ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไอดอลใต้ดิน

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 พาร์ทเนอร์

    • อัปเดตล่าสุด 14 มี.ค. 66


    พาร์ทเนอร์

    -2-

     

    ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายได้มาถึง เด็กฝึกจำนวนเก้าสิบคนเดินขวักไขว่เต็มทางเดินมุ่งตรงไปยังหอพัก ทีมงานที่มาต้อนรับในตอนแรกได้แจ้งตารางเวลาและลำดับของเด็กฝึกสำหรับการถ่ายรูปโปรโมทก่อนจะแจกชุดเครื่องแบบให้แก่พวกเขาคนละหนึ่งชุด โดยเรียงลำดับจากเด็กฝึกที่ขึ้นรถคนแรกจนถึงคนสุดท้าย 

    เครื่องแบบของรายการในปีนี้ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อสูทสีดำที่ปกตรงคอเสื้อเป็นสีเทาอ่อนประกอบกับกางเกงขากระบอกและรองเท้าสีดำสนิท

    ซีนที่ได้รับชุดเครื่องแบบจึงเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็เปลี่ยนชุดเสร็จ เด็กฝึกที่จัดระเบียบเครื่องแต่งกายเสร็จเรียบร้อยจะต้องเข้ามานั่งรอที่ห้องประชุมที่อยู่ชั้นสองของหอพัก

    หอพักแห่งนี้มีจำนวนทั้งหมดหกชั้น โดยชั้นแรกจะแบ่งออกเป็นห้องสำหรับฝึกซ้อมสี่ห้องและห้องออกกำลังกายอีกหนึ่งห้อง ชั้นที่สองเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่และยังมีห้องขนาดเล็กที่แยกย่อยออกมาอีกสามห้อง ชั้นที่สามเป็นห้องอาหารที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสำหรับเด็กฝึกที่ฝึกซ้อมจนดึกดื่นขณะที่ชั้นที่สี่ถึงชั้นที่หกเป็นห้องพักที่มีตั้งแต่ห้องขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับจำนวนเด็กฝึกได้ถึงสิบคนจนถึงห้องขนาดเล็กที่สามารถรองรับเด็กฝึกได้เพียงสองคนเท่านั้น

    ผู้คนที่เคยนั่งอยู่ในห้องประชุมค่อย ๆ ทยอยกันออกไปจนหมด การถ่ายรูปโปรโมทตามลำดับใช้เวลาทั้งหมดสามชั่วโมงเต็ม ๆ ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายโมงตรง เด็กฝึกที่หิวโหยตรงดิ่งไปยังห้องอาหารด้วยความรวดเร็ว ซีนที่ตั้งใจจะกลับไปยังห้องพักเพื่อเปลี่ยนชุดก่อนจะมายังโรงอาหารถูกทีมงานเอ่ยห้ามไว้ก่อนด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เด็กฝึกทุกคนยังคงอยู่ในชุดเครื่องแบบของรายการ

    เอเคอร์ที่นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันกับเขาแนะนำเพื่อนร่วมบริษัทอีกสองคนให้เขาได้รู้จัก เด็กฝึกคนแรกคือ ‘จิ่งหลง’ เขาเป็นคนที่ดูสุภาพเรียบร้อยที่สุดในสามคน ดวงตากลมโตใส่กระจ่างกับริมฝีปากสีชมพูอ่อน จิ่งหลงให้ความรู้สึกแตกต่างจากเอเคอร์อย่างสิ้นเชิง

    เด็กฝึกคนที่สองมาจากประเทศญี่ปุ่น ‘คาซึมิ’ ใบหน้าอันหล่อเหลากับทรงผมยุ่ง ๆสไตล์ญี่ปุ่น เขาไม่ใช่คนพูดน้อยแต่เนื่องจากเขาไม่ถนัดพูดทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน ซีนที่เคยทำงานในประเทศญี่ปุ่นอยู่ช่วงหนึ่งจึงเลือกที่จะคุยกับเขาด้วยภาษาญี่ปุ่นแทน

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

    “นายพูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วย” เสียงโวยวายอย่างตื่นเต้นของคาซึมิดังขึ้นที่ข้างหูของเขา ขณะที่เอเคอร์ที่ทราบเรื่องราวของเขามาก่อนจ้องมองไปยังใบหน้าของเพื่อนร่วมบริษัทด้วยสายตาขบขัน

    “นายเป็นคนไทยไม่ใช่หรอ”

    “ใช่ พอดีฉันเคยทำงานในญี่ปุ่นอยู่ช่วงหนึ่งน่ะ เลยพอพูดได้บ้าง”

    “ทำงาน ?” จิ่งหลงเอ่ยทวนสิ่งที่เขาพูดด้วยความสงสัย “งานอะไรเหรอ”

    คราวนี้กลับเป็นซีนที่เงียบไปครู่หนึ่ง “เป็นวงดนตรีเล็ก ๆน่ะ”

    “ฉันว่า ฉันคุ้นหน้านายอยู่นะ” คาซึมิทำหน้าครุ่นคิด หัวคิ้วขมวดยุ่งในหัวนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาแห่งอดีต ปากพึมพำชื่อของซีนออกมาไม่หยุดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งทันทีทันใดราวกับนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้

    “มือกลองวงแคส !”

    ดวงตาของเด็กฝึกชาวญี่ปุ่นเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ หันซ้ายหันขวาพูดกับเอเคอร์และจิ่งหลงด้วยภาษาจีน “เขาเป็นมือกลองวงแคสที่ดังมาก ๆๆๆ ในญี่ปุ่น”

    วงดนตรีที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมีชื่อว่า ‘KAZZ’ เป็นวงอินดี้ร็อคที่ประกอบด้วยสมาชิกสี่คน โดยมีอากิโตะซึ่งเป็นนักร้องนำรับหน้าที่เป็นเสียงหลักของวง เคย์มือกีตาร์และร้องเสริม โซอาร์เป็นมือเบสและซีนที่รับตำแหน่งมือกลองของวง 

    เพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นร่วมกันมักจะเป็นเพลงจังหวะกลางที่เข้าถึงได้ง่ายให้กลิ่นอายย้อนยุคในปีแปดศูนย์ แม้เพลงของพวกจะได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดีจากบุคคลภายนอก ทว่าสิ่งที่ทำให้วงของเขามีชื่อเสียงภายในวงการกลับเป็นเพราะรูปแบบการเซอร์วิสเหล่าแฟนคลับทั้งหลายที่พวกเขาจะทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ แฟนคลับจำนวนมากจึงเลือกที่จะเสพตัวตนของพวกเขามากกว่าผลงานที่ถูกสรรค์สร้างขึ้น น้อยคนนักที่จะสนใจฟังเพลงของพวกเขาอย่างจริงจัง

    แต่จุดเริ่มต้นของผลงานที่ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงนอกวงการที่แท้จริง คือการแต่งเพลงประกอบอนิเมะนอกกระแสเรื่องหนึ่ง ด้วยเรื่องราวที่ไม่เป็นที่จับตามองของผู้คนนักทำให้บริษัทตัดสินใจจ้างวงดนตรีเล็ก ๆ ของพวกเขา ทว่ามันกลับโด่งดังขึ้นมาโดยไม่มีใครคาดคิด ทำให้พวกเขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง ถือเป็นความบังเอิญที่เป็นหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตของพวกเขา

    เอเคอร์ที่ไม่เคยทราบถึงเรื่องราวเหล่านี้มาก่อนใช้มือตะครุบปากของตัวเองที่อ้าออกกว้างด้วยความตกใจขณะที่จิ่งหลงยังคงรอยยิ้มบนใบหน้าเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ซีนที่เห็นอากัปกิริยาของเพื่อนที่แสดงออกมาก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก แน่นอนไม่มีใครที่ไม่ชอบการเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน แต่จะให้เขาเชิดหน้าใส่อีกฝ่ายแล้วพูดว่านั่นฉันเองก็ดูจะน่าอับอายเกินไปหน่อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมาเสียงประกาศของทีมงานก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากเด็กฝึกที่อยู่ภายในโรงอาหารไป

    “ขอให้เด็กฝึกทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องทางด้านขวามือด้วยค่ะ”

    ก่อนหน้านี้ทางรายการได้มอบหูแปลภาษาให้กับเด็กฝึกต่างชาติคนละหนึ่งคู่โดยจะมีทีมงานที่คอยแจ้งข่าวสารด้วยภาษาบ้านเกิดของพวกเขาผ่านหูฟังที่ได้รับ ดังนั้นซีนและเด็กฝึกต่างชาติคนอื่นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะฟังสิ่งที่ทีมงานพูดไม่เข้าใจหรือพลาดสิ่งสำคัญไป

    ทีมงานที่นั่งอยู่ภายในห้องอธิบายรายละเอียดงานให้พวกเขาได้ทราบถึงการพบปะผู้สื่อข่าวในช่วงบ่ายซึ่งเป็นเซอร์ไพรส์จากทางรายการ

    ความสามารถในการรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเป็นเพียงหลักสูตรขั้นพื้นฐานของการเป็นศิลปิน ในอนาคตหากพวกเขาถูกสัมภาษณ์ด้วยคำถามที่ไม่เหมาะสมแตกต่างจากที่ได้ตกลงกันไว้ตามบท พวกเขาจะต้องเลือกตอบคำถามอย่างชาญฉลาดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้น

    แม้หูฟังที่พวกเขาได้รับจะสามารถแปลสิ่งที่ผู้สื่อข่าวเอ่ยออกมาให้พวกเขาเข้าใจได้ แต่ก็ยังคงติดปัญหาเรื่องการสื่อสารด้วยภาษาจีนของเด็กฝึกต่างชาติอยู่บ้าง ดังนั้นทางรายการจึงให้เด็กฝึกต่างชาติทุกคนจับกลุ่มกับเด็กฝึกจีนเพื่อให้พวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกันขณะเข้ารับการสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้สื่อข่าว

    เด็กฝึกส่วนใหญ่ที่มาเข้าร่วมรายการมักจะถูกส่งมาจากบริษัทที่มีชื่อเสียง มีเพียงเด็กฝึกไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นเด็กฝึกอิสระและมาเข้าร่วมรายการนี้เพียงคนเดียว

    เด็กฝึกอิสระคือเด็กฝึกที่ไม่ได้สังกัดในบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือไม่ได้เซนต์สัญญากับค่ายใดค่ายหนึ่ง ขณะที่เด็กฝึกที่มีสังกัดส่วนใหญ่จะถูกส่งมาเข้าร่วมยังรายการเป็นกลุ่มเพื่อให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของบริษัทที่มีความสามัคคี

    เด็กฝึกต่างชาติส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมรายการจะถูกส่งจากต้นสังกัดมาพร้อมกับเด็กฝึกจีน ซึ่งเห็นได้จากกลุ่มของเอเคอร์ที่มีคาซึมิเป็นเด็กฝึกจากประเทศญี่ปุ่น 

    เนื่องจากการสังกัดในค่ายใหญ่ ๆ ก็เปรียบเสมือนการผ่านการรับรองความสามารถของเด็กฝึกในระดับหนึ่งและบริษัทส่วนใหญ่มักจะมีฐานแฟนคลับจากศิลปินชื่อดังคนอื่น ๆ ที่สังกัดอยู่ภายในค่าย ทำให้สามารถดึงดูดแฟนคลับใหม่ ๆ เข้ามาได้แม้ก่อนเริ่มต้นการแสดง

    ในแต่ละกลุ่มจะสามารถมีเด็กฝึกต่างชาติได้เพียงสองคนเพื่อให้เกิดความทั่วถึงในการดูแลซึ่งกันและกัน กลุ่มของเอเคอร์ที่มีคาซึมิเป็นเด็กฝึกต่างชาติเพียงคนเดียวแต่ด้วยบริษัทในเครือต่างก็ส่งเด็กฝึกต่างชาติมาเช่นกัน ทำให้กลุ่มของเอเคอร์ครบจำนวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ประกาศจับกลุ่ม 

    “ขอโทษนะเพื่อน” เอเคอร์ได้แต่ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดให้กับเด็กหนุ่มจากประเทศไทย

    “ไม่เป็นไร ไว้เจอกัน”

    หลังจากที่พวกเขาได้แยกจากกัน ซีนที่พยายามหลีกหนีความวุ่นวายไปอยู่บริเวณมุมห้องกวาดสายตาไปเรื่อย ๆ จนสบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทของชายหนุ่ม เจ้าของใบหน้าคมคาย จมูกที่โด่งเป็นสันประกอบกับริมฝีปากได้รูป สีหน้าที่เรียบเฉยหากแต่กลับน่าดึงดูดจนไม่อาจละสายตา 

    ด้วยความสูงที่เกินมาตรฐานเด็กฝึกทำให้เขาโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมาย น่าแปลกที่เด็กฝึกต่างชาติบริเวณนั้นกลับเดินผ่านเขาไปมาราวกับพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้อีกฝ่าย

    ป้ายขนาดใหญ่ที่ถูกติดไว้บริเวณเอวของเขาถูกเขียนด้วยหมึกสีดำสนิท ชื่อของเขาคือ ‘โจวจางเหยี่ยน’ 

    เมื่อเห็นเด็กฝึกที่ยังคงยืนนิ่งไม่สุงสิงกับใคร ซีนก็รีบปรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

     

    “สนใจมาเป็นพาร์ทเนอร์กับฉันมั้ย” น้ำเสียงที่เป็นมิตรเอ่ยขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมาตรงหน้า “โจวจางเหยี่ยน”

    เขาลอบสังเกตใบหน้าของเด็กหนุ่ม ดวงตากลมโตสีน้ำตาอ่อน จมูกเชิดรั้นกับริมฝีปากเล็ก ๆ นั่น บุคคลเจ้าของชื่อพยักหน้าเล็กน้อย มือเรียวเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับฝ่ามือของอีกฝ่าย ในหัวของเขายังงุนงงกับคำเชิญชวนที่เข้ามาแบบกะทันหันขณะที่ปากเอ่ยพึมพำชื่อของบุคคลตรงหน้า “ไช่เสวี่ยซิน”

    “หรือนายจะเรียกฉันว่าซีนก็ได้” คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกับเอ่ยตอบเขาด้วยความกระตือรือร้น

    โจวจางเหยี่ยนสามารถจดจำอีกฝ่ายได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็น ไช่เสวี่ยซินเป็นเด็กฝึกต่างชาติที่ขึ้นมาบนรถคนสุดท้าย ท่าทางเงาะงะทำตัวไม่ค่อยถูกขณะมองหาที่นั่งไม่พบ โชคดีที่มีเด็กฝึกคนหนึ่งยกมือบอกตำแหน่งที่ว่างให้ 

    ภาษาจีนสำเนียงไทยที่ดังขึ้นสลับกับภาษาจีนสำเนียงปักกิ่งของเด็กฝึกอีกคนพูดคุยกันด้วยความสนุกสนาน โจวจางเหยี่ยนไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังเลยแม้แต่น้อยแต่เป็นตัวเขาเองที่นั่งอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายทำให้ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด

    “ไปนั่งรอเถอะ”  เขาเอ่ยบอกเด็กหนุ่มข้างหน้าสั้น ๆ ขณะก้าวเดินไปยังที่นั่งบริเวณมุมห้องของอีกฝั่ง

    ซีนลอบกลืนน้ำลายลงคอ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันด้วยความประหม่า กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอึดอัด เขาเป็นคนชวนคนอื่นคุยไม่เก่ง แม้ว่าตอนอยู่กับเอเคอร์จะมีบทสนทนาเกิดขึ้นมากมายหากแต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะอีกฝ่ายที่เริ่มบทสนทนา 

    “โจวจางเหยี่ยน” อีกฝ่ายหันมามองเขาเล็กน้อยพร้อมกับสายตาตั้งคำถาม “แบมือหน่อยสิ”

    โจวจางเหยี่ยนทำตามที่ซีนบอกแต่โดยดี เขาแบมือขวาออกและยื่นมาตรงหน้า ซีนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงควานหาอะไรบางอย่างกำไว้ในมือ ก่อนจะวางมือของตนลงบนฝ่ามือของชายหนุ่มและชักมือกลับไปอย่างรวดเร็ว

    “ลูกอม ?”

    อีกฝ่ายที่รับของสิ่งนั้นมามองมันด้วยความสนอกสนใจ ลูกอมห่อสีชมพูที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน โจวจางเหยี่ยนเงยหน้าขึ้นมาหลังจากพิจารณาของบนฝ่ามือ

    ซีนส่งเสียงตอบรับในลำคอ “ฉันคุยกับใครไม่ค่อยเก่งน่ะ”

    เมื่อเห็นใบหูของเด็กหนุ่มที่ค่อย ๆ เจือสีชมพูระเรื่อคล้ายห่อลูกอมไปทุกที เด็กหนุ่มจากประเทศจีนก็ชะงักงัน เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะแกะลูกอมและโยนมันเข้าปาก

    สายตาที่เต็มไปด้วยความขบขันและรอยยิ้มมุมปากของโจวจางเหยี่ยนที่ยกสูงขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาเบา ๆ 

    “หวาน..”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×