ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไอดอลใต้ดิน

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 สัมภาษณ์

    • อัปเดตล่าสุด 14 มี.ค. 66


    สัมภาษณ์ 

    -3-

     

    ท่ามกลางบรรยากาศภายในห้องที่เต็มไปด้วยความกดดัน ใบหน้าที่เรียบเฉยของผู้สื่อข่าวจำนวนมากที่อยู่ภายในห้องประชุมต่างก็ทำให้เด็กฝึกแต่ละคนรู้สึกประหม่าด้วยความตื่นเต้น ทีมงานที่อยู่ด้านหน้าประตูอธิบายขั้นตอนให้กับเด็กฝึกได้รับทราบ

    “การสัมภาษณ์จะเริ่มต้นขึ้นทีละกลุ่ม โดยนักข่าวทุกคนจะมีเวลาพูดคุยกับพวกคุณเพียงรอบละสิบนาที หลังจากที่เด็กฝึกกลุ่มแรกเข้าไปยังห้องประชุม เด็กฝึกกลุ่มต่อไปจะต้องมาแสตนบายรอหน้าประตูทางเข้า จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบกลุ่ม”

    “สำหรับเด็กฝึกต่างชาติ หูฟังที่ทางรายการมอบให้จะช่วยในแปลคำถามเป็นภาษาบ้านเกิดของคุณ คุณสามารถขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเด็กฝึกในกลุ่มของคุณได้หากคุณไม่มั่นใจ”

    เนื่องจากการสัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าวมักจะเป็นการยิงคำถามที่จี้ตรงไปยังเบื้องลึกของผู้ตอบ ทั้งประเด็นส่วนตัวและประเด็นที่อ่อนไหว แม้แต่เด็กฝึกจีนเองก็ยังยากที่จะคิดหาคำตอบที่เหมาะสมออกมาได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้อาจจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไปสำหรับเด็กฝึกต่างชาติอย่างพวกเขา

    ในปีที่ผ่านมามีกลุ่มแฟนคลับบางส่วนที่ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกการกระทำที่ดูแสนจะหยาบคายเช่นนี้ ทั้งการตักตวงผลประโยชน์ที่มากเกินไปจากเด็กฝึกและการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลต่างเชื้อชาติ แต่ในทางกลับกันการกระทำเหล่านี้กลับสามารถเรียกกระแสแฟนคลับส่วนใหญ่และยอดกระแสคนดูจากทั่วสารทิศได้อีกเช่นกัน

    การสัมภาษณ์ของเด็กฝึกกลุ่มแรกได้เริ่มต้นขึ้น โดยภาพของเหตุการณ์ทั้งหมดจะถูกถ่ายทอดสดมายังห้องโถงให้กับเด็กฝึกที่ผ่านการสัมภาษณ์มาแล้วได้รับชม

    กลุ่มผู้สื่อข่าวที่นั่งอยู่ภายในห้องประชุมต่างก็ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน

    “เด็กฝึกกลุ่มต่อไปจากเย่หัวเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ห่าวหรานและไป่อัน”

    เสียงรัวชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมกับคำถามของผู้สื่อข่าวหลายคนที่ประดังประเดเข้ามาจนแทบไม่มีเวลาให้พวกเขาได้หยุดหายใจ

    “คำถามพวกนั้นโหดเกินไปแล้ว”

    “ไป่อันรับมือกับคำถามได้ดีมากกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”

    “แน่สิ คิดว่าเขาเคยผ่านรายการแบบนี้มาแล้วกี่ครั้งกันล่ะ”

    “เขาคือใครเหรอ ?”

    “พระเจ้า ห่าวหรานเขาหล่อเกินไปแล้ว”

    ทันทีที่ทุกคนได้ยินชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเย่หัวเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เด็กฝึกภายในห้องโถงต่างก็ให้ความสนใจกับพวกเขา ขณะที่เด็กฝึกต่างชาติที่ไม่เคยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายมาก่อนต่างก็รู้สึกงุนงง ทว่ากลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่คอยอธิบายทุกอย่างให้พวกเขาได้ทราบ

    “ไป่อันเป็นเด็กฝึกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในรายการนี้เมื่อปีก่อน แต่หลังจากสัปดาห์ที่สามของการแข่งขัน อันดับของเขาก็ตกลงมาเรื่อย ๆ จนต้องออกจากรายการไป หลังจากนั้นเขาก็ได้เดบิวต์เป็นศิลปินเดี่ยว จนกระทั่งมีข่าวลือออกมาว่าเขาจะกลับมาเข้าร่วมรายการนี้อีกครั้ง”

    เมื่อชายหนุ่มได้รับสายตาที่เต็มไปด้วยความฉงนจากเด็กฝึกที่อยู่รอบ ๆ บริเวณเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตนนั้นลืมแนะนำตัวออกไป 

    “อ้อ ฉันชื่อสวี่ตงเฉิน ยินดีที่ได้รู้จักพวกนายทุกคนนะ”

    “ว่าแต่ทำไมนายถึงได้รู้เรื่องพวกนี้เยอะนักล่ะ  ?”

    ไม่ใช่เพียงแค่ข้อมูลของไป่อันเท่านั้น ทั้งเด็กฝึกกลุ่มที่เข้ารับการสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้และเด็กฝึกอีกหลายกลุ่มก็เป็นสวี่ตงเฉินที่เล่าเรื่องราวทั้งหมดของเด็กฝึกให้พวกเขาได้ทราบ

    “พอดีฉันหาข้อมูลมานิดหน่อยน่ะ”

    “ปีนี้มีแต่คนเก่ง ๆ ทั้งนั้นเลย” เด็กฝึกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น สองมือกุมหัวพลางส่ายหน้าไปมาด้วยความหวั่นวิตก 

    “ห่าวหรานมียอดผู้ติดตามในแอพเว่ยป๋อถึงห้าล้านคน แถมยอดคนดูในแต่ละคลิปไม่ต่ำกว่าสิบล้านวิว เขาเป็นเน็ตไอดอลที่มีความโดดเด่นด้านการเต้นแต่เพราะว่าเขาหน้าตาดีเกินไป หลายคนเลยชอบมองข้ามความสามารถของเขาไปน่ะสิ” เป็นเสียงของสวี่ตงเฉินเช่นเคย

    “เป็นคนหล่อก็ลำบากเหมือนกันนะ”

    เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายดังก้องอยู่ภายในห้องโถง เด็กฝึกที่ผ่านการให้สัมภาษณ์ทุกคนต่างก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากเนื่องจากพวกเขาได้ผ่านสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดันมาแล้ว แต่ก็มีเด็กฝึกจำนวนหนึ่งที่รู้สึกผิดหวังเช่นกันเมื่อไม่สามารถรับมือกับการคำถามได้อย่างดี 

    ขณะเดียวกันภายในห้องที่มีเด็กฝึกจำนวนหนึ่งนั่งรอการสัมภาษณ์อยู่กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่าอึดอัด ไม่มีแม้แต่เสียงหัวเราะดังเช่นอีกฝั่ง การพูดคุยระหว่างเด็กฝึกด้วยกันเกิดขึ้นและจบลงภายในเวลาสั้น ๆ หากแต่ยังคงมีเสียงต่อบทสนทนาระหว่างเด็กฝึกสองคนที่ทำให้บรรยากาศดีขึ้นไม่มากก็น้อย

    “ถ้าพวกเขาถามอะไรมาแล้วนายตอบเป็นภาษาจีนไม่ได้ก็พูดเป็นภาษาอังกฤษ ฉันจะช่วยแปลให้”

    “นายพูดภาษาอังกฤษเก่งนะ” 

    “ฉันเคยไปเรียนต่อที่อเมริกาอยู่สามปี” 

    บทสนทนาระหว่างซีนและโจวจางเหยี่ยนทำให้เด็กฝึกที่นั่งอยู่บริเวณใกล้เคียงแอบหันมามองเล็กน้อยด้วยความสนใจ โจวจางเหยี่ยนเป็นหนึ่งในเด็กฝึกคนหนึ่งที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยความสามารถที่มีอยู่ประกอบกับใบหน้าอันหล่อเหลาและรูปร่างที่สูงโปร่ง

    เขาเป็นนักแสดงประกอบที่ได้รับความสนใจจากผู้ชมและเป็นที่พูดถึงอยากมากแม้ออกมาเพียงหนึ่งฉาก หลังจากนั้นเขาจึงถูกทาบทามจากหลายบริษัทใหญ่ กระทั่งได้รับบทนักแสดงนำชายในภาพยนตร์เรื่องลำนำดอกเหมย บทประพันธ์ที่โด่งดังของหลี่จิ้ง โจวจางเหยี่ยนเป็นนักแสดงอิสระไร้สังกัดหน้าใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้

    ครอบครัวของโจวจางเหยี่ยนเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีทั้งพ่อ แม่ น้องสองและตัวเขา พ่อของเขาเป็นอดีตนักแสดงละครเวทีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ขณะที่แม่ของเขาเป็นอดีตนางแบบแถวหน้าซึ่งขณะนี้ยังคงทำงานอยู่ภายในวงการ 

    ด้วยความที่เกิดจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้เขาได้รับอภิสิทธิ์มากมายเหนือคนอื่น ๆ แม้คนรอบข้างจะทำเหมือนมองข้ามมันไปแต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

    และเด็กหนุ่มผู้มาจากประเทศไทย ‘ไช่เสวี่ยซิน’ ใบหน้าเรียวเล็กกับผิวที่ขาวใสอมชมพู รูปร่างผอมบางที่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อย เขาเป็นมือกลองหนึ่งในสมาชิกวงแคสจากประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงและยังได้รับความสนใจจากผู้คนในต่างประเทศเป็นจำนวนมากรวมถึงเด็กฝึกคนอื่น ๆ จากประเทศญี่ปุ่น 

    “อ๋อ” ซีนพยักหน้ารับคำ

    “แล้วนายล่ะ”

    “จริง ๆ ฉันพูดได้สามภาษานะ ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น แต่ถ้านับภาษาจีนที่พอฟังออกบ้างล่ะก็จะเป็นสี่”

    “เก่งจังเลยนะ” อีกฝ่ายเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยทำให้ซีนแยกไม่ออกเลยว่าเขากำลังประชดประชันอยู่หรือเปล่า

    "นายเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ"

    "หืม" 

    "นายดูไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่"

    โจวจางเหยี่ยนนิ่งเงียบก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา "ไม่จริงสักหน่อย"

    ดูเหมือนว่าคำพูดของซีนจะจี้จุดในใจของอีกฝ่ายไม่มากก็น้อย

    "ถ้าอย่างนั้นนายก็ยิ้มสิ" เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง "แบบนี้"

    "แบบนี้เหรอ ?" 

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่พยายามฉีกยิ้มออกมาอย่างแข็งเกร็ง ซีนก็ระเบิดหัวเราะออกมา “จริง ๆ แล้วนายเป็นคนตลกหน้าตายสินะ ทำไมคนอื่นถึงดูไม่ค่อยอยากเข้าใกล้นายกันล่ะ”

    โจวจางเหยี่ยนเลิกคิ้ว “แล้วหน้าฉันดูน่าเข้าใกล้นักเหรอ” 

    ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่ซีนจะเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย

    “นายทำอะไรน่ะ” คนตัวโตกว่าหยุดชะงักงัน

    “นายบอกให้ฉันเอาหน้าไปใกล้ ๆ นายไม่ใช่หรอ” เขาเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง 

    “เปล่า” โจวจางเหยี่ยนเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษเพื่ออธิบายความหมาย “ฉันพูดว่า หน้าฉันดูไม่ค่อยเป็นมิตรน่ะ”

    ซีนก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาหลุบต่ำลงขณะที่ใบหูขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความอับอาย “ไม่หรอก ฉันว่านายหล่อมาก”

    โจวจางเหยี่ยนหัวเราะในลำคอ เขาส่ายศีรษะให้กับกริยาที่ดูราวกับเป็นเด็กน้อยของซีน แม้อีกฝ่ายจะเดินเข้ามาเอ่ยทักทายเขาก่อนอย่างมั่นใจ ทว่าภายใต้ความมั่นใจนั้นกลับเต็มไปด้วยความประหม่าและความกังวล เปลือกลูกอมที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขานั้นเป็นหลักฐานยืนยัน 

    แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกัน อีกฝ่ายก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับโจวจางเหยี่ยนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งความใส่ใจของอีกฝ่ายที่มีต่อตัวเขาและรู้สึกสบายใจที่เกิดขึ้นเมื่อได้พูดคุยกัน แตกต่างจากเขา ซีนเป็นคนที่มีสเน่ห์ พฤติกรรมเล็ก ๆ ที่แสดงออกมานั้นกลับดูน่าดึงดูดเป็นพิเศษเมื่อเป็นเด็กหนุ่ม

    “โจวจางเหยี่ยน ไช่เสวี่ยซิน” เสียงประกาศเรียกชื่อของพวกเขาดังขึ้นจากทางด้านหลัง เป็นทีมงานสาวคนหนึ่งที่เดินเข้ามานำพวกเขาไปยังด้านหน้าประตู

    ซีนเอ่ยลาเด็กฝึกในห้องสั้น ๆ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับโจวจางเหยี่ยน

     

    “เด็กฝึกจากเจเคเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ไช่เสวี่ยซิน”

    “เด็กฝึกอิสระ โจวจางเหยี่ยน”

    ซีนและโจวจางเหยี่ยนหยุดยืนอยู่บนเวทีด้านหน้าผู้สื่อข่าวที่ทางรายการจัดเตรียมไว้เป็นการพิเศษ เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นเป็นระยะพร้อมกับแสงแฟลชที่สาดสะท้อนเข้ามา ขณะที่ผู้สื่อข่าวเริ่มการสัมภาษณ์ 

    เขาสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ สองมือกำไมค์แน่น สายตามองตรงไปยังกล้องตัวใหญ่ที่ถูกวางไว้บริเวณกลางห้องก่อนจะแนะนำตัว

    “สวัสดีครับ ผมชื่อซีน ไช่เสวี่ยซิน เป็นเด็กฝึกค่ายเจเคเอ็นเตอร์เทนเม้นท์มาจากประเทศไทยครับ”

    “สวัสดีครับ ผมชื่อโจวจางเหยี่ยนเป็นเด็กฝึกอิสระครับ”

    ผู้สื่อข่าวทุกคนต่างก็ให้ความสนใจกับชายหนุ่มตรงหน้า หลายคนยกมือขึ้นเมื่อต้องการเป็นตัวแทนในการสัมภาษณ์ เสียงดังเซ็งแซ่เอ่ยถามคำถามที่ตนเตรียมมา 

    "เด็กฝึกโจวจางเหยี่ยน หลังจากที่มีข่าวลือว่าคุณจะมาเข้าร่วมรายการนี้ก็เป็นที่พูดถึงกันอย่างมากในกลุ่มแฟนคลับ คุณมีอะไรจะพูดกับพวกเขาไหมคะ"

    "ครับ ก่อนอื่นเลยผมต้องขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามผมมาตลอด ผมเชื่อว่าการมาออกรายการนี้จะทำให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนของผมมากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นขอให้ทุกคนเฝ้ารออีกสักนิดและก้าวต่อไปพร้อม ๆ กับผมนะครับ ขอบคุณครับ"

    “คุณคิดว่าความนิยมของคุณได้มาจากลำนำดอกเหมยหรือเปล่าคะ” 

    หนึ่งในกลุ่มผู้สื่อข่าวเอ่ยถามขึ้นมาด้วยคำถามที่ไม่มีใครคาดคิด ใบหน้าของโจวจางเหยี่ยนยังคงเรียบเฉย เขาเอ่ยตอบคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

    “แน่นอนครับ มีผู้สนับสนุนของผมมากมายที่มาจากลำนำดอกเหมย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่ามันเป็นผลงานที่ผมร่วมแสดง ผมโชคดีมากครับที่มีโอกาสได้ร่วมแสดงและได้รับประสบการณ์มากมายจากภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่การอยู่บนสเตจก็เป็นความฝันของผมตั้งแต่เด็กเช่นกัน ดังนั้นผมถึงเลือกที่จะมาแข่งขันในรายการนี้”

    “อะไรคือเป้าหมายของคุณในรายการนี้คะ” เป็นผู้สื่อข่าวคนเดิมที่เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง

    “ที่หนึ่งครับ” ริมฝีปากฉีกยิ้มพราย โจวจางเหยี่ยนเอ่ยตอบทันทีด้วยความมั่นใจ “ขอบคุณสำหรับคำถามครับ”

    ในการสัมภาษณ์เด็กฝึกแต่ละคน ผู้สื่อข่าวหนึ่งกลุ่มจะมีสิทธิสัมภาษณ์เด็กฝึกคนหนึ่งได้ตามเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความยืดเยื้อของรายการ เสียงพูดคุยของผู้สื่อข่าวเงียบลงทันทีที่การสัมภาษณ์ของโจวจางเหยี่ยนจบลง หลายคนเลือกที่จะนั่งรอให้เด็กฝึกกลุ่มใหม่เข้ามาและมองผ่านซีนที่ยืนอยู่ด้านหน้าด้วยความเฉยเมย

    “เด็กฝึกไช่เสวี่ยซิน คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับข่าวลือที่ว่าคุณยุบวงของตัวเองในญี่ปุ่นเพราะต้องการมาสมัครรายการนี้” ทว่ากลับมีผู้สื่อข่าวสาวคนหนึ่งที่เอ่ยคำถามออกมาอย่างไม่ไว้หน้า

    เสียงแปลของทีมงานที่ดังขึ้นผ่านหูฟังทำให้เขาทราบถึงคำถามของผู้สื่อข่าว ซีนนิ่งไปเล็กน้อยกับประเด็นหลักของคำถามที่เขาไม่ต้องการเอ่ยถึง 

    เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นอีกครั้ง แสงแฟลชที่สาดส่องทำให้สายตาของเขาพร่ามัว ความเครียดและความกังวลทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก ริมฝีปากสีซีดขบเม้มแน่น ความคิดของเขาตีกันจนยุ่งเหยิงเมื่อซีนพยายามเค้นคลังคำศัพท์ภาษาจีนภายในสมองของเขาทั้งหมดเพื่อตอบคำถามนี้ หากแต่มันกลับทำได้อย่างยากลำบากมากกว่าที่ควร

    “ใจเย็น ๆ นายพูดกับฉันก่อนได้” โจวจางเหยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นทีท่าของเด็กหนุ่มไม่ค่อยดีก็โน้มตัวเข้ามากระซิบที่ข้างหูของเขา

    “ที่วงถูกยุบไปเป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวครับ” 

    ซีนใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อตั้งสติ เขาเอ่ยออกมาด้วยภาษาจีนก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร “สำหรับวงดนตรีในประเทศญี่ปุ่น มันเป็นเพียงโอกาสเล็ก ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม ทั้งประสบการณ์และผลกระทบมากมายได้รับ ดังนั้นแล้วการที่ผมมายังรายการนี้ก็เป็นเพียงการเริ่มต้นครั้งใหม่ของผมเท่านั้นครับ”

    “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงเลือกที่จะมาประเทศจีนล่ะคะ ในเมื่อรายการแบบนี้ที่ญี่ปุ่นเองก็มีเหมือนกัน"

    “วัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นกับประเทศจีนแตกต่างกันมากครับ แต่เนื่องจากปีนี้ทางรายการเปิดรับสมัครเด็กฝึกต่างชาติมากขึ้นเพื่อตีตลาดนานาชาติ ดังนั้นผมที่เป็นเด็กฝึกต่างชาติเองคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้รับประสบการณ์ ได้เจอกับสังคมที่แตกต่างและเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย 

    “ในฐานะเด็กฝึกจากประเทศไทยคนเดียวในรายการ คุณกังวลกับอนาคตมากน้อยแค่ไหนคะ”

    “กังวลมากครับ”  ซีนเอ่ยตอบอย่างไร้การเสแสร้ง

    “สำหรับผมมันเป็นเรื่องยากที่จะต้องออกเดินทางตามลำพังเป็นเวลาหลายปี แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือประสบการณ์ที่ผมจะได้รับต่อจากนี้ ผมได้เจอกับเพื่อนมากมายในรายการนี้ ได้พบกับผู้คนมากมายที่ให้การสนับสนุนผม ผมรู้สึกขอบคุณทุกคนมากจริงๆครับ ผมสัญญาว่าจะพยายามต่ออย่างเต็มที่ต่อจากนี้ไปเพื่อไม่ให้ทุกคนต้องผิดหวังครับ” 

    ซีนฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงจนเกือบปิดขณะค้อมกายลงอย่างมีมารยาท “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับทุกคน ขอบคุณครับ”

     

    ซีนที่ได้ยินคำถามของนักข่าว :

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×