คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 พาร์ทเนอร์
พาร์ทเนอร์
-2-
ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายได้มาถึง เด็กฝึกจำนวนเก้าสิบคนเดินขวักไขว่เต็มทางเดินมุ่งตรงไปยังหอพัก ทีมงานที่มาต้อนรับในตอนแรกได้แจ้งตารางเวลาและลำดับของเด็กฝึกสำหรับการถ่ายรูปโปรโมทก่อนจะแจกชุดเครื่องแบบให้แก่พวกเขาคนละหนึ่งชุด โดยเรียงลำดับจากเด็กฝึกที่ขึ้นรถคนแรกจนถึงคนสุดท้าย
เครื่องแบบของรายการในปีนี้ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อสูทสีดำที่ปกตรงคอเสื้อเป็นสีเทาอ่อนประกอบกับกางเกงขากระบอกและรองเท้าสีดำสนิท
ซีนที่ได้รับชุดเครื่องแบบจึงเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็เปลี่ยนชุดเสร็จ เด็กฝึกที่จัดระเบียบเครื่องแต่งกายเสร็จเรียบร้อยจะต้องเข้ามานั่งรอที่ห้องประชุมที่อยู่ชั้นสองของหอพัก
หอพักแห่งนี้มีจำนวนทั้งหมดหกชั้น โดยชั้นแรกจะแบ่งออกเป็นห้องสำหรับฝึกซ้อมสี่ห้องและห้องออกกำลังกายอีกหนึ่งห้อง ชั้นที่สองเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่และยังมีห้องขนาดเล็กที่แยกย่อยออกมาอีกสามห้อง ชั้นที่สามเป็นห้องอาหารที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสำหรับเด็กฝึกที่ฝึกซ้อมจนดึกดื่นขณะที่ชั้นที่สี่ถึงชั้นที่หกเป็นห้องพักที่มีตั้งแต่ห้องขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับจำนวนเด็กฝึกได้ถึงสิบคนจนถึงห้องขนาดเล็กที่สามารถรองรับเด็กฝึกได้เพียงสองคนเท่านั้น
ผู้คนที่เคยนั่งอยู่ในห้องประชุมค่อย ๆ ทยอยกันออกไปจนหมด การถ่ายรูปโปรโมทตามลำดับใช้เวลาทั้งหมดสามชั่วโมงเต็ม ๆ ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายโมงตรง เด็กฝึกที่หิวโหยตรงดิ่งไปยังห้องอาหารด้วยความรวดเร็ว ซีนที่ตั้งใจจะกลับไปยังห้องพักเพื่อเปลี่ยนชุดก่อนจะมายังโรงอาหารถูกทีมงานเอ่ยห้ามไว้ก่อนด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เด็กฝึกทุกคนยังคงอยู่ในชุดเครื่องแบบของรายการ
เอเคอร์ที่นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันกับเขาแนะนำเพื่อนร่วมบริษัทอีกสองคนให้เขาได้รู้จัก เด็กฝึกคนแรกคือ ‘จิ่งหลง’ เขาเป็นคนที่ดูสุภาพเรียบร้อยที่สุดในสามคน ดวงตากลมโตใส่กระจ่างกับริมฝีปากสีชมพูอ่อน จิ่งหลงให้ความรู้สึกแตกต่างจากเอเคอร์อย่างสิ้นเชิง
เด็กฝึกคนที่สองมาจากประเทศญี่ปุ่น ‘คาซึมิ’ ใบหน้าอันหล่อเหลากับทรงผมยุ่ง ๆสไตล์ญี่ปุ่น เขาไม่ใช่คนพูดน้อยแต่เนื่องจากเขาไม่ถนัดพูดทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน ซีนที่เคยทำงานในประเทศญี่ปุ่นอยู่ช่วงหนึ่งจึงเลือกที่จะคุยกับเขาด้วยภาษาญี่ปุ่นแทน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“นายพูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วย” เสียงโวยวายอย่างตื่นเต้นของคาซึมิดังขึ้นที่ข้างหูของเขา ขณะที่เอเคอร์ที่ทราบเรื่องราวของเขามาก่อนจ้องมองไปยังใบหน้าของเพื่อนร่วมบริษัทด้วยสายตาขบขัน
“นายเป็นคนไทยไม่ใช่หรอ”
“ใช่ พอดีฉันเคยทำงานในญี่ปุ่นอยู่ช่วงหนึ่งน่ะ เลยพอพูดได้บ้าง”
“ทำงาน ?” จิ่งหลงเอ่ยทวนสิ่งที่เขาพูดด้วยความสงสัย “งานอะไรเหรอ”
คราวนี้กลับเป็นซีนที่เงียบไปครู่หนึ่ง “เป็นวงดนตรีเล็ก ๆน่ะ”
“ฉันว่า ฉันคุ้นหน้านายอยู่นะ” คาซึมิทำหน้าครุ่นคิด หัวคิ้วขมวดยุ่งในหัวนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาแห่งอดีต ปากพึมพำชื่อของซีนออกมาไม่หยุดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งทันทีทันใดราวกับนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้
“มือกลองวงแคส !”
ดวงตาของเด็กฝึกชาวญี่ปุ่นเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ หันซ้ายหันขวาพูดกับเอเคอร์และจิ่งหลงด้วยภาษาจีน “เขาเป็นมือกลองวงแคสที่ดังมาก ๆๆๆ ในญี่ปุ่น”
วงดนตรีที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมีชื่อว่า ‘KAZZ’ เป็นวงอินดี้ร็อคที่ประกอบด้วยสมาชิกสี่คน โดยมีอากิโตะซึ่งเป็นนักร้องนำรับหน้าที่เป็นเสียงหลักของวง เคย์มือกีตาร์และร้องเสริม โซอาร์เป็นมือเบสและซีนที่รับตำแหน่งมือกลองของวง
เพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นร่วมกันมักจะเป็นเพลงจังหวะกลางที่เข้าถึงได้ง่ายให้กลิ่นอายย้อนยุคในปีแปดศูนย์ แม้เพลงของพวกจะได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดีจากบุคคลภายนอก ทว่าสิ่งที่ทำให้วงของเขามีชื่อเสียงภายในวงการกลับเป็นเพราะรูปแบบการเซอร์วิสเหล่าแฟนคลับทั้งหลายที่พวกเขาจะทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ แฟนคลับจำนวนมากจึงเลือกที่จะเสพตัวตนของพวกเขามากกว่าผลงานที่ถูกสรรค์สร้างขึ้น น้อยคนนักที่จะสนใจฟังเพลงของพวกเขาอย่างจริงจัง
แต่จุดเริ่มต้นของผลงานที่ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงนอกวงการที่แท้จริง คือการแต่งเพลงประกอบอนิเมะนอกกระแสเรื่องหนึ่ง ด้วยเรื่องราวที่ไม่เป็นที่จับตามองของผู้คนนักทำให้บริษัทตัดสินใจจ้างวงดนตรีเล็ก ๆ ของพวกเขา ทว่ามันกลับโด่งดังขึ้นมาโดยไม่มีใครคาดคิด ทำให้พวกเขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง ถือเป็นความบังเอิญที่เป็นหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตของพวกเขา
เอเคอร์ที่ไม่เคยทราบถึงเรื่องราวเหล่านี้มาก่อนใช้มือตะครุบปากของตัวเองที่อ้าออกกว้างด้วยความตกใจขณะที่จิ่งหลงยังคงรอยยิ้มบนใบหน้าเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซีนที่เห็นอากัปกิริยาของเพื่อนที่แสดงออกมาก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก แน่นอนไม่มีใครที่ไม่ชอบการเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน แต่จะให้เขาเชิดหน้าใส่อีกฝ่ายแล้วพูดว่านั่นฉันเองก็ดูจะน่าอับอายเกินไปหน่อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมาเสียงประกาศของทีมงานก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากเด็กฝึกที่อยู่ภายในโรงอาหารไป
“ขอให้เด็กฝึกทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องทางด้านขวามือด้วยค่ะ”
ก่อนหน้านี้ทางรายการได้มอบหูแปลภาษาให้กับเด็กฝึกต่างชาติคนละหนึ่งคู่โดยจะมีทีมงานที่คอยแจ้งข่าวสารด้วยภาษาบ้านเกิดของพวกเขาผ่านหูฟังที่ได้รับ ดังนั้นซีนและเด็กฝึกต่างชาติคนอื่นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะฟังสิ่งที่ทีมงานพูดไม่เข้าใจหรือพลาดสิ่งสำคัญไป
ทีมงานที่นั่งอยู่ภายในห้องอธิบายรายละเอียดงานให้พวกเขาได้ทราบถึงการพบปะผู้สื่อข่าวในช่วงบ่ายซึ่งเป็นเซอร์ไพรส์จากทางรายการ
ความสามารถในการรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเป็นเพียงหลักสูตรขั้นพื้นฐานของการเป็นศิลปิน ในอนาคตหากพวกเขาถูกสัมภาษณ์ด้วยคำถามที่ไม่เหมาะสมแตกต่างจากที่ได้ตกลงกันไว้ตามบท พวกเขาจะต้องเลือกตอบคำถามอย่างชาญฉลาดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้น
แม้หูฟังที่พวกเขาได้รับจะสามารถแปลสิ่งที่ผู้สื่อข่าวเอ่ยออกมาให้พวกเขาเข้าใจได้ แต่ก็ยังคงติดปัญหาเรื่องการสื่อสารด้วยภาษาจีนของเด็กฝึกต่างชาติอยู่บ้าง ดังนั้นทางรายการจึงให้เด็กฝึกต่างชาติทุกคนจับกลุ่มกับเด็กฝึกจีนเพื่อให้พวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกันขณะเข้ารับการสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้สื่อข่าว
เด็กฝึกส่วนใหญ่ที่มาเข้าร่วมรายการมักจะถูกส่งมาจากบริษัทที่มีชื่อเสียง มีเพียงเด็กฝึกไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นเด็กฝึกอิสระและมาเข้าร่วมรายการนี้เพียงคนเดียว
เด็กฝึกอิสระคือเด็กฝึกที่ไม่ได้สังกัดในบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือไม่ได้เซนต์สัญญากับค่ายใดค่ายหนึ่ง ขณะที่เด็กฝึกที่มีสังกัดส่วนใหญ่จะถูกส่งมาเข้าร่วมยังรายการเป็นกลุ่มเพื่อให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของบริษัทที่มีความสามัคคี
เด็กฝึกต่างชาติส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมรายการจะถูกส่งจากต้นสังกัดมาพร้อมกับเด็กฝึกจีน ซึ่งเห็นได้จากกลุ่มของเอเคอร์ที่มีคาซึมิเป็นเด็กฝึกจากประเทศญี่ปุ่น
เนื่องจากการสังกัดในค่ายใหญ่ ๆ ก็เปรียบเสมือนการผ่านการรับรองความสามารถของเด็กฝึกในระดับหนึ่งและบริษัทส่วนใหญ่มักจะมีฐานแฟนคลับจากศิลปินชื่อดังคนอื่น ๆ ที่สังกัดอยู่ภายในค่าย ทำให้สามารถดึงดูดแฟนคลับใหม่ ๆ เข้ามาได้แม้ก่อนเริ่มต้นการแสดง
ในแต่ละกลุ่มจะสามารถมีเด็กฝึกต่างชาติได้เพียงสองคนเพื่อให้เกิดความทั่วถึงในการดูแลซึ่งกันและกัน กลุ่มของเอเคอร์ที่มีคาซึมิเป็นเด็กฝึกต่างชาติเพียงคนเดียวแต่ด้วยบริษัทในเครือต่างก็ส่งเด็กฝึกต่างชาติมาเช่นกัน ทำให้กลุ่มของเอเคอร์ครบจำนวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ประกาศจับกลุ่ม
“ขอโทษนะเพื่อน” เอเคอร์ได้แต่ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดให้กับเด็กหนุ่มจากประเทศไทย
“ไม่เป็นไร ไว้เจอกัน”
หลังจากที่พวกเขาได้แยกจากกัน ซีนที่พยายามหลีกหนีความวุ่นวายไปอยู่บริเวณมุมห้องกวาดสายตาไปเรื่อย ๆ จนสบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทของชายหนุ่ม เจ้าของใบหน้าคมคาย จมูกที่โด่งเป็นสันประกอบกับริมฝีปากได้รูป สีหน้าที่เรียบเฉยหากแต่กลับน่าดึงดูดจนไม่อาจละสายตา
ด้วยความสูงที่เกินมาตรฐานเด็กฝึกทำให้เขาโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมาย น่าแปลกที่เด็กฝึกต่างชาติบริเวณนั้นกลับเดินผ่านเขาไปมาราวกับพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้อีกฝ่าย
ป้ายขนาดใหญ่ที่ถูกติดไว้บริเวณเอวของเขาถูกเขียนด้วยหมึกสีดำสนิท ชื่อของเขาคือ ‘โจวจางเหยี่ยน’
เมื่อเห็นเด็กฝึกที่ยังคงยืนนิ่งไม่สุงสิงกับใคร ซีนก็รีบปรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายทันที
“สนใจมาเป็นพาร์ทเนอร์กับฉันมั้ย” น้ำเสียงที่เป็นมิตรเอ่ยขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมาตรงหน้า “โจวจางเหยี่ยน”
เขาลอบสังเกตใบหน้าของเด็กหนุ่ม ดวงตากลมโตสีน้ำตาอ่อน จมูกเชิดรั้นกับริมฝีปากเล็ก ๆ นั่น บุคคลเจ้าของชื่อพยักหน้าเล็กน้อย มือเรียวเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับฝ่ามือของอีกฝ่าย ในหัวของเขายังงุนงงกับคำเชิญชวนที่เข้ามาแบบกะทันหันขณะที่ปากเอ่ยพึมพำชื่อของบุคคลตรงหน้า “ไช่เสวี่ยซิน”
“หรือนายจะเรียกฉันว่าซีนก็ได้” คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกับเอ่ยตอบเขาด้วยความกระตือรือร้น
โจวจางเหยี่ยนสามารถจดจำอีกฝ่ายได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็น ไช่เสวี่ยซินเป็นเด็กฝึกต่างชาติที่ขึ้นมาบนรถคนสุดท้าย ท่าทางเงาะงะทำตัวไม่ค่อยถูกขณะมองหาที่นั่งไม่พบ โชคดีที่มีเด็กฝึกคนหนึ่งยกมือบอกตำแหน่งที่ว่างให้
ภาษาจีนสำเนียงไทยที่ดังขึ้นสลับกับภาษาจีนสำเนียงปักกิ่งของเด็กฝึกอีกคนพูดคุยกันด้วยความสนุกสนาน โจวจางเหยี่ยนไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังเลยแม้แต่น้อยแต่เป็นตัวเขาเองที่นั่งอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายทำให้ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
“ไปนั่งรอเถอะ” เขาเอ่ยบอกเด็กหนุ่มข้างหน้าสั้น ๆ ขณะก้าวเดินไปยังที่นั่งบริเวณมุมห้องของอีกฝั่ง
ซีนลอบกลืนน้ำลายลงคอ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันด้วยความประหม่า กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอึดอัด เขาเป็นคนชวนคนอื่นคุยไม่เก่ง แม้ว่าตอนอยู่กับเอเคอร์จะมีบทสนทนาเกิดขึ้นมากมายหากแต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะอีกฝ่ายที่เริ่มบทสนทนา
“โจวจางเหยี่ยน” อีกฝ่ายหันมามองเขาเล็กน้อยพร้อมกับสายตาตั้งคำถาม “แบมือหน่อยสิ”
โจวจางเหยี่ยนทำตามที่ซีนบอกแต่โดยดี เขาแบมือขวาออกและยื่นมาตรงหน้า ซีนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงควานหาอะไรบางอย่างกำไว้ในมือ ก่อนจะวางมือของตนลงบนฝ่ามือของชายหนุ่มและชักมือกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ลูกอม ?”
อีกฝ่ายที่รับของสิ่งนั้นมามองมันด้วยความสนอกสนใจ ลูกอมห่อสีชมพูที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน โจวจางเหยี่ยนเงยหน้าขึ้นมาหลังจากพิจารณาของบนฝ่ามือ
ซีนส่งเสียงตอบรับในลำคอ “ฉันคุยกับใครไม่ค่อยเก่งน่ะ”
เมื่อเห็นใบหูของเด็กหนุ่มที่ค่อย ๆ เจือสีชมพูระเรื่อคล้ายห่อลูกอมไปทุกที เด็กหนุ่มจากประเทศจีนก็ชะงักงัน เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะแกะลูกอมและโยนมันเข้าปาก
สายตาที่เต็มไปด้วยความขบขันและรอยยิ้มมุมปากของโจวจางเหยี่ยนที่ยกสูงขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาเบา ๆ
“หวาน..”
ความคิดเห็น