อิงเป่ยได้เดินออกจากห้องของประมุขหยางแล้วก็เดินกลับห้องของตนทันที ตลอดทางเดินก็เป็นเหมือนตอนที่มาครั้งแรกไม่มีผิด ก็ได้แต่ทำใจแล้วรีบเดินทันที
เมื่อมาถึงหน้าห้องก็พบเข้ากับอี้หลิวที่ยืนรอที่หน้าประตู ซึ่งอิงเป่ยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นักที่ต้องมีคนมายืนรอแบบนี้ จึงได้พูดกับอี้หลิวว่า
"อี้หลิวเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ ถ้ามีอะไรผมจะเรียกเอง เธอไม่ต้องมายืนคอยแบบนี้ก็ได้ และอีกอย่างผมก็ไม่ใช่นายน้อยของเธอแล้วด้วย"
อี้หลิวก็ไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจอะไรออกมา แถมยังตอบอิงเป่ยด้วยหน้าตานิ่งเฉย และตอบอิงเป่ยว่า
"ข้าเป็นเด็กกำพร้าและท่านประมุขหยางนั้นได้นำข้ามาที่ตระกูลหยางและให้ข้านั้นเป็นสาวใช้ส่วนตัวของคุณชายหยางชุน ซึ่งคุณชายหยางชุนก็เป็นคนที่ดี มีจิตใจที่เข้มแข็งมาก แถมยังขยันในการฝึกอย่างมาก เพราะว่าตัวคุณชายนั้นไม่ได้มีพรสวรรค์ในการฝึกฝน จึงต้องฝึกฝนอย่างหนักและมากกว่าคนอื่นๆตั้งหลายเท่าตัว"
"เธอคงจะชื่นชอบคุณชายหยางชุนมากสินะ"
"ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด ข้าแค่ชื่นชมในความขยันของเขาเท่านั้น"
"เธอไม่ต้องมาคอยดูแลผมหรอกครับ เพราะผมไม่ใช่นายน้อย หยางชุน
เพราะผมนั้นชื่อ อิงเป่ย ผมขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ"
"ถ้าคุณชายมีอะไรก็เรียกอี้หลิวได้เลยนะเจ้าค่ะ"
"เอ่อ งั้นก็เอาตามที่เธอต้องการเลยก็แล้วกัน"
หลังจากนั้นอิงเป่ยก็เดินเข้าไปในห้องจากนั้นก็เริ่มนำขวดเม็ดยาออกมา แล้วนั่งลงที่เตียงแล้วยืนมือไปหยิบเม็ดยาออกมา 1 เม็ด แล้วกลืนลงไปทันที
เมื่อเม็ดยาลงสู่ท้องก็เริ่มละลายทันที พลังงานที่อัดแน่นอยู่ในเม็ดยานั้นแพร่กระจายทันที อิงเป่ยจึงเริ่มดูดซับพลังปราณนั้นเข้าสู่ตันเถียนของตนแล้วทำการบีบอัดพลังปราณให้ได้มากที่สุดแล้วจึงทำการทะลวงระดับขั้นทันที
ปัง!ปัง!ปัง! เสียงดังเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นดั่งที่คาดไว้ ระดับขั้นของ อิงเป่ย
นั้นได้ทะลวงมาอยู่ที่กำเนิดปราณระดับ 3 แล้วนั่นเอง ของเหลวสีดำไหลซึมออกมาทางรูขุมขนตามร่างกาย ส่งกลิ่นเหม็นออกมา ซึ่งเป็นของเสียในร่างกายนั่นเอง มันจึงทำให้ร่างกายของผู้ฝึกฝนบริสุทธิ์ขึ้นและยังแข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน
เมื่ออิงเป่ยลืมตาขึ้นมาก็ได้เหม็นเน่าออกมาจากตนเอง ก็ลุกวิ่งไปที่ห้องอาบน้ำทันที ทำการชำระร่างกายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สังเกตุเห็นร่างกายของตนเองมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ถึงจะเพียงเล็กน้อยแต่ก็พอสังเกตุเห็นในการเปลี่ยนแปลงนั้น
ไม่นึกเลยว่าเวลาที่เลื่อนระดับขึ้นจะทำให้ผิวของข้า ขาวเนียนขึ้น แต่ก็แฝงไปด้วยพลังอยู่ด้วย อิงเป่ยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ข้าคงต้องรีบฝึกฝน เพราะมีสถานที่ที่ข้าต้องไปให้ได้ เผื่อว่าข้าอาจจะหาทางกลับไปยังโลกเดิมของข้าก็ได้ อิงเป่ยคิดไปมาอยู่นาน จนได้ยินเสียงของ อี้หลิว มาเคาะประตู
ก๊อกๆ ก๊อกๆ "คุณชายข้านำอาหารมาให้เจ้าค่ะ"
"ประตูไม่ได้ล็อค เจ้าเปิดเข้ามาได้เลย"
อี้หลิวเดินเข้าพร้อมกับอาหารนำมาจัดวางไว้ที่โต๊ะกลางห้อง จากนั้นก็เชิญอิงเป่ยมากินอาหารก่อนมันจะเย็นชืด
"คุณชาย ข้าเตรียมอาหารเสร็จแล้ว มากินอาหารก่อนเจ้าค่ะ เดี๋ยวมันจะเย็นหมด"
"ลำบากเจ้าแล้ว" อิงเป่ยตอบออกไป
"ไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ"
"เพราะคุณชายเป็นแขกท่านประมุข มันก็เป็นหน้าที่ของข้าที่จะคอยดูแลคุณชายอยู่แล้วเจ้าค่ะ "
"ผมไม่ค่อยชินกับการที่ต้องมีคนคอยดูแลเท่าไหร่ครับ เพราะโลกที่ผมอยู่นั้น ไม่มีแบบนี้ จึงไม่ค่อยชิน"
อิงเป่ยพูดแบบนี้ออกมาทำให้อี้หลิวแปลกใจอย่างมากที่อิงเป่ยจะพูดเกี่ยวกับโลกที่เขาเคยอยู่ออกมาง่ายๆแบบนี้ ถ้าหากเป็นคนอื่นคงจะไม่พูดอะไรแบบนี้ออกมาง่ายๆแน่นอน แต่เขาคนนี้กับพูดออกมาง่ายๆ อี้หลิวจึงทักออกไปว่า
"คุณชายเรื่องนี้คุณชายไม่ควรพูดออกมาง่ายๆแบบนี้นะเจ้าค่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอก เพราะถึงเธอจะไปพูดให้คนอื่นฟังใครเขาคงจะไม่เชื่อหรอก"
"นั่นมันก็จริงเจ้าค่ะ "
"ฮ่าๆ ฮ่าๆ ขนาดผมยังไม่กังวล เธอก็ไม่ต้องกังวลหรอก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นหรอกนะที่จะรู้ว่าผมไม่ใช่คนของโลกนี้"
จากนั้นอิงเป่ยก็เริ่มกินอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยมี อี้หลิวยืนอยู่ข้างๆ ทำให้อิงเป่ยอึดอัดเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปหา อี้หลิว ที่ยืนอยู่ จึงพูดว่า
มากินด้วยกันสิ เห็นเธอยืนดูผมกินอาหารมันยังไงๆไม่รู้
อี้หลิวได้ยินถึงกับตกใจ เพราะไม่เคยมีใครเรียกสาวใช้ให้นั่งกินอาหารกับเจ้านายหรือแขกเลย
"คงทำแบบนั้นไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะสาวใช้ไม่ได้รับอนุญาติให้บ่าวตีตัวเสมอนายเจ้าค่ะ"
"เฮ้อ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วล่ะ ผมบอกให้เธอมานั่งกินข้าวกับผม เพราะที่โลกของผมนั่นไม่มีสาวใช้ หรือว่าเธอจะปฎิเสธคำชวนของผมอย่างนั้นหรอ"
อี้หลิวได้ยินก็ไม่รู้จะปฎิเสธยังไง จึงได้นั่งลงตามคำของอิงเป่ย นั่งตัวเกรงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับอิงเป่ย เมื่อเห็น อี้หลิวนั่งตัวเกรงไม่ขยับจึงได้หัวเราะ
"ฮ่าๆฮ่าๆ ไม่ต้องต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ครับ ถ้าไม่รีบกินอาหารเดี๋ยวมันก็เย็นหมดนะครับ"
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวตักข้าวให้นะเจ้าค่ะ"
"ขอบใจมากครับ"
หลังจากนั้นทั้ง2ก็กินอาหารด้วยกัน หลังจากนั้น อี้หลิวก็เก็บจานอาหารเหล่านั้นไปเก็บ ส่วนอิงเป่ยก็นั่งพักหลังจากกินอาหารเสร็จ จากนั้นก็เริ่มทำการฝึกฝนเพื่อเพิ่มระดับขั้นพลังปราณ ยิ่งเลื่อนระดับขั้นพลังปราณได้เร็วมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้ออกไปค้นหาสุสานโบราณเร็วยิ่งขึ้น
เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็หยิบเม็ดยาออกมาจากขวด แล้วกลืนลงไปทันที พลังปราณมากมายแพร่กระจายออกมา อิงเป่ยรีบดูดซับแล้วชักนำเข้าสู่ตันเถียนของตนเอง แล้วบีบอัดพลังปราณเหล่านั้นให้มากๆแล้วทำการทะลวงระดับขั้นทันที ซึ่งก็มีเสียงดัง ปัง! ปัง! เพียง 2ครั้งเท่านั้น ทำให้เลื่อนขั้นเป็นกำเนิดปราณขั้นที่ 5 ซึ่งผลของยาลดลงนิดหน่อย
แต่ถ้าใช้ยาระดับนี้ต่อไปคงจะไม่มีผลแน่ คงต้องรีบสกัดกลั่นเม็ดยาที่มีระดับสูงกว่านี้ อิงเป่ยคิดอยู่ในใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วรีบไปชำระร่างกายทันที
เพราะของเหลวสีดำ แถมกลิ่นยังเหม็นอีกต่างหาก อิงเป่ยแทบอ๊วกออกมาทีเดียว ถึงแม้จะเคยได้รับความรู้สึกแบบนี้มาแล้วครั้งนึง แต่มันก็ยังไม่ชินอยู่ดีถ้ายังเป็นแบบนี้ทุกครั้งมีหวังแค่คิดก็ เฮ้อ....
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
จะสาวใช้จะแม่บ้าน โลกเรามีให้เห็นดาษดื่นนะครับ?
ต่อให้เป็นสาวใช้แบบในละครไทยก็ยังมีนะครับ
บ้านผมเองก็มีอยู่คน ปกติเวลากินข้าว ผมก็ไม่ได้ให้สาวใช้ร่วมโต๊ะนะครับ
ก็ให้เค้าไปกินเวลาพักหรือตามแต่เค้าแทน
หรือเพราะแถวบ้านไรต์ไม่มีสาวใช้เลยเข้าใจว่าโลกเราเหลือแต่แม่บ้านทั่วไปหรอครับ?
ผมอ่านแล้วรู้สึกขัดๆชอบกล
มันน่าจะเป็นบ้านผมไม่มีสาวใช้เลยไม่ชินกับการปฏิบัติแบบนี้มากกว่าจะใช้คำว่าโลกเรานะครับ
แต่ถ้าพระเอกไม่ได้มาจากโลกเราก็อีกเรื่อง?
อีกอย่าง พระเอกน่าจะมีคอมม่อนเซ้นท์ซะหน่อยนะครับ
ผมเห็นตั้งแต่ตอนเล่าเรื่องให้หยางฟงฟังแล้ว
คือ...ไม่ใช่ว่าบอกไม่ได้นะครับ
แต่การที่อยู่ๆมาโผล่ในที่ๆตนไม่รู้จัก แถมกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก พระเอกเอาความมั่นใจมาจากไหนครับว่าบอกไปแล้วจะปลอดภัย? จะไม่โดนใช้ประโยชน์หรือฆ่าทิ้ง?
คือ...ที่เค้าดูแลอยู่ก็เพราะคิดว่าเป็นลูก แต่อยู่ๆก็มาบอกว่าไม่ใช่ลูก ถ้าตระกูลนี้เป็นพวกโฉดชั่ว พระเอกจะยังเหลืออะไรครับ? ถ้าเป็นผู้ร้ายที่ฉลาดๆหน่อยก็หาวิธีรีดข้อมูลจากพระเอก แต่ถ้าไม่ยอม แถมดูแล้วยังอาจก่อให้เกิดอันตรายก็แค่ฆ่าพระเอกทิ้งเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมก็ยังได้เลยนะครับ
ผมเข้าใจว่านี่เป็นนิยาย แต่ถ้ามองตามความเป็นจริงแล้วที่พระเอกทำนี่แทบจะเรียกได้ว่าไร้หัวคิดเลยนะครับ
ตามหลักแล้ว ถ้าคนเราเจอแบบนี้มันควรจะต้องดูสถานการณ์ก่อนมั๊ยครับ?
ถ้าเวลาผ่านไปแล้วมั่นใจว่าตระกูลนี้ดี อยู่ไปซักพักจนรู้อะไรๆแล้วจะบอกก็ไม่เสียหายครับ
ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยแต่ไปบอกเค้าหมด
คุณลองคิดดูนะ ถ้าอยู่ๆคุณสลบแล้วตื่นมาเจอใครไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ คุณจะบอกเค้าหมดมั๊ยว่าคุณเป็นใคร มาจากไหนอะไรยังไง? โดยที่คุณยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น? คนตรงหน้าคุณเป็นคนดีที่ช่วยคุณหรือเป็นโจรที่จับคุณมารึป่าว? ถ้ามันเป็นพวกโฉดชั่วในคราบนักบุญล่ะ?
ถ้าเป็นแบบนั้น พระเอกอย่าหวังจะได้เกิด ไม่ถูกหลอกใช้ก็ตายหยั่งเขียดกะตรรกะแบบนี้นะครัย
แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องบอกก็อีกเรื่อง
อย่างหมอกดำที่เปลี่ยนร่างเป็นพระเอกก็ทำให้บอกได้ แต่ถึงยังไงก็ควรกั๊กข้อมูลบางส่วนอยู่ดี
แต่นี่พระเอกบอกก่อนแบบโง่ๆ มันชวนรู้สึกขัดใจมากครับ
คือ...ก็ไม่ได้อยากว่าตัวเอกหรอกนะครับ แต่อ่านแล้วขัดใจจนอดไม่ได้ที่ต้องเม้นท์นะครับ
หวังว่าพัฒนาการตัวเอกจะดีขึ้นนะครับ = =
คือ....ผมก็บอกอยู่ว่า ถ้ามีเหตุการณ์แบบหมอกดำเผยร่าง อันนี้ก็โอเคอยู่ที่พระเอกจะบอก
แต่ประเด็นคือ พระเอกบอกก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น ซึ่งตอนนั้นพระเอกยังอยู่ในรูปร่างของลูกเค้านะครับ
สมมุติว่ายังไม่แน่ใจ ก็เลือกเงียบไว้ก่อนก็ยังได้ เพื่อประเมินสถานการณ์
แล้วพอเกิดเหตุการณ์หมอกดำนั่นจึงค่อยจำเป็นต้องบอก
ระหว่างบอกก่อนกับบอกหลังเหตุการณ์มันต่างกันนะครับ
บอกก่อนนี่เหมือนไร้หัวคิด
แต่บอกหลังเหตุการณ์นี่คือจำเป็นต้องบอก
และก็เลือกบอกบางส่วน เฉพาะเรื่องที่จำเป็นจริงๆที่ควรบอก
อย่างนี้มันจะดีกว่าพระเอกบอกหมดแบบไม่คิด ทั้งๆที่ไม่จำเป็นใดๆเลย
ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้เราเลือกเงียบไว้ก่อน แล้วมาบอกความจริงทีหลัง เมื่อถึงคราวจำเป็นจริงๆที่ต้องบอก หรือเราพร้อมแล้ว มั่นใจว่าบอกไปแล้วปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน อย่างนี้ไม่ถือว่าเราผิดนะครับ
ผมถึงได้บอกว่า อ่านแล้วรู้สึกขัดใจ ที่พระเอกแลดูเหมือนไร้หัวคิดชอบกลที่ไปบอกเค้าก่อนแบบนั้นน่ะครับ
ปล. ไม่ได้ว่ามุมมองไรต์ผิดนะครับ แต่ผมแค่คิดว่า ถ้าเป็นแบบนี้มันจะดีกว่ามั๊ยน่ะครับ?
แล้วโลกไหนไม่มีคนรับใช้ฟ่ะ
บ้านตูยังมี 2 คนเลย แก่ๆทั้งนั้น