คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่4
4
ลานหลังปราสาทเป็นบริเวณว่างเหมาะแก่การฝึกการรบของทหารใหม่และบุตรขุนนางข้าราชบริพารต่างๆ ถัดไปเป็นป่าใหญ่ต้นไม้ขึ้นรายล้อมเหมาะแก่การเป็นเป้าฝึกซ้อมยิงของนักธนู เสียงแสดงฝีมือปะทะดาบดังไปทั่วลานว่าง โอรสน้อยวิ่งร่ามากจากปราสาทตรงมาที่ลานว่างทันที
"เฮ้! พวกเจ้าน่ะ มาประมือกับข้าหน่อยสิ"โอรสน้อยตะโกนไปทางกลุ่มบุตรข้าราชบริพารพลางแย่งดาบมาจากคนข้างๆชี้ดาบไปทางบุตรข้าราชบริพารคนที่ตัวโตที่สุดในกลุ่ม
"เจ้าก็ได้ เจ้าตัวโต ดูท่าฝีมือเจ้าคงจะเหมาะให้ข้าซ้อมมือได้"
เจ้าตัวโตเหงื่อตกทันที ซวยล่ะวา! เจ้าชายเรนเนลด์มาท้าประลองกับข้าจะทำไงดี ใครก็รู้กิตติศัพท์ของความพาลของพระองค์ดีนัก ถึงข้าจะไม่เคยรู้ว่าฝีมือของพระองค์เป็นเช่นไร หากข้าทำพระองค์แพ้ มีหวังข้าหัวหลุดออกจากบ่าแน่
“ขอบพระทัย องค์ชายน้อย สำหรับเกียรตินี้ แต่หม่อมฉันฝีมือด้อยยิ่งนัก คงจะไม่เหมาะจะเป็นคู่ซ้อมให้กับพระองค์หรอก ทางที่ดีพระองค์ควรจะให้คนอื่นมาซ้อมมือแทนข้าดีกว่า หม่อมฉันทูลลา" บุตรข้าราชบริพารคนนั้นพูดปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่จะมีหรือที่เรนเนลด์จะไม่รู้ว่านั่นคือการปฏิเสธที่จะไม่รับคำเชื้อเชิญของเขา
บุตรข้าราชบริพารคนนั้นโค้งคำนับให้อย่างสุภาพ ก่อนจะโบกมือเรียกเพื่อนให้เข้าไปในพระราชวัง ก่อนจะเดินตามหลังกลุ่มเพื่อนไป
ให้ตายเถอะ! เป็นอย่างนี้มาหลายครั้งแล้วนะ ทำไมถึงไม่มีใครอยากเล่นกับข้าเลย ที่รานดอล์ฟล่ะก็ เล่นกันเป็นกลุ่มเชียว โอรสน้อยดำริพลางหันไปทางพระเชษฐาที่กำลังเล่นกับกลุ่มบุตรข้าราชบริพารคนอื่นอยู่
ทางด้านรานดอล์ฟที่กำลังเล่นอยู่กับบุตรข้าราชบริพาลอยู่ นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหารานดอล์ฟก่อนจะกราบทูลตามที่ได้รับสั่งมา
"ทูลองค์ชายใหญ่ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ"
รานดอล์ฟผละจากกลุ่มบุตรข้าราชบริพารก่อนจะเดินตามนายทหารคนนั้นไปที่ห้องทรงงานของพระราชาเฟรเดอร์ริค
เมื่อรานดอล์ฟเดินมาถึงห้องทรงงานของพระราชาเฟรเดอร์ริค ก็เปิดออกโดยทันที รานดอล์ฟจึงก้าวฉับเข้าไปในห้องโดยทันที รานดอล์ฟทำความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติต่อร่างสูงตรงหน้า
“เสด็จพ่อมีสิ่งใดหรือพะยะค่ะ”
“รานดอล์ฟเจ้าจะสิบสามแล้วใช่ไหม”พระราชาเฟรเดอร์ริคตรัสถาม
“พะยะค่ะ”
“เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าโอรสองค์อื่นใดหากไม่ใช่รัชทายาทต้องถูกส่งไปปกครองเมืองอื่นเพื่อแก้ปัญหาเรื่องกบฏน่ะ”
“ทราบดีพระเจ้าค่ะ”
“พ่อจะส่งเจ้าไปอยู่ที่เมืองหน้าด่าน ต่อไปพ่อจะให้เจ้าปกครองที่นั่น เพราะฉะนั้น อาทิตย์หน้าเจ้าจะต้องไปฝึกเรื่องการปกครองที่นั่น ลูอีสจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง”
“พะยะค่ะ”รานดอล์ฟรับคำแต่โดยดีโดยไม่โต้แย้งอะไร ยังไงเขาก็ไม่มีสิทธิจะโต้แย้งอะไรอยู่แล้ว ก็มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่อดีตกาลแล้วนี่
ผ้าไหมแพรพรรณเนื้อดีถูกพับวางเรียบร้อยบนพานทอง โอรสน้อยเอื้อมมือไปหยิบมาสวมใส่ก่อนจะก้าวออกจากห้องไป ไม่มีอะไรจะน่ายินดีกว่านี้แล้ว กับการได้กำจัดเสี้ยนหนามอย่างรานดอล์ฟ ออกไปโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง ตอนแรกที่เขาทราบข่าว เขาแทบจะตะโกนด้วยความยินดีไปทั่วราชวัง
โอรสน้อยเดินออกมานอกปราสาท เมื่อขึ้นราชรถก็เห็นรานดอล์ฟกับพระราชาเฟรเดอร์ริคประทับรออยู่ก่อนแล้ว
‘ทำไมต้องให้เจ้ารานดอล์ฟมาอยู่บนราชรถเดียวกันกับเขาด้วยนะ ราชรถอื่นมีตั้งมากมาย รึให้มันขี่ม้าไปก็ได้ แต่ถ้ายิ่งดีกว่านั้น ให้มันเดินไปเลยได้ยิ่งดี’
กองทัพพลทหารหลายสิบนายที่สวมใส่เสื้อคลุมสีดำสนิทขับเคลื่อนพลมุ่งสู่เมืองหน้าด่าน
ร้อน...ร้อน ร้อน ร้อน ทำไมมันร้อนอย่างนี้ ถึงเขาจะมีเลือดโสโครกของมนุษย์ไหลเวียนอยู่ในกายครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นแวมไพร์อยู่ดี ดังนั้นอาการร้อนนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันร้อนๆๆ
ขนาดอยู่ในราชรถนี่ยังร้อนเช่นนี้เลย แล้วพวกพลทหารด้านนอกจะร้อนขนาดใหน แต่ช่วยไม่ได้ใครอยากให้พวกมันเกิดมาเป็นทหารเองทำไม
เจ้าพระอาทิตย์นี่คิดจะเผาเขาให้ตายทั้งเป็นเลยหรืออย่างไรกัน ผ้าคลุมสีดำนี่ไม่ได้ช่วยให้หายร้อนเลยสักนิด ถึงจะเป็นผ้าแพรเนื้อดีที่ใส่แล้วจะเย็นสบายตัวก็เถอะ แต่กับเขาแล้วมันร้อนตับแลบเสียมากกว่า จนเขาอยากจะถอดเจ้าผ้านี้ทิ้งซะ หากไม่กลัวว่าไอร้อนของดวงอาทิตย์จะทำให้ร่างของเขาเกิดปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา
เขาไม่เข้าใจจริงๆเลย เหตุใดเสด็จพ่อถึงไม่สร้างข่ายมนตราให้คุมอาณาเขตกว้างไปถึงเมืองหน้าด่านเลยนะ เขาจะได้ไม่ต้องมาใส่ผ้าคลุมดำๆนี่ๆ
“เป็นอะไรไปรึเรนเนลด์”พระราชาเฟรเดอร์ริคตรัสถาม เมื่อเห็นพระโอรสองค์เล็กเหงื่อชุกไปทั้งกาย
“เปล่าพะยะค่ะ”
เจ้าชายรานดอล์ฟยิ้มก็จะไม่ให้ร้อนอย่างไรไหว ก็ในเมื่อไม่มีข่ายมนตร์ของเสด็จพ่อกั้นแสงอาทิตย์ไว้นี้ อย่าว่าแต่เรนเนลด์เลย เขาก็ร้อนเหมือนกัน
ทุกวันนี้ที่ผู้คนในอาณาจักรซิสเวิร์ดไม่มอดไหม้ไปกับแสงอาทิตย์นั่นก็เพราะเสด็จพ่อสร้างข่ายมนตร์ไว้ทำให้แสงของพระอาทิตย์ไม่ส่องลงมา แต่ในขณะเดียวกันภายใต้ข่ายมนตรานั้นก็ยังมี ‘แสงเวทย์’ ที่เหมือนกับพระอาทิตย์ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นหรือตกของพระอาทิตย์ ทำให้อาณาจักรของเรามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อราชรถหยุด พลทหารนายหนึ่งก็วิ่งมาแจ้งต่อเจ้าอยู่หัวว่า
“ทูลฝ่าบาท ถึงเมืองหน้าด่านแล้วพะยะค่ะ”
เมื่อโอรสน้อยได้ยินก็รีบเสด็จลงจากราชรถทันที ‘จะหายร้อนกันสักที’ โอรสน้อยดำริ
“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”หญิงสาวผมสีเงินกับพลทหารหลายสิบนายแสดงความเคารพทันทีเมื่อเห็นพระราชาเฟรเดอร์ริค
“ไม่เจอกันเสียนาน เจ้าโตขึ้นเยอะนะลูอีส”
“เพคะฝ่าบาท เชิญฝ่าบาทเสด็จเข้าไปในเมืองก่อน”ลูอีสพูด ใบหน้าแดงเรื่อ
กองทัพมุ่งเข้าสู่เมืองหน้าด่าน โอรสน้อยมองไปยังแถวชาวบ้านที่ต่อกันยาวเหยียด มีทหารสองนายยืนตรวจตราหากลิ่นมนุษย์ที่ติดมากับกายของชาวเมือง
‘ดูไปแล้วไม่ต่างไปจากสุนัขเลยแฮะ’
โอรสน้อยดำริ ยังไม่วายหันไปแขวะคนข้างๆ
“ดูแล้วก็จำไว้ซะสิรานดอล์ฟ อีกไม่นาน มันก็จะเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว ไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขข้างถนนเลยนะ ที่คอยดมกลิ่นกายคนอื่นน่ะ ข้าขออวยพรให้เจ้าตั้งใจดมก็แล้วกัน”โอรสน้อยตรัส ก่อนจะสาวพระบาทเดินตามพระบิดาที่เดินหายลับไปในปราสาท ปล่อยให้รานดอล์ฟยืนนิ่งกับคำสบประมาทนั้น
ดูไปแล้วเมืองนี่ก็ไม่ต่างไปจากเมืองของเขามากนัก เพียงแต่ดูแห้งแล้ง และก็มีแต่ทหารที่รักษาเมืองอยู่กันเท่านั้น ปราสาทก็เหมือนกัน เพียงแต่เล็กกว่า
โอรสน้อยเดินมาถึงห้องๆหนึ่ง หยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงพระบิดามาจากห้องนั้น บานทวารทั้งสองเปิดอ้า จึงทำให้ได้ยินเสียงชัดขึ้น
"เป็นอย่างไรบ้าง มีชาวเมืองทำผิดเยอะหรือเปล่า"
"น้อยมากเพคะ ในปีหนึ่งมีชาวเมืองแค่ไม่กี่คนที่มีกลิ่นกายของมนุษย์ติดมาแล้วเมื่อเราสืบทราบไปก็มีเพียงน้อยนิดที่ทำร้ายมนุษย์เพคะ"หญิงสาวผมสีเงินตอบกลับมา
"ดีแล้วล่ะ ตลอดหลายปีมานี้ข้าหวังว่าแวมไพร์กับมนุษย์จะเป็นมิตรกันเสียที"
"ถ้าเช่นนั้น ลูกขอใคร่ชม เมืองมนุษย์ที่เสด็จพ่อ หวงนักห่วงหนา ปกป้องอยู่ทุกวันนี้หน่อยได้หรือไม่พะยะค่ะ"
"เผื่อลูกจะคิดได้ว่าควรจะสานสัมพันธ์ไมตรีด้วยหรือไม่"
โอรสน้อยสาวพระบาทมาอยู่ท่ามกลางคู่สนทนาทั้งสอง
"ได้หรือไม่พะยะค่ะ"
"ตามใจเจ้าสิ ......ถ้าเช่นนั้นพ่อจะพาไปดูเอง" ถึงแม้พระองค์จะทรงแปลกพระทัยไปบ้างกับกิริยาของโอรสน้อย แต่ก็ทรงพาไปด้วยพระองค์เอง
"ลูอีส เตรียมม้าให้ข้าที ไม่ต้องเอาทหารไปนะมันจะเอิกเกริกเสียเปล่า"
"เพคะฝ่าบาท"
เมื่อลูอีซเตรียมม้าเสร็จ พระราชาเฟรเดอร์ริคกับโอรสน้อยก็รีบควบม้าตะบึงไปยังป่าเขตแดนที่กั้นอยู่ระหว่างเมืองมนุษย์กับอาณาจักรซิสเวิร์ด เมื่อถึงกลางป่า พระราชาเฟรเดอร์ริคจึงสั่งให้ม้าเดินช้าลงก่อนจะหยุดเดินเพราะมีสิ่งหนึ่งกำลังอยู่ใกล้ๆ
'กลิ่นมนุษย์'
มนุษย์ที่ไหนกันจะมาอยู่ในป่าเวลานี้น่ะ
"เรนเนลด์เจ้ากลับไปที่เมืองหน้าด่านก่อนนะ ม้านี่จะพาเจ้ากลับเอง"
"เอ๋! เสด็จพ่อ แล้วเรื่องเมืองมนุษย์ล่ะพะยะค่ะ"
"พ่อสัญญา คราวหน้าพ่อจะพาเจ้ามา ไปซะ" พระราชาเฟรเดอร์ริคออกคำสั่ง โอรสน้อยพระพักตร์มุ่ยในทันทีแต่ก็ยอมกลับแต่โดยดี
"กลิ่นมนุษย์นั่นอยู่ทางไหนกัน"
'ได้กลิ่นเลือดด้วยนี่'
พระราชาเฟรเดอร์ริคเสด็จไปตามกลิ่นเลือดทันที
ร่างของเด็กชายมีเลือดเปรอะอยู่เต็มกาย ข้างๆมีหมาป่ายืนแสยะเขี้ยวอยู่
"เฟอาเม"ฉับพลันก็ปรากฏลูกพลังเพลิงสีแดงขนาดย่อมที่หัตถ์ทั้งสองข้าง ก่อนจะพุ่งออกไปยังพื้นข้างๆหมาป่า
ร่างของหมาป่ากระโดดหนีไปทันทีเมื่อลูกพลังสัมผัสพื้นจนเป็นหลุมขนาดย่อม
พระราชาเฟรเดอร์ริครีบวิ่งเข้าไปดูเด็กชายทันที
ร่างของเด็กชายหายใจอ่อนมากแล้ว พระราชาเฟรเดอร์ริครีบสำรวจบาดแผลตามร่างของเด็กชาย
'ที่หน้าท้องมีเลือดออกมาเลยนะ ข้าไม่มียาที่จะรักษาเจ้าได้เลย ข้ามีหนทางเดียวที่จะช่วยเจ้าได้ ก็คือต้องทำให้เจ้าเป็นพวกเดียวกับข้า อีกอย่างข้าคงต้องลบความทรงจำเจ้าด้วย'
พระราชาเฟรเดอร์ริคดำริก่อนจะหยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ที่ผ้าคาดเอวกรีดลงไปบนข้อพระกร บีบโลหิตให้ไหลเข้าไปในบาดแผลที่หน้าท้องของเด็กชาย ในทันใดบาดเเผลก็กลับมาสมานดีดังเดิมก่อนจะเลื่อนหัตถ์ไปวางบนหน้าผากของเด็กชาย
แสงสว่างวาบค่อยๆออกมาจากหัตถ์ของร่างใหญ่ก่อนจะซึมเข้าไปทีละน้อยในศีรษะของร่างตรงหน้า
ด้วยอำนาจแห่งข้า จอมราชันย์แห่งซิสเวิร์ด
อดีตกาลที่ผ่านของเจ้าจงมลายหายไป
ต่อแต่นี้ข้าขอสั่ง
เจ้าคือบอลด์วิน
เด็กกำพร้าจากเมืองหน้าด่าน ที่ข้ารับมาดูแล
หาใช่มนุษย์ธรรมดา
จงจำไว้!!!
เจ้าคือบอลด์วิน แวมไพร์ตนหนึ่งในซิสเวิร์ด!!
ความคิดเห็น