ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันธุ์โหดเขี้ยวอำมหิต [No.1047 Canine Fang]

    ลำดับตอนที่ #1 : เหยื่อและผู้ล่า

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 48


    นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

    คำเตือน : อาจมีการใช้คำหยาบบ้างเพื่อความสมจริง





    No. 1047 Canine Fang พันธุ์โหดเขี้ยวอำมหิต

    ตอนที่ 1 เหยื่อและผู้ล่า




        วันที่ 14 พฤษภาคม 1990 วันนั้นเป็นวันที่ผมคงไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต... ผมไม่คิดจะเรียกมันว่าฝันร้ายเพราะมันคือความจริง... สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้จักกับคำว่า ‘กลัว’ ที่เป็นความกลัวสุดขีด หลังจากวันนั้นไม่ว่าจะลืมตาตื่นหรือหลับผมก็มักจะเห็นมันเสมอ... อดีตที่น่าสะพรึงกลัว...

        ผมจำเรื่องราวในวัยเด็กของผมไม่ได้มาก จำได้แค่ว่าผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในบ้านไม้หลังใหญ่ พอออกมานอกบ้านจะมองเห็นวิวส่วนใหญ่เป็นสีเขียวของทุ่งหญ้าและต้นไม้ ข้างบ้านเป็นฟาร์มเลี้ยงวัวและแกะ พ่อทำรั้วกั้นเขตไว้อย่างดีเพื่อกันหมาป่าจะมาขโมยสัตว์ในฟาร์มไป

        ตอนสักประมาณเมื่อผมอายุสักห้าขวบได้ ผมจำได้ว่าพ่อแม่พาผมไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง ผมจำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน ที่จำได้ในตอนนั้นคือเสียงหวีดร้องของพ่อกับแม่ตอนที่รถสิบล้อวิ่งกินเลนเข้ามาเบียดรถของครอบครัวเราตกไปข้างทาง ผมตื่นขึ้นมาอีกทีในโรงพยาบาล... หมอบอกว่าผมเสียเลือดมากต้องนอนพักโรงพยาบาลคอยดูอาการอีกสัก 2-3 สัปดาห์ ระหว่างที่ผมนอนที่โรงพยาบาลมีแต่พ่อที่มาเยี่ยมผม พ่อโชคดีที่มีแต่แผลถลอก ผมถามถึงแม่... ไม่มีคำตอบ พวกผู้ใหญ่มักจะปิดบังเด็กเวลามีเรื่องร้าย ผมคิดว่าแม่อาจจะตายไปแล้วในตอนนั้น แต่สิ่งที่ผมได้รู้ทีหลังกลับโหดร้ายกว่าที่ผมคิด

        ผมออกจากโรงพยาบาลตามกำหนด แม่คอยอยู่ที่บ้าน ผมใจชื้นขึ้น... แต่แววหายนะของครอบครัวผมก็เริ่มต้นขึ้น พ่อกับแม่ทะเลาะกันทุกวันโดยที่ผมไม่เข้าใจเหตุผล...

        14 พฤษภาคม ปีค.ศ. 1990... หลังจากวันที่ผมออกจากโรงพยาลมาเกือบ 4 ปี วันที่มันเกิดขึ้น... การตัดสินใจเล็กๆน้อยๆที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมทั้งชีวิต

        พ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างทุกวัน แต่วันนี้ดูเหมือนจะรุนแรงถึงขั้นแตกหัก ผมที่ทนมาตลอดเริ่มไม่อยากจะทนพวกท่านเถียงด่ากัน ผมออกจากบ้านทางประตูหลังและไปที่ฟาร์ม เห็นวัวเห็นแกะเล็มหญ้ากันในคอกแล้วผมก็คิดว่าผมโตพอที่จะช่วยงานพ่อได้แล้ว ผมไปที่ห้องเก็บอุปกรณ์เพื่อจะเอากรรไกรมาตัดขนแกะเหมือนอย่างที่พ่อทำ

        ที่นั่น... ผมเห็นมัน

        สัตว์สี่ขาตัวใหญ่ที่มีเขี้ยวคมวาว ด้วยความที่ผมเป็นเด็กไม่ประสีประสาคิดว่าไม่มีอันตรายจึงเดินเข้าไปค้นหากรรไกร มันไม่รีรอที่จะกระโจนเข้ามาและงับที่แขนขวาของผม

        ผมล้ม... เขี้ยวของมันฝังลึกขึ้น และผมกลัวจนร้องไม่ออก ผมใช้มือง้างปากมันแต่ไม่ขยับสักนิด

        มันปล่อย... ผมคิดว่ามันจะปล่อยผม แต่มันกัดเข้าที่แขนผมซ้ำสอง ไม่ใช่สิ ผมไม่ควรจะเรียกที่มันทำว่าการกัด เพราะมันเคี้ยวแขนผม... เคี้ยวเหมือนกับที่ผมเคี้ยวเบค่อนนิ่มๆในตอนเช้า มันไม่ได้จู่โจมผมเพราะคิดว่าผมเป็นศัตรู ผมเป็นอาหารของมันต่างหาก!!

        ผมแผดเสียงร้องไห้จ้าด้วยความเจ็บปวด แขนของผมรู้สึกชา เหนอะหนะคล้ายเอาแขนไปวางไว้บนกาวเหนียวๆ ผมใช้แขนซ้ายทุบหัวมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี... มันปล่อย... ปล่อยเขี้ยวจากแขนผมแล้วขย้ำเข้าที่คอผม

        พ่อผมได้ยินเสียงร้องของผมจึงรีบวิ่งมาดู พ่อถือปืนยาวเล็งนานกว่าที่จะกล้ายิงเพราะกลัวจะโดนผมไปด้วย แต่ถ้าช้าผมจะเสียเลือดตายเสียก่อน พ่อตัดสินใจยิง นัดเดียวไม่พลาด เจาะทะลุหัวเจ้าหมาโหด มันแน่นิ่ง ตาผมปิดลง... ตอนนั้นผมคิดว่าผมตายไปแล้ว



        ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโรงพยาบาล มีสายระโยงระยางพันตัวผมเต็มไปหมด เครื่องช่วยหายใจที่ครอบปากครอบจมูกผมบีบแน่นจนผมอึดอัด เข็มจากสายให้น้ำเกลือที่ทิ่มลงเนื้อก็ทำให้ผมคัน แขนขวาของผมจุ่มอยู่ในอ่างเหล็กใส่น้ำเต็ม ตอนที่เข้าโรงพยาบาลครั้งแรกคุณพยาบาลบอกว่าเป็นอ่างใส่น้ำยาขาเชื้อ สภาพแขนผมฟ้องได้เลยว่าผมไม่ได้ฝันไป มันเป็นรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดมาก บางส่วนเป็นผิวเนื้อสีอ่อนกว่าเนื้อเดิมนูนขึ้น บางส่วนบุ๋มลึกลงไปเป็นรอยแดง และบางส่วนที่น่าขยะแขยงที่สุดคือแผลที่มีเลือดไหลซิบๆปนกับน้ำหนอง ผมกระชากทั้งเข็มและเครื่องช่วยหายใจออกด้วยแขนซ้ายที่ไม่ถนัด... ผมใจหายวาบเมื่อเห็นป้ายปลายเตียง – Ayle Jefferson เข้ารับการรักษา 05/14/1990 – และปฏิทินตั้งโต๊ะที่วางไว้ที่โต๊ะสำหรับวางของเยี่ยม – ปีคริสต์ศักราช 1993 – ผมเคยได้ยินจากพ่อว่าปฏิทินของรัฐบาลจะไม่ทำล่วงหน้าเกินครึ่งปี... พระเจ้า...ผมหลับไปตั้งสามปี!!!

        มีหมอกับพยาบาลสองคนวิ่งเข้าที่ห้องของผม ผมเพิ่งได้ยินเสียงสัญญาณฉุกเฉินที่มันดังไม่หยุด ผมว่ามันคงดังมาตั้งแต่ที่ผมถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้ว

        “ใครก็ได้ไปโทรเรียกผู้ปกครองของเด็กคนนี้ทีสิ” แพทย์หนุ่มสั่งนางพยาบาลที่มาด้วย

        “ค่ะ แจ้งคุณเออร์วิน ครอฟอร์ดใช่ไหมคะ”

        เออร์วิน ครอฟอร์ด...?

        พ่อกับแม่ผมอยู่ที่ไหน... แล้วผู้ปกครองที่ผมไม่รู้จักเป็นใคร?

        ผมอ้าปาก กำลังจะถาม หมอก็พูดแทรกขึ้นมา “ไอล์ พ่อของเธอเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน”

        “แล้วแม่?” ผมเสียพ่อไปแล้ว ผมจะเสียแม่ไปด้วยไหม?

        หมอทำหน้าเหมือนไม่อยากพูด แต่สุดท้ายเขาก็พูดออกมา... เป็นคำพูดที่ผมไม่อยากฟังเลยสักนิด “แม่เธอหย่ากับพ่อเธอและแต่งงานใหม่หลังจากที่เธอถูกส่งมาที่นี่ไม่นาน”

        ผมวิ่งหนีจากห้อง... จะไปพิสูจน์ว่ามันไม่จริงที่แม่ทอดทิ้งผม และให้คนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวเป็นผู้ดูแลผม ผมเพิ่งรู้สึกตัวตอนวิ่งที่ระเบียง ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลที่ผมเคยมาประจำเมื่อก่อน... หมอวิ่งไล่ตาม ผมวิ่งลงบันได... ขาปวดแปลบๆคงเพราะไม่ได้ใช้งานมาตั้งสามปีแต่ฝืนวิ่งกระทันหัน แต่ผมก็ยังคงวิ่งจนถึงประตูเข้าออกของตึกโรงพยาบาล

        ผมเคยเข้าแต่โรงพยาบาลชนบทที่หน้าทางเข้าออกมองไปรอบๆจะเห็นทุ่งกว้าง... แต่ที่นี่มีแต่ตึก... มองไปทางไหนก็มีแต่ตึก... ที่นี่มันที่ไหน? และผมควรจะกลับไปที่ไหน?

        รถสปอร์ตเปิดประทุนสีดำวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าโรงพยาบาล เจ้าของรถดูยังหนุ่มมาก เขาสวมแว่นกันแดดและสูทดำดูคล้ายพวกสายลับในภาพยนตร์ ตาคมกริบแม้จะมองผ่านเลนส์แว่นกันแดดมองคล้ายจะจับผิดผม

        “ไอล์ เจฟเฟอร์สัน... ฉันมารับเธอ”

        “คุณคือ...?”

        “เออร์วิน ครอฟอร์ด พินัยกรรมของพ่อเธอระบุให้ฉันเป็นคนดูแลเธอถ้าเขาเป็นอะไรไป”

        “คุณรู้ไหมว่าแม่ผมอยู่ที่ไหน?”

        “ฉันว่าเธอคงไม่อยากรู้”

        “แต่นั่นแม่ผมนะ ผมมีสิทธิ์จะรู้ไม่ใช่เหรอ?” ยิ่งพูดเสียงดัง แขนก็ปวดจี๊ด ร้อนคอเหมือนจะไหม้... ผมจับที่คอของตัวเองมันเรียบเนียน ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นแผล แต่มันก็ยังทั้งเจ็บทั้งร้อน

        “ก็ได้ ฉันจะพาไป” เออร์วินดันบุหรี่ขึ้นจากซองแล้วจุดไฟด้วยไฟแช็ค แล้วเดินไปเปิดประตูรถให้ผม



        “เดี๋ยวคุณครอฟอร์ด เซ็นเอกสารรับคนไข้กลับให้ผมก่อน”

        ผมได้ยินเสียงโหวกเหวกของคุณหมอ แต่ผู้ปกครองคนใหม่ที่ผมยังไม่ยอมรับก็กระโดดเข้ามาในรถโดยไม่เปิดประตูด้วยซำ เขาบิดกุญแจ สตาร์ทเครื่อง เร่งเกียร์สูงสุด รถวิ่งเร็วและเบรคกระทันหันจนหน้าผมแทบกระแทกกับกระจกหน้า ตลอดทางผมเห็นว่ามีแต่ตึกและร้านรวงรวงเต็มไปหมด มีไม่กี่แห่งที่มีที่ว่าง

        “ที่นี่มันที่ไหนน่ะคุณครอฟอร์ด” ลมปะทะแรงจนผมไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินเสียงผม

        “นิวยอร์กซิตี้...” เขาตอบ



        คุณครอฟอร์ดจอดรถที่หน้าคฤหาสน์หลังหนึ่งแล้วลงไปกรดกริ่งหน้าประตูรั้ว

        “มาหาใคร?” หญิงสาวในชุดกระโปรงรัดรูปสีแดงฉูดฉาดถามอย่างวางท่า

        “ลูกชายคุณอยากพบแน่ะโจลีน”

        “ฉันไม่เคยมีลูก” เธอเดินกลับโดยไม่เปิดประตูรั้วให้

        “เขาว่างั้น” คุณครอฟอร์ดชี้นิ้วโป้งไปทางคนที่เดินลิ่ว ลับหายเข้าไปตัวคฤหาสน์หรู



        แม่เปลี่ยนไปมาก ผมเผ้าที่เคยกระเซิงจากงานไร่ก็แต่งเรียบแปล้ เครื่องสำอางที่ไม่เคยแตะก็โบ๊ะจนหนา ผิวพรรณที่เคยกร้านก็ดูดีมีน้ำมีนวล ภายนอกแม่สวยขึ้นมาก แต่ภายใน... ผมชอบแม่คนเดิมมากกว่า... ผมวิ่งหนีไปจากตรงนั้น ไม่สนใจด้วยซ้ำกับคนที่จะดูแลผมต่อจากพ่อและหมอที่โรงพยาบาล



        และการหนีในตอนนั้นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งที่สองของผม

        ครั้งแรกผมเสียแขน... ครั้งที่สอง ผมเสียอิสรภาพ





        เออร์วินวิ่งตาม เขามั่นใจว่าฝีเท้าเร็วพอจะจับตัวเด็กที่ต้องดูแลได้ แต่ตรอก ซอก ซอย เคี้ยวคดและเต็มไปด้วยหลายต่อหลายทางแยก เขาพลัดกับไอล์เมื่อตามได้สักระยะ เขากลับไปที่รถและควานหาโทรศัพท์มือถือที่ซุกไว้ใต้เบาะหลัง แล้วกดเบอร์ 911

        “ผมขอแจ้งความ ลูกชายผมหาย”

        เสียงปลายสาย “กี่ชั่วโมงแล้ว”

        “สิบนาที”

        “ไอ้พวกโรคจิต ไม่มีอะไรทำเรอะ!!โครม!!!! ได้ยินเสียงกระแทกหูโทรศัพท์คือสิ้นสุดการแจ้งความ

        สิบนาทีในนิวยอร์คสำหรับคนต่างถิ่นที่ไม่รู้อะไรเลยนั้นอันตรายมาก... โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กอายุ 15 ที่ประสบการณ์ขาดช่วงไปสามปี... เออร์วินนึกโทษตัวเอง เขาไม่ควรจะพาไอล์มาที่นี่เลย ถ้าบังคับให้ไปที่บ้านเขา เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง รอให้ทำใจได้ก่อน แล้วค่อยพามาพบโจลีนทุกอย่างอาจดีกว่านี้...

        

        หนาว... เงินติดตัวก็ไม่มี ไอล์เป่าลมหายใจรดฝ่ามือ หิมะเริ่มตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย... ไอล์นึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะกลับไปหาเออร์วินเพราะเขาไม่มีที่พึ่งอื่นแล้ว... แล้วจะกลับไปที่ๆเขามาได้ยังไงในเมื่อเขาไม่รู้จักทางเลยสักนิด!!! นึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว

        มีตาแก่หนวดเครารุงรังใส่เสื้อผ้าขาดๆโทรมๆ ห่มผ้าหนังเก่าๆนั่งอยู่ริมฟุตบาท ไอล์รู้สึกไม่ดีที่ตาแก่นั่นจ้องเขาเขม็ง หลบใต้กันสาดของร้านกาแฟพอช่วยกันผิวโดนหิมะกัดได้บ้าง แต่พอหิมะเริ่มตกหนัก จนมีน้ำแข็งย้อยจากกันสาดลงมาไอล์ก็เริ่มแสบแผลจนทนไม่ได้ ทุกส่วนของร่างกายหนาวจนแทบจะแข็ง แต่แขนขวากับคอยิ่งแสบร้อน เขายื้อผ้าหนังเก่าจากตาแก่จรจัดที่นั่งใกล้ๆ แน่นอนว่าเจ้าของไม่ยอมให้โดยดี ถ้าไม่มีผ้าหนังนี่ในอากาศแบบนี้เขาอาจแข็งตายได้

        “เอามาสิวะ” เป็นประโยคที่หางเสียงหยาบครั้งแรกในชีวิตของไอล์ เพื่อความอยู่รอดต่อให้ต้องทำร้ายคนอื่นเขาก็จะทำ

        “…ไม่ให้” แขนข้างที่ถนัดของไอล์ไม่มีแรง ส่วนตาแก่จรจัดนั้นไม่ได้กินข้าวมาเป็นอาทิตย์ สองคนยื้อแย่งกันอย่างน่าอนาถ คนเดินผ่านไปมาหัวเราะคิกคักอย่างสมเพช

        ผ้าขาดแคว่ก ไอล์แย่งมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ววิ่งหนี อย่างน้อยก็พอกันแผลจากความหนาวที่หนาวจนร้อนได้



        ไอล์พันผ้าที่แขนแล้วเดินดุ่มไปตามตรอกที่คิดว่าตัวเองผ่านตอนวิ่งมา แต่กลับหลงไปอีกทาง เป็นทางเปลี่ยว มีแต่กำแพงทอดยาว สุดทางเป็นทางตัน ตลอดทางเขาเจอพวกกลุ่มวัยรุ่นนั่งพี้ยา คนขายยา โสเภณี และคนจรจัดปะปนกัน ไอล์เติบโตในชนบท ไม่เข้าใจปัญหาสังคมในตัวเมือง

    พอพบทางตันเขาก็เดินกลับไปทางที่เข้ามา ไอล์ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินตามหลัง แต่ก็ไม่เคยคิดอะไรเพราะในความทรงจำผู้คนที่เขาเคยพบไว้ใจได้ทุกคน จนกระทั่งฝีเท้ากระชั้นชิด และเข้ามาใกล้ด้านหลังไอล์หันกลับไป เขามองไม่เห็นหน้าคนเดินตาม มองเห็นแต่ผ้าสีขาวที่เข้ามาโปะหน้าเขา... แล้วไอล์ก็เคลิ้มหลับไปเพราะฤทธิ์ยา

        “เฮ้ย!! พวกมึงน่ะช่วยหามหน่อยสิวะ เดี๋ยวตำรวจมาก็ซวยหรอก!!!

        “เอาไปขายให้พวกนายหน้าค้าอวัยวะในตลาดมืดจะได้เท่าไหร่วะ”

        “คงได้ราคาไม่เท่าเด็กอายุ 12-13 แต่ก็ยังดีแหละว่ะวัยนี้ยังได้ราคาสูงอยู่”

        คนแถวนั้นไม่มีใครสนใจ กฎของแดนเถื่อนอย่างตรอกนี้ถ้าไม่อยากตายอย่ายุ่งเรื่องคนอื่น ถ้าไม่ห้ามพวกมันมันก็ไม่ยุ่งกับคนทำธุรกิจเถื่อนในย่านเดียวกัน... แล้วใครจะโง่ บ้า เซ่อ ไปห้ามพวกมันกันล่ะ!!

        “เฮ้ย!! ถนอมหน่อยเว้ย ไอ้ห่ า สึกหรอไปจะขายไม่ได้ราคา” สิงห์ขี้ยาผมทรงพังค์ว่าเพื่อนที่ปล่อยของจะขายลงพื้นห้องซะเสียงดัง

        “ขายไปเฉยๆมันไม่คุ้มนา ดูหน้ามันสิ” เด็กหนุ่มผิวดำ ตาลึกโหลจากการอดหลับอดนอนเพื่อหาเงินมาเสพยาลูบหน้าของเหยื่อ “กูว่าหน้าสวยๆอย่างนี้มันน่าจะทำอย่างอื่นด้วยจริงไหม?”

        “เออ กูก็ว่ามันสวย แต่ชิบหน้าอกแบนแต๋ เห็นแล้วไม่มีอารมณ์เลยว่ะ”

        “มึงไม่เอากูเอานะโว้ย อย่าเสือ กมาต่อกูทีหลังล่ะ”



    “อือ...” ไอล์รู้สึกเวียนหัว แต่ก็ได้ยินที่พวกไอ้ขี้ยาสองตัวนี่พูด ให้ตายสิมันคิดว่าเขาเป็นผู้หญิง!!

        ต้องหนี... แต่ไม่มีแรงเลย... ไอล์พยายามไถตัวไปกับพื้นระหว่างที่พวกมันกำลังคุยฟุ้งกัน เขาคว้ามีดพับอันเล็กบนโต๊ะกระจกใกล้ๆได้และเหน็บซุกไว้ในเสื้อด้านหลัง

        ไอ้ขี้ยาหื่นเข้ามาใกล้ตามที่เขาคิด ไอล์ไม่รอถูกมันทำอะไรใช้มีดปาดคอมัน ตัวมีดคมจนดันลึกได้ถึงกระดูก เลือดพุ่งออกมาเป็นสาย มันล้มลงแต่เลือดก็ยังไม่พุ่งไม่หยุด เพื่อนมันอีกคนโกรธจัดคว้าปืนขึ้นมาจะเจาะกระโหลกเขา เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ไอล์หลับตาปี๋ สิ้นเสียงปืนแล้วเขาไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่นิดเดียว... เขาลืมตาเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายบุกเข้ามาในห้องนี้ และคนหนึ่งที่ถือปืนเป็นคนยิงหนึ่งในคนร้ายที่จับตัวเขามา

        ไอล์รู้สึกโล่งอกที่มีคนมาช่วย แต่ถ้ารู้อนาคตได้ ตอนนี้เขาจะไม่ดีใจสักนิดเดียว

        แกร๊ก... กุญแจมือเหล็กเย็นเยียบสวมที่มือเขา “นี่มันอะไรกันคุณตำรวจ!!!”

        แค่ขโมยผ้าหนังตาแก่จรจัดมาครึ่งผืนจะจับเข้าตะรางเลยรึไง?!!

        “พวกผมขอจับกุมคุณในคดีฆาตกรรมและเป็นนายหน้าขายอวัยวะ”

        “บ้าแล้ว!! ผมตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่นี่แล้วนะ!!! ป้องกันตัวผิดด้วยเหรอ?!!

        นายตำรวจที่ถือปืนยกปืนขึ้นจ่อหน้าไอล์ไม่ให้ทำอะไรตุกติก ขณะที่นายตำรวจอีกคนคุยกับทางสถานีผ่านวิทยุสื่อสาร “ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำครับ แต่พวกผมคิดว่าพวกที่นี่อาจแตกคอกันเองเลยฆ่ากันก็ได้”

        ผู้ต้องหา... แตกคอ...

        เขาไม่เคยเจอหน้าค่าตาไอ้นรกส่งมาเกิดสองตัวนั่นมาก่อนนะ ไอล์คิดแต่ยิ่งเถียงตำรวจยิ่งไม่เชื่อ



        ไอล์เห็นหน้าตัวเองผ่านกระจกขณะถูกคุมตัวไปที่สถานีตำรวจ... สามปี... มิน่าพวกมันถึงคิดว่าเขาเป็นผู้หญิง ผมที่เคยตตัดสั้นตลอดถ้ามันเริ่มยาวตอนนี้ยาวเคลียบ่าเป็นทรงรากไทร หน้าที่เคยมีกระกระด่างกระดำก็หายไปเรียบ ผิวที่เคยเป็นสีคล้ำจากการกรำแดดดูขาวจนเกือบซีดเพราะอยู่แต่ในห้องที่มีแอร์และไม่ค่อยมีแดดส่อง โครงหน้าเรียกได้ว่าไม่มีส่วนไหนที่มองคล้ายผู้ชายเลย นอกจากทรงผมและส่วนสูงแล้ว... เขาคล้ายแม่เกือบทุกส่วน

        ไอล์ไม่รู้ว่าจะติดต่อผู้ปกครองคนปัจจุบันได้ยังไง ตำรวจที่สอบสวนคิดว่าเขาเป็นคนจรจัดด้วย

    ผลการตรวจพบสารเสพติดในร่างกาย... แค่นั้นตำรวจก็ไม่ฟังความต่อ... ยัดทุกข้อหาให้และจับเขาเข้าในตะราง...

        ไอล์นั่งทบทวนในห้องขัง... คนข้างห้องทุบกำแพงด้วยกำปั้นถี่ เอะอะโวยวายด่าว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองดีแต่จับแพะ... แต่เขาก็ยังคิดเรื่องของตัวเองต่อไป...

        เหตุผลที่มีสารเสพติดในร่างกายเขา

        คนร้ายที่จับตัวเขาใช้ยาที่มีสารเสพติดกับเขา หรือ ตำรวจที่นี่อยากยัดข้อหาให้เขาอยู่แล้วเลยสร้างเรื่อง!!

        เขาไม่กลัวที่จะต้องอยู่ในห้องขังที่มืดและชื้น นักโทษอื่นๆก็ส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง... สิ่งเดียวที่ติดตาเขาคือตอนที่เขี้ยวคมของเจ้าสัตว์หน้าขนนั่นฝังลงที่แขนของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

        สงบเสงี่ยมในห้องขังได้ น่าจะสัก 4-5 วัน ไอล์ไม่แน่ใจว่ากี่วันแน่... ก็มีนักโทษกลุ่มหนึ่งประมาณ 10 กว่าคนถูกแบ่งเข้าห้องขังที่มีคนอยู่แล้วห้องต่างๆ

        มีนักโทษหญิงคนเดียวในกลุ่มที่มาใหม่เข้ามาอยู่ในห้องเขา นักโทษหญิง?! มิน่าเขาถึงได้อยู่ห้องเดี่ยวมาตั้งหลายวัน พวกเขาคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงเหมือนไอ้พวกโจรสวะนั่น



        “แกน่ะออกมา” ไอล์ยังไม่ได้พูดอะไรกับเพื่อมห้องขังผู้คุมก็เรียกตัวเขา วูบหนึ่งเขาคิดไปว่าเออร์วินอาจจะมารับ แต่ความจริงไม่เคยดีเท่าในความคิด



        “นักโทษเต็ม... เด็กนี่อายุยังไม่ถึง 17... พาไปที่ 1047” ผู้คุมร่างกำยำพูดกับคนขับรถขนส่งนักโทษ ไอล์ไม่ได้ถูกสั่งให้นั่งด้านหลังเหมือนนักโทษทั่วไป แต่นั่งคู่กับคนขับ เขาถูกปิดตาด้วยผ้าสีดำ หนาจนมองไม่เห็นอะไรเลย

        รถวิ่งโดยไม่หยุดพักหลายชั่วโมง... เมื่อรถหยุดไอล์ถูกพาลงจากรถ มีความรู้สึกว่ามีวัตถุแข็งจิ้มที่ปลายหลังเขาด้วย... เคยเห็นในรายการทีวีว่าเวลาคุมตัวนักโทษผู้คุมจะใช้ปืนจี้หลังไว้ นี่คงเป็นสถานการณ์เดียวกันกับในหนัง

        ไอล์เดินต่ออีกหลายนาทีโดยมีคนคุมจี้ติด...

        “หยุด” ไอล์หยุดเดินตามคำสั่ง    เมื่อผ้าปิดตาถูกถอด ไอล์เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูจะมีอำนาจมากที่สุดของที่นี่ เขาเป็นคนตัวสูง ผิวเหลือง ผมสีดำ ตาสีดำ ลักษณะเหมือนคนทางเอเชีย... ไอล์มองไปรอบๆ ที่ๆเขาอยู่เป็นห้องคล้ายสำนักงาน

        “ไอล์ เจฟเฟอร์สัน” เขาเปิดแฟ้มแล้วขานชื่อคนถูกนำตัวมา

        “......ที่นี่คือ?”

        “สถานกักกันเยาวชน 1047” เขาตอบ “ถ้าเธอทำตัวดีๆก็จะได้ออกไปเร็ว ฉันจะแจ้งผู้ปกครองเธอให้” ไอล์มองหน้าคนพูดแล้วนึก ‘แล้วทำไมไม่แจ้งให้ตั้งแต่ที่ต้องเข้าไปนอนในห้องขังฟะ’

        แต่คนๆนี้ก็น่าจะพูดกันรู้เรื่องกว่าคนที่สถานีตำรวจล่ะ... ไอล์คิด นายใหญ่ที่นี่หน้าตาดุแต่น้ำเสียงดูใจดี

        คนที่คุมมากลับไป ส่วนคนที่รับผิดชอบต่อก็พาไอล์ไปเดินดูสถานที่ ที่ 1047 มีทั้งหมด 7 อาคาร

        เป็นอาคารเรียน 2 อาคารแยกชายหญิง

        โรงงานฝึกอาชีพ 2 อาคารแยกชายหญิง

        ตึกแพทย์ 1 อาคาร (เปิดตลอด 24 ชั่วโมง)

        หอพักสำหรับเยาวชนที่ถูกส่งมาและผู้ดูแล 1 อาคาร (ชั้น 1-3 เป็นห้องพักหญิง, ชั้น 4-6 เป็นห้องพักชาย กลุ่มผู้ดูแลกระจายอยู่ทุกชั้น)

        และอีกอาคารหนึ่ง... ถูกปิดตายมานานมากแล้ว ปัจจุบันไม่ได้ใช้งาน

        1047 ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงซึ่งเป็นป้อมผู้คุมไปในตัว

        “ฉันเป็นหัวหน้าผู้คุมที่นี่ชื่ออิริค แชมเบอร์” คนนำทางแนะนำตัวเมื่อพาทัวร์ 1047 เสร็จ ที่นี่เธอมีชั่วโมงเรียนวันจันทร์ถึงพุธ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น... พฤหัสถึงเสาร์ฝึกอาชีพหรือไม่ก็ทำงานตั้งแต่ 9  โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง... วันอาทิตย์หยุดหนึ่งวัน ฉันจะพาเธอไปที่ห้องพัก”

        หวอ หวอ หวอ!!!... เสียงไซเรนเสียงเดียวกับรถตำรวจดังขึ้น อิริคลดนกปืนพกแล้ววิ่งไปทางเสียงทิ้งไอล์ให้ยืนคนเดียว ไอล์ยืนหน้าอาคารเรียนหญิง เขาเงยหน้าขึ้นมอง ตึกนี้สูงสี่ชั้น มองจากข้างล่างเงยหน้าขึ้นไปบนยอดตึกจะเห็นราวเหล็กของดาดฟ้าถนัดตา

        ...และก็เห็น...

        เงาร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธออาจจะมาชมวิว ไอล์ไม่คิดมาก

        แสงวูบวาบสีเงินสะท้อนในตาเขา ไอล์ปิดตาเพราะระคายเคือง วินาทีที่ลืมตา ร่างของเด็กผู้หญิงคนนั้นก็หล่นลงมาจากดาดฟ้า สภาพศพแหลกเละไม่มีชิ้นดี ศรีษะยุบ ซี่โครงขาวทะลุฉีกผิวเนื้อขึ้นมา เครื่องในไหลออกมากอง หน้าหายไปครึ่งหน้า ตาข้างที่ยังไม่กระเด็นหลุดจากเบ้าเบิกโพลงราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ไอล์คลื่นไส้อยากอาเจียน แต่เห็นเส้นด้ายสีขาวสะดุดตาในมือศพไอล์จึงใจกล้าเข้าไปใกล้ๆ

        มันไม่ใช้เส้นด้าย... พอจับดูถึงได้รู้ว่าเป็นขนของสัตว์

        ลมที่พัดแรงพัดเส้นขนสีขาวปลิวไป ไอล์สะดุ้งเมื่อมีมือแตะที่ที่บ่าของเขา เขาหันไปมองด้านหลังเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สูงกว่าเขาไม่เท่าไหร่ ผิวขาว ผมสีทองและตาสีชา หางตาตกเล็กน้อยมีรอยบากจางๆที่หน้าผาก เด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปแตะศพโดยไม่กลัวแม้แต่น้อย

        “นานๆจะเห็นคนตายที่ไม่ได้โดนผู้คุมยิงซะที”

        คนตายที่ไม่ได้โดนผู้คุมยิง... หมายความคนที่นี่มิสิทธิ์ถูกผู้คุมฆ่าตายงั้นรึ!!!!?





    - โปรดติดตามตอนต่อไป -



    * เหตุด่วนเหตุร้ายในสหรัฐอเมริกาใช้เบอร์ 911



    ฝากเรื่องของผมด้วยนะครับ จะพยายามอัพต่อเร็วๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×