ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จอมใจจอมปิศาจ

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่4

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.พ. 52


    4


     

                    ลานหลังปราสาทเป็นบริเวณว่างเหมาะแก่การฝึกการรบของทหารใหม่และบุตรขุนนางข้าราชบริพารต่างๆ  ถัดไปเป็นป่าใหญ่ต้นไม้ขึ้นรายล้อมเหมาะแก่การเป็นเป้าฝึกซ้อมยิงของนักธนู เสียงแสดงฝีมือปะทะดาบดังไปทั่วลานว่าง โอรสน้อยวิ่งร่ามากจากปราสาทตรงมาที่ลานว่างทันที


                    "เฮ้! พวกเจ้าน่ะ มาประมือกับข้าหน่อยสิ"โอรสน้อยตะโกนไปทางกลุ่มบุตรข้าราชบริพารพลางแย่งดาบมาจากคนข้างๆชี้ดาบไปทางบุตรข้าราชบริพารคนที่ตัวโตที่สุดในกลุ่ม


                    "เจ้าก็ได้ เจ้าตัวโต ดูท่าฝีมือเจ้าคงจะเหมาะให้ข้าซ้อมมือได้"


    เจ้าตัวโตเหงื่อตกทันที  ซวยล่ะวา! เจ้าชายเรนเนลด์มาท้าประลองกับข้าจะทำไงดี ใครก็รู้กิตติศัพท์ของความพาลของพระองค์ดีนัก ถึงข้าจะไม่เคยรู้ว่าฝีมือของพระองค์เป็นเช่นไร หากข้าทำพระองค์แพ้ มีหวังข้าหัวหลุดออกจากบ่าแน่                                                                       

                          
                    
    ขอบพระทัย  องค์ชายน้อย สำหรับเกียรตินี้ แต่หม่อมฉันฝีมือด้อยยิ่งนัก คงจะไม่เหมาะจะเป็นคู่ซ้อมให้กับพระองค์หรอก ทางที่ดีพระองค์ควรจะให้คนอื่นมาซ้อมมือแทนข้าดีกว่า หม่อมฉันทูลลา" บุตรข้าราชบริพารคนนั้นพูดปฏิเสธอย่างสุภาพ  แต่จะมีหรือที่เรนเนลด์จะไม่รู้ว่านั่นคือการปฏิเสธที่จะไม่รับคำเชื้อเชิญของเขา


                    บุตรข้าราชบริพารคนนั้นโค้งคำนับให้อย่างสุภาพ ก่อนจะโบกมือเรียกเพื่อนให้เข้าไปในพระราชวัง ก่อนจะเดินตามหลังกลุ่มเพื่อนไป


                    ให้ตายเถอะ! เป็นอย่างนี้มาหลายครั้งแล้วนะ ทำไมถึงไม่มีใครอยากเล่นกับข้าเลย ที่รานดอล์ฟล่ะก็ เล่นกันเป็นกลุ่มเชียว โอรสน้อยดำริพลางหันไปทางพระเชษฐาที่กำลังเล่นกับกลุ่มบุตรข้าราชบริพารคนอื่นอยู่


                    ทางด้านรานดอล์ฟที่กำลังเล่นอยู่กับบุตรข้าราชบริพาลอยู่ นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหารานดอล์ฟก่อนจะกราบทูลตามที่ได้รับสั่งมา


                    "ทูลองค์ชายใหญ่ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ"


                    รานดอล์ฟผละจากกลุ่มบุตรข้าราชบริพารก่อนจะเดินตามนายทหารคนนั้นไปที่ห้องทรงงานของพระราชาเฟรเดอร์ริค



                    เมื่อรานดอล์ฟเดินมาถึงห้องทรงงานของพระราชาเฟรเดอร์ริค ก็เปิดออกโดยทันที รานดอล์ฟจึงก้าวฉับเข้าไปในห้องโดยทันที รานดอล์ฟทำความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติต่อร่างสูงตรงหน้า                                                                                                                                           


    เสด็จพ่อมีสิ่งใดหรือพะยะค่ะ                                                                                      

    รานดอล์ฟเจ้าจะสิบสามแล้วใช่ไหมพระราชาเฟรเดอร์ริคตรัสถาม                                                   

    พะยะค่ะ                                                                                                                                            

    เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าโอรสองค์อื่นใดหากไม่ใช่รัชทายาทต้องถูกส่งไปปกครองเมืองอื่นเพื่อแก้ปัญหาเรื่องกบฏน่ะ                                                                                                                                   

    ทราบดีพระเจ้าค่ะ

                    
    พ่อจะส่งเจ้าไปอยู่ที่เมืองหน้าด่าน ต่อไปพ่อจะให้เจ้าปกครองที่นั่น เพราะฉะนั้น อาทิตย์หน้าเจ้าจะต้องไปฝึกเรื่องการปกครองที่นั่น  ลูอีสจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง

                    

    พะยะค่ะรานดอล์ฟรับคำแต่โดยดีโดยไม่โต้แย้งอะไร ยังไงเขาก็ไม่มีสิทธิจะโต้แย้งอะไรอยู่แล้ว ก็มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่อดีตกาลแล้วนี่

      

                 

      
    ผ้าไหมแพรพรรณเนื้อดีถูกพับวางเรียบร้อยบนพานทอง
     โอรสน้อยเอื้อมมือไปหยิบมาสวมใส่ก่อนจะก้าวออกจากห้องไป ไม่มีอะไรจะน่ายินดีกว่านี้แล้ว กับการได้กำจัดเสี้ยนหนามอย่างรานดอล์ฟ ออกไปโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง ตอนแรกที่เขาทราบข่าว เขาแทบจะตะโกนด้วยความยินดีไปทั่วราชวัง

                    โอรสน้อยเดินออกมานอกปราสาท เมื่อขึ้นราชรถก็เห็นรานดอล์ฟกับพระราชาเฟรเดอร์ริคประทับรออยู่ก่อนแล้ว

                    ทำไมต้องให้เจ้ารานดอล์ฟมาอยู่บนราชรถเดียวกันกับเขาด้วยนะ ราชรถอื่นมีตั้งมากมาย รึให้มันขี่ม้าไปก็ได้ แต่ถ้ายิ่งดีกว่านั้น ให้มันเดินไปเลยได้ยิ่งดี

                    กองทัพพลทหารหลายสิบนายที่สวมใส่เสื้อคลุมสีดำสนิทขับเคลื่อนพลมุ่งสู่เมืองหน้าด่าน 

                    ร้อน...ร้อน ร้อน ร้อน ทำไมมันร้อนอย่างนี้ ถึงเขาจะมีเลือดโสโครกของมนุษย์ไหลเวียนอยู่ในกายครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นแวมไพร์อยู่ดี ดังนั้นอาการร้อนนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันร้อนๆๆ

      
    ขนาดอยู่ในราชรถนี่ยังร้อนเช่นนี้เลย
     แล้วพวกพลทหารด้านนอกจะร้อนขนาดใหน แต่ช่วยไม่ได้ใครอยากให้พวกมันเกิดมาเป็นทหารเองทำไม

                    เจ้าพระอาทิตย์นี่คิดจะเผาเขาให้ตายทั้งเป็นเลยหรืออย่างไรกัน ผ้าคลุมสีดำนี่ไม่ได้ช่วยให้หายร้อนเลยสักนิด ถึงจะเป็นผ้าแพรเนื้อดีที่ใส่แล้วจะเย็นสบายตัวก็เถอะ แต่กับเขาแล้วมันร้อนตับแลบเสียมากกว่า  จนเขาอยากจะถอดเจ้าผ้านี้ทิ้งซะ หากไม่กลัวว่าไอร้อนของดวงอาทิตย์จะทำให้ร่างของเขาเกิดปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา

                    เขาไม่เข้าใจจริงๆเลย เหตุใดเสด็จพ่อถึงไม่สร้างข่ายมนตราให้คุมอาณาเขตกว้างไปถึงเมืองหน้าด่านเลยนะ เขาจะได้ไม่ต้องมาใส่ผ้าคลุมดำๆนี่ๆ

                    เป็นอะไรไปรึเรนเนลด์พระราชาเฟรเดอร์ริคตรัสถาม เมื่อเห็นพระโอรสองค์เล็กเหงื่อชุกไปทั้งกาย

                    เปล่าพะยะค่ะ

                    เจ้าชายรานดอล์ฟยิ้มก็จะไม่ให้ร้อนอย่างไรไหว ก็ในเมื่อไม่มีข่ายมนตร์ของเสด็จพ่อกั้นแสงอาทิตย์ไว้นี้ อย่าว่าแต่เรนเนลด์เลย เขาก็ร้อนเหมือนกัน

                    ทุกวันนี้ที่ผู้คนในอาณาจักรซิสเวิร์ดไม่มอดไหม้ไปกับแสงอาทิตย์นั่นก็เพราะเสด็จพ่อสร้างข่ายมนตร์ไว้ทำให้แสงของพระอาทิตย์ไม่ส่องลงมา แต่ในขณะเดียวกันภายใต้ข่ายมนตรานั้นก็ยังมี ‘แสงเวทย์’ ที่เหมือนกับพระอาทิตย์ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นหรือตกของพระอาทิตย์ ทำให้อาณาจักรของเรามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง

                    เมื่อราชรถหยุด พลทหารนายหนึ่งก็วิ่งมาแจ้งต่อเจ้าอยู่หัวว่า

                    ทูลฝ่าบาท ถึงเมืองหน้าด่านแล้วพะยะค่ะ

                    เมื่อโอรสน้อยได้ยินก็รีบเสด็จลงจากราชรถทันทีจะหายร้อนกันสักทีโอรสน้อยดำริ

                    ถวายบังคมเพคะฝ่าบาทหญิงสาวผมสีเงินกับพลทหารหลายสิบนายแสดงความเคารพทันทีเมื่อเห็นพระราชาเฟรเดอร์ริค

                    ไม่เจอกันเสียนาน เจ้าโตขึ้นเยอะนะลูอีส

                    เพคะฝ่าบาท เชิญฝ่าบาทเสด็จเข้าไปในเมืองก่อนลูอีสพูด ใบหน้าแดงเรื่อ

     

                    กองทัพมุ่งเข้าสู่เมืองหน้าด่าน โอรสน้อยมองไปยังแถวชาวบ้านที่ต่อกันยาวเหยียด มีทหารสองนายยืนตรวจตราหากลิ่นมนุษย์ที่ติดมากับกายของชาวเมือง 



     
                    ดูไปแล้วไม่ต่างไปจากสุนัขเลยแฮะ’ 

                    โอรสน้อยดำริ ยังไม่วายหันไปแขวะคนข้างๆ

                    ดูแล้วก็จำไว้ซะสิรานดอล์ฟ อีกไม่นาน มันก็จะเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว ไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขข้างถนนเลยนะ ที่คอยดมกลิ่นกายคนอื่นน่ะ ข้าขออวยพรให้เจ้าตั้งใจดมก็แล้วกันโอรสน้อยตรัส ก่อนจะสาวพระบาทเดินตามพระบิดาที่เดินหายลับไปในปราสาท ปล่อยให้รานดอล์ฟยืนนิ่งกับคำสบประมาทนั้น




                    ดูไปแล้วเมืองนี่ก็ไม่ต่างไปจากเมืองของเขามากนัก เพียงแต่ดูแห้งแล้ง และก็มีแต่ทหารที่รักษาเมืองอยู่กันเท่านั้น  ปราสาทก็เหมือนกัน  เพียงแต่เล็กกว่า


                    โอรสน้อยเดินมาถึงห้องๆหนึ่ง หยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงพระบิดามาจากห้องนั้น บานทวารทั้งสองเปิดอ้า จึงทำให้ได้ยินเสียงชัดขึ้น


                    "เป็นอย่างไรบ้าง มีชาวเมืองทำผิดเยอะหรือเปล่า"


                   
    "น้อยมากเพคะ ในปีหนึ่งมีชาวเมืองแค่ไม่กี่คนที่มีกลิ่นกายของมนุษย์ติดมาแล้วเมื่อเราสืบทราบไปก็มีเพียงน้อยนิดที่ทำร้ายมนุษย์เพคะ"หญิงสาวผมสีเงินตอบกลับมา


                    "ดีแล้วล่ะ  ตลอดหลายปีมานี้ข้าหวังว่าแวมไพร์กับมนุษย์จะเป็นมิตรกันเสียที"


                    "ถ้าเช่นนั้น  ลูกขอใคร่ชม  เมืองมนุษย์ที่เสด็จพ่อ หวงนักห่วงหนา ปกป้องอยู่ทุกวันนี้หน่อยได้หรือไม่พะยะค่ะ"


                    "เผื่อลูกจะคิดได้ว่าควรจะสานสัมพันธ์ไมตรีด้วยหรือไม่"


                    โอรสน้อยสาวพระบาทมาอยู่ท่ามกลางคู่สนทนาทั้งสอง


                    "ได้หรือไม่พะยะค่ะ"


                    "ตามใจเจ้าสิ ......ถ้าเช่นนั้นพ่อจะพาไปดูเอง" ถึงแม้พระองค์จะทรงแปลกพระทัยไปบ้างกับกิริยาของโอรสน้อย แต่ก็ทรงพาไปด้วยพระองค์เอง


                    "ลูอีส เตรียมม้าให้ข้าที ไม่ต้องเอาทหารไปนะมันจะเอิกเกริกเสียเปล่า"


                    "เพคะฝ่าบาท"


                    เมื่อลูอีซเตรียมม้าเสร็จ พระราชาเฟรเดอร์ริคกับโอรสน้อยก็รีบควบม้าตะบึงไปยังป่าเขตแดนที่กั้นอยู่ระหว่างเมืองมนุษย์กับอาณาจักรซิสเวิร์ด  เมื่อถึงกลางป่า  พระราชาเฟรเดอร์ริคจึงสั่งให้ม้าเดินช้าลงก่อนจะหยุดเดินเพราะมีสิ่งหนึ่งกำลังอยู่ใกล้ๆ


                    'กลิ่นมนุษย์'

                    มนุษย์ที่ไหนกันจะมาอยู่ในป่าเวลานี้น่ะ


                    "เรนเนลด์เจ้ากลับไปที่เมืองหน้าด่านก่อนนะ  ม้านี่จะพาเจ้ากลับเอง"


                    "เอ๋! เสด็จพ่อ  แล้วเรื่องเมืองมนุษย์ล่ะพะยะค่ะ"


                    "พ่อสัญญา คราวหน้าพ่อจะพาเจ้ามา  ไปซะ"  พระราชาเฟรเดอร์ริคออกคำสั่ง โอรสน้อยพระพักตร์มุ่ยในทันทีแต่ก็ยอมกลับแต่โดยดี 


                    "กลิ่นมนุษย์นั่นอยู่ทางไหนกัน"


                    'ได้กลิ่นเลือดด้วยนี่'


                    พระราชาเฟรเดอร์ริคเสด็จไปตามกลิ่นเลือดทันที

                    ร่างของเด็กชายมีเลือดเปรอะอยู่เต็มกาย  ข้างๆมีหมาป่ายืนแสยะเขี้ยวอยู่


                    "เฟอาเม"ฉับพลันก็ปรากฏลูกพลังเพลิงสีแดงขนาดย่อมที่หัตถ์ทั้งสองข้าง ก่อนจะพุ่งออกไปยังพื้นข้างๆหมาป่า


                    ร่างของหมาป่ากระโดดหนีไปทันทีเมื่อลูกพลังสัมผัสพื้นจนเป็นหลุมขนาดย่อม


                    พระราชาเฟรเดอร์ริครีบวิ่งเข้าไปดูเด็กชายทันที  


                    ร่างของเด็กชายหายใจอ่อนมากแล้ว  พระราชาเฟรเดอร์ริครีบสำรวจบาดแผลตามร่างของเด็กชาย


                    'ที่หน้าท้องมีเลือดออกมาเลยนะ ข้าไม่มียาที่จะรักษาเจ้าได้เลย ข้ามีหนทางเดียวที่จะช่วยเจ้าได้ ก็คือต้องทำให้เจ้าเป็นพวกเดียวกับข้า อีกอย่างข้าคงต้องลบความทรงจำเจ้าด้วย'

    พระราชาเฟรเดอร์ริคดำริก่อนจะหยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ที่ผ้าคาดเอวกรีดลงไปบนข้อพระกร บีบโลหิตให้ไหลเข้าไปในบาดแผลที่หน้าท้องของเด็กชาย ในทันใดบาดเเผลก็กลับมาสมานดีดังเดิมก่อนจะเลื่อนหัตถ์ไปวางบนหน้าผากของเด็กชาย


                   แสงสว่างวาบค่อยๆออกมาจากหัตถ์ของร่างใหญ่ก่อนจะซึมเข้าไปทีละน้อยในศีรษะของร่างตรงหน้า



     

    ด้วยอำนาจแห่งข้า  จอมราชันย์แห่งซิสเวิร์ด  

    อดีตกาลที่ผ่านของเจ้าจงมลายหายไป 

    ต่อแต่นี้ข้าขอสั่ง  

    เจ้าคือบอลด์วิน 

    เด็กกำพร้าจากเมืองหน้าด่าน ที่ข้ารับมาดูแล

    หาใช่มนุษย์ธรรมดา  

    จงจำไว้!!!  

    เจ้าคือบอลด์วิน  แวมไพร์ตนหนึ่งในซิสเวิร์ด!!

     




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×