อิงเป่ยเดินดูของที่ชาวบ้านนำมาขายมีทั้งของป่า สมุนไพร เครื่องปรุงบางชนิด ส่วนมากจะเป็นเกลือซะส่วนใหญ่
"แล้วจะไปหาเครื่องปรุงอย่างอื่นได้จากที่ไหนกันล่ะเนี้ย ลองเดินดูอีกหน่อยก่อนก็แล้วกัน"อิงเป่ยคิดในใจ
เมื่อเดินดูเรื่อยๆก็มาเจอเข้ากับแผงลอยเล็กๆที่มียายกับหลานตัวเล็กๆกำลังนั่งขายของอยู่จึงเดินเข้าไปถาม
"ท่านยายของพวกนี้ท่านหามาจากไหนรึ?"
"อ๋อ ยายเก็บมาจากสวนที่บ้าน บางอย่างก็ทำขึ้นมา"
"ข้าต้องการของพวกนี้ท่านยายขายยังไงล่ะ"
"แต่ละอย่าง10ทองแดง คุณชายต้องการอย่างไหนบ้างล่ะ"
"พริก กระเทียม พริกไทย หอม มะนาว และก็ 2 อย่างนี้ด้วย"
"คุณชายยายไม่รู้จักของที่เอ่ยมาหรอกนะ ว่ามันคือสิ่งใด?"
"ฉิบหายละ ลืมไปเลยว่าเราไม่ได้อยู่โลกของเราอีกแล้ว เลยพูดออกไปตามที่เห็น ถึงจะบอกไปจะรู้มั้ยเนี้ย ชี้เอาเลยก็แล้วกัน"
"เอ่อ...ข้าต้องการสิ่งนี้ นี่ โน้น นั่น และก็ สีขาวๆนี่และเกลือ"
อิงเป่ยใช้มือชี้ไปยังสิ่งที่ต้องการ จะได้ไม่ยุ่งยาก
ถึงจะ งงๆกับคำพูดของอิงเป่ยอยู่บ้างแต่เมื่ออิงเป่ยชี้ของที่ต้องการก็พอจะเข้าใจ จึงได้จับมัดของที่สั่งแยกออกต่างหาก และบอกราคาทั้งหมดแก่อิงเป่ย
"คุณชายทั้งหมด 70 ทองแดง"
อิงเป่ยหยิบเงินออกมา 1เหรียญทอง ส่งให้ท่านยายไป
เมื่อท่านยายเห็นก็รีบบอกออกไปทันทีว่า
"ยายไม่มีเงินทอนหรอกนะคุณชาย พึ่งจะมีคุณชายนี่ละที่มาซื้อของเยอะขนาดนี้ ยายอยู่กับหลานเพียง 2 คนเท่านั้น นานๆจะออกมาขายของในเมืองซักครั้ง จึงไม่มีเงินทอนให้"
อิงเป่ยเมื่อได้ฟังก็ไม่รู้จะทำยังไง จึงได้บอกกับยายไปว่า
"เอาอย่างนี้เป็นไงท่านยาย ข้าจะจ่ายเงินให้ท่านก่อนแล้วให้ท่านเก็บผักพวกนี้ส่งไปที่ตระกูลหยางทุก7วัน ท่านยายตกลงไหม"
"เอาอย่างที่คุณชายว่ามาก็ได้ เพราะว่ายายก็อยู่ไม่ไกลจากตระกูลหยางเท่าไหร่ น่าจะสะดวกกว่ามาขายที่ในตัวเมือง"
"ท่านยายท่านไม่ให้หลานไปเข้าสำนักเสี้ยวจันทราล่ะ จะได้ดูแลตัวเองได้ในวันข้างหน้า"
"เรื่องนี้คงต้องรอให้โตกว่านี้อีกหน่อย ค่อยให้ไปสมัครเข้าที่นั่น"
"แล้วแต่ท่านยายก็แล้วกัน ข้าแค่แนะนำก็เท่านั้น"
"ขอบใจคุณชายมากที่มาอุดหนุน"
"ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปก่อนนะท่านยาย"
เมื่ออิงเป่ยได้ของตามที่ต้องการแล้วก็มุ่งหน้ากลับทันที เพราะไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว
เมื่อมาถึงห้องพักตนเองก็พบกับอี้หลิวที่กำลังจะนำอาหารกลางวันมาให้ เพราะตอนเช้าอิงเป่ยออกไปแต่เช้าเลยไม่ได้กินอาหารก่อนออกไป ถึงแม้อิงเป่ยจะไม่อยู่ อี้หลิวก็จะคอยยกอาหารมาแบบนี้เสมอ
"คุณชายท่านมาพอดีเลยข้านำอาหารมาให้"
"อืม..ขอบใจเจ้ามาก นำไปวางไว้ที่โต๊ะก็แล้วกัน"
อิงเป่ยเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้และลงมือกินอาหารที่อี้หลิวนำมาให้ เมื่ออิงเป่ยกินเสร็จก็บอกให้อี้หลิวเก็บจานใส่อาหารออกไปแล้วบอกว่า
"ข้าจะเก็บตัวฝึกฝนซัก3วัน เจ้าไม่ต้องนำอาหารมาให้ข้าหรอกนะระหว่างที่ข้าฝึกฝน"
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ "
"เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ"
อิงเป่ยนั่งจิบน้ำชาอยู่พักนึงก็ลุกจากเก้าอี้ไปนั่งลงที่เตียง แล้วหยิบเม็ดยาที่สกัดกลั่นจากผลึกจิตวิญญาณมังกรออกมา แล้วจ้องมองดูอย่างละเอียดว่ามันมีอะไรผิดปกติรึเปล่า ซึ่งอิงเป่ยไม่แน่ใจว่าถ้ากลืนลงไปแล้วมันจะมีผลกับร่างกายเขายังไงบ้างก็ไม่รู้ ทำให้ลังเลใจอยู่นานเหมือนกัน ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาดกลืนเม็ดยานั้นลงไป
เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น อิงเป่ยรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ทำให้ทั่วทั้งร่างกายร้อนดั่งไฟ เหมือนร่างกายกำลังถูกหลอมละลาย เสียง กร๊อบแกร๊บ ของกระดูกที่กำลังแตกหัก เส้นชีพจรทั่วทั้งร่างกายเจ็บปวดแสนสาหัส เหมือนมีเข็มนับร้อยนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงนับไม่ถ้วน อิงเป่ยพยายามอดทนกัดฟันแน่นไม่ให้ร้องแหกปาก นอนดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเตียง แต่ก็ไม่อาจจะทนรับความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว จนต้องแหกปากร้องลั้่นออกมา
อ๊ากกกก!!!! เสียงร้องของอิงเป่ยทำให้ผู้คนในตระกูลหยางตกใจจนรีบพากันวิ่งมาทางต้นเสียงทันที
"หืม นี่มันห้องพักของคุณชายอิงเป่ยนิ มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณชายกัน"
อ๊าก..ก.ก.ก!!! เสียงร้องของอิงเป่ยยังคงดังอยู่ตลอดเวลา บ่งบอกได้เลยว่ากำลังทรมานแทบขาดใจ
มีคนพยายามที่จะเข้าไปช่วยแล้วแต่ไม่สามารถทำได้ เหมือนกับว่ามีกำแพงใสป้องกันไม่ให้คนภายนอกเข้าไปได้ จึงได้ให้คนไปตามท่านประมุขมา เผื่อว่าจะช่วยได้
"เจ้าไปตามท่านประมุขมาที่นี่เร็วๆเข้า"
ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าวิ่งออกไปท่านประมุขก็พุ่งทะยานมาทันที
"เกิดอะไรขึ้นกันทำไม พวกเจ้าถึงไม่เข้าไปช่วยกันล่ะ"
"คือพวกข้าพยายามแล้วแต่เข้าไปไม่ได้เลยท่านประมุข"
"หืม..พวกเจ้าว่ายังไงนะ ไม่สามารถเข้าไปได้"
"ใช่แล้วท่านประมุข เหมือนกับว่ามีกำแพงกั้นเอาไว้น่ะ ขอรับ"
ประมุขทำการเดินเข้าไปใกล้เพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นจริงดั่งที่คนเหล่านี้พูดรึเปล่าแต่เมื่อเข้าไปใกล้ประตูแล้วทำการยื่นมือไปผลักประตูก็พบว่าไม่สามารถทำได้มันเหมือนมีกำแพงใสๆกันเอาไว้จริงๆ
"หืม จริงอย่างที่พวกเจ้าว่า พวกเจ้ากลับไปทำงานกันได้แล้วล่ะ คงไม่มีอะไรมากหรอก คุณชายอาจจะกำลังทะลวงขั้นพลังอยู่ก็ได้"
เสียงร้องเริ่มเบาลงเรื่อยๆ ไม่นานก็เงียบไป อิงเป่ยนอนนิ่งอยู่บนเตียง ผิวหนังที่แตกเป็นรอยก็เริ่มหลุดจากร่างกายมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย ผิวหนังของอิงเป่ยเป็นสีแดง ถ้าจะให้พูดง่ายๆคือการลอกคราบนั่นเอง
อิงเป่ยตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาฟื้นฟูร่างกายให้กับไปเป็นปกติจึงต้องเข้าสู่สภาวะการจำศีลนั่นเอง พลังปราณของอิงเป่ยก็ลดลงเช่นกันจนเหลือเพียงขั้นปราณฟ้าเท่านั้น ซึ่งอิงเป่ยไม่สามารถตรวจเช็คสภาพของตนเองได้ต้องรอให้ตื่นขึ้นมาเสียก่อนถึงจะรู้ เมอาก็ออกมาจากหนังสือใช้เวทย์รักษาด้วยอีกแรงทำให้การฟื้นฟูมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมอาจ้องมองดูการเปลี่ยนแปลงของอิงเป่ยตลอดเวลา ซึ่งทำให้เมอาถึงกับตกใจเมื่อรับรู้ได้
"นี่มัน...ชีพจรของมังกรนิ แล้วทำไมมนุษย์อย่างเขาถึงสามารถหลอมรวมเข้ามันได้ล่ะ"
"ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่ามนุษย์สามารถหลอมรวมได้ ถ้าเป็นพันธะสัญญาก็ยังยากที่จะสำเร็จเพราะมังกรเป็นตัวตนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีไม่ยอมที่จะมาเป็นทาสรับใช้มนุษย์แน่นอน หรือจะเป็นเพราะว่า อิงเป่ยคือผู้สืบทอดกัน ความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว"
เมื่อเสียงเงียบไปประมุขหยางที่อยู่ข้างนอกก็กังวลเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้สั่งให้คนมาคอยเฝ้าเอาไว้ ถ้ามีอะไรให้ไปเรียกทันที
ผ่านไป 5 วัน อิงเป่ยก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเลย
"นี่มันก็5วันมาแล้วนะท่านพ่อที่คุณชายยังอยู่ในห้อง"
"แล้วเจ้าจะให้ข้าทำไงเล่า ก็มันเข้าไปไม่ได้นิ ก็คงได้แต่รออย่างนี้ล่ะ"
หยางกุ้ยเฟย........................!
"เจ้าไม่ต้องกังวลไปคุณชายไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแต่ต้องรอเวลาเท่านั้น เจ้ากลับไปฝึกฝนต่อเถอะ ถ้ามีอะไรข้าจะให้คนไปตามเจ้าเอง"
"ถ้าอย่างนั้น ลูกฝากท่านพ่อก็แล้วกัน ลูกไปก่อนเจ้าค่ะ"
ตอนนี้ร่างกายของอิงเป่ยกลับมาเป็นปกติแล้ว หน้าตาก็ยังเหมือนเดิม ถ้าจะเรียกคุณชายเจ้าสำอางก็คงไม่ผิด เพราะผิวที่ขาวเนียนดูบอบบาง แต่กับแฝงไปด้วยพลังที่แข็งแกร่ง อาวุธระดับสูงมิอาจสร้างรอยให้กับร่างที่บอบบางนี่ได้ แถมกลิ่นอายที่ทรงพลังเล็ดลอดออกมานั้นเหมือนกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกับพระเจ้า
แต่เพราะมีกำแพงใสป้องกันเอาถึงสัมผัสกับกลิ่นอายระดับนี้ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีกำแพงนี้อาจจะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่เป็นแน่
1เดือนผ่านพ้นไป อิงเป่ยก็ลืมตาตื่นขึ้น กำแพงที่ค่อยป้องกันก็ได้หายไป กลิ่นอายอันแข็งแกร่งก็ทะลักออกจากห้องของอิงเป่ยทันที ผู้คนที่เฝ้าอยู่ถึงกับเกิดอาการสั่นกลัวเมื่อสำผัสกับกลิ่นอายนี้ได้ เมอาจึงรีบเตือนสติของอิงเป่ยทันที
"นี่ท่านรีบปกปิดกลิ่นอายของท่านเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้าไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากไปกว่านี้"
เมื่อได้ยินดังนั้นจึงสำรวจดูร่างกายตนเองก่อนจะรีบปกปิดทันที อิงเป่ยตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายตนเองยิ่งนัก
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ระดับพลังของข้าลดลงไปอย่างนั้นรึ เป็นไปได้ไง"
อิงเป่ยเริ่มทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งก็ยิ่งตกใจขึ้นไปอีก
"ทำไมข้าถึงมีแหล่งเก็บพลังปราณ7แห่งกันละ แถมเส้นชีพจรยังมีขนาดใหญ่หนายืดหยุ่นเป็นอย่างมาก หรือว่าที่พลังข้าลดลงเป็นเพราะสาเหตุนี้กัน"
อิงเป่ยทำการทดลองดึงพลังปราณทั้งหมดมารวมกันที่จุดท้องน้อย ก็พบว่าพลังปราณตนกลับมาที่ระดับเดิมก่อนหน้านี้
จากนั้นจึงกระจายพลังปราณไปตามจุดต่างๆที่เหลืออีก6จุดเช่นเดิมพลังก็ลดลงมาที่ระดับปราณฟ้า
"หรือว่านี่จะเป็น....ชีพจรมังกร? นี่ข้าโชคดีอีกแล้วสินะ "
อิงเป่ยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะลุกจากเตียงเดินได้ก้าวเดียว จู่ๆเรี่ยวแรงก็หดหายก่อนจะหมดแรงล้มลงกระแทกพื้นทันที
ตุบ!! โครกกกก!!! อี้หลิวที่พึ่งเปิดประตูเข้ามาก็ตกใจ
"อ๊ะ!คุณชายท่านเป็นอะไรน่ะ"
อี้หลิวรีบเข้ามาพยุงร่างของอิงเป่ยขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ ดูกระวนกระวายใจ
"คุณชายท่านเป็นยังไงบ้าง"
"อี้...หลิว...ข้า...อิงเป่ยพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา"
"คุณชายท่านจะพูดอะไรหรอเจ้าค่ะ"
"ข้า...ข้า.หิวข้าว หาอะไรมาให้ข้ากินหน่อย"
"อี้หลิว...........รอซักครู่เจ้าค่ะ"
"อี้หลิววิ่งออกจากห้องไปด้วยความเร็วสูง เพื่อไปนำอาหารมาให้ "
ผ่านไปไม่นานอี้หลิวก็กลับมาพร้อมกับอาหารหลายอย่าง เมื่อมาถึงก็พบว่าอิงเป่ยกำลังนั่งดื่มชาด้วยความหิวกระหาย อี้หลิวนำอาหารมาวางลงที่โต๊ะก่อนจะเห็นภาพลางๆของแขนที่ขยับไปมา พร้อมกับภาพอาหารในจานลดลงฮวบฮาบ ทำให้ภาพลักษณ์คุณชายที่ดูดีก่อนหน้านี้ไม่มีอีกแล้ว มีเพียงแค่คุณชายผู้หิวโหยที่กินอาหารอยู่บนโต๊ะหมดลงภายในไม่กี่อึดใจ
อี้หลิวมองดูภาพตรงหน้าก่อนจะคิดในใจ "สมแล้วที่ไม่ได้กินอะไรมานาน"
ก่อนนอนครับ ฝันดีทุกท่าน ฟิ้ววววว
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย