ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : A - S o n g - K a i : ฝั น ดี (I come back.)
A - S O N G - K A I
6
- ฝั น ดี -
“สมมติว่าครูเป็นกรรมการแล้วพวกเธอสองคนเป็นคู่แข่งกันนะ เราจะมาจำลองการแข่งขันกันใครที่แพ้ต้องโดนทำโทษ เข้าใจนะ”
“ค้าบบบ” สองเสียงประสานรับพร้อมกันอย่างยิ้มแย้ม นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้นี่ก็ปาไปสองสัปดาห์พอดีที่ผมกับพี่จินได้รับการติวเข้มจากอาจารย์ฮิมชาน จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก จะน่าเบื่อก็ตรงที่ต้องมาติวที่โรงเรียนนี่แหละ
วันนี้อาจารย์ฮิมชานจะทดสอบผมกับพี่จินโดยการที่อารย์จะถามคำถามแล้วจะให้พวกเรายกมือใครที่ยกก่อนก็จะมีสิทธิ์ได้ตอบก่อน แต่ถ้าตอบผิดอีกฝ่ายก็จะได้สิทธิ์ตอบแทน
“เอาล่ะครูจะถามละนะ”
“เดี๋ยวก่อนครับอาจารย์ แล้วคนที่แพ้จะโดนลงโทษยังไงหรอครับ” ผมถามขึ้นพี่จินเองก็พยักหน้าเหมือนก็ต้องการคำตอบเหมือนกัน
“อันนั้นเดี๋ยวครูจะให้คนที่ชนะตัดสินใจ”
“เยี่ยมไปเลยครับ^^” พี่จินพูดด้วยใบหน้าระรื่น เห็นแล้ก็อยากจะไปหยิบรองเท้ามาปาหน้า หมันไส้จริงๆ คิดว่าตัวเองจะชนะรึไงกัน!
“มาๆคำถามแรกนะ.....”
*****
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงโค้งสุดท้าย ผมกับพี่จินผลัดกันตอบอย่างไม่มีใครยอมใครผลคะแนนตอนนี้เลยยังอยู่ที่เสมอกัน 12:12 คะแนน
“นี่จะเป็นคำถามข้อสุดท้ายใครตอบได้ถือว่าชนะไปเลยนะ คำถามมีอยู่ว่าในรัชสมัยที่กษัตริย์คือองค์แทกุก สิ่งที่เลื่องลือมากในตอนนั้นนอกจากการศึกสงครามระหว่างพี่น้องก็คือพระองค์เป็นคนเจ้าชู้มากถึงขนาดมีชายาทั้งสิ้นสี่สิบแปดคน คำถามคือผู้หญิงคนสุดท้ายขององค์ราชาแทกุกมีนามว่าอะไร?”
พรึบ!!
“จองกุกครับ....ผมขอตอบว่า พระนางอึนซัง เป็นคำตอบสุดท้ายครับ” ผมตอบออกไปอย่างมั่นใจเพราะเมื่อคืนเพิ่งอ่านเรื่องนี้ไปสดๆร้อนๆไม่มีทางผิดแน่
“คำตอบของเธอ.......ผิด! คราวนี้ถึงตาคิมซอกจิน เธอตอบได้รึเปล่า”
“ครับ ชายาคนสุดท้ายขององค์ราชาแทกุก คือ นางจันฮี ครับ”
“ถูกต้อง!! คิมซอกจินเป็นฝ่ายชนะ”
ไม่จริง ผมหูฝาดไปใช่มั้ย ใครก็ได้ช่วยตอบแบบนั้นกับที
ผมยืนมองอาจารย์ฮิมชานกับพี่จินสลับกันไปมาอย่างล่องลอย มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ผมต้องไม่แพ้สิ
“ไงไอ่น้องเงิบเลยดิ โอ๋ๆไม่ต้องขวัญเสียนะเดี๋ยวพี่จะลงโทษเบาๆละกันเนอะ (” พี่จินเดินมากอดคอผมที่ยืนแข็งทื่อเป็นยักษ์หน้าวัดพระแก้ว
“ทำไมผมถึงผิดละครับอาจารย์ ผมมั่นใจว่าผมตอบถูกนะครับ” หันหน้าไปถามอย่างสงสัย อาจารย์หนุ่มจึงหยิบหนังสือเล่มที่คล้ายกันกับของผม(ไอเล่มที่อ่านเมื่อคืนนั่นแหละ)ขึ้นมาก่อนจะเปิดไปจนถึงหน้าที่ใช่แล้วจึงยื่นให้ผมดู ผมใช้สายตาไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้ายแล้วก็ได้คำตอบเหมือนอย่างที่พี่จินตอบคือ ชายาคนสุดท้ายของราชาแทกุกนามว่านางจันฮีจริงๆ ส่วนพระนางอึนซังเป็นคนก่อนหน้านางจันฮีอีกที
แต่แปลก... ทั้งๆที่เป็นเล่มเดียวกันแท้ๆแต่ทำไมผมถึงไม่คุ้นชื่อนี้เลยล่ะ ทำไมเซ้นส์ของผมมันถึงบอกว่าไม่ใช่นางจันฮี
“ครูว่าเธอคงจะสับสนแล้วล่ะจองกุก กลับไปทบทวนให้ดีๆแล้วกันถึงวันจริงจะได้ไม่ผิดพลาด”
“ครับอาจารย์” ผมตอบแต่ตาก็ยังคงมองไปที่หนังสือเล่มนั้น เล่มเดียวกันแน่ๆผมมั่นใจ
“พร้อมที่จะโดนลงโทษรึยังห๊ะ?ไอ่น้อง”
“จะให้ผมทำอะไรก็ว่ามาเลยพี่” ผมตอบออกไปอย่างเซ็งๆ
“ก็นะ เห็นแก่ว่าแพ้แค่นิดเดียว งั้นนายก็แค่ทำความสะอาดห้องนี้ก็พอ”
“ห๊ะ!?” ผมร้องเสียงหลงทันทีที่พี่จินพูดจบ มันง่ายซะที่ไหนกันล่ะกับการทำความสะอาดห้องเรียนทั้งห้องคนเดียวแบบนี้ ใครที่บอกว่ามันง่ายนี่คงจะไม่เคยผ่านชีวิตที่หฤโหดตอนมัธยมมาก่อน เพราะถ้าเคยจะรู้ว่าห้องเรียนของเด็กมัธยมมันก็คือถังขยะดีๆนี้เอง
“ตั้งใจล่ะจอนจองกุก” อาจารย์ฮิมชานว่ายิ้มๆก่อนจะหยิบสัมภาระของตัวเองเดินออกจากห้องไป ส่วนคนที่สั่งผมก็ยืนสะพายกระเป๋ายิ้มหน้าระรื่นพิงกระดานอยู่
“ยกเก้าอี้ให้หมดด้วยนะจ๊ะ (” พูดจบก็เดินสะบัดตูดตามอาจารย์ฮิมชานออกไปปล่อยให้ผมยืนอยู่ท่ามกลางสมรภูมิขยะอยู่คนเดียว
“เฮ้อ...สู้เว้ยจองกุก” ให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเดินไปลบกระดานเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็ค่อยๆเทขยะออกจากลิ้นชักโต๊ะเรียนทีละตัว ถ้ามองผิวเผินก็ดูเหมือนจะสะอาดดีแต่พอเทขยะออกมาเสร็จเท่านั้นแหละ อย่างที่บอกไปตอนแรกว่านี่มันถังขยะดีๆนี่เอง
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าผมจะทำความสะอาดเสร็จ เพราะพอเทขยะในลิ้นชักออกมาก็ต้องยกเก้าอี้ขึ้นทีละตัวถึงจะกวาดได้ กวาดเสร็จก็ต้องถูด้วย ปิดท้ายด้วยการเอาขยะไปทิ้งที่ถังใหญ่ข้างห้องน้ำ
ผมเช็กอีกครั้งว่าแอร์กับไฟปิดเรียบร้อยแล้วก็ปิดประตูล็อกกุญแจห้อง หันไปมองข้างนอกก็เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้วเลยรีบเดินลงจากอาคาร แต่ยังไม่ทันพ้นตัวตึกฝนที่ไม่รู้ไปอดอยากมาจากไหนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่มีเค้าลางล่วงหน้า ผมเลยได้แต่หยุดยืนรออยู่ตรงนั้นรอให้ฝนซาก่อนแล้วค่อยวิ่งไปเรียกแท็กซี่ก็ได้ แต่ผ่านไปนานพอสมควรแล้วฝนที่ผมคิดว่าจะซาลงในตอนแรกก็ไม่คิดที่จะหยุดตกเลยหนำซ้ำยังตกมาหนักกว่าเดิมอีก ตกเหมือนกับว่าชาตินี้ไม่เคยตกงั้นแหละ
“ชิบ_าย!!” ผมอุทานออกมาเมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ก็นี่มันปาเข้าไปทุ่มกว่าแล้วนี่ถ้าขืนรอให้ฝนซากว่านี้กลับบ้านไปผมต้องโดนซูก้าบ่นหูชาแน่
“เอาวะเป็นไงเป็นกัน เปียกก็เปียก” ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะใส่ไปในกระเป๋านักเรียนช่องในสุดเพื่อไม่ให้เปียกฝน ก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าให้แน่น มองไปยังด้านหน้าอย่างมีจุดหมาย นับหนึ่งถึงสามในใจก่อนจะ....
แกร๊ก..
ยังไม่ทันที่จะได้ออกวิ่งสายตาผมก็หันไปเห็นกระบอกใส่ร่มคันหนึ่งกลิ้งมาทางนี้พอดี ไม่รอช้าผมก้มลงไปเก็บขึ้นมาและข้างในก็มีร่มอยู่จริงๆ หันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นมีใคร
“ขอยืมก่อนละกันนะ” ผมพูดเบาๆคนเดียวก่อนจะดึงร่มออกมาจากกระบอกแล้วกางมันวิ่งฝ่าสายฝนออกไป
ในที่สุดผมก็มายืนหยุดอยู่หน้าบ้านตัวเองในสภาพหอบฮัก กางเกงเปียกไปครึ่งแข้งเพราะวิ่งลุยฝนมาจากที่ตอนแรกว่าจะออกมาเรียกแท็กซี่แต่ความคิดนั้นก็ต้องถูกพับเก็บไปเลย คงจะเพราะฝนตกนั่นแหละแท็กซี่ก็เลยไม่มีสักคัน ดีนะที่บ้านผมอยู่ไม่ไกลและผมก็เดินไปเรียนทุกวัน ไม่งั้นนะงานนี้มีร้องไห้อ่ะ
“กลับมาแล้วค้าบ” ส่งเสียงบอกตามปกติแต่ก็ยังไม่เดินเข้าบ้านเพราะตอนนี้รองเท้าผมกลายเป็นสวนน้ำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ขืนเข้าไปตอนนี้ซูก้าได้เอากระทะตีหัวผมแตกพอดี
“กลับมาแล้วหรอว่าจะขับรถออกไปรับอยู่พอดี โหวนั่นร่มอะไรน่ะสีหวานแหววเชียว” ซูก้าที่เดินออกมาพูดขึ้น ผมหันไปมองร่มที่วางว้าข้างหลังก็ถึงกับผงะ เมื่อกี้ตอนที่ดึงออกมาจากกระบอกก็ไม่ได้สังเกตว่าสีอะไรเพราะมันมืด แต่พอเห็นชัดๆก็เดาได้เลยว่าเจ้าของร่มเนี่ยผู้หญิงชัวร์
ก็สีชมพูสดใสซะขนาดนั้น -..-
“ไม่รู้เหมือนกัน เจอมา” ผมตอบก่อนจะเดินแทรกตัวเข้าบ้านมา“มีไรให้กินบ้างอ่ะ หิว” ถามแล้วก็หันไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่กลางบ้าน
20.00น.
เฮ้อ.....ทันพอดี
“ก็มีข้าวผัดกิมจิกับซุปเห็ดน่ะจะกินเลยมั้ยเดี๋ยวไปอุ่นให้”
“อืม เดี๋ยวขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วลงมากิน” ผมบอกพี่ชายตัวขาวที่เดินเข้าไปในครัวแล้วก็สาวเท้าดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบายๆ
*****
“ทำไมวันนี้ฝนถึงตกอ่ะ” ผมถามพี่ชายที่กำลังตักซุปเห็ดเข้าปาก มันเงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะตอบออกมากวนๆ
“กูจะไปรู้มั้ย?ไม่ใช่พยากรณ์อากาศอยากรู้ก็ไปถามคุณเปรมสุดานู้น”
“กวนละ นี่เป็นนักข่าวภาษาอะไรทำไมถึงไม่รู้ห๊ะ?”
“เอ้าห่ากูเป็นนักข่าวการเมืองป่ะวะ ไม่ได้ไปอ่านข่าวฝนฟ้าอากาศนะเว้ย”
“ก็นั่นแหละอยู่ในเครือเดียวกัน แล้วสรุปรู้มั๊ยเนี้ย”
“ไม่!!”
“ก็เท่านั้นไม่รู้จะกวนทำไม” ผมเอ่ยเหน็บๆแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ ก็เป็นอย่างนี้ทุกวันแหละที่ผมกับซูก้าไม่คนใดก็คนหนึ่งจะหาเรื่องมาทะเลาะกันแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็เถอะ ถามว่าเบื่อมั๊ย สำหรับผมก็ไม่นะผมว่ามันทำให้เราสนิทกันมากขึ้นด้วยซ้ำ
หลังจากกินข้าวเสร็จผมกับมันก็มานั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน พอดีที่มันฉายรายการฝนฟ้าอากาศอยู่เลยทำให้พวกผมรู้ว่าที่ฝนตกก็เพราะช่วงนี้มีพายุเข้าและมันก็จะตกอย่างนี้อีกสองสามวัน
“แย่ว่ะ ทำไมพายุต้องมาเข้าช่วงนี้ด้วยวะ” ผมหันไปมองพี่ชายที่บ่นกระปอดกระแปดอยู่ข้างๆ
“ทำไมอ่ะ ฝนตกแบบนี้นอนหลับสบายดีออก” ผมว่า จริงๆผมก็ชอบนะที่ฝนตกตอนกลางคืนแบบนี้พอตื่นมาตอนเช้ามันรู้สึกสดชื่นดี จะไม่ชอบก็ตรงที่มันตกตอนเลิกเรียนแล้วผมลืมเอาร่มไปนี่ล่ะ
“ก็ช่วงนี้กูต้องลงพื้นที่อ่ะดิ ฝนตกแบบนี้แม่งทำงานลำบาก” มันบ่นเซ็งๆ แล้วก็ทำท่ากระฟัดกระเฟียดไม่พอใจที่พายุเข้า
“งั้นก็ไปปักตะไคร้ดิ” ผมพูดลอยๆก่อนจะค่อยๆลุกเดินออกมาจากตรงนั้น ขืนอยู่นานกว่านี้หัวผมได้เป็นเพื่อนเล่นกับรีโมททีวีในมือซูก้าแน่ๆ
.
.
.
“ไอกุกนี่มึงว่ากูหรอ!!!”
*****
ปัง!
ผมรีบปิดประตูห้องลงกลอนอย่างไวกลัวไอโหดข้างล่างมันจะตามมาตีหัวผมน่ะสิ แต่จะว่าไปขาสั้นๆแบบนั้นวิ่งตามผมไม่ทันหรอก ฮา
หัวเราะกับตัวเองในใจแล้วก็เดินมาหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมาเอาของข้างในออกมากองไว้บนโต๊ะทำการบ้านแล้วก็จัดการเอาไดร์เป่าผมมาเป่ากระเป๋า ถึงจะเปียกไม่มากแต่ก็ชื้นพอสมควรเป่าให้แห้งก่อนดีกว่าไม่งั้นพรุ่งนี้เห็ดขึ้นเต็มกระเป๋าผมแน่
พอกระเป๋าแห้งผมก็หยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ อาบน้ำสระผมจนพอใจแล้วก็ออกมาหลังจากเข้าไปยี่สิบนาที หยิบไดร์อันเดิมขึ้นมาเป่าผมจนแห้งแล้วก็เดินไปปิดไฟดวงใหญ่เหลือไว้แค่ไฟหัวเตียงก่อนจะเดินมาล้มตัวนอนที่เตียง แต่ยังไม่ทันจะได้ปิดไฟ(หัวเตียง)นอนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
บางอย่างที่ผมคาใจมาตั้งแต่ตอนเย็น
ผมลุกขึ้นไปเปิดไฟอีกครั้ง หนังสือเล่มเมื่อวานที่อ่านยังวางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม ผมเดินไปหยิบมันขึ้นมาก่อนจะเปิดไปที่หน้านั้นที่อาจารย์ฮิมชานเปิดให้ดูแต่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง
“ไม่มีได้ไงอ่ะ” ถามกับตัวเองเบาๆ พลิกกระดาษไปมาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เจอหน้านั้นก็ยิ่งแปลกใจ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันเป็นเล่มเดียวแน่ ปกสีแดงกระดาษด้านในเป็นสีครีมหน้าปกเป็นรูปลายแทงแบบนั้นหาซื้อไม่ได้ง่ายๆด้วยแต่โชคดีที่ผมบังเอิยไปเจอที่ร้านหนังสือเก่าตอนไปเดินเที่ยวเมียงดงเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่ทำไมถึงไม่มีหน้านั้นกันนะ
ผมพยายามพลิกหาไปเรื่อยๆอีกหลายรอบแต่ก็ยังไม่เจอเช่นเดิม พลันสายตาก็ไปสะดุดที่ขอบหนังสือ ผมเพ่งมองดีๆถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ว่าหนังสือเล่มนี้มีหน้าไม่ครบแต่...มันถูกฉีกออกไปตางหากล่ะ
สองหน้าเลยด้วย
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดีนะที่วันนี้อาจารย์ฮิมชานถามคำถามนั้นขึ้นมาไม่งั้นผมคงเข้าใจผิดไปตลอดแน่
ผมจัดการปิดหนังสือวางไว้ที่เดิมก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วมาล้มตัวนอนที่เตียง
เหนื่อยเหมือนกันนะเนี้ย ลองมาคิดดูแล้วผมทั้งทำความสะอาดห้องคนเดียวไหนจะวิ่งฝ่าฝนกลับบ้านมาอีกไม่เหนื่อยนี่สิแปลก
เอื้อมมือปิดโคมไฟที่หัวเตียงแล้วกลับมานอนกอดคุมะเช่นทุกวันถ้าวันไหนไม่ได้กอดคือนอนไม่หลับอ่ะ
ในขณะที่ผมกำลังเคลิ้มจะหลับโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันส่งเสียงร้องขึ้นมาซะก่อน ผมหยิบมาดูก็เห็นว่าเป็นข้อความจากใครคนหนึ่ง และพอผมกดเข้าไปอ่านเท่านั้นแหละ แค่ข้อความสั้นๆแต่เล่นเอาผมถึงกับหุบยิ้มไม่ได้
‘ฝันดีนะ’
TBC.
ก่อนอื่นเลย come back ละน้าสำหรับเรื่องนี้ หายไปนานมากขนาดคนเเต่งยังตกใจ ก็กลับมาเเล้วนะคะ สัญญาว่าจะพยายามไม่ดองนะ เดี๋ยวเค็ม อิอิ
ว่าด้วยเรื่องฟิค
ก่อนอื่นเลย come back ละน้าสำหรับเรื่องนี้ หายไปนานมากขนาดคนเเต่งยังตกใจ ก็กลับมาเเล้วนะคะ สัญญาว่าจะพยายามไม่ดองนะ เดี๋ยวเค็ม อิอิ
ว่าด้วยเรื่องฟิค
ใครกันส่งข้อความกู๊ดไนท์น้องกุกกันหื้ม? มอบตัวมาซะดีๆ
มีประวัติศาสตร์เข้ามาอีกแล้วอ่ะ อันนี้แต่งขึ้นมานะคะไม่ได้อิงเนื้อหาจริงแต่อย่างใด
ตอนนี้ก็เหมือนเดิมตัวละครน้อย ไม่มีตังค์จ้างนักแสดงเพิ่ม ฮา
พาร์ทนี้ก็ไม่มีอะไรมากแต่ถ้าคนที่อ่านแบบโคนันจะรู้ว่ามันมีอะไรนะ ฮิฮิ(อิไรท์มันติดการ์ตูน)
ปล.เนื้อหาเดิมไม่ได้รีไรท์ค่ะ แค่เอามาลงใหม่เพราะมีบางคนบอกว่ามันอ่านในโทรศัพท์ลำบากเค้าก็เลยลงให้ใหม่ ไม่ได้ลงธีมแล้วนะ อ่านแบบโล่งๆไม่ว่ากันนะคะ พอดีลงในโทรศัพท์อ่า ผิดพลาดยังไงก็บอกด้วยนะคะ
Thank u for reading.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น