ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    It not my memory ที่หายไม่ใช่ความจำข้า

    ลำดับตอนที่ #2 : Episode 1

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 59


    Episode 1

     

     

    ตอนนี้ออสเทรี่ยนกำลังประสบปัญหาใหญ่

                           เรียกว่าปัญหาใหญ่ก็คงจะน้อยไป นี่มันปัญหาจักรวาลชัดๆ  เขานึกย้อนกลับไปก็ยังไม่เจอจุดผิดพลาดตรงไหนที่ทำให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้  เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ

    ทำไมนายของเขาถึงความจำเสื่อมได้ล่ะเนี่ย!!

                           แต่จะให้เรียกว่าความจำเสื่อมก็ไม่ถูกนัก เพราะมันหายไปแค่บางส่วนเท่านั้น มันจะไม่มีปัญหาเลยถ้านายน้อยลืมเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับท่านออกัสติน!!  

                            เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องพาความทรงจำนายน้อยกลับมา  ไม่งั้นหัวของเขาอาจจะได้ลงไปกลิ้งหลุนๆที่พื้นก็เป็นได้หากเขาเอามันคืนมาไม่ทันก่อนที่นายน้อยจะได้เจอกับท่านออกัสติน  เพียงแค่คิดเหงื่อของเขาก็ผุดขึ้นมาราวกับฝูงเห็บ  ออสเทรี่ยนลูบผมสีน้ำตาลอ่อนที่ฟูขึ้นมาให้กับลงไปที่เดิม  กระแอมเล็กน้อยเพื่อไล่ความตระหนกแล้วจึงหันกลับไปมองนายตน

                                       ท่านไซเรยังคงนั่งจิบน้ำชาอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสง่างาม  ผมสีดำสนิทซึ่งตอนนี้สะอาดเรียบร้อยถูกปัดไปด้านขวา  เสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยชุดคลุมสีเทารีดมาอย่างเรียบเนียน กลัดเข็มกลัดประจำตระกูลสีแดงเลือด  ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบจนเขาไม่อยากจะเชื่อว่านายท่านความจำเสื่อม

                             ออสเทรี่ยนถอนหายใจออกมาเบาๆ มือเลื่อนไปดันแว่นด้วยความเคยชิน ดวงตาสีเขียวเข้มมองมาที่นายด้วยความรู้สึกระอาเล็กน้อย  เขารอนายท่านดื่มน้ำชาจนหมดแก้วจึงค่อยพูด

                             “ท่านดยุคออกัสตินเป็นคนที่คอยดูแลเมืองนี้ แล้วก็เป็นสหายของท่านด้วยขอรับ  เขารู้จักท่านมาก่อนที่กระผมจะเข้ามาทำงานเสียอีก  กระผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอื่นเท่าไหร่นัก  เพราะท่านทั้งสองไม่ค่อยได้พูดคุยกัน  รู้มาแค่ว่าท่านออกัสตินจะมาหาท่านทุกๆสามเดือน  น่าจะเป็นสหายคนสนิทของท่านขอรับ” แล้วก็โหดมากๆด้วย  เขาคิด  เขาพูดโดยข้อมูลที่ตนมีทั้งหมด     ท่านไซเรหันมามองเขาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยสั้นๆ

    “ข้าไม่มีสหาย”

    เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ความหวังในการมีชีวิตรอดของเขาสลายหายเป็นฝุ่น...

    ดูเหมือนว่านายน้อยจะไม่ให้ความร่วมมือเลยแฮะ เอาไงดี..

                          ออสเทรี่ยนขบคิดกับตัวเอง  เขาคงต้องหาวิธีทำให้ความทรงจำกลับมาภายในสามเดือนนี้ ไม่อย่างนั้นอาจจไม่ รอดกลับไปเจอท่านแม่

    ใครๆก็รู้ว่าท่านออกัสตินหวงท่านไซเรมากแค่ไหน!!

     

                     “งั้นก็ไม่เป็นไรขอรับนายท่าน  เพียงแค่นายท่านกลับมากระผมก็ดีใจแล้ว” เขาหันไปยิ้มให้กลับนายน้อย ผู้ที่ตอบกลับมาเพียงสายตาเมินเฉยเท่านั้น

                       ออสเทรี่ยนพาตัวเองออกมาจากห้องสมุด ที่ที่นายของเขาชอบที่สุดรองจากห้องนอน  แล้วยังเป็นห้องที่เขาได้เจอกลับนายท่านครั้งแรก...

    .

    .

                               ออสเทรี่ยนในวัยเพียง16ปีกำลังด้อมๆมองๆอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่  แม่ของเขานั่งรถม้าที่เขาทำด้วยตนเองอยู่ข้างหลัง  เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน  พ่อก็ตายจากไปตั้งแต่เขายังไม่เกิดเพราะสงคราม ทิ้งแม่ที่ตาบอดให้เลี้ยงดูเขาเพียงคนเดียว  ตั้งแต่จำความได้ เขาก็เริ่มทำไร่ด้วยตนเอง  อาศัยคำแนะนำจากแม่และเครื่องมือของพ่อ  เขาไม่เคยได้เข้าโรงเรียน  แต่ก็พอจะอ่านหนังสือออกเพระชอบไปฟังซิสเตอร์ที่โบสถ์อ่านนิทานให้ฟัง  เขาชอบการทำไร่ ชอบสายลมและกลิ่นดิน แต่เขาก็รู้  รู้ว่าเงินจากการทำไร่ไม่สามารถทำให้แม่ของเขาสุขสบายได้  ตอนที่เขาอายุ16ปี เขาก็ย้ายมาสมัครงานเป็นพ่อบ้านให้กับขุนนางคนหนึ่ง

                                 “ตั้งใจทำงานนะลูก เจ้านายลูกอาจจะจู้จี้หรือนิสัยไม่ดีลูกก็ต้องอดทนนะ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆก็กลับมาหาแม่ได้นะ บ้านยังเปิดต้อนรับลูกอยู่เสมอนะจ๊ะ”  เอแคลร์หรือก็คือแม่ของเขาร้องบอกมาจากทางด้านหลัง เขาหันไปมองหน้าแม่ ครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา  ผมสีคาราเมลมัดรวบไว้ข้างหลังติดด้วยโบว์สีแดงเลอะคราบสีน้ำตาล ตาที่แม่บอกว่าเคยเป็นสีน้ำตาลทองแต่ตอนนี้กลายเป็นสีขาวมัวๆมีน้ำตาคลอ  ใบหน้ามีริ้วรอยจากความเครียดที่ต้องแบกรับไว้ ชุดลูกไม้สีแดงเก่าๆคือชุดที่ดีที่สุดที่แม่ของเขามี  นางโบกมือให้เขาด้วยความเป็นห่วง เขาหันไปร่ำลาแม่ก่อนจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์สีดำทมิฬ

    เป็นคฤหาสน์ที่หน้ากลัวเหลือเกิน...

                       “เอ่อ... สะ สวัสดีครับ มีใครอยู่ไหมครับ” ออสเทรี่ยนส่งเสียงเรียก ยามนี้พึ่งเช้าตรู่ อาจจะไม่มีคน แต่คฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่ควรจะเงียบแบบนี้  เงียบราวกับว่าคฤหาสน์นี้ไม่มีใครเลยซักคน  พอนึกถึงตรงนี้เหงื่อเย็นๆก็ผุดขึ้นมากลางหน้าผาก

    มากลัวอะไรตอนนี้เล่า... โธ่...

                     ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ  อันที่จริงตอนแรกที่เขาเลือกมาทำงานที่นี่ก็ได้ยินข่าวลือเรื่องผีมาเหมือนกัน เขาว่ากันว่า เจ้าของที่นี่ผูกคอตายเพราะเสียใจเรื่องลูกชายที่ตายจากไป  เลยล่อให้เด็กหนุ่มวัยประมาณเขามาที่คฤหาสน์นี้ จากนั้นวิญญาณชายเจ้าของที่ก็จะฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม!!

                   ออสเทรี่ยนกลืนน้ำลายลงคอเสียงดังอึก  เขาเดินมาหยุดที่หน้าประตูใหญ่  บานประตูสูงเกือบสี่เมตรทำให้ใจเขาเต้นตึกตัก  เขาเคาะประตูอยู่สามครั้งแต่ไม่มีใครตอบ จึงถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างใน

                    ข้างในคฤหาสน์นั้นสว่างโร่ เทียนหลายเล่มและโคมไฟระย้าผสมกันได้อย่างลงตัว พื้นปูด้วยพรมสีแดงสด ของรอบๆกายเขาล้วนดูดีหรูหรา  หลายอย่างเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร

                                ตามผนังประดับด้วยดาบกับโล่ขัดเงาและรูปภาพ รูปทั้งหมดล้วนเป็นภาพที่ใช้มุมมองคล้ายมองออกมาจากหน้าต่าง บางภาพก็เป็นฤดูร้อน บางภาพก็เป็นฤดูหนาว  แต่เขาก็พอจะรู้ว่าทั้งหมดนี้คือสถานที่เดียวกัน เขาเดินตามภาพวาดภาพแรกที่เป็นมุมมองจากเนินต่ำมองออกไปยังทุ่งหญ้าสีเขียว ภาพต่อมาเป็นสถานที่เดียวกันแต่เป็นฤดูที่แตกต่าง เป็นเช่นนี้จนมาถึงภาพที่ห้า

                          ภาพที่ห้านั้นมาสุดลงตรงบันได เขาไม่รอช้า เดินขึ้นไปทันที  กวาดสายตามองหารูปถัดไปจนเจออยู่ริมผนังของทางเดิน ภาพนี้เป็นสถานที่เดิมแน่นอนเพียงแต่มุมมองเริ่มสูงขึ้น  คล้ายถ่ายจากในบ้าน ทุ่งหญ้าก็เริ่มมีบ้านคน ภาพถัดไปคล้ายภาพเดิมยิ่งนัก เพียงแต่มุมมองเพิ่มสูงจากก่อนและทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยคนกับบ้านที่ทำจากฟาง ภาพต่อๆมาก็แสดงถึงความเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ไม่มีอะไรเลยไปจนถึงการสร้างตึก  สงคราม  และการล่าอณานิคม...

                        ภาพสุดท้ายของทางเดินเป็นภาพที่ใช้มุมมองจากตึกชั้นสาม ทุ่งภายนอกย้อมฉานไปด้วยเลือดและไฟสงคราม ซากศพเกลื่อนกลาด  แต่ที่สยองกว่าคือเวลาที่วาดภาพนี้ขึ้นมา

    สงครามครั้งสุดท้ายนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาหลายร้อยปีแล้ว

    ภาพพวกนี้อยู่มานานเท่าไหร่กันแน่...

                 คนรู้จักที่อายุยืนที่สุดที่เขารู้จักคือ267ปี แต่สงครามครั้งล่าสุดอย่างน้อยก็ต้องหกร้อยปีเป็นอย่างต่ำ

    เป็นไปได้ไงกัน คนมีอายุขับแค่300ปีเองนี่

                  ออสเทรี่ยนลูบแขนตัวเองเบาๆ ภาพต่อไปน่าจะอยู่ในห้องสมุด  เขาไม่คิดว่าภาพเหล่านี้จะหยุดเพียงแค่นี้ ไม่รู้ว่าทำไม

                         เขาผลักประตูเข้าไปด้านใน  ท้องฟ้าภายนอกเริ่มสว่าง  เป็นไปได้ไงกัน  เขาพึ่งเข้ามาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเองนะ  เขาก้าวเข้าไปด้านในด้วยความสงสัย

    “แน่ใจหรือ?”

    เสียงบางอย่างดังขึ้นข้างหลัง

    “เหวอออ!!

     ออสเทรี่ยนตกใจจนเผลอร้องออกมา  เขาหันหลังกลับไปด้วยความระแวง  เด็กหนุ่มอายุพอๆกับเขานั่งอยู่ด้านหลัง  ข้างๆกับบานประตู  ผมสีดำตัดสั้นกับตาสีทองที่จ้องมองมาทำให้เขาหยุดอยู่กับที่ คล้ายอยู่ในมนตร์สะกด เด็กหนุ่มคนนั้นมีดวงหน้าที่งดงามเหลือเชื่อ  แค่มองดูเขาก็แทบลืมหายใจ  ตาสีทองของเด็กคนนั้นจับจ้องมายังเขาก็จริง  แต่ให้ความรู้สึกที่ห่างไกลออกไป  เหมือนกำลังมองบางอย่างที่อยู่ในใจของเขามากกว่ามองมาที่เขา  ทั้งงดงามและน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน

                             “เอ่อ... ขอโทษนะครับ  คุณใช่เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้รึเปล่าครับ  พอดีผมมาสมัครเป็นพ่อบ้านที่นี่ แต่ไม่เห็นคนอื่นเลยน่ะครับ ผมก็เลย... บุก... ขึ้นมาชั้นบน...” ออสเทรี่ยนพูดติดๆขัดๆเหตุเพราะเด็กหนุ่มตรงหน้ายังคงมองมาที่เขาด้วยแววตาน่าขนลุก 

    จะมองอะไรนักหนาเนี่ย

                           เขาบ่นในใจ  ความตระหนกตอนแรกแปรเปลี่ยนมาเป็นหงุดหงิด  ยิ่งนานไป  เขาก็ยิ่งไม่ชอบสายตาของเด็กคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

                “ ขอประทานโทษนะครับ  ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าของที่นี่ก็เลิกมองผมได้แล้ว ผมอึดอัดนะ  แล้วถ้าคุณรู้ว่าเจ้าของอยู่ในก็บอกผมได้มั้ยครับ ผมมีธุระ” ในที่สุดเขาก็บอกออกมา  เด็กหนุ่มคนนั้นเลิกมองเขาแล้ว  แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร

    นี่เอ็งเป็นใบ้รึไง!!

    เขาพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่เขาจะพูดอะไร เด็กคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นมา

                   “ ข้าเป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้  ได้ข่าวว่าจะมีคนงานมาใหม่ก็เลยออกมาต้อนรับเท่านั้น ไม่ทันนึกว่าเจ้าจะลำบากใจ  ต้องขอโทษด้วย”  เด็กคนนั้นลุกขึ้นยืนแล้วโค้งหัวให้เขา  ทำเอาออสเทรี่ยนเหวอไม่น้อย

    มาทำงานวันแรกก็ทำตัวหยาบคายกับเจ้านายเสียแล้ว แย่จริงๆ!  ว่าแต่เมื่อครู่เขาพูดว่าอะไรนะ  เร็วเป็นบ้าเลยแฮะ

                   “ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ทำตัวไม่มีมารยาทกับเจ้านายได้ยังไงกัน เพราะงั้นคุณก็เลิกก้มได้แล้วล่ะครับ” เขายิ้มออกมาซื่อๆ  ไม่รู้เลยซักนิดว่าชีวิตหลังจากนั้นจะวุ่นวายขนาดไหน

     

                   เขาดึงตัวเองออกมาจากความทรงจำ  ถ้ารู้ว่าเรื่องมันจะยุ่งขนาดนี้เขาก็คงไม่เข้ามาทำงานที่นี่หรอก  ออสเทรี่ยนคิดอย่างนั้น  แต่พอนึกถึงสายตาที่นายน้อยมองเขาด้วยความเชื่อใจก็ทำให้เขาอดถอนหายใจไม่ได้

    วันนี้ถอนหายใจไปเท่าไหร่แล้วนะ ข้าล่ะอยากรู้จริงเชียว

                     “ เอาเป็นว่าต่อจากนี้ข้าคงต้องเหนื่อยขึ้นมาหน่อยสินะ  ถ้านายน้อยจะกลับมาจำได้เร็วๆก็ดี...” เขาพูดออกมาลอยๆขณะที่เดินลงไปข้างล่าง  ตอนนี้ต้องลงไปเตรียมอาหารให้นายน้อยก่อน  จะทำอะไรต่อไปค่อยคิดทีหลัง  คิดแล้วเขาก็พอมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย ออสเทรี่ยนยิ้มให้กับตัวเองขณะที่ในหัวเต็มไปด้วยเมนูอาหาร

     

    ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้หรอกนะว่าอาการความจำเสื่อมนี่มันร้ายแรงแค่ไหน แต่ทำไมเขาไม่รู้สึกเศร้าเลยล่ะ

    เพราะว่าจำไม่ได้งั้นหรือ?

    หรือเพราะว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ?

    แต่... บางที เหตุผลคงเป็นเพราะ...

                 “ไงไซเร ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ นายหลับไปนานมากนะรู้ไหม? ” เสียงของใครบางคนดังออกมาจากนอกหน้าต่างชั้นสาม เขาชะโงกหน้าขึ้นไปดู  พบกับอีกาตัวหนึ่งที่ทำรังอยู่ชั้นบน ทันทีที่มันเห็นเขายื่นหน้าออกมา  เจ้าอีกาก็โผลงมาเกาะหน้าต่างชั้นสองทันที

                 ไซเรหันคอกลับเข้ามาข้างใน  อีกาตัวนี้เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของเขา  ตระกูลของเขากับตัวจริงของอีกานี่ผูกพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยก่อน  รู้สึกว่าเจ้านี่จะชื่อ...

    ชื่อว่าอะไรนะ?

               คล้ายกับว่าอีกาอ่านใจเขาออก  มันส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายน้อยใจ

                  “เจ้าจำชื่อข้าไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย  เฮ้อ หัดสนใจคนรอบๆตัวบ้างสิ เอ้า จะบอกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ข้าชื่อ เดรโกเนียสอัคเฟียสอีราเกียร์ ไรโกวาสคานิวาลโมฮาเสจ  บอกแล้วก็จำด้วยนะ เจ้านี่ก็จริงๆเล้ย  ชอบทำให้ข้าหงุดหงิดอยู่เรื่อย ” เจ้าอีกาบ่นอุบพลางกระพือปีกไปมา

                   แต่ดูท่าความพยายามของมันจะล้มเหลว  เพราะสมองของไซเรปิดการทำงานตั้งแต่คำที่สามของชื่อของมันแล้ว  ไซเรมองอีกาด้วยสายตายากคาดเดา ก่อนที่จะเอ่ยปากออกมา

                   “แล้วเดรโก...  เจ้ามีธุระอะไรงั้นหรือ” ไม่ต้องใช้ความพยายามมากเดรโกก็รู้ว่าคนตรงหน้าจำชื่อมันไม่ได้อีกแล้ว  ทำไมท่านแม่ต้องตั้งชื่อเขาให้มันจำยากด้วยนะ  คนที่จำได้ก็คงจะมีแค่เขากับท่านแม่แค่นั้นแหละ!!

                     เดรโกส่ายหน้าเบาๆ  พยายามฝืนยิ้มให้ขณะเอ่ยปากออกมา

    “ข้ามีเรื่องจะขอร้องน่ะ เป็นเรื่องที่เจ้าเพียงคนเดียวที่สามารถทำได้  เพราะงั้น ช่วยข้าหน่อย ”

     

        คฤหาสน์ทมิฬ  เวลา 20:15 น.

     

    ไซเรจำไม่ได้ว่าเขาหลับไปเมื่อไหร่  รู้สึกตัวอีกทีก็มืดแล้ว

    เขาพยายามนึกถึงเรื่องหลังจากประโยคขอร้องของอีกาตัวนั้น  แต่ไม่ว่านึกอย่างไรก็นึกไม่ออก  คล้ายมีหมอกมาคอยบังความทรงจำส่วนนั้นไว้   เขายันตัวเองให้ลุกขึ้น  ตั้งใจจะเดินลงไปข้างล่างเพื่อไปหาออสเทรี่ยน

                    ไซเรมองหาไม้เท้าของตัวเองที่มักจะพกเป็นประจำแม้ไม่ต้องใช้  แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ สิ่งที่มาแทนที่ไม้เท้าคือกระดาษแผ่นหนึ่งที่ตกอยู่ตรงพื้น  เขาเดินเข้าไปหากระดาษแผ่นนั้นช้าๆ กระดาษที่ใช้เขียนเป็นกระดาษจากสมุดของเขาเองซึ่งดูออกง่ายเพราะลายที่เป็นเอกลัษณ์  ตัวหมึกสีดำกับลายมือคุ้นตาทำให้เขาพอเดาได้ว่าใครเป็นคนเขียน  เขาไม่รอช้า  ก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาอ่านทันที


    - จบบทที่1 -

                             

    ไรท์เองค่ะ วันนี้นิยายเรื่องนี้ก็ยังเงียบเหงาเหมือนเคยเนอะ 55555 ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ติได้ ชมได้ อย่าลืมเม้นด้วยน้า แค่มีคนอ่านก็มีกำลังใจแล้วล่ะค่ะ ทิ้งความเห็นไว้ได้เน้อ เจอกันตอนหน้าค่ะ อาจเป็นอาทิตย์หน้ามั้ง แต่อาจจะไม่นานขนาดนั้น ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันด้วยน้า เจอกันค่ะ



     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×