ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฉันนี่นะราชาจักรพรรดิ์แวมไพร์จุติใหม่

    ลำดับตอนที่ #2 : การเกิดใหม่โนโลกที่แตกต่างไปจากเดิม

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 65


    แวมไพร์ คือ ผีดูดเลือดที่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์  มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อเป็นการหล่อเลี้ยงอวัยวะร่างกายภายนอกและภายใน มนุษย์เปรียบเสมือนอาหารจานโปรดของแวมไพร์ แวมไพร์จะปรากฏตัวได้เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันจะแพ้แสงแดดและอ่อนแรงเป็นอย่างมากเมื่อถูกแสงแดดส่องถึงตัว ร่างกายจะเกิดรอยไหม้ร้อนขึ้นๆจนร่างกายแผดเผาหรือแต่กระดูกไปในที่สุด แต่นั่นใช้ไม่ได้กับ แวมไพร์ชั้นกลางและชั้นสูงที่มีสติสัมปชัญญะ พวกเขา สามารถอยู่รอดได้แม้จะไม่ได้ดื่มเลือดมนุษย์ และพวกเขายังสามารถใช้ชีวิตได้ราวกับปกติทั่วไปทั้งกลางวันและกลางคืน

    ปัจจุบันโลกมนุษย์แม้จะมีวิทยาการเทคโนโลยีมากมายแต่ก็หาใช่คู่ต่อสู้เทียบชั้นกับแวมไพร์ไม่ เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ มนุษย์ได้ทำสนธิสัญญาเพื่ออยู่ร่วมกับเผ่าแวมไพร์ โดยมีตระกลูทั้ง7เป็นผู้ปกครองเหนือสุด แต่บนโลกก็หาได้มีเพียงแค่เผ่าแวมไพร์ แต่ยังมี เผ่าปีศาจที่ปกครองโลกผืนใต้พิภพ เผ่าเงือก ที่ปกครองผืนมหาสมุทรใต้ทะเลลึก เผ่าเอลฟ์ ที่ปกครองผืนป่าพงไพร และเผ่าคนแคระ พวกเขามักจะอาศัยอยู่บนเกาะที่ห่างไกลผู้คน มีรูปลักษณ์อุปนิสัยคล้ายคลึงกับมนุษย์ แต่มีลักษณะทางกายส่วนสูงที่น้อยกว่ามนุษย์หลายเท่า แต่ถ้าจะให้พูดถึงละก็ในเรื่องการตีเหล็กและสร้างอาวุธก็คงไม่อาจมีเผ่าไหนเทียบได้กับเผ่าคนแคระ

    ราชาจักรพรรดิ์
    ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่กว่าราชาของทุกเผ่า  มีเพียงไม่กี่คนในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกขนานนามเป็น ราชาจักรพรรดิ์
    ผู้ที่จะขึ้นมาสู่จุดนี้ได้ ต้องถูกยอมรับ จากเผ่าทุกเผ่า ไม่ว่าจะด้านพลังอำนาจ บารมี ความแข็งแกร่ง หากผู้ใดที่ถูกยอมรับ ก็จะถือว่ายิ่งใหญ่หาสิ่งใดมาเทียบได้ 
    เป็นจักรพรรดิ์แห่งราชันย์ปกครองอยู่เหนือเผ่าทุกเผ่าหรือราชาอื่นๆทั้งปรวง

    แต่ว่า.... บัลลังก์ของราชาจักรพรรดิ์นั้น ว่างเปล่ามาเป็นเวลาช้านานแล้ว...  แล้วใครกันละจะได้ขึ้นเป็นราชา
    จักรพรรดิ์คนต่อไป?
     

    ณ บ้านหลังเล็กๆ สภาพเก่าโทรมๆ แห่งหนึ่ง
      
    ขณะนั้นเอง หญิงสาววัยสูงอายุ ราว40ปลายๆ เธอได้ทำการส่งเสียงร้องตะโกนเสียงดังปลุกลูกชายของตนที่กำลังนอนหลับอยู่บนบ้านอย่างสบายใจราวกับไม่รู้สึกรู้สึกสาว่ามีคนกำลังเรียกตนอยู่

    หญิงสาวผู้เป็นแม่รู้สึกเอือมระอากับพฤติกรรมของลูกชายตน เธอได้เหลือบตาหันไปมอง สามีของตนที่นั่งอ่านหนังสือพิมไปพราง อยู่ที่โต๊ะอาหารเพื่อรอรับประทานข้าวเช้าพร้อมกัน

     

    สามีนั่งอ่านหนังสือพิมอยู่ครู่นึงก็จะถอดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะส่งเสียงไอแบบไม่พอใจออกมา

     

    เธอนั้นเข้าใจสามีเป็นอย่างดีว่าเขากำลังแสดงท่าทีไม่พอใจ เขากำลังจะหมดความอดทนในไม่ช้านี้และต้องขึ้นไปปลุกลูกชายเขาด้วยตัวเองอย่างแน่นอนด้วยอารมณ์ที่โมโหและดุร้าย แต่แม้สามีเธอจะโกรธลูกขนาดไหน
    แต่ถ้าเพื่อลูก เขาก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกของตนอยู่สุขสบายไม่ว่าลูกเขาดีเลวหรือร้ายยังไง ในสายตาของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังห่วงลูกเสมอ

    ทันใดนั้นเองข้างบนบ้าน ลูกชายของพวกเขาทั้งสองก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่าน่าตกตะลึง เขามีท่าทีที่ดูกระวนวานตกใจกลัวอะไรบางอย่าง

    ชายหนุ่มเริ่มตั้งสติและถลึงตาเหลือบมองบริเวณรอบๆห้อง นั่นยิ่งให้เขารู้สึกตกใจอย่างบอกไม่ถูก

    "นี่มันอะไรกัน!! ฉันจำได้ว่าตัวฉันเองตายไปแล้วไม่ใช่รึยังไง แล้วนี่ฉันมาอยู่ที่ห้องนอนของตัวฉันเองได้ยังไงกัน"

    ชายหนุ่มรีบลุกตัวขึ้นจากที่นอน และพุ่งตัวไปที่ห้องนํ้าเพื่อส่องกระจกอย่างรวดเร็ว!!!

    "ไม่ผิดแน่นี่คือตัวฉันในช่วงเข้าเรียนมหาลัยปี1 เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน  ตัวฉันที่ตายไปแล้วจากการช่วยเหลือผู้หญิงแปลกหน้าที่พยายามจะฆ่าตัวตายด้วยการเดินลงนํ้าทะเลอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    "ตัวฉันได้เข้าไปช่วยเธอไว้ได้ทัน แต่ตัวฉันเองกลับเอาตัวไม่รอดเนื่องด้วยฝนที่ตกหนักฟ้าร้องนํ้าทะเลพุ่งขึ้นสูงและกระแสนํ้าก็ไหลแรงมากด้วย จนสุดท้าย...ท้ายที่สุดตัวฉันเองก็จมดิ่งลึกลงสู่ใต้ท้องทะเล

    "การย้อนกลับมายังอดีตในครั้งนี้ หรือว่าพระเจ้าจะฟังคำขอร้องของเราในตอนนั้นกันแน่นะ? แต่ว่าเรื่องแบบนี้มันจะมันจะเป็นไปไม่ได้ยังไงกัน ฉันคงกำลังฝันอยู่แน่ๆ !!! "

     

    ชายหนุ่มได้ครุ่นคิดในใจอยู่ครู่นึง เกี่ยวกับเรื่องของตัวเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ในห้องนอนของตัวเองสมัยช่วงตอนปี1ได้ ตัวเขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่และย้อนเวลามายังอดีตเพื่อแก้ไขเรื่องราวต่างๆที่เคยทำพลาดอีกครั้ง แต่เขานั้นก็ยังคงคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ฝันหรือคงเป็นเรื่องที่รู้สึกผิดมากที่สุดในชีวิต จนทำให้เกิดภาพหลอนในขณะที่ตัวเองจะตายว่าย้อนมายังอดีต

     

    ขณะที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดกับตัวเองอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเรียกของแม่ของเขา จนทำให้สะดุ้งตกใจหลุดจากห่วงความคิดในหัวของเขาทันที

    "เฟิงหลานลูก รีบลุกจากที่นอนลงมากินข้าวเช้าได้แล้ว วันนี้เป็นวันแรกของการไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนะ"

    ("เอ๋ นั่นมันเสียงแม่ของฉันนิ ทำไมกันละ รึว่านี่ฉันกำลังฝันอีกแล้วหรอ เรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะเป็นไปได้นิหน่า บ้าไปแล้ว")

    ณ ชั้นล่าง ของบ้าน

    "เห้อ!!! "

     

    แม่ของชายหนุ่ม ได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเธอได้คิดว่าเขายังไม่ตื่น และถึงจะเรียกแบบนี้ไปยังไง หยาน เฟิงหลาน ก็คงไม่น่าจะลงมาอยู่ดี

    ผู้เป็นสามีใช้หางตาเหลือบไปมองภรรยาในขณะที่ตนกำลังนั่งอ่านหนังสือไปพราง เขาหยิบแก้วชามาจิบเล็กน้อยและส่งเสียงทำทีไอกระแหมออกมา เพื่อส่งสัญญาณว่าเขาจะขึ้นไปปลุกลูกชายด้วยตัวเอง

    ภรรยาที่เห็นสามีกำลังจะลุกจากเก้าอี้ก็รีบเอ๋ยปากพูดขึ้นมาทันใด

    "คุณคะ เดียวฉันจะขึ้นไปปลุกลูกเอง สงสัยเขาน่าจะตื่นเต้นที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศและได้เจอเพื่อนใหม่ๆเขาอาจจะนอนไม่หลับทั้งคืนเลยตื่นสาย คุณนั่งรออยู่ข้างล่างนี่แหละ"

     

    ผู้ที่เป็นสามีได้ยินคำพูดของภรรยาก็รู้ได้ทันทีว่า ภรรยาคงไม่อยากให้เขากับลูกทะเลาะกัน เพราะถ้าเขาขึ้นไปปลุกลูกด้วยตัวเองเขาคงจะอดใจไม่ไหว ที่จะด่าลูกด้วยถ้อยคำที่รุนแรงหยาบคายเป็นแน่ เพราะบ่อยครั้งที่เขาได้ขึ้นไปปลุกด้วยตัวเอง ก็มักจะมีเหตุให้ทะเลาะมีปากเสียงกับผู้เป็นลูกชายเป็นประจำ

    ใจจริงลึกๆเขาก็รู้สึกผิดเช่นกันที่ด่าลูก เดิมทีเขานั้นไม่เคยบ่นหรือด่าลูกเลย แม้เขาจะมีเรื่องต่อยตีชกต่อยเป็นประจำตั้งแต่ตอนยังเด็ก แต่พอ หยาน เฟิงหลาน ก้าวเข้าสู่ช่วงมอปลาย เขาเริ่มสูบบุหรี่ เสพสารติด และแว๊นรถป่วนเมืองสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว เขาอ่อนน้อมยอมคุกเข่าขอโทษเหล่าผู้เดือดร้อนคนอื่นๆ และคอยบอกว่าลูกเขาเป็นคนดี ซักวันเขาคงจะปรับตัวให้นิสัยดีขึ้น

     

    แม้จะคอยอบรมฯสั่งสอนเปิดใจถามด้วยความใจเย็นไม่ดุด่า แต่ลูกชายก็เริ่มไม่เชื่อฟังผู้เป็นพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันนึงเขาเผลอระเบิดอารมณ์ใส่ลูกชายจนต้องทะเลาะและผิดใจกันมาถึงทุกวันนี้ เขานอนไม่หลับทุกคืนเขาคิดแล้วคิดอีกว่าตนทำอะไรผิด พลาดตรงไหน ควรทำยังไงพอซื้อเค้กวันเกิดหวังมาเซอร์ไพรส์ผู้เป็นลูกชาย แต่กลับถูกโยนขว้างทิ้งลงพื้นแบบไม่ใยดี

     

    แม้เขาจะรักลูกมากแค่ไหน แต่ลูกของตนก็เกินเยียวยามากจริงๆแม้จะพยายามเข้าหา พูดดีด้วยก็แล้วทำดีด้วยก็แล้วก็เหมือนยิ่งดิ่งลงเหวมากกว่าเดิม เขายอมถูกสังคมตีตราหน้าว่าเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี  เป็นพ่อแม่ไม่สั่งสิรอบรมลูกตัวเองได้ไม่ดีพอ ยังจะกล้าเป็นพ่อคนอีกถ้าไม่พร้อมแล้วจะมีลูกทำไม

    คำเหล่านั้นแทงฝังลึกไปถึงยันกระดูกดำ แต่มันก็ยังไม่เท่าการกระทำของลูกที่ปฎิบัติต่อผู้เป็นพ่อกับแม่ ความรู้สึกนั้นมันเจ็บแสบปวดร้อนเหมือนโดนไฟเผ่าทั้งร่าง เหมือนดาบนับพันทิ่มกลางปักอกตรงหัวใจ เขานั้นไม่อยากที่อ่อนโยนกับลูกอีกต่อไปถึงเขาจะรักลูกมากก็ตามแต่หากลูกเขามันสุดจะทนแล้วจริงๆ เขาก็คงต้องยอม เพราะเขานั้นรักและสงสารภรรยาของตนที่ต้องมาคิดมากเรื่องสองพ่อลูกที่มีปัญหากัน ไม่อยากให้เธอวิตกกังวลเหมือนกับเขา

     

    และในขณะนั้นเอง ที่ผู้เป็นพ่อกำลังจะเดินก้าวขาขึ้น
    บรรไดไป เสียงเปิดปิดตูก็ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว เขาและภรรยาถึงกับต้องอ้าปากตกตะลึงตาค้างเป็นอย่างมาก

     

    นั่นคือ หยาน เฟิงหลาน นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็น หยาน เฟิงหลาน ลงมาก่อนที่จะขึ้นไปปลุกถึงที่เตียง แต่นั้นก็ยังช็อกไม่พอสำหรับการแต่งกาย ผู้เป็นพ่อและแม่สังเกตุได้ทันทีเลยว่า เขาแต่งตัวเรียบร้อยสุภาพมากขึ้น ราวกับเป็นคนละคนกับแต่ก่อนทั้งการใส่ชุดนักศึกษาติดกระดมครบเอาเสื้อเข้าในกางเกงอย่างมีระเบียบ การผูกเนคไท ที่ดูดีสวยงาม แถมทรงผมก็ไม่กระเซอะกระเซิงซึ่งถูกหวีด้วยความปราณีต ผมจากสีทองก็กลายเป็นย้อมกลับสีดำดั่งเดิมตามกฎระเบียบ

     

    แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาทั้งสองจะพูดอะไรออกไปผู้เป็นลูกชายที่วันนี้ผิดแปลกไปจากปกติก็พุ่งตัวมากอดพวกเขาทั้งสองคนอยากไม่ทันตั้งตัว หยาน เฟิงหลาน ผู้เป็นลูกชายไม่พูดอะไรแต่พวกเขาก็รู้สึกได้ว่า ลูกชายของตนนํ้าตาได้หลั่งไหลออกจากตา นํ้าตาที่ออกมาไหลหยาดเป็นสายหยดลงกระทบกับไหลพวกเขา ผู้เป็นพ่อที่ได้เห็นลูกชายร้อง จากที่โมโหจะขึ้นไปปลุก อารมณ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นความห่วงใยโอบกอดลูกด้วยความรักโดยไม่ถามอะไร

     

    ("นี่มันความจริงสินะ นี่ฉันย้อนกลับมายังอดีตจริงๆซินะ คุณพ่อคุณแม่ ผมขอโทษที่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง ผมมันเป็นลูกอกตัญญู เนรคุณ ไม่สมควรที่จะเป็นลูกของพ่อกับแม่ ผมทำให้พ่อแม่ลำบากมาเยอะมาก ในครั้งนี้ผมได้เกิดใหม่มาแก้ไขอดีตที่เคยพลาด ผมจะไม่มีวันเดินตามรอยแบบเดิมเด็ดขาด")

     

    เฟิงหลาน ได้แต่คิดและพูดกับตัวเองในใจ เขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวของเขาแต่มันคงยังไม่ถึงเวลา เขาไม่ควรจะเร่งรีบ ควรจะไปทีละขั้นตอน ในตอนนี้ขอแค่ทำดีปรับปรุงตัวตั้งใจเรียนให้มากขึ้นคือเป้าหมายหลัก ตอนนี้เขามีความสุขมากๆเหลือล้นที่ได้เจอพ่อกับแม่ที่เสียไปแล้วอีกครั้ง

     

    "นี่ลูกแม่ วันนี้ลูกเป็นอะไรงั้นหรอจ๊ะ ทำไมถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายเป็นเด็กไปได้"

    ผู้เป็นแม่ได้เอ๋ยถามขึ้นมา

    "ขอโทษนะครับ พอดีผมแค่ฝันร้ายน่ะครับ เป็นฝันที่ยาวนานมากเลยล่ะฮาๆ"

    เฟิงหลานพูดติดตลกหัวเราะทั้งนํ้าตาและส่งยิ้มให้กับผู้เป็นแม่

     

    ผู้เป็นพ่อเดินถอยออกมาอย่างเงียบๆโดยที่ไม่พูดอะไร แล้วก็เดินไปหยิบเอากระเป๋าที่จัดตารางเรียนไว้ให้พร้อมแล้ว เขายื่นกระเป๋านักเรียนพร้อมเงินอีก100หยวนให้ผู้เป็นลูกชาย โดยไม่เอ๋ยปากพูดออกมา

     

    เฟิง หลาน รับไว้โดยไม่พูดอะไรและก็ยิ้มออกไป ถึงพ่อจะหันหลังให้เขาก็ตาม แต่รอยยิ้มของเขาก็มีเพียงแต่ผู้แม่ที่สังเกตุเห็น นั่นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ไม่ได้ลืมที่จะให้บัตรนักศึกษาแก่ลูกชายเธอก่อนที่จะออกจากบ้านไป

     

    เขารับไว้ด้วยท่าทีที่ปกติเขายิ้มตอบกลับด้วยสีหน้าที่แจ่มใจและพูดกับกลับไปว่า...

    "ผมไปเรียนก่อนนะครับ แล้วเย็นนี้ผมจะรีบกลับมาช่วยงานที่ร้านนะครับพ่อ"

    ผู้เป็นพ่อที่ได้ก็รู้สึกว่าลูกชายตัวเองเปลี่ยนไปราวกับคนละคน แต่เขาก็แสดงท่าทีปกติเฉยชาเก็บอาการไว้และตอบกลับลูกชายไปตามปกติว่า...

    "แกรีบไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปสายไม่ทันเข้าเรียนหรอก"

     

    เฟิง หลาน ที่ได้ฟังก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะทักทายพ่อเขาและเดินออกประตูไป วินาทีนั้นเองโทรทัศน์เก่าๆของผู้เป็นพ่อที่เปิดทิ้งไว้ฟังไปพรางๆ ก็ประกาศถึง ข่าวด่วน

    "ขอรายงานข่าวด่านวันนี้ ดิฉัน....เป็นเกียรติอย่างยิ่ง...เป็นเรื่องที่น่าดีใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับเรื่องนี้ที่ทุกคนรอคอยหลังจากคุณหนู ลิเลียนน่า จาก1ใน7ตระกลูขุนนางแวมไพร์ชั้นสูง ลูกสาวของ ดยุก ปีเตอร์ ควินออฟต์ ได้เดินทางหาผู้ติดตามส่วนตัวไปรอบโลก ตอนนี้ได้เดินทางกลับมาที่ประเทศจีนและจะเดินทางกลับมายังเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้

    " เพื่อหาผู้ที่จะมาติดตามเป็นข้ารับใช้ส่วนตัว สำหรับใครที่เฝ้ารอโอกาสนี้มาอย่างเนิ่นนาน ตัวดิฉันเองก็ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง โอกาสของพวกคุณทุกท่านที่ได้ฝึกฝนมานานหลายปี อีกกี่ไม่วันก็จะได้เข้าร่วมทดสอบแสดงฝีมือเป็นหนึ่งในตระกูลแวมไพร์ชั้นสูงในไม่ใช้ ขอให้พวกท่านสมหวังตามปรารถนา ดิฉันขอจบการงานข่าวแต่เพียงเท่านี้ พบกันใหม่ช่วงหน้าขอบคุณค่ะ"

     

    เฟิง หลานได้เหลือบมองได้จอทีวีและยืนฟังอยู่นั้นก็รู้สึกตกใจกับข่าวที่ได้ฟังเขาแทบจะไม่เชื่อและคิดว่ามันต้องเป็นการอำกันเล่นอยู่แน่ๆ เขาไม่ลีรอเอ๋ยปากพูดขึ้นในทันที

     

    "นี่มันข่าวอะไรกัน ทำไมถึงรายงานข่าวไร้สาระแบบนี้ออกมาได้กัน แล้วยัยผู้หญิงนั้นทำไมต้องมาหาข้ารับใช้ด้วย ไม่ใช่ว่ายุคนี้ชายหญิงต้องเท่าเทียมกันไม่ใช่หรอ "

     

    หลังจากที่ได้ฟังพ่อเขาก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย

     

    "ไร้สาระบ้าบอแกซิ คุณหนู ลิเลียนน่า ไม่ใช่บุคคลที่พวกเราจะมาแกจะพูดเล่นๆได้หรอกนะ เธอเป็นหนึ่งในเจ็ด
    ตระกลูแวมไพร์ชั้นสูงที่ปกครองโลกมนุษย์ของพวกเรา ถ้าเผลอทำให้เธอไม่พอใจแล้วละก็เราที่เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา คงไม่สามารถมีอยู่บนโลกได้แน่ "

    เฟิง หลาน ที่ได้ยินก็ถึงกับแทบช็อกหัวใจหยุดเต้นไปถึงตาตุ่ม เขารู้สึกตะหงิดใจและสงสัย แม้โลกใบนี้จะดูคล้ายเดิมไปซะทุกอย่าง ราวกับเขาแค่ย้อนกลับมาอดีต แต่มันดันกลับกลายเป็นว่า เขาต้องมาอยู่อาศัยในโลกที่แวมไพร์ปกครองโลกซะอย่างนั้น

     

    โปรดติดตามต่อไป : 
            ฝากกดหัวใจกดติดตามเป็นกำลังให้นักเขียนด้วยนะครับ





















     

      
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×