหลี่เค่อเฟิงก็คิด
ความพยายามของคนผู้นี้อันตรายเกินไป
อันตรายกับความยึดมั่นถือมั่นของเขาที่มีต่ออาลู่
หึ หนีลูกชายเราไม่พ้นหรอก!
พูดคุยกับเถียนซินได้ที่
เพจ เถียนซิน
ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408
ความคิดเห็น