คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : กับดัก (100%)
เมื่อตะวันแขวนอยู่เหนือศีรษะ ม้าก็เริ่มเหนื่อยล้าเกินจะเดินต่อ เจ้าชายเซราโฮเทปพบโอเอซิสแห่งหนึ่ง จึงปล่อยสหายคู่ใจพักอยู่ที่นั่นโดยไม่ลืมที่จะร่ายมนตร์คุ้มครองเอาไว้
จากนั้นก็เป็นเวลาที่ต้องพึ่งพาสองเท้าของตนแล้ว เจ้าชายเซราโฮเทปวักน้ำชำระใบหน้าก่อนจะออกเดินไปตามเส้นทางที่จดจำได้ขึ้นใจ
นับเป็นครั้งแรกที่เจ้าชายเซราโฮเทปรอนแรมอยู่ลำพังกลางทะเลทราย อากาศร้อนอบอ้าวเป็นอย่างมาก พาให้หยาดเหงื่อหลั่งชโลมทั่วสรรพางค์กาย ยิ่งเจ้าชายเซราโฮเทปมิได้โกนศีรษะและสวมวิกผมดังผู้คนส่วนใหญ่ บนศีรษะยิ่งชื้นเหงื่อ ชวนให้มืดหน้าวิงเวียนเป็นอย่างยิ่ง
กระนั้นเจ้าชายเซราโฮเทปก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วเดินต่อไป นาน ๆ ครั้งจึงหยิบถุงหนังบรรจุน้ำขึ้นมาจิบบ้าง ตะวันคล้อยลงต่ำแต่อากาศยังคงระอุอยู่ ระหว่างทางพบไม้มีหนามกับกระบองเพชรขึ้นอยู่ประปราย
ใกล้โพล้เพล้ ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มอมเหลือง เจ้าชายเซราโฮเทปเดินเท้าไม่ได้หยุดพัก พลันนั้นต้นอะซาเซียต้นใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา มันหนาเพียงสองคนโอบและไม่ได้สูงนัก แต่กลับแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา
มันไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเจ้าชายเซราโฮเทปสักนิด กระทั่งเสียงร้อง ‘แกว๊ก’ ดังขึ้น เจ้าชายคนงามจึงหันไปมองอย่างพินิจ
นกกุลาศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้อย่างไร้เรี่ยวแรง สภาพโรยราพอ ๆ กับต้นอะซาเซีย หากนกกุลาศักดิ์สิทธิ์มิใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพธอธ เจ้าชายเซราโฮเทปคงไม่นำพา
สองเท้าสืบเข้าไปที่ต้นอะซาเซียโดยไว เจ้าชายเซราโฮเทปใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูต้นไม้ แบ่งเศษเสี้ยวพลังให้เจ้านกกุลาศักดิ์สิทธิ์
ต้นอะซาเซียค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้นทันตา ก้านที่เหี่ยวเฉาเริ่มชูเหยียดตึง ปลายยอดแตกใบอ่อนออกมาให้เห็น ส่วนนกกุลาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อ่อนระโหยโรยแรงอีก
ธรรมดานกกุลาศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินอยู่ตามริมฝั่ง นกตัวนี้คงพลัดหลงจากฝูงเตลิดมาไกลเป็นแน่ จึงได้มาพึ่งพิงต้นไม้ใกล้ตายอยู่กลางทะเลทราย เมื่อฟื้นตัวได้แล้วมันคงจะบินหาฝูงจนเจอ
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเจ้าชายเซราโฮเทปก็มุ่งหน้าไปตามเส้นทางเดิม แต่คราวนี้เป็นดวงจันทร์ที่ส่องแสงอยู่กลางฟ้า ห้อมล้อมไปด้วยหมู่ดาวเปล่งประกายระยิบระยับช่วยชี้นำทาง
เจ้าชายเซราโฮเทปจดจ่ออยู่กับเส้นที่ดวงชี้นำไป จนไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง หากช่างสังเกตอีกสักนิด เจ้าชายคนงามจะเห็นว่าทั้งต้นไม้และนกศักดิ์สิทธิ์ที่ตนให้ความช่วยเหลืออันตรธานหายไปแล้ว
…20%…
นกกุลาศักดิ์สิทธิ์ตัวเดิมโผทะยานออกจากคาคบไม้ ไร้ซึ่งร่องรอยของความอ่อนร้าโรยแรง ต้นไม้ที่เป็นภาพมายาหายไปโดยพลัน เจ้านกกุลาศักดิ์สิทธิ์สะบัดปีกโผขึ้นเหนือหมู่เมฆ คราวนี้ไม่ใช่ตามทิศทางของเจ้าชายเซราโฮเทป แต่บินนำหน้าออกไป…สู่ผู้เป็นนาย
เจ้าชายเซราโฮเทปยังคงก้าวย่างไปตามผืนทราย กระทั่งพบศิลาก้อนหนึ่ง ตั้งตระหง่านท้าลมแดดอยู่กลางเวิ้งทราย สองเท้าไม่รอรีรีบย่ำเข้าไปใกล้ พาตนเองมายืนหน้าแท่งหินทรายกลมกลึงแล้วพินิจดูอย่างสนเท่ห์ แม้ไม่มีจารึกหรือกลไกใดปรากฏชัด แต่เจ้าชายเซราโฮเทปแน่ใจได้ด้วยความรู้สึก
สุสานของเจ้าชายเคเซอโรฟาห์อยู่เบื้องใต้ศิลาแท่งนี้แน่
กลไกของสุสานหาได้ยากเกินพรสวรรค์ของเจ้าชายเซราโฮเทป เพียงฝ่ามือซ้ายนาบลงบนเนื้อหินเย็นสาก…เรียวปากเอื้อนเอ่ยเวทเปิดทางสุสาน ผืนทรายใต้แท่นศิลาก็แยกเป็นสองโดยพลัน
โถงทางเดินทอดตัวยาวลงไปเบื้องล่าง มืดมิดราวไร้ก้นบึ้ง สายลมระลอกหนึ่งพัดมาปะทะใบหน้า พากลิ่นอับชื้นของสุสานที่ปิดผนึกมาถึงสามร้อยปีโชยเข้าสู่โพรงนาสิก หากเป็นคนธรรมดาคงถูกบั่นทอนกำลังใจไปอักโข
เจ้าชายเซราโฮเทปเสกเพลิงขึ้นในมือ ฉายแสงส่องไปยังผนังหินอย่างไม่รีบร้อน ใบหน้างามงามดูเปรมปรีดิ์ยิ่ง ระหว่างที่ก้าวเดินดวงเนตรสีนิลกาฬก็กวาดไล้ไปตามอักขระที่จารึกลงบนผนังสุสานทีละตัว ส่วนใหญ่เป็นคำสาปแช่งผู้มารบกวนการหลับใหลอันเป็นนิรันดร์และเรื่องราวของเจ้าของสุสานแห่งนี้
“คัมภีร์...
สมบัติของเทพเจ้า...
คำสาป...” นิ้วยาวเรียวลากไปตามอักษรเฮียโรกลิฟศักดิ์สิทธิ์บนฝาผนัง แม้จะเป็นอักษรสลักนูนต่ำแต่ด้วยกาลเวลาเนิ่นนานศิลาจึงผุกร่อน คงต้องใช้เวลาไม่น้อยหากจะถอดความทั้งหมด
ดวงตาคู่งามเลื่อนไปสะดุดที่ภาพจำหลักศิลาของบุรุษผู้หนึ่งในอากัปกิริยาง้างคันศร แม้ภาพจะไม่สมบูรณ์นักแต่ก็พอเห็นเค้าโครงประพิมพ์ประพาย บุรุษผู้นั้นมีดวงหน้าคมคายได้รูป สองเนตรคมกริบราวเหยี่ยวทะเลทราย รับกับคิ้วที่พาดตัวเฉียงขึ้นเล็กน้อย จมูกโด่งตรงและเรียวปากบางเฉียบ ‘นี่น่ะหรือเจ้าชายคีเซโรฟาร์’ แม้นว่าองค์ชายเซราโฮเทปจะนับว่าเป็นหนุ่มน้อยรูปงาม แต่ก็ไม่อาจเทียบเทียมโฉมเจ้าชายคีเซโรฟาร์ได้แม้เพียงนิด
ระหว่างที่กำลังตะลึงลานอยู่ ประตูสุสานก็ปิดลงอย่างเงียบเชียบ
ประตูตาย
มันเพียงเปิดรับคนเข้ามา ไม่อาจเปิดให้คนออกไป หากหาทางออกไม่เจอคงไม่แคล้วต้องติดอยู่ข้างในตลอดกาล
เจ้าชายเซราโฮเทปพอรู้จักกับดักลักษณะนี้มาบ้าง จึงไม่ได้ตระหนกตกใจแต่อย่างใด เพียงแต่สูดลมหายใจลึก รวบรวมสติให้มั่นแล้วออกเดินต่อ
เจ้าชายเซราโฮเทปฉายคบเพลิงไปยังรูปสลักนกกุลาหินอะลาบาสเตอร์ที่ดูคุ้นตานัก น่าประหลาดที่ทุก ๆ รายละเอียดยังคงกระจ่างมิรางเลือนดังเช่นจุดอื่นๆ ในสุสานแห่งนี้
เจ้าชายคนออกเดินมาไกลลิบ ความมืดมิดกลบเส้นทางที่ผ่านมาจนไม่อาจมองเห็น ทางเดินคล้ายจะสิ้นสุดลงแล้ว มีกำแพงฉาบก่ออยู่เบื้องหน้า หินสีที่ฝังอยู่บนนั้นส่องแสงเรื่อเรืองในความมืด
เจ้าชายเซราโฮเทปเริ่มร่ายมนตร์ หินสีที่ฝังอยู่ตามผนังเปล่งแสงสว่างวาบ แนวช่องตามกำแพงค่อย ๆ ปริออก แมงป่องทะเลทรายมากมายพวยพุ่งมาจากทุกสารทิศ เพียงหนึ่งปล้องพิษก็พอจะปลิดชีวิตผู้คน
แมลงป่องพิษร้ายพวกนี้เป็นบริวารของเทพีเซลเคตผู้ปกปักษ์สุสาน มันมีหน้าที่เป็นด่านชั้นแรกของสุสานแห่งเคเซอโรฟาห์
เคราะห์ดีที่แมลงพวกนี้มีจุดอ่อน...การมองเห็นของพวกมันไม่ค่อยดีนัก ยิ่งเจอกับแสงจ้าโดยฉับพลันพวกมันยิ่งนิ่งจังงันไปชั่วขณะ นานพอจะให้เจ้าชายเซราโฮเทปตั้งตัวรับ
ใบหน้าของเจ้าชายเซราโฮเทปหวั่นไหวไปวูปหนึ่ง แต่ยังคงรักษากิริยาสุขุมไว้ได้ มือชักกริชเงินจากปลอกข้างเอวแล้วกวัดแกว่งไปฟาดฟันแมลงอันตรายเบื้องหน้า หนึ่งการตวัดกริชคร่าแมลงร้ายไปหลายชีวิต ชิ้นส่วนแมงป่องปลิวกระจายไปทั่วโถงทางเดิน
ด้วยอำนาจของกริชที่ด้ามถูกสลักเป็นดวงตาวัทเจต...เครื่องปัดเป่ามนต์ดำและสิ่งชั่วร้าย ฝูงแมงป่องมายาจึงแตกฮือไปในเวลาไม่นาน ผนังศิลาชั้นที่สองค่อยๆ เลื่อนออก ปรากฎห้องขนาดไม่เล็กที่โล่งกว้างและเต็มไปด้วยเสาหิน…
เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นได้ถนัดว่าเสาหินนั้น…
…ถูกแกะสลักเป็นรูปมนุษย์
“ชาวับตี อย่างนั้นหรือ” เจ้าชายคนงามกล่าว มันเป็นหุ่นชาวับตีที่ใหญ่มากทีเดียว ขนาดตัวเกือบจะเท่ากับมนุษย์จริง ๆ และยังแต่งกายอย่างทหารมีอาวุธครบมือ
เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูเข้าสู่ห้องอย่างสมบูรณ์บรรดาหุ่นศิลาก็ขยับเขยื้อนราวกับมีชีวิต ปรี่เข้าโจมตีผู้มาเยือนอย่างไม่รีรอ
เจ้าชายเซราโฮเทปเปลี่ยนกริชสั้นในมือเป็นหอกแล้วตวัดมันออกไปรอบตัว หุ่นศิลาบ้างก็ล้มทั้งยืน แต่ก็ยังดาหน้าเข้ามาไม่หยุด คมอาวุธถูกหันเข้าหาเจ้าชายผู้มาบุกรุกสุสานเป็นจุดเดียว
หุ่นทหารเหล่านี้หาได้คณามือเจ้าชายเซราโฮเทปไม่ ใช้เวลาไม่นานเจ้าชายคนงามก็สยบพวกมันราบคาบ
เจ้าชายเซราโฮเทปก้าวผ่านห้องที่สองไปอย่างง่ายดาย ทว่าห้องชั้นที่สามกลับทำให้ลำบากใจนัก ทางเดินมืดมิดยืดยาวออกไป เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงปลายทางสักที เจ้าชายเซราโฮเทปมัวครุ่นคิดอยู่ในภวังค์อย่างร้อนรนใจ กระทั่งฉุกคิดขึ้นได้เรื่องหนึ่ง เจ้าชายเซราโฮเทปหลับตาลงตั้งสมาธิ เมื่อลืมตาขึ้นมนตร์มายาก็จางหายไป
ภาพเบื้องหน้าคือห้องโอ่โถงเต็มไปด้วยทองคำสะท้อนแสงวาววาม ทั้งเครื่องเรือนที่ทำจากไม้ชั้นดีเคลือบทองคำ หรือกระทั่งเก้าอี้ที่ทำขึ้นจำลองบัลลังก์ขององค์ฟาโรห์ เจ้าชายเซราโฮเทปพยายามย่างเท้าอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ไปแตะต้องถูกสิ่งของชิ้นใด
น่าประหลาดที่ห้องเก็บสมบัติไร้ซึ่งกับดักใด ๆ กับดักในห้องที่ผ่านมาก็ดูจะง่ายดายและหละหลวมเกินไปสำหรับปกป้องคัมภีร์แห่งเทพเจ้า เจ้าชายคนงามจึงเก็บข้อสงสัยนี้ไว้ และระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
ก้าวออกมานอกห้องเก็บสมบัติคือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่วางโลงศิลาของผู้เป็นเจ้าของสุสาน เจ้าชายเซราโฮเทปกระชับกริชเงินในมือแน่น ก่อนจะได้ยินเสียงบุรุษเอ่ยขึ้นเบื้องหลัง
“ข้ารอเจ้ามากว่าสามร้อยปีแล้ว” เจ้าชายเซราโฮเทปหันขวับไปตามต้นเสียง ปรากฏชายหนุ่มใบหน้าคุ้นตานั่งอยู่เก้าอี้ทองคำ เรือนกายสง่ารางเลือนเหมือนร่างวิญญาณ คนผู้นี้มีรูปโฉมงดงามไม่ผิดแผกไปจากภาพสลักที่โถงทางเดินเลย จะต่างก็เพียงบนวงหน้าปรากฎรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่เหมือนบนภาพสลักที่ดูเคร่งขรึมและเยือกเย็น
ด้วยรูปลักษณ์ประกอบกับกิริยาท่าทีจึงเดาฐานะได้ไม่ยาก...
“เจ้าชายเคเซอโรฟาร์! ”
“ข้าไม่ได้รอมานานเพื่อให้เด็กน้อยเช่นเจ้ามาร้องเรียกข้าเล่น ๆ ดอกนะคนงาม”
“ท่าน!!” นับว่าเจ้าชายเคเซอโรฟาร์กล่าวได้เสียดแทงขั้วหัวใจยิ่งนัก คำว่าคนงามเป็นคำกล่าวต้องห้ามสำหรับองค์ชายผู้สุขุม มือเรียวเงื้อกริชขึ้น แต่ทว่าก็ยังสู้ความว่องไวของเจ้าของสุสานไม่ได้ เรือนร่างกำยำเคลื่อนมาประชิดตัวองค์ชายเซราโฮเทปด้วยความเร็วประหนึ่งวายุ มือแกร่งฉวยเข้าที่ข้อมือบาง น่าประหลาดที่ร่างวิญญาณนั้นให้สัมผัสราวกับมนุษย์จริง ๆ
“ไม่มีใครบอกหรอกหรือว่าเด็กไม่ควรเล่นของมีคม” วาจายั่วโมโหของเจ้าของสุสานทำให้องค์ชายคนงามที่มักสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอหลุดสีหน้าโกรธาออกมา
“ฝ่าบาท ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว” แม้ในเวลาที่ความโกรธคุกรุ่นเจ้าชายเซราโฮเทปก็ยังคงรักษากิริยาสงบดุจผิวน้ำนิ่งไว้ดังปกติ
“แล้วอย่างไร บิดามารดาเจ้ามิอบรมหรือว่าไม่ควรเถียงผู้ใหญ่ ข้าแก่กว่าเจ้าตั้งสามร้อยปีเศษ ๆ เลยนา” ร่างสูงหัวร่อที่คนมีท่าทีสุขุมกลับหลุดกิริยาอื่น ๆ ออกมาบ้างหลังจากเฝ้ามองมานาน
“ข้าเฝ้ามองเจ้ามาตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาที่นี่แล้ว นับว่าเจ้าเด็ดเดี่ยวและชาญฉลาดมากที่ผ่านเข้ามาได้...
เอาล่ะ...บอกความปรารถนาของเจ้ามา” นิ้วยาวเรียวเชยคางมนขึ้น ดวงหน้าหวานสะบัดหนี แต่เจ้าชายเคเซอโรฟาร์ก็หาได้มีท่าทีขุ่นเคือง
“ข้าต้องการคัมภีร์แห่งธอธ” คนงามเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ ทว่ากลับทำเอาผู้ครอบครองคัมภีร์ที่ว่าหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าน่ะหรือ... เจ้าน่ะหรือจะมาช่วงชิงคัมภีร์แห่งธอธ” สุรเสียงแหบห้าวเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“มีอะไรน่าขันกัน” ริมฝีปากอิ่มตวาดกร้าว แต่กลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกเอ็นดูยิ่งกว่าเดิม ยิ่งเจ้าชายเคเซอโรฟาร์ก็เอ่ยถ้อยแถลงยิ่งทำให้คนงามโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
“ข้าเพียงแต่สงสัยเท่านั้นว่าเจ้าจะนำสิ่งใดมาพิฆาตข้า ความงามงั้นหรือ...หากเจ้าออดอ้อนสักหน่อยข้าจะยกทุกอย่างให้เลยเป็นอย่างไร” คนถูกหยอกล้อกำมือแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ข้าจะเผาสุสานท่านเสีย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยลอดไรฟันก่อนจะเสกลูกไฟขึ้นบนฝ่ามือ แต่คนอาวุโสกว่าก็ยังคงหัวเราะในลำคอ
“ใจเย็นสิคนงาม ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น จะโกรธกันไปไย” น้ำเสียงแหบพร่ายังคงเอ่ยต่ออย่างเอ็นดู
“เจ้าก็ดูท่าทางเป็นลูกผู้ดีมีเงิน ไม่น่ามาประกอบกิจชั่วเลย รุกล้ำสุสานเป็นบาปหนัก ไม่ได้เข้าสู่แดนสวรรค์เลยนะ”
“เจ้า-ชาย-เค-เซอ-โร-ฟาร์” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยนามเต็มเน้นทีละพยางค์ ผู้พิชิตคัมภีร์แห่งธอธถึงกับสะดุ้ง จึงปรับน้ำเสียงให้จริงจังขึ้น
“เด็กเอย เจ้ายังอ่อนต่อโลกนัก คิดจริงๆ หรือว่าจะพิชิตข้าได้” เรือนร่างกำยำที่บัดนี้เยื้องย้ายไปเอนกายบนแท่นศิลาเอ่ยหยอกเย้า
“ให้โอกาสข้าพิสูจน์สิ
...มาประลองเซเนตกัน” เจ้าของสุสานผู้ถูกท้าลอบกดยิ้มมุมปาก
เหยื่อติดกับแล้ว
ความคิดเห็น