V.I.R.U.S - นิยาย V.I.R.U.S : Dek-D.com - Writer
×

    V.I.R.U.S

    ผู้เข้าชมรวม

    230

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    230

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    3
    จำนวนตอน :  4 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  23 พ.ค. 62 / 13:28 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ปฐมบท

    VIRUS

    “ไอ้นากิ”ผมได้ยินเสียงผู้ชายที่ใหญ่และดังเหมือนครูฝึกทหารดังขึ้นมาก่อนที่ผมจะรู้ถึงแรงตบอย่างรุนแรงกระทบเข้าหัวผมตามด้วยเสียงอันดังจนคนรอบข้างต้องหันมาดู

    แต่แน่นอน... พวกเขาหัวเราะเยาะผม

    ที่อยู่ตรงหน้าผมคืออูระ หัวโจกประจำชั้นเรียน

    “มีอะไรอีกล่ะ?” ผมทำเสียงเข้มซึ่งแน่นอน ไม่มีใครในห้องนี้ยำเกรงผมหรอก

    เพียะ มันตบหน้าผมอีกครั้งจนทำให้หัวผมหมุนไปตามแรงตบ ตามด้วยเสียงหัวเราะตามมา

    “ฉันบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าเวลาเห็นฉันรังแกใครแล้วอย่าไปฟ้องครู” มันทุบโต๊ะ

    อูระเป็นวัยรุ่นที่รูปร่างทั้งใหญ่โตและแข็งแรงแล้วยังเรียนเก่ง มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แต่นิสัยกับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

    มันชอบวางอำนาจ ข่มขู่ และรังแกคนอื่น ที่สำคัญคนอื่นๆในห้องมักจะเห็นดีเห็นงามกับมันเสมอ

    จริงๆที่ผมฟ้องครูไปผมไม่ได้ต้องการจะช่วยคนที่มันแกล้งหรอก ผมแค่ต้องการจะเห็นมันถูกลงโทษแค่นั้นแหละ แต่ผมก็เตรียมรับสิ่งที่จะตามมาแล้ว

    ผมนอนหมดสภาพอยู่บนพื้น แต่น่าแปลกผมไม่ร้องอย่างเจ็บปวด ผมไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวด ผมไม่ร้องไห้เพราะความเจ็บปวดนี้ผมชาชินกับมันซะแล้ว

    อูระและเพื่อนๆของมันยืนล้อมรอบตัวผม สายตาเหยียดหยามและสมเพชรุมจ้องผมที่นอนอยู่เป็นตาเดียว

    “คนอย่างแกคงไม่เข้าใจนะ ฉันเป็นคนที่เก่งและใหญ่ที่สุดในห้องนี้ ฉันคือความถูกต้อง ฉันคือกฏ ! คนโง่อย่างแกที่ทำแบบนี้กับฉัน ก็คือคนชั่ว”

    ผมไม่เข้าใจตรรกะอันย้อนแย้งกับการกระทำของมันเลย

    ชายรูปร่างผอมบางผิวคล้ำไว้ผมทรงสกินเฮทสวมชุดนักเรียนที่ยืนอยู่ข้างๆพงษ์คือริว

    “คนอย่างแกนี่ กล้าดียังไงมาแหยมกับบอสใหญ่ของเรา แกน่ะร่างกายอ่อนแอ บ้านก็จน แถมเรียนห่วยชะมัด ริอ่านมาแหย่พวกเรา” ริวถุยน้ำลายใส่ผม

    และมีผู้หญิงคนนึงในกลุ่มพวกมันชื่อแฟร์ มันเดินเข้ามาหยิบของในกระเป๋ากางเกงผม ผมพยายามจับมือมันไม่ให้ล้วงเข้าไปเพราะในนั้นมีของมีค่าที่สุดของผมอยู่

    แต่ผมอ่อนแรงมากจึงสู้แรงมันไม่ได้

    “เงิน200 กับ แผ่นเกมหรอ?”

    “เฮ้ย ! เอาคืนมา! “ มันไม่เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้ ผมไม่คิดว่านอกจากแตะต่อยผมแล้ว มันจะขโมยของของผมไป

    แฟร์มองไปที่แผ่นเกม มันเป็นเกมแนวโอเพ่นเวอร์สวมบทบาท ที่ผมสามารถมีอิสระต่างๆในการเลือกทำอะไรได้หลากหลายเหมือนในชีวิตจริง

    ผมอุตส่าห์เก็บเงินมาเป็นปีเพื่อจะได้มันมา

    “ไอ้ขี้มโน” แฟร์ด่าผม “แกคงหาสิ่งดีๆในชีวิตไม่ได้ แกเลยเลือกเกมเป็นที่เยียวยาจิตใจใช่ไหม? เพราะมันเป็นที่ๆแกจะอยู่ในโลกมโนๆของแก คนอย่างแกนี่มันพวกขี้แพ้จริงๆ”

    ผมวิ่งมากอดขามัน ผมอ้อนวอนสุดชีวิต ผมอาจจะถูกตบตี อะไรก็ตาม แต่เกมคือสิ่งเดียวในโลกที่ผมหาความสุขจากมันได้

    ทุกคนรอบๆตัวผมหัวเราะเยาะผมที่มีสภาพไม่ต่างจากหมาตัวนึงที่จนตรอกและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

    อูระแย่งแผ่นเกมของผมมาจากแฟร์

    กร็อบ !!

    จิตใจผมแทบจะสลาย แผ่นเกมของผมถูกหักเป็นสองส่วน มันโยนเศษแผ่นใส่ผมและเดินจากไป

    ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า

    ผมอยากจะฉีกพวกมัน !!! มันทำลายโลกของผม !!!

    แต่ร่างกายที่อ่อนแอของผมมันไม่ขยับตาม

    ———————————————

    ผมพยุงร่างกายที่โทรมจากบาดแผล
    ร่างกายผมเต็มไปด้วยพาสเตอร์ยา
    ผมกำลังเดินทางกลับบ้านและกำลังผ่านย่านการค้าย่านหนึ่ง

    “พี่คะ!”เสียงๆหนึ่งของเด็กผู้หญิงดึงความสนใจผม

    เธอน่าจะอายุราว6ปี เธอมองด้วยสายตาที่เรียกร้องหาความเห็นใจน้ำตาไหลอาบแก้ม

    “แม่หนูหายไป พี่ช่วยหนู...”

    ผมเดินออกจากเธอโดยไม่ใยดี น่าเบื่อ ผมไม่เข้าใจ ผมไม่เห็นประโยชน์อะไรจากมันเลย ผมจะช่วยคนอื่นไปทำไม ในเมื่อรอบตัวผมมีแต่คนที่ทำเลวกับผม

    โลกนี้มีแต่สิ่งที่ผมเห็นแล้วไม่สบอารมณ์ แม่ผมตายหลังจากผมจำความได้สามปี ส่วนพ่อของผม พ่อที่ไม่เอาไหน ตั้งแต่แม่ผมตาย มันก็ไม่ทำอะไรเลยนอกจากร้องไห้ตีโพยตีพาย และทุบตีผมและโทษผมว่าเพราะผม แม่ถึงจากไป

    จนในที่สุดมันก็สติแตกและทำร้ายผมทั้ง ทุบตี อดข้าว ขังผมไว้ในกรงหมาที่มีเพียงเกมบอยเก่าๆที่ยังพอใช้งานได้เท่านั้น มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมได้รับรู้ถึงคำว่าความสุขเป็นครั้งแรกในชีวิตของผม

    ร่างกายผมขาดสารอาหารอ่อนแอลงมาก

    และเมื่อผมได้เข้าเรียนที่โรงเรียน ผมก็ถูกพวกมัน มันทั้งห้อง พวกมันมองผมเป็นตัวประหลาด ไม่ใช่เพราะว่าผมมีความแค้นกับมัน แต่เป็นเพราะ”ผมแค่แตกต่าง” แล้วทุกคนก็ทำกับผมแบบเดียวกับอย่างกับพวกมันใช้สมองที่ลงข้อมูลเดียวกัน

    ในยามที่ผมเดือดร้อน มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ต้องดูแลตัวเอง แล้วผมก็ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องทำดีกับใคร

    สิ่งที่ผมอยากทำ ผมอยากจะลงโทษพวกมันทุกคน พวกมันที่นำพาความทุกข์ทรมานให้กับชีวิตผม ผมอยากเห็นพวกมันนอนจมกองเลือด

    ก่อนที่ผมจะคิดมากไปกว่านั้น ผมรู้สึกถึงก้อนบางอย่าง มันคือซากลูกหมา ไม่สิก็แค่ก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง เศษก้อนเนื้อที่นอนจมกองเลือด

    ตามตัวมันเต็มไปด้วยรอยคมเขี้ยวของหมาตัวอื่น

    “เจ้าก้อนเนื้อที่น่าสงสาร” ผมเดินไปหยิบซากของมันด้วยมือเปล่า และอุ้มมันไปฝังใต้ต้นไม้ข้างถนน แดดที่ร้อนทำให้ผมเหงื่อไหลจนเหมือนผมอาบน้ำใต้ฝักบัวอยู่

    ผมขุดหลุมด้วยกิ่งไม้ที่หาได้ โชคดีที่ดินไม่ได้แข็งมากผมจึงใช้เวลาไม่นาน จนเมื่อผมขุดและฝังกลบเสร็จผมตัดสินใจไปล้างคราบเลือดก่อนมันจะแห้งจนล้างออกยากกว่านี้ในห้องน้ำสาธารณะ

    มีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆแถวนั้น และเป็นโชคดีที่ไม่มีใครอยู่ ไม่งั้นพวกเขาคงสงสัยว่าผมไปทำอะไรมา

    ทันไดนั้นเมื่อผมส่องกระจกเพื่อเช็คดูว่ามีคราบอะไรติดอยู่อีกไหม ผมก็เห็นตัวผม คุณฟังไม่ผิดหรอกตัวผม

    แต่ต่างกันตรงที่ เงาสะท้อนกระจกของผมต่างจากผมพอสมควร เขาตัวสูงกว่าผม มีหน้าตาที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่งกายด้วยชุดสีม่วงปนดำที่ไม่คุ้นตา เขาดูน่าเกรงขามและทรงอำนาจ

    เขาจ้องผมด้วยดวงตาที่เรืองแสงสีแดง ผมไม่ได้ตกใจ แต่มันทำให้ใจผมรู้สึกชื่มชม ใช่เลย นี่แหละคือรูปร่างของตัวผมที่ผมต้องการให้ตัวเองเป็น

    ผมเอื้อมมือไปแตะที่กระจก แต่ทันไดนั้นกระจกก็เกิดหมุนภาพของผมเลือนหายไป และบอดเบี้ยวกลายเป็นสีดำ ผมถูกดูดเข้าไป

    ———————————————

    ผมฟื้นขึ้นมาผมพยุงร่างตัวเองขึ้น ผมไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน รอบตัวผมมืดไปหมด

    “อะไรเนี่ย?” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ผมเหมือนอยู่ในวิหารบางอย่าง แต่สิ่งที่สร้างมันขึ้นมาไม่ใช่ปูน มันเป็นผลึกแก้วสีดำ ออกม่วงนิดๆ

    เสาที่ยันหลังคาของวิหารไว้ก็มีลักษณะเป็นผลึกหนามแหลมๆแทนที่จะเป็นเสาทรงกรีกที่ผมเคยคุ้นตา แม้จะไม่ใช่วิหารที่ปิดมิด แต่เมื่อผมพยายามมองออกไปผ่านช่องว่างระหว่างเสา

    ผมกลับมองไม่เห็นอะไรข้างนอกเลย อย่างกับผมโดนดูดเข้ามาในหลุมดำ

    ผมมองไปที่กลางวิหาร ก็พบหัวของหมาป่าขนาดใหญ่ มันเป็นรูปปั้นน่าจะทำมาจากวัสดุชนิดเดียวกันกับที่สร้างวิหารนี้ แต่ต่างกันตรงที่มีความเป็นรูปร่าง และดูล้ำสมัยราวกับหลุดมาจากหนัง ไซไฟ แฟนตาซี

    มันเป็นหมาป่าตาสีแดงที่มีสีดำและมีสีม่วงขริบริมนิดๆ ในปากของมันคาบดาบเล่มหนึ่ง รูปร่างคล้ายคาตานะ แต่มันมีรูปร่างเป็นแท่งสี่เหลี่ยม ที่ดามจับเป็นสีม่วง ทันใดนั้นเมื่อผมเห็นมัน ก็เหมือนมีแสงพุ่งออกมาจากดาบเขาที่ตาผม

    แสงนั้นจ้ามากทำให้ผมต้องยื่นมือขวาออกไปบัง และอยู่ๆก็มีคำคำหนึ่งผุดเข้ามาในหัวผม “ดาบตัดพระจันทร์” ผมพูดคำนั้นออกมา

    ทันใดนั้นก็มีเสียงคล้ายๆเสียงปลดล็อคดังขึ้น และผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งมาที่มือผมที่ยื่นออกไป

    ดาบเล่มนั้นพุ่งเข้ามาที่มือผม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อดาบมาอยู่ในมือผม ร่างกายของผมก็เกิดสั่นขึ้นมา ร่างกายที่ผอมซูบและเต็มไปด้วยบาดแผลของผมค่อยๆขยายใหญ่และมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น บาดแผลเริ่มสมานตัวและหายไป

    ร่างกายผมขยายใหญ่ขึ้น ผมตัวสูงขึ้น และสุดท้ายชุดนักเรียนโทรมๆของผใเปลี่ยนกลายเป็นชุดสีดำที่มีเสื้อคลุมสีม่วง ที่ดูคล้ายนักรบและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม

    ทันทีที่การเปลี่ยนแปลงหยุดลง ผมก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่เพิ่มขึ้น อยู่ผมก็ลองยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถือดาบออกไปนอกวิหาร แสงสว่างรอบๆตัวผมค่อยๆมืดลง และก็มีลำแสงสีม่วงดำพุ่งออกจากมือผม

    แรงของมันทำให้เสาที่ค้ำวิหารไว้แตกออก ทำให้เพดานวิหารถล่มลงมา

    ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ผมกระโดดขึ้นไปจนสูงกว่ามนุษย์ธรรมดาจะทำได้ และฟันเพดานที่ร่วงลงมาขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยที่ผมไม่น่าจะมีแรงแกว่งดาบได้แรงขนาดนั้น

    แต่อยู่ๆก็มีรัศมีสีทองเกิดขึ้นรอบๆตัวผม และวิหารก็ค่อยๆเลือนหายไป

    ผมมาโผล่ที่ทุ่งหญ้าสีเขียว ที่ๆซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน

    “ท่านนากิ” เสียงของหญิงสาวที่ฟังเพราะหูดังขึ้นมา ผมหันไปตามเสียงผมก็พบหญิงสาวคนหนึ่ง หน้าตาสวย ผมแดงทรงหางม้า รูปร่างสมส่วน สวมเครื่องแต่งกายคล้ายๆชุดเดรสสีขาวขริบริมทอง แต่ที่น่าตกใจคือ เธอมีปีก

    “ฉันรอคุณอยู่นานเลย” เธอคำนับผม
    “เกิดอะไรขึ้นกับฉัน?” ผมถามเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชา

    “คุณคือหนึ่งในผู้มีทาเลนท์ พลังและร่างที่แท้จริงของคุณพึ่งจะตื่นขึ้นมา”
    ผมนิ่วหน้า “ร่างที่แท้จริง?กับพลัง” ผมงงมาก

    เธอพยักหน้า “ในบรรดามนุษย์ทั้งหมดบนโลกกลาง จะมีมนุษย์บางส่วนที่เกิดมาพร้อมพลังวิเศษที่แข็งแกร่ง หรือก็คือทาเลนท์ แต่พวกเขาจะยังไม่สามารถใช้พลังได้ในทันทีโดยต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อน”

    ผมมองเธออย่างเยือกเย็น “เธอเป็นใครและต้องการอะไรจากฉัน?”
    เธอหัวเราะ “ฉันคือซารูเอล ทูตสวรรค์ ฉันมีหน้าที่รวบรวมผู้มีทาเลนท์ไปหาเหล่าผู้ปกครองโลกทั้ง 7 ”

    คำว่าเทพทำให้ผมไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ผมก็ฟังเธออธิบายต่ออย่างใจเย็น

    “ในสมัยก่อน เคยมีเทพสูงสุดปกครองโลกทั้ง7รวมโลกมนุษย์ โดยโลกมนุษย์เป็นเโลกที่เทพสูงสุดปกครองดูแลด้วยตนเองและได้เลือกมนุษย์7คนมาเป็นผู้ปกครองโลกอีก7ใบ โดยโลกทั้ง7นั้นมีหัวใจเป็นของตัวเองโดยพวกผู้ปกครองจะต้องรักษาหัวใจของโลกนั้นๆเท่าชีพของตัวเอง เพราะหากหัวใจของโลกถูกขโมยไปผู้ที่ขโมยมันไปจะมีอำนาจในการควบคุมโลกตามแต่ว่าหัวใจดวงนั้นๆมีความพลังอะไรซึ่งแม้แต่ผู้ปกครองทั้ง7เองก็ไม่รู้ แต่ต่อมาจักรพรรดิ์ ender ผู้นำของเผ่าพันธุ์ the end ได้เข้ามาโจมตีและทำลายโลกทั้ง8และยึดครองหัวใจมาเป็นของตน  เทพสูงสุดสละตัวเองสู้กับจักรพรรดิ์ Ender จนตัวท่านนั้นก็สลายกลายเป็นดวงจิตที่ไร้พลัง ทำได้เพียงล่องลอยไปมาตามอวกาศ แต่การตายของ ender ก็ทำให้พวก the end ถอยกลับไปยังที่ที่พวกมันจากมา

    ผู้ปกครอง7จึงปกครองโลกของตัวเองเรื่อยมาและแวะเวียนมาดูแลโลกมนุษย์เป็นครั้งคราว แต่เพราะช่วงหลังๆพวกท่านละเลยการดูแลโลกมนุษย์ ทำให้พวก the end เข้ามาอาศัยในโลกมนุษย์และวางแผนจะปลุกจักรพรรดิ์ ender ขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากพวก the end มีมากเกินไปและเริ่มจะหลอกล่อมนุษย์ให้เข้าร่วมกับพวกมันทั้งยังเคยมารุกรานโลกอีก7ดวง เหล่าเทพจึงให้ข้านำพวกท่านผู้มีทาเลนท์ไปเข้าสังกัตเทพต่างๆเพื่อร่วมกับผู้มีทาเลนท์คนอื่นขัดขวางพวก the endและปกป้องหัวใจของโลก”

    “แล้วถ้าจักรพรรดิ์ ender ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งล่ะ?” ผมถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
    “เขาจะยึดครองทุกอย่าง และจะไม่มีใครหยุดเขาได้เพราะเทพสูงสุดเสียพลังไปหมดแล้ว” ผมแอบแสยะยิ้ม

    “มากับฉันเถอะ ฉันจะ...” 

    ฉัวะ

    ผมพุ่งเข้าไปหาเธอและใช้ดาบฟันเธอเข้าที่แขนขา และปีกของเธอจนขาดและกระเด็นหลุดออกจากร่าง

    เธอร้องด้วยความเจ็บปวดและล้มลง ท่ามกลางกองเลือดที่ไหลออกมาจากแผล
    “ให้ฉันไปเป็นลูกน้องไอ้เจ้าพวกนั้นเหรอ?” ผมหัวเราะ

    “ผู้ปกครองที่ทรงอำนาจ ต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ตัวน้อยๆน่าขำชะมัด”

    เธอมองขึ้นมาที่ผมพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม “ทำไมคุณ”

    “ฉันน่ะไม่มีความคิดเรื่องที่จะปกป้องโลกหรือเล่นบทเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรมอะไรนั่นอยู่แล้ว และที่สำคัญเมื่อฉันรู้ว่าพวกเทพหรือผู้ปกครองมีจริง และต้องการกำลังจากมนุษย์ ฉันอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก การปกครองที่ไม่ได้เรื่องของพวกมันทำอะไรได้บ้าง ชีวิตฉันต้องเผชิญกับนรกบนดินโดยที่พวกมันได้แต่งอมืองอเท้า โลกนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง เพราะสำหรับฉันแล้ว ไม่ว่าจะถูกปกครองโดยเทพหรือ ender ฉันว่ามันก็ไม่ต่างกันมากหรอก “

    “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะ ?” เธอถามและมองมาที่ผม สีหน้าของเธอดูไม่มีความหวาดกลัว หรือ เจ็บจากบาดแผล แต่กลับเป็นสีหน้าของความเสียใจและเห็นใจมากกว่า

    “ในวันที่ฉันภาวนา... ให้แม่ฉันหายป่วย ไม่มีใครรับฟังคำอธิฐานของฉัน  ในวันที่ฉันต้องคอยประคับประคองสติและร่างกายที่บอบช้ำ... ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยฉัน ในวันที่ฉันสิ้นหวัง... ไม่มีใครอยู่เคียงข้างฉัน ฉันเคยเข้าไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน แต่พวกเขากลับเอาไม้ทุบฉันจนสลบและขโมยของๆฉันไป และทุกครั้งที่กลับบ้านต้องมาทนทุกข์ทรมานกับไอ้พอโรคจิตที่ทุบฉันด้วยขวดเหล้า แม้ว่าฉันจะพยายามเป็นเด็กดีแค่ไหน เขาก็ไม่เคยใจดีกับฉัน และปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นหมาจรจัดตัวนึง ขังฉันไว้ในกรง  ฉันเรียนไม่เก่งเพราะหัวไม่ดี ฉันเลยซื้อหนังสือมาอ่านที่บ้านเพราะพ่อฉันไม่ยอมให้เข้าห้องสมุด 

    แต่เมื่อรู้ว่าฉันเอาเงินไปซื้อหนังสือเรียนแทนเหล้าอันมีค่ายิ่งชีพของมัน มันก็เผาหนังสือต่อหน้าฉัน ฉันอยากจะออกกำลังกายให้มีร่างกายแข็งแรงเหมือนคนอื่นก็ทำไม่ได้เพราะเวลาว่างฉันไม่ทีสิทธิ์ออกไปข้างนอก กรงมาคือที่ที่เดียวที่รอฉันอยู่ ฉันไม่รู้ว่าพวกมัน(ผู้ปกครองโลก) เข้ามาโลกนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
    แต่พวกมันไม่รับผิดชอบความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ด้วยตัวเองเลย แต่พอรู้ว่าตัวเองเป็นเหตุกลับมาพึ่งคนอื่น” ผมยิ่งโมโหขึ้นทุกทีผมมีเรื่องที่จะพูดมากกว่านี้แต่พูดชั่วโมงนึงก็คงไม่พอ

    “คิดจะทำอะไรกันแน่คะ?” เธอตะโกนถาม

    ผมจ้องเธอด้วยสายตาอำมหิตย์ผมหงุดหงิดกับคำถามนั้น “ชิ! บอกให้ก็ได้ ฉันจะไม่มีทางเข้าข้างพวกเทพ ฉันจะไม่ขอเข้ากับพวก the end แต่สิ่งที่ฉันต้องการคือ ฉันต้องการจะถลกหนังผู้ปกครองทุกองค์  ฉันจะใช้พลังของฉันทำทุกอย่าฃเพื่อความต้องการของตัวเอง ฉันต้องการพลังอำนาจฉันต้องการหัวใจของโลกที่สามารถบงการและควบคุมทุกอย่างได้ ฉันจะเปลี่ยนโลกไปในทางที่ฉันต้องการเพื่อความสนุกของฉัน !”

    “คุณต้องการเป็นพระเจ้าหรอ?”เธอถามผมด้วยเสียงที่เบาลงเธอกุมแผลด้วยแขนด้านที่ไม่ขาดพร้อมสีหน้าที่ไม่สบายใจ

    ผมหัวเราะ

    “มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ผู้ปกครองทั้ง7ไม่ยอมแน่นอน พวกผู้มีทาเลนท์คนอื่นๆจะตามล่าคุณ คุณจะกลายเป็นศัตรูกับทุกโลกและชีวิตคุณจะมีแต่เลือดและการต่อสู้นะ”

    “ฉันเคยอยู่ในโลกที่สว่างและอบอุ่นเมื่อไหร่กันล่ะ และอีกอย่างมันต่างอะไรกับเข้าร่วมกับพวกแกและต่อสู้กับพวก the end ในเมื่อสุดท้าย.... ก็ฆ่ากันอยู่ดี”ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายตามด้วยสะอื้น ผมฟังออกว่ามันมาจากความเสียใจเธอพยายามจะห้ามปรามผม แต่เสียใจด้วย แม้แต่เทพสูงสุดหรือ ผู้ปกครองทั้ง7จะมายืนล้อมรอบผมอยู่ ผมก็ไม่เปลี่ยนใจ

    “แล้วแม่ของคุณล่ะ ?ท่านจะคิดยังไงถ้าเห็นคุณทำแบบนี้?!”เธอสะอื้น

    “คนตายไปแล้วจะรู้อะไรได้ล่ะ?”ผมตอบอย่างเลือดเย็นก่อนจะหันหลังให้เธอและค่อยๆเดินจากไป ผมจะไม่ฆ่าเธอ แต่จะปล่อยเธอทิ้งไว้ที่นี่

    “พวกผู้ปกครองทรงพลังมาก นะคุณไม่มีทางทำสำเร็จหรอก! พวกเขาเป็นเทพ ”เธอตะโกนไล่หลัง

    ผมหยุดเดินผมคิดอะไรบางอย่าฃได้และพูดออกไป “ก็ไม่รู้สินะ... ในโลกนี้มีมนุษย์ผู้ทรงอำนาจปกครองทุกแว่นแคว้นหลายคนล้วนถูกฆ่าโดยสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ใช่ ไวรัส ถ้าไวรัสตัวจ้อยๆสามารถนำพาความมรณะมาให้เหล่ามนุษย์ผู้สูงส่งได้”

    ผมหันมามองเธอเป็นครั้งสุดท้ายและเอานิ้วโป้งชี้มาที่ตัวเองด้วยตาที่เรืองแสงเป็นสีแดงอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ฉันนี่แหละที่จะไปไวรัสที่สังหารเทพ ใช่นับจากนี้ชื่อของฉันคือ ไวรัส!”

    เธอแสดงสีหน้าตกใจและยื่นมือข้างที่ขาดมาที่ผมราวกับพยายามจะรั้งผมไว้ แต่ผมไม่สน ผมยังมีเรื่องสนุกๆที่อยากลองมากกว่านี้ ผมใช้ดาบผ่ากลางอากาศ เกิดช่องแยกสีม่วงขึ้นผมรู้ว่ามันคือประตูมิติและก้างเข้าไปในมัน

    จบปฐมบท


    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น