ตอนที่ 9 : แตะต้องครั้งที่ 9: จับบบ...คนจริงลิงรูดเสากลัวเขาจะเคืองตามเรื่องของหายขอร้องสไตล์เสียงเป็ด
แตะต้องครั้งที่ 9
จับบบ...คนจริงลิงรูดเสา
กลัวเขาจะเคืองตามเรื่องของหายขอร้องสไตล์เสียงเป็ด
NaTee(n): พี่
NaTee(n): โกรธเหรอ
NaTee(n): โกรธมั้ยอะ
NaTee(n):
NaTee(n): ฮัลโหล
NATOUCH: ไม่โกรธมั้ง
NaTee(n): จริงดิ
NaTee(n): แต่ยังดีนะ เจ๊แคลไม่เชื่อ
NATOUCH: รู้ได้ไงว่าไม่เชื่อ
NaTee(n): คนบ้าที่ไหนจะมีพลังเอ็กซ์เมนอะ
NaTee(n): มีแต่ในหนังนั่นแหละ
NATOUCH: คนบ้าที่นี่ไง
NaTee(n): โทษๆ
NaTee(n): แต่ผมถามย้ำหลายครั้งแล้ว
NaTee(n): เจ๊แคลบอกไม่เชื่อ
NATOUCH: ยิ่งถามย้ำนั่นแหละ
NATOUCH: เค้าจะเชื่อ
NaTee(n): ไม่หรอกน่า เชื่อผม
NaTee(n): ผมซี้กับเจ๊แก รับรอง ไม่มีปัญหาอะไร
NaTee(n): โกรธหรือไม่โกรธอะ
NaTee(n): เอาดีๆ
NATOUCH: โกรธแล้วได้อะไร
NaTee(n): ก็…
NaTee(n): ที่แน่ๆ คือ ไม่ได้เงิน
NaTee(n): ก็ได้แค่โกรธผมแหละ
NaTee(n): แต่ก็เข้าใจได้ ถ้าพี่จะโกรธ
NaTee(n): เพราะผมเผลอพูดความลับสุดยอดของพี่ออกไป
NATOUCH: เออ งั้นก็โกรธ
NaTee(n): อ่า
NaTee(n): งั้นก็ง้อ
NaTee(n): เต้นท่าจ้ำบ๊ะ (สติกเกอร์)
NaTee(n): เต้นท่าเมียงู (สติกเกอร์)
NaTee(n): เต้นท่ารูดเสา (สติกเกอร์)
NATOUCH: อะไรของมึง
NaTee(n): เต้นให้ดูไง
NaTee(n): ง้อๆๆ
NATOUCH: คิดว่ากูจะหายโกรธด้วยสติกเกอร์ต๊องๆ พวกนี้เหรอ
NaTee(n): ยังโกรธอยู่?
NATOUCH: เออ
NaTee(n): แต่หน้าพี่เหมือนหายแล้วนะ
ผมเก็บมือถือแล้วเดินเข้าไปในป่าดงดิบ พี่ทัชที่เมื่อกี้เห็นยิ้มอยู่เงยขึ้นมาทำหน้าตึงทันที เป็นส่วนผสมของอารมณ์เซ็งๆ เบื่อๆ และอ่อนอกอ่อนใจ เห็นแล้วอยากกวนตีนเล่น แต่ช่วงนี้ผมต้องยับยั้งชั่งใจไว้หน่อย สองวันแล้วที่พี่แกหลบหน้าผม แชตไปรัวๆ ก็สภาพอย่างที่เห็น ถามสิบตอบสอง หรือบางทีก็ไม่ตอบเลย
จะว่าไปปกติแกก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่สองวันนี้อาการหนักกว่าเดิม
“โล่งไปที ผมนึกว่าพี่เดินตกท่อตายแล้ว” ผมนั่งลง ฉีกยิ้มกว้าง
“นี่ปากเหรอ”
“ตูดครับ”
“...”
“พี่เห็ดบอกว่าตูดอะ แต่ไม่เหม็นนะ นี่ๆ ดมดู…”
“เอาออกไปห่างๆ” พี่ทัชใช้มือดันหัวผมเบาๆ “แล้วก็ตูดมึงเนี่ย หุบซะบ้าง พูดน้อยๆ หน่อย”
“พี่ไม่ตอบแชตอะ”
“ก็ตอบแล้วไง”
“เมื่อคืนไม่ตอบ”
“ใครบอกให้มึงแชตมาตอนตีสาม”
“ก็นอนไม่หลับอะ”
“แต่กูหลับไง”
“หลับทำไมขึ้นว่าอ่านข้อความอะ พี่อ่านแต่ไม่ตอบ”
“เสียสายตา”
“งั้นสายตาผมก็เสียดิ ถึงว่า หน้าพี่เบลอๆ ไหนดู…”
“กูบอกให้ออกไปห่างๆ” โดนดันจนหัวแทบคะมำไปอีกรอบ แหม หยอกนิดหยอกหน่อยทำเป็นสะดิ้งไปได้
“โอเคๆ แล้วหายโกรธยังอะ”
“ยัง”
“อ่าว แต่เมื่อกี้ตอนอ่านแชตพี่ยิ้มนะ”
“กูอาจจะยิ้มเพราะอย่างอื่นมั้ย”
“ไรอะ คลิปโป๊เหรอ ดูมั่งดิ”
พี่ทัชสูดหายใจเข้าลึก แล้วระบายลมออกช้าๆ “มึงมีไร” จากนั้นก็พูดเสียงเรียบเป็นปกติ หายใจทีเดียวคือหายเลย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เซ็ง เบื่อ หรืออะไรก็ตาม นี่พี่แกไปฝึกสมาธิชั้นสูงกับฤๅษีมาเหรอ หรือว่าเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาชั้นสูง
“ไปกินราดหน้ากัน วันนี้ผมเลี้ยงเอง”
“นี่กำลังจะห้าโมง มึงกินมื้อไหน”
“กินเล่นๆ ก่อนมื้อเย็นไง”
“กูยังไม่หิว”
“ทำไงถึงจะหายโกรธอะ” ผมเอานิ้วเคาะขมับตัวเอง “รู้ละ ผมเต้นท่าลิงตีฉาบให้ดูปะ”
“อย่า กูขอร้อง”
“โอเค” ผมลุกขึ้นยืนตรง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “สาม...สี่...ไป”
“...”
“อุๆ อะๆ” ยาวไป ยาวปายย “อะๆๆ อุๆๆ เจี๊ยกกก~”
นั่นไง มุมปากกระตุกละ
จะเส้นลึกแค่ไหนก็ตาม เจอท่านี้เข้าไปยังไงก็ไม่รอด ยิ้มเต็มๆ เลยก็ได้เพ่ จะกลั้นทำไม เอ้า ยาวปาย ยาวปายยย…
“มาเต้นเป็นลิงรูดเสาอยู่นี่เอง”
เสียงนี้นี่มัน…
กูว่าละ
โอเปิ้ลเดินยิ้มกว้างตรงเข้ามา โดยมีเจษฎาทำสีหน้าครึ่งๆ กลางๆ เหมือนจะอยากรั้งตัวไว้ แต่ก็ยังเดินตามมาข้างหลัง
“ว่าละ ทำไมชอบหายแวบบ่อยๆ” เปิ้ลยืนกอดอกแอ่นตัวไปข้างหลัง ไม่รู้ว่าเพื่อความเท่หรือว่าเพื่อถ่วงสมดุลไม่ให้น้ำหนักเนื้องอกฉุดไม่ให้หัวทิ่ม “ที่แท้ก็แอบมาอยู่กับ...”
“เปิ้ล ไปเถอะ” เจษฎาสะกิดไหล่เปิ้ล แต่เจ้าของเนื้องอกหาได้แคร์ไม่
“นี่พวกมึงมาได้ไง”
“ถามไม่คิดอีกละ เอาตาตุ่มไถพื้นมามั้ง แขนขาดีก็เดินดิ”
“สะกดรอยตาม?”
“ถ้าไม่ตามจะรู้เหรอ ว่าแอบมาทำลับๆ ล่อๆ ที่นี่” เปิ้ลเอียงคอมองเลยผมไปถึงพี่ทัช “แล้วไม่คิดจะแนะนำเหรอ”
“นี่พี่ทัช” ผมบอก “พี่ทัช นี่เพื่อนผม โอเปิ้ล แล้วก็นั่น เจษฎา เพื่อนที่คณะอะ”
ทั้งคู่ยกมือไหว้ทักทายตามสไตล์ตัวเอง
“หวัดดีเพ่” เปิ้ลไหว้ท่วมหัว
“สวัสดีครับ” เจษฎาประนมมือทรงดอกบัวตูม ค้อมหัวสวยงามจนน่าจะประกวดมารยาทไทยโบราณได้
ส่วนพี่ทัชได้แต่ยกมือรับไหว้อย่างงงๆ
“ว่าแต่แนะนำสั้นๆ แค่เนี้ย” เปิ้ลถามเสียงขึ้นจมูก
“งั้นเอาใหม่” ผมกระแอม แนะนำใหม่เป็นช็อตๆ “พวกมึง นี่พี่ทัช ลักษณะทางภูมิศาสตร์คือ ผิวขาวสูงยาวเข่าดี ดูเกาหลีทั้งตัวแต่กูลองทัวร์ดูแล้วเขาเป็นคนไทย ส่วนลักษณะนิสัยก็...ชอบอ่านบทกลอนบ้าๆ บอๆ ชอบอยู่กับยุง ไม่ชอบยุ่งกับคน พูดน้อยแต่อ่อยเยอะ”
“อ่อยเยอะอะไร” พี่ทัชถาม
“อ่อยเหยื่อไง พี่แค่นั่งเฉยๆ ก็อ่อยคนไปทั่วแล้ว”
“...” พี่ทัชเหลือบมองหน้าผม รอให้เขาพูด แต่สุดท้ายก็แค่ส่ายหน้าปลงๆ
“เป็นไรกับพี่เขาเหรอ” เปิ้ลถามจี้ต่อ
ถามง่าย แต่ทำไมไม่รู้ตอบยาก นั่นดิ...ผมกับพี่ทัชเป็นอะไรกัน โยนให้พี่ทัชตอบละกัน “พี่บอกดิ เราเป็นไรกัน” แต่แทนที่จะตอบเขากลับลุกขึ้นและพูดเรียบๆ
“ไปยัง”
“ไปไหน” ผมถาม
“กินข้าวไง”
“พี่บอกไม่หิวไม่ใช่เหรอ”
“ก็มึงบอกจะกิน”
“กินไรกันอะ ไปด้วยดิ” เปิ้ลพูดทันควัน ผมมองหน้าเดอะแก๊ง หลังจากนั้นเราทุกคนก็หันไปมองพี่ทัชที่รวบหนังสือใส่กระเป๋าและยกขึ้นสะพายไหล่เรียบร้อยแล้ว
“...” เขามองกลับด้วยสายตาอ่านยาก มีความสงบนิ่งอยู่ในแววตา ขณะเดียวกันก็ดูราวกับกำลังมองทะลุทะลวงดูต่อมใต้สมองหรือไม่ก็ตับอ่อนของทุกคน แล้วสุดท้ายเขาก็ยักไหล่ “ถ้าหิวก็ไป”
เจษฎาทำท่าจะปฏิเสธขณะพี่ทัชหันหลังเดินนำออกไป แต่ถูกเปิ้ลกระชากคอเสื้อมาข่มขู่เงียบๆ
เราสี่คนเดินออกจากป่ามาสู่สายตาประชาชนที่ส่วนมากเลิกเรียนภาคบ่ายแล้ว ผู้คนเดินสวนไปมา บ้างก็จับกลุ่มเฮฮาตามซุ้มข้างทาง แต่ก็มีไม่น้อยที่นั่งอ่านหนังสืออย่างจริงจัง ซึ่งดึงดูดความสนใจเจษฎาได้เป็นอย่างดี
“ฉี่แป๊บนะ เดี๋ยวตามไป” ผมแวบเข้าห้องน้ำรวมตรงริมทางก่อนถึงตึกคณะวิทย์ นึกว่าพี่ทัชจะพาเดอะแก๊งเดินนำไปก่อน แต่เขากลับแวะเข้าห้องน้ำด้วย โดยที่เปิ้ลกับเจษฎาหยอกล้อเล่นหัวกันแรงๆ รออยู่ข้างนอก
ห้องน้ำรวมก็ดูเหมือนกันทุกที่ บนพื้นมีรอยโคลนจากรองเท้า กระจกอ่างล้างหน้าสกปรก ก๊อกล้างมือบางอันบิดเอียง และมีกลิ่นไม่น่าพิสมัยอบอวลอยู่นิดๆ นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับคุณชายอย่างพี่ทัชเลย ดูขัดตาสุดๆ ที่เห็นเขาเดินเข้ามาในนี้ แต่เขาก็ดูไม่เก้อเขินหรือแสดงท่าทีรังเกียจอะไร
แค่ว่า...เดินเลี่ยงไปฉี่ตรงโถในสุด
“ไปฉี่ซะไกล กลัวผมแอบดูเหรอ” ผมอดแซวไม่ได้ เพราะตอนนี้มีเราอยู่แค่สองคน
“ตรงนั้นโถฉี่มันรั่ว”
“เอ้า!” แล้วไม่บอกแต่แรก ดีนะที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติการปล่อยของเสีย ผมเลยฮึบไว้ เปลี่ยนไปยืนที่โถฉี่ข้างเขา
“จำเป็นต้องใกล้ขนาดนี้มั้ย”
“ตรงนั้นโถมันรั่ว” ผมตอบหน้าตาย “รั่วทุกโถเลย”
ผมแกล้งทำท่าจะชะโงก จังหวะเดียวกันเขาก็รีบเบี่ยงไหล่มาบังทันทีเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าผมจะทำแบบนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เสร็จกิจ แล้วเดินออกไป ผมเร่งปล่อยระลอกสุดท้ายเพื่อจะตามไปกวนตีนต่อ ก็พอดีมีสายโทรเข้ามา ใครวะ เปิ้ลโทรมาแกล้งแน่ๆ กูฉี่อยู่โว้ย!
ต้องยอมให้มันสั่นครืดๆ อยู่ในกระเป๋ากางเกงจนฉี่เสร็จนั่นแหละ ค่อยล้วงออกมาดู
อ้อ แม่โทรมา
ผมกดรับสาย “ว่าไงแม่”
[เลิกเรียนยัง]
“เลิกละ มีอะไรรึเปล่า” ผมเดินไปหยุดที่หน้าอ่างล้างมือ ระหว่างนี้ผมก็จับตามองพี่ทัชที่ผมคิดว่าเขาจะล้างมือ แต่กลับเห็นว่าเขาใช้หยิบทิชชู่เปียกจากกระเป๋าออกมาเช็ดมือแทน น่าจะเป็นสูตรฆ่าแบคทีเรียด้วยนะนั่น เขาคงกลัวพลาสเตอร์เปียกนั่นแหละ เลยใช้วิธีนี้แทน ดูไฮโซไปอีก
เขาเหลือบมองผมแวบนึง ก่อนจะทิ้งทิชชู่ลงถังแล้วออกไปรอข้างนอก
[...ฟังอยู่รึเปล่า]
“อือๆ ว่าไงนะ”
[แม่บอกว่าอย่าเพิ่งกินอะไรหนักๆ จากข้างนอกนะ เย็นนี้น้าเกดกับน้าเอ๊ดจะมากินข้าวด้วย นี่แม่กำลังทำกับข้าวอยู่]
“อ้อ โอเคๆ จะกลับไปกินให้พุงกางเลย”
ผมกดตัดสาย ล้างมือลวกๆ แล้วรีบเดินออกไป ซึ่งเห็นว่าพี่ทัชเดินนำไปก่อนแล้ว ขณะที่เพื่อนสองหน่อของผมดูละล้าละลังว่าจะตามพี่แกไปหรือว่ารอผมก่อนดี พอผมออกมาสมทบ เราทั้งสามเลยก้าวยาวๆ ตามทันที เปิ้ลกับเจษฎาเหมือนจะเถียงกันต่อว่า สภาพห้องน้ำหญิงกับห้องน้ำชายต่างกันแค่ไหน แต่ผมไม่ได้ใส่ใจฟัง
เราเลี้ยวเข้าตัวตึกคณะวิทย์ตามหลังพี่ทัช เดินทะลุไปถึงโรงอาหารเล็กๆ ด้านหลัง ตอนกลางวันสภาพก็ดูเกือบจะร้างอยู่แล้ว ยิ่งตอนหลังเลิกเรียนนี่ยิ่งชวนให้นึกถึงป่าช้าเข้าไปอีก เผลอๆ ป้าที่กำลังทำเสียงก๊องๆ แก๊งๆ อยู่นั่นอาจจะเก็บของเตรียมกลับบ้านอยู่ก็ได้
พี่ทัชเลือกนั่งลงที่โต๊ะตัวด้านในสุด เปิ้ลกับเจษฎาเข้าไปนั่งลงข้างๆ กัน ส่วนผมเดินอ้อมมานั่งข้างพี่ทัช แต่ตูดยังไม่ทันจะถึงเก้าอี้…
“เฮ้ย!” ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้น ใจหล่นแวบไปอยู่ตาตุ่ม “ลืมมือถือ” พูดได้แค่นั้นก็พุ่งตัวออกไปทันที ผมวางไว้ข้างอ่างล้างมือแน่ๆ ระยะทางจากตรงนี้ไปถึงห้องน้ำอาจจะไม่ถึงห้าสิบเมตร แต่รู้สึกเหมือนไกลเป็นกิโลเลย
แค่สองสามนาที คงไม่หายไปไหนหรอก
ปรากฏว่ามันหาย
ไอโฟนที่แม่ซื้อให้ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว!
ผมไม่เชื่อตาตัวเอง จนถึงกับเอามือถูสำรวจรอบอ่างล้างหน้า ก้มดูตามพื้น และตบกระเป๋ากางเกงที่แบนแฟบอีก
ไม่มี
หายไปแล้ว!
แต่เมื่อกี้ตอนพุ่งเข้ามาเห็นคนนึงเดินสวนออกไปพอดี ผมรีบออกไปหน้าห้องน้ำ มองซ้ายมองขวา ห่างไปทางขวาระยะห้าเมตรก็เห็นคนนั้นเหมือนจะเร่งฝีเท้าไปตามทาง ตัวสูงใหญ่ สะพายกระเป๋าข้างสีดำแบบนี้ ไม่ผิดคนแน่
“พี่” ผมเร่งฝีเท้าตามไป “พี่! เดี๋ยวก่อน”
เขาหยุดหันมามอง ซึ่งแวบแรกที่เห็นก็ทำให้นึกถึงโจรแล้ว คิ้วดก หน้าดุ โกนหนวดไม่เรียบร้อย ไม่ว่าจะดูมุมไหนก็ไม่น่าใช่คนดี
“เมื่อกี้พี่เห็นมือถือตรงอ่างล่างมือมั้ย”
“มือถือไร”
“ไอโฟนอะ ผมลืมไว้ตรงอ่างล้างมือ”
“ไม่เห็นนะ”
“เดี๋ยวดิ” ผมคว้าสายกระเป๋าเขาไว้ “ถ้าพี่เอาไปก็คืนผมมาเถอะ”
เขาปัดมือผมออก “เฮ้ย น้อง พูดอะไรระวังปากหน่อยนะ ใครเอาของมึง”
“ถ้าไม่ได้เอาไปจะกลัวอะไร”
“กูไม่ได้เอา”
“งั้นก็เปิดกระเป๋าดิวะ ขอดูหน่อย”
“เอาหน้าไปให้พ้นส้นตีนกูเลย กูจะรีบไปธุระ อารมณ์ไม่ดี”
“เดี๋ยว” คราวนี้ผมคว้าสายกระเป๋าไว้แน่น และรูดซิปเปิด
“เฮ้ย! พูดไม่รู้เรื่องเหรอวะ” เจ้าตัวสะบัดออกอย่างแรง เบี่ยงกระเป๋าไปไว้ด้านหลังพร้อมกับหันมาเผชิญหน้ากับผม “มึงจะเอาใช่ปะ ฮะ”
ปึก!
ยังไม่ทันได้พูดโต้ตอบอะไร อีกฝ่ายก็ผลักอกผมซะเต็มแรงจนกระเด็นถอยหลัง และคงจะลงไปนอนกับพื้นแล้วถ้าไม่ได้ใครสักคนรวบตัวไว้ได้ทัน
พี่ทัชนั่นเอง
เจษฎากับเปิ้ลก็ตามมาสมทบด้วย
“เฮ้ยๆ มีเรื่อง!” เปิ้ลก้าวพรวดไปข้างหน้า ลักษณะกึ่งๆ จะเตะ “ทำคนไม่มีทางสู้เหรอวะ”
อีกฝ่ายถึงกับกระโดดถอย มองเปิ้ลตั้งแต่หัวจดเท้าและผายมือใส่เหมือนจะถามว่า เชี่ยไรเนี่ย
สายตาทุกคู่มองมาที่ผม
“เอามือถือผมคืนมา แล้วก็จบๆ กันไป” ผมพูด
“สัด กูบอกว่ากูไม่ได้เอา กูไม่ได้ไปตรงอ่างล้างมือด้วยซ้ำ กูรีบ ตอนกูฉี่ก็มีคนอื่นเข้ามาตั้งสองสามคน”
“ฉี่ไม่ล้างมือเหรอ” เปิ้ลขยับไปข้างหน้าอีก “ฟังไม่ขึ้นว่ะ คนเชี่ยไรฉี่ไม่ล้าง”
“เอ่า น้อง ถือว่าปากหมานะแบบนี้”
“เปิดกระเป๋าดิ๊ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครหมา”
“ถอยไปดีกว่า กูไม่อยากมีเรื่องกับผู้หญิง”
“กูไม่ใช่ผู้หญิง”
“แล้วนี่อะไร…” มันผายมือใส่เนื้องอกและทำตาถลนใส่ “ซิลิโคนล้วนๆ เหรอ”
“เหี้ยเอ๊ย” ผมโดดใส่อย่างเหลืออด แต่พี่ทัชก็เร็วพอที่จะคว้าตัวผมไว้ “ขโมยของไม่พอยังปากหมาอีกเหรอวะ มีแค่เพื่อนสนิทเว้ยที่บูลลี่เรื่องนี้ได้ พี่ทัชปล่อยผม”
พี่ทัชไม่ปล่อย ขณะเดียวกันเจษฎาก็กำลังล็อกตัวเปิ้ลไว้เหมือนกัน เปิ้ลเลยออกฤทธิ์ได้แค่ฮึดฮัดและเตะอากาศ
“แม่ง บ้าว่ะ กูไปละ”
“เดี๋ยว” เสียงนุ่มทุ้มของพี่ทัชดังขึ้น อีกฝ่ายชะงักกึก หันกลับมาอีกรอบ
พี่ทัชควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมายัดใส่มือผม มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด “โทรเข้าเบอร์ตัวเองดู”
“รหัสปลดล็อกหน้าจออะไร”
“ไม่มี”
โคตรแปลก มือถือก็แพง ระบบอะไรก็สุดยอด แต่ไม่ใส่รหัสป้องกันอะไรเลย แต่ไม่ใช่เวลาใส่ใจเรื่องอื่น ผมปาดหน้าจอมือถือพี่ทัชซึ่งภาพแบ็กกราวด์ยังเป็นลายเดิมๆ ที่แอปเปิ้ลให้มา แล้วกดเบอร์ตัวเองเพื่อโทรออก…
ฝากข้อความ
ไม่ว่าใครเอาไปก็ตาม มันปิดเครื่องแล้ว
“ไง” คู่กรณีเอียงคอมอง “ถ้าไม่มีเหี้ยไรแล้ว กูไปละ ถ้าอยากมีเรื่องก็ไปเจอกูที่หลังคณะได้ กูอยู่ตลอด”
ผมก้าวขาตามโดยอัตโนมัติ แต่ถูกพี่ทัชดึงข้อศอกไว้แรงๆ อีก
“ช่างมันเถอะ”
“แต่…”
“กูไม่อยากให้มึงยุ่งกับคนแบบนี้”
“ก็มันเอาของผมไปอะ”
“อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้”
“มันนี่แหละ ไม่เห็นมีใครเลย ปล่อยผม”
พี่ทัชยังจับผมค้างอยู่สามหรือสี่วินาที แล้วก็ปล่อย
ผมมองตามมือเขาที่ปล่อยลงข้างตัว พอเงยหน้ามองทางอีกที ไอ้หมอนั่นก็เดินลับตาไปแล้ว โอเปิ้ลอยู่ห่างจากจุดเดิมออกไปอีกสองสามก้าว อยู่ในท่ายืนจังก้าและชูนิ้วกลางเหนือหัว ส่วนเจษฎาปาดเหงื่อซ้ำไปซ้ำมา
ผมอดคิดต่อไม่ได้ว่า ถ้าเมื่อกี้มีเรื่องกันขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง แวบนึงผมเห็นภาพเปิ้ลถูกตบปากแตก ส่วนเจษฎาก็คงถูกจับทุ่มหัวโหม่งพื้น ไม่ว่าจะยังไง สองคนนี้ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่นอน
“เอาไงต่อวะ” เปิ้ลเดินย้อนกลับมา
“ไปแจ้งความกัน กูพาไปเอง” พี่ทัชพูดพร้อมกับตบไหล่ผม ซึ่งคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วสำหรับตอนนี้
จากแผนเดิมที่จะกินราดหน้ากันเลยเป็นอันต้องยกเลิก พี่ทัชเดินนำเราสามคนไปที่ลานจอดรถแถวๆ คณะจิตวิทยา พอเขากดรีโมตปลดล็อกเปิ้ลก็ถึงกับร้อง
“เจ๋งอะ รถพี่เหรอ”
“ญาติเราก็มีรถคันเล็กๆ คล้ายๆ แบบนี้นะ ฮอนด้าแจ๊ส” เจษฎาพูดเสริม
“แจ๊สพ่อง เจษ นี่มินิคูเปอร์ S”
ใช่ อย่างที่เปิ้ลว่า มันคือมินิคูเปอร์ S สีฟ้าอมเขียวซีดๆ ดูเดิมๆ ไม่ได้ปรับแต่งส่วนไหนเหมือนรถพี่เห็ด ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถเท่าไหร่ แต่อะไรหลายๆ อย่างบอกผมว่านี่คือรุ่นใหม่ล่าสุด
“ข้างหลังนั่งเบียดๆ กันนิดนึงนะ” พี่ทัชบอกขณะสองคนนั้นเบียดตัวกันเข้าไปนั่งเพราะรถคันนี้มีแค่สองประตู หลังจากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้นมองผมที่ยังยืนมึนซึมอยู่ พี่ทัชไม่พูดอะไร เขาแค่ตะแคงศีรษะเป็นเชิงให้ขึ้นรถ
ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งเงียบๆ
เงียบกันอยู่นาน จนกระทั่งพี่ทัชขับออกจากมหา’ลัยถึงถนนเส้นหลัก เปิ้ลก็เอื้อมมือมาตบไหล่ผม “เฮ้ย อย่าคิดมาก แจ้งความแล้วเดี๋ยวก็ได้คืน”
“เราว่ายากนะ” เจษฎาพูด “ของญาติเราก็เคยหาย แจ้งความไปก็แบบ เงียบเลย”
“เจษ ปากมึงกินขี้มาเหรอ”
“ฮะ? เราเปล่า”
“งั้นก็หุบๆ ไว้หน่อย กูเหม็น”
“อ้อ หมายถึง เราพูดไม่เหมาะสมใช่มั้ย”
“เออ ไอ้นะฑีมันยิ่งเครียดๆ อยู่”
“นะฑี” เจษฎาเอื้อมมาตบไหล่ผม “คิดมากไปก็คงไม่ได้คืนตอนนี้หรอก ถึงแจ้งความอาจจะไม่ค่อยช่วย แต่นายอาจจะมีโชคก็ได้ คนเอาไปอาจจะเปลี่ยนใจเอามาวางไว้ที่เดิมก็ได้”
“อย่างที่เจษว่าแหละ” เปิ้ลพูดเสียงนุ่มลง “อาจจะโชคดีได้คืนแบบไม่ยากก็ได้ อย่าเพิ่งคิดมาก”
“เออ แต๊งกิ้วๆ เรื่องแค่นี้เอาคนอย่างกูไม่ลงหรอกน่า พวกมึงสองคนไม่ต้องไปที่ สน. ด้วยก็ได้นะ” ผมพูดบ้าง “รีบกลับบ้านเถอะ นี่เย็นวันศุกร์นะ เดี๋ยวรถติดหนักกว่านี้”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูกลับรถไฟฟ้า” เปิ้ลบอก
“แต่อีกแป๊บก็จะมืดแล้ว ซอยบ้านมึงเปลี่ยวไม่ใช่เหรอ มันอันตราย เผื่อมีใครลากตัวมึงไปตัดเนื้องอกทิ้งทำไง”
“ก็เป็นบุญหัวกูเลยแบบนั้น”
“กลับไปๆ ไอ้เจษก็ด้วย”
“เอางั้นเหรอ” เจษฎาพูด “เราขอโทษทีนะ ที่แบบพูดอะไรแล้วฟังดูเป็นการบั่นทอน”
“เฮ้ย กูไม่ได้โกรธอะไรมึง ขอโทษทำไมวะ”
“เราไม่รู้ว่ามือถือเครื่องนั้นมีความหมายกับนายแค่ไหน แต่ดูนายไม่โอเคเลย บาดแผลทางใจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าได้นะ นายไหวรึเปล่า”
“เจษ กูไหว แล้วก็นี่มีพี่ทัชอยู่ทั้งคน พวกมึงกลับไปเลย...พี่ทัชส่งพวกมันลงสถานีรถไฟฟ้าข้างหน้านี้แหละ”
พี่ทัชตีไฟเลี้ยว ก่อนจะชะลอจอดชิดริมทางเท้าอย่างนุ่มนวล
ผมลงจากรถมาพับเบาะหน้าเพื่อให้เปิ้ลกับเจษฎาออกได้ ก่อนจะกลับขึ้นรถตามเดิม โดยที่เปิ้ลแสดงอาการอาลัยอาวรณ์หน่อยๆ
“ขอบคุณนะพี่ รถเจ๋งมาก” เปิ้ลยกมือไหว้พี่ทัช “ฝากเพื่อนด้วยนะ”
“ขอบคุณครับ” เจษฎาไหว้ตาม และลอกคำเกือบเป๊ะๆ “ฝากนะฑีด้วยครับ”
พี่ทัชรับไหว้พร้อมกับบอกว่า “กลับกันดีๆ”
“ขอบคุณครับ” เจษฎาไหว้อีกรอบ แล้วโน้มตัวลงมาพูดกับผม “นายไหวแน่นะ นะฑี ถ้าไม่โอเคยังไง โทรมาได้ตลอดเลยนะ”
เผียะ!
โดนเปิ้ลโบกกะโหลกไปที
“โทรพ่อง มือถือมันเพิ่งหาย”
“เอ้อ จริงด้วย งั้นก็เอาเครื่องแม่โทรมา หรือจะใช้ตู้หยอดเหรียญก็ได้นะ ได้หมด”
“เออๆ” ผมโบกมือปัดๆ “ไปละ วันจันทร์เจอกัน”
จากนั้นพี่ทัชก็ออกรถไปอย่างนุ่มนวลพอๆ กับตอนจอด การจราจรเย็นวันศุกร์คือนรกของแท้ มีเวลาเยอะแยะให้สำรวจข้าวของในรถ แต่ใจผมฟุ้งกระจายจนไม่จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน รับรู้แค่ว่าภายในรถค่อนข้างจะโล่ง และดีไซน์สิ่งต่างๆ ดูเป็นทรงกลม ในหัวผมเหมือนจะมีเรื่องให้พูดให้ถามเยอะแยะ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งซึมกระทืออยู่เฉยๆ
“เพื่อนเฮฮาดี” จู่ๆ พี่ทัชก็พูดขึ้น
“อือ ก็บ้าๆ บอๆ แบบนี้แหละ”
ไม่มีใครพูดอะไรต่ออยู่นาน
รถหรูนี่มันนุ่มนวลจริงๆ กระจกก็ปิดกั้นเสียงจากภายนอกได้ดีสุดๆ
“เงียบ” พี่ทัชพูด อย่างกับผมไม่รู้จักว่าความเงียบคืออะไร
“...”
“เปิดเพลงฟังได้”
“ถ้าพี่จะฟังก็เปิด”
“มึงอยากฟังรึเปล่าล่ะ”
“ไม่รู้ อยากมั้ง”
“งั้นก็เปิด”
ผมถอนหายยาวๆ ไล่ความอึดอัดออกจากปอด ปลุกตัวเองให้คึกคักสดใสสมกับความเป็นนะฑี แล้วเอื้อมมือไปที่วิทยุ…
“เปิดยังไง”
พี่ทัชละมือมากดปุ่มเปิดให้ เสียงเพลงแนวป๊อปฟังสบายๆ ดังขึ้นด้วยระดับเสียงที่พอดี “เลื่อนเพลงตรงนี้ เพิ่มลดเสียงตรงนี้”
ผมอาจจะโง่เรื่องรถกับเครื่องเสียง แต่เรื่องเพลงนี่ผมไม่เป็นรองใครแน่นอน
“เฮ้ย พี่ฟังเพลงแบบนี้เหรอ นึกว่าหน้าอย่างพี่นี่จะฟังลูกทุ่งหมอลำอะไรแบบนี้ซะอีก”
แต่นี่คือเพลง I Like Me Better ของ Lauv หนึ่งในนักร้องเสียงหลบขั้นเทพ เสียงหลบบาดเข้าไปในไส้ หลบจนบีบกระเดือกร้องตามก็ยังควานหาคีย์ไม่เจอ
ผมแตะปุ่มเพิ่มเสียงสองสามทีแล้วเอนหลังพิงเบาะ ฟีลนี้ต้องใช้เพลงเยียวยาแล้ว หลับตา ฟังอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไร แต่อาจจะด้วยเครื่องเสียงโคตรดี พอถึงท่อนฮุคผมเลยเผลอร้องตามอย่างลืมตัว
“I like me better when I'm with you
I like me better when I'm with you
I knew from the first time, I'd stay for a long time cause
I like me better when I'm with you...”
“ชอบเพลงนี้” พี่ทัชพูดขึ้นหลังจากเพลงจบ
“นี่คือประโยคบอกเล่าหรือคำถามอะ”
“ถาม”
“ไม่ชอบจะร้องตามได้เหรอ ไงล่ะ เจอลูกคอระดับเทพเข้าไปช็อกเลยอะดิ”
“นิดนึง” เขากดปุ่มย้อนกลับไปเล่นซ้ำเพลงเดิม “ชอบเพลงนี้”
“อันนี้คือ...”
“ประโยคบอกเล่า”
เราเลยฟังซ้ำอีกรอบ ผมขยับกระเดือกเทวดาร้องตามด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ส่วนพี่ทัชจากที่นิ่งๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นเคาะนิ้วพลาสเตอร์กับพวงมาลัยเบาๆ
ราวกับว่า…
เสียงเพลงพาเราหลุดไปอยู่อีกโลก
โลกที่อากาศสดชื่น ไม่มีความหดหู่ซึมเซา
โลกที่มีแค่เราสองคนกับเสียงเพลง และผมรู้สึกชอบตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆๆ ตามความหมายในเนื้อเพลง
แต่พอเพลงจบลงเราก็เด้งกลับมาอยู่ในโลกใบเดิม พี่ทัชเลิกเคาะนิ้วตามจังหวะ กลับไปจับพวงมาลัยอย่างมั่นคง ส่วนผมก็ถูกความหดหู่แทรกซึมเข้ามาเกาะกินอีกครั้ง เพลงอื่นเล่นต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอน แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่ามันดังเกินไป เลยกดปุ่มลดเสียงลงหลายที
แล้วเราก็ฟังเพลงกันไปเงียบๆ
คนเราจะฟังเพลงเงียบๆ ได้ไง ก็ในเมื่อเพลงมันทำให้ไม่เงียบ แต่ในความรู้สึกผมมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
เพลงแนวสากลนิยมเพลงอื่นๆ เล่นต่อเนื่องไปประมาณสิบกว่าเพลงได้กว่าเราจะมาถึง สน. ท้องที่ ใช้เวลาแจ้งความอีกเกือบครึ่งชั่วโมง ตอนเราเดินกลับมาที่รถก็ปาไปทุ่มกว่าแล้ว
“เดี๋ยวกูไปส่งบ้าน” พี่ทัชบอก
“รถติดนะ”
“พรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่รีบ”
“ไม่เป็นไรๆ ส่งแค่รถไฟฟ้าก็พอ”
“บ้านอยู่ไหน” แค่ชี้มือ ยังไม่ทันได้บอกพิกัดเขาก็พูดต่อ “ทางผ่านบ้านกู” พูดแค่นั้นแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งทันที
ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งโดยไม่พูดอะไร พี่ทัชออกรถนิ่มๆ อย่างผู้ดี เพื่อออกไปพบกับการจราจรที่ติดนรกยิ่งกว่าเดิม “พี่เลือกจะไปส่งผมเองนะ ห้ามบ่น”
“กูยังไม่ได้บ่นอะไร”
“ก็ดักไว้ก่อน”
เขาหันมามองผม ปกติสายตาเขาก็อ่านยากอยู่แล้ว ภายใต้แสงสลัวแบบนี้ผมยิ่งเดาไม่ออก “เปิดเพลงหน่อย”
“ไม่อยากฟัง” ผมลองแหย่เขาเล่น
“เปิด”
“ครับผม ได้ครับท่าน” ผมกดปุ่มเปิดตามคำสั่ง
“เอาเพลงนั้นนะ”
“I Like Me Better น่ะเหรอ ได้”
ผมกดปุ่มเลื่อนย้อนกลับจนถึงเพลงที่ต้องการ “จะให้กดปุ่มเล่นซ้ำเลยมั้ยล่ะ ถ้าจะว้อนต์ขนาดนั้น”
“อืม”
“จัดไป”
ผมกดปุ่มเล่นซ้ำ เอนหลังฟังไปเงียบๆ พอถึงท่อนฮุคพี่ทัชก็พูดขึ้น “ไม่ร้องตามแบบตอนแรกล่ะ”
“หืม?”
“ร้องดิ”
“ทำไม ติดใจเสียงเทวดาของผมว่างั้น”
“ตลกดี” พี่ทัชพูดเสียงเรียบ “นานๆ จะมีเป็ดขึ้นมาร้องเพลงให้ฟัง”
______________________________
มาแล้วค่า XD
ขอโทษทีค่ะ มาอัพซะช้าเลย T T
พอดีเจอเดดไลน์เรื่องใหม่เอามีดจี้คออยู่ค่ะ (แง)
อ่านแล้วโอเคกันมั้ยคะ > <
ขอบคุณมากๆ ที่กดหัวใจและส่งคอมเมนต์มาให้นะคะ ยัก!
ลึกๆ แอบกังวลว่ามันแย่รึเปล่า อ่านแล้วชอบไม่ชอบตรงไหนบอกได้ตลอดนะคะ
จะพยายามตั้งใจพัฒนาเต็มที่เลย > <//
ขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาอ่านนะคะ T T
ขอให้มีความสุขมากๆ นะคับบบบ
ฝากรักพี่ณทัชเยอะๆ นะคะ ส่วนนะฑีปล่อยไปฮะ คิ
นางร้าย
21.06.2019
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล. เพลงเพราะะะ พี่ทัชรู้สึกกับน้องแบบในเพลงใช่มั้ยคะ ใช่มั้ยย556556
เพิ่งสะดวกมาอ่าน มีวันที่นะฑีเงียบด้วย โถถถ เอ็นดูววว
เข้ามาเด็กดีเช็คตลอดว่าอัพรึยัง มีเรื่องเดียวที่ติดงอมแงมเลยค่ะ