ตอนที่ 7 : Chapter 7
Chapter 7
ลู่เหิงที่กลับมาที่ยานลืมเกี่ยวกับการให้ฮิววิตต์ไปเช็คสมองเรียบร้อย เขากังวลเกี่ยวกับการซ่อมไลท์เบรนของตัวเองจนโยนปัญหาเกี่ยวกับสมองของฮิววิตต์ไว้ข้างหลัง อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วฮิววิตต์จะอาศัยสัญชาตญาณในการแสดงออก ปัญหาเรื่องสมองจึงไม่สำคัญมากเท่าไหร่
“รองผู้บัญชาการไรเนอร์ ไมโครชิปของไลท์เบรนอันนี้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว” ทหารประสานงานวางเครื่องมือในมือลง
“คุณซ่อมไม่ได้?”
เจ้าหน้าที่ประสานงานส่ายหัว “ผมจะแจ้งขอไลท์เบรนอันใหม่ระดับรองผู้บัญชาการเดี๋ยวนี้ ระหว่างนี้ผมคงต้องให้คุณใช้ไลท์เบรนระดับมาตรฐานไปก่อน”
“ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะได้ไลท์เบรนอันใหม่?” ลู่เหิงนิ่วหน้า
“ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนกว่าจะสำเร็จแต่ละขั้นตอน ประสิทธิภาพของแผนกพลาธิการค่อนข้างต่ำ ผมได้ตำหนิไปหลายครั้งแล้ว...” เจ้าหน้าที่ประสานงานค่อนข้างพูดมากเกินไปหน่อย ลู่เหิงถามสองสามคำก่อนอีกฝ่ายจะพยายามทำให้เขามั่นใจ อีกคนไม่หยุดบ่นเสียทีจนกระทั่งมีคนเตะเขาใต้โต๊ะ
ทันใดนั้นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาก็คือรองผู้บัญชาการไรเนอร์คนที่แสนเข้มงวดและเคร่งครัด เจ้าหน้าที่ประสานงานก็หลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา “ใช่ ขอโทษทีรองผู้บัญชาการไรเนอร์ คุณกำลังรีบหรือเปล่าผมสามารถเอ่อ...”
ลู่เหิงจ้องตาเขาเป็นเวลานานและมองผู้ชายตัวโตพูดติดอ่างอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนจะหยุดจ้อง “คุณต้องแจ้งให้ผมทราบทันทีที่ไลท์เบรนอันใหม่มาถึง”
หลังจากแก้ปัญหาเรื่องไลท์เบรนได้แล้ว สเต็ปถัดไปคือการเติมเต็มคำสัญญาก่อนหน้า ไม่กี่วันหลังจากที่กลับมาฮิววิตต์ได้ส่งจดหมายข่าวเป็นโหลและทั้งหมดนั้นเกี่ยวกับการฝึกล้วนๆ ลู่เหิงไม่อยากถูกฆ่าตายด้วยการโทรเรียกอีก ดังนั้นเขาจึงชวนอีกฝ่ายออกมาฝึกในวันนี้
เมื่อลู่เหิงมาถึงห้องฝึกซ้อม ฮิววิตต์ก็มารออยู่ข้างในก่อนแล้ว ภายนอกห้องก็มีคนกลุ่มใหญ่ที่ตื่นเต้นและตั้งตารอการต่อสู้นี้เช่นกัน
“นายช่วยเปิดการฉายภาพภาคสนามให้เห็นการต่อสู้ของเราชัดๆ ได้ไหม?” ลู่เหิงเดินเข้ามาและปิดประตูที่อยู่ข้างหลังช้าๆ
“คนที่ไม่ดูให้ดีๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมาดู” ฮิววิตต์หน้าบึ้งเพราะเขาไม่ค่อยได้ฝึกกับลู่เหิงบ่อย เขาจึงไม่อยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาดูมากเกินไป
ลู่เหิงไม่ได้ว่าอะไรไม่ว่าจะมีคนดูหรือไม่ก็ตาม “คนในทีมดูกระตือรือร้นมาก นายควรดีใจนะ นายอยากฝึกแบบไหน กับหุ่นหรือสู้ระยะประชิด”
“สู้ระยะประชิดก่อนและใช้หุ่นทีหลัง?” ฮิววิตต์รู้สึกโลภมาก
“ฉันไม่มีเวลามากขนาดนั้น” ลู่เหิงปฏิเสธอย่างไร้ความปราณี
“นานาน้อย นายปฏิเสธฉันอีกแล้ว” ฮิววิตต์ผิดหวัง “ช่วงนี้ไม่มีงานให้ทำสักหน่อย”
“ก็ถ้าผู้บัญชาการของเราไม่เกลียดโต๊ะทำงานมาก ผมก็คงไม่ยุ่งมากหรอก” ลู่เหิงมองไปที่ฮิววิตต์
ได้ยินแบบนั้นฮิววิตต์ก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ เขาไม่เก่งในเรื่องการรับมือกับงานเอกสารจริงๆ เอกสารบางอย่างที่ควรถูกจัดการโดยผู้บัญชาการยังตกไปอยู่บนบ่าของลู่เหิงเลย แต่เขาไม่มีทางอื่นจริงๆ งานเอกสารต้องใช้อะไรจู้จี้จุกจิกหลายอย่าง นอกจากลู่เหิงเขาก็ไม่เชื่อใจคนอื่นอีก
ฮิววิตต์ยิ้ม “ถ้างั้นเป็นการต่อสู้ระยะประชิด”
ลู่เหิงพยักหน้าแล้วโยนเครื่องแบบทหารไปด้านข้าง ปลดกระดุมเสื้อสองเม็ดและดึงแขนเสื้อไว้เหนือข้อศอก ทั้งๆ ที่ฮิววิตต์ไม่เต็มใจเปิดการฉายภาพภาคสนาม ในขณะสอนการฝึกซ้อมทางกายภาพกับผู้สังเกตการณ์ พวกเขาก็เริ่มการต่อสู้โดยไม่มีพิธีรีตองทันที
บรรยากาศในห้องซ้อมเป็นไปอย่างเข้มข้น อารมณ์ของคนข้างนอกก็สูงมากเช่นกัน
“ว้าว มีคนสามารถเล่นกับผู้บัญชาการได้นานโดยไม่ล้มกลางอากาศด้วย! ครั้งก่อนที่ผู้บัญชาการให้คำแนะนำเขาล้มฉันได้ภายในสิบนาทีเอง”
“ฉันคาดไม่ถึงจริงๆ ว่ารองผู้บัญชาการไรเนอร์ที่ดูเป็นผู้ดีจะสามารถต่อยแบบนี้ได้”
“บางทีผู้บัญชาการอาจจะยอมให้เขา...”
“นั่นรองผู้บัญชาการไรเนอร์ บุคลากรด้านโลจิสติกส์นะ หากเขาตั้งใจปกปิด เจ้าหน้าที่ระดับสูงคงเข้ามาแทรกแซงและคงไม่มีใครในหน่วยสายลมและสายฟ้าสามารถรับผิดชอบต่อข้อครหานั้นได้” พูดอย่างดุร้าย
ฝูงชนระเบิดเสียงหัวเราะ
สองคนในห้องฝึกไม่สามารถได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอกได้ ลู่เหิงและฮิววิตต์รู้จักกันดีพอๆ กับที่รู้จักความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย
เพื่อหลบลูกเตะข้างหนึ่งของฮิววิตต์ ลู่เหิงใช้ประโยชน์จากพื้นจนทิ้งรอยเท้าที่จมลึกลงไปไว้ เขาพุ่งตัวแล้วงอเข่าใส่หน้าฮิววิตต์ ฮิววิตต์ยกมือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ใช้แขนข้างหนึ่งกันหน้าตัวเองไว้ เขาตัวปลิวจากแรงอันหนักหน่วง ทั้งตัวเขาถูกผลักไปไกลจากการกระแทกนั้น
ในแค่ไม่กี่นาทีทั้งสองก็แลกเปลี่ยนท่ากันไปเป็นร้อยท่าแล้ว ผู้คนที่ดูอยู่ของนอกรู้สึกช็อคและตื่นตะลึง คนที่อ่อนแอหน่อยเห็นเพียงภาพติดตาเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาเข้าใจความแข็งแกร่งของลู่เหิงอย่างถ่องแท้
“รองผู้บัญชาการไรเนอร์แข็งแกร่งมาก ดูเหมือนเขาจะแกร่งพอๆ กับผู้บัญชาการเลย...”
“ตอนนั้นเขาทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นด้วย นี่เป็นห้องฝึกที่ระดับสูงที่สุด ขนาดฉันยังทิ้งรอยไม่ได้สักรอยแม้จะทุ่มพลังทั้งหมดก็ตาม”
เวลาค่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ ความเข้มข้นของการต่อสู้ทำให้ลู่เหิงและฮิววิตต์เริ่มหายใจไม่ออก หยาดเหงื่อไหลลงมาบนหน้าผากลู่เหิง เส้นผมจำนวนหนึ่งตกลงมาปิดดวงตา หลังจากหยุดพักลู่เหิงก็ยกมือปาดผมไปข้างหลัง ผมที่ถูกหวีอย่างเรียบร้อยยุ่งเหยิง แม้แต่ดวงตาเย็นชาทั้งสองข้างยังเป็นประกายแวววาว
ลู่เหิงมองไปที่ฮิววิตต์ และเห็นเขาดูเหมือนกำลังตกอยู่ในภาวะมึนงงจึงย้ำเตือนอีกฝ่าย “อย่าวอกแวก นายกำลังผิดพลาดในเรื่องง่ายๆ”
เมื่อฮิววิตต์ตั้งสติได้ เขาก็กดปุ่มเพื่อปิดภาพถ่ายภาคสนาม “วันนี้สนุกมาก ฉันไม่ได้เล่นหนักขนาดนี้มาตั้งนานแล้ว นานาน้อย เพราะงั้นนายต้องระวังตัวนะ”
จากท่าทางของฮิววิตต์ ลู่เหิงรู้การเคลื่อนไหวถัดไปของอีกฝ่ายซึ่งไปทริคที่คุ้นเคยดี ตอนพวกเขายังอยู่สถาบันทหาร พวกเขาฝึกแบบนี้เป็นพันๆ ครั้ง ร่างกายของลู่เหิงเคลื่อนไปข้างหน้าตอบรับเหมือนในความทรงจำ ก่อนจะตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังตัวแตะกัน ฮิววิตต์เลิกคิ้วขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม “มันแปลกๆ ยังไงไม่รู้”
การฝึกคู่ครั้งนี้จบลงด้วยการที่ลู่เหิงและฮิววิตต์นอนอยู่บนพื้น หน้าอกของลู่เหิงขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงโดยมีนิ้วเรียวยาวของฮิววิตต์กดอยู่ด้านบน ชายหนุ่มทั้งสองคนมองหน้ากันเงียบๆ บรรยากาศแปลกๆ ถูกทำลายลงด้วยหยดเหงื่อ เหงื่อไม่รักดีไหลลงมาตามสันกรามของฮิววิตต์และหยดลงบนริมฝีปากลู่เหิง ฮิววิตต์ยกมือขึ้นเพื่อเช็ดเหงื่อหยดนั้นอย่างตกอยู่ในภวังค์ด้วยความเขินอายแปลกๆ
ลู่เหิงหันศีรษะหนีและหลีกเลี่ยงสัมผัสจากนิ้วหยาบๆ ของฮิววิตต์บนแก้มเขา “ลุกขึ้นได้แล้ว”
ฮิววิตต์พลิกตัวและเอนหลังลงบนพื้น ลู่เหิงยังไม่อยากขยับ เขาเกือบจะเป็นคนที่คู่ควรกับการฝึกคู่กับฮิววิตต์ที่เป็นแชมป์ในลีกการแข่งขัน เขาไม่ค่อยทำตามใจตัวเองจนผิดภาพลักษณ์ด้วยการนอนราบกับพื้นอย่างนี้ แต่เพราะเขาใช้ทั้งพลังกายและพลังใจมากเกินไป
“ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ถูกคาร์โลขัดจังหวะในที่หลบภัย นายก็ยุ่งตลอดตั้งแต่กลับมา ตอนนี้นายจะตอบคำถามนั้นได้หรือยัง?” ฮิววิตต์ถาม
ลู่เหิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง ฮิววิตต์ไม่ได้ขัดจังหวะความคิดของเขาและรอให้เขาพูดเงียบๆ ความจริงลู่เหิงแค่กำลังคิดว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสมเหรอ? ลูกค้าได้ขอร้องให้เคลียร์เรื่องที่ฮิววิตต์เข้าใจผิด และขอให้บอกฮิววิตต์ให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้ไรเนอร์และฮิววิตต์ห่างเหินกันไป แต่การทำให้อีกฝ่ายรู้ควรจะทำในโอกาสที่ดีกว่านี้ ลู่เหิงรู้สึกว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
การติดต่อฉุกเฉินที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวช่วยชีวิตลู่เหิงไว้ หลังจากที่ฮิววิตต์อ่านเสร็จ เขาก็พูดกับลู่เหิง “หลังจากนี้หนึ่งชั่วโมงไปที่ห้องบัญชาการ ผลวิเคราะห์แผนที่เส้นทางดวงดาวออกมาว่าเจอบางอย่างที่สำคัญ”
ลู่เหิงกลับไปอาบน้ำที่ห้องและพักผ่อนเล็กน้อย เขาเดินออกมาจากประตูเตรียมตัวไปห้องบัญชาการ แต่กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าประตู ลู่เหิงรู้สึกปวดจี๊ดที่ขมับ
“รองผู้บัญชาการไรเนอร์”
คาร์โลเพิ่งอายุแค่ 28 ปี ถือว่ายังเด็กมากและมีชีวิตชีวาเหมือนพระอาทิตย์ยามเช้า เขาชอบหัวเราะ และรอยยิ้มของเขาก็ทำให้คนอื่นยิ้มตามได้ไม่ยาก อากาศรอบตัวเขาสว่างไสวอ่อนหวาน มีหลายคนในหน่วยสายลมและสายฟ้าที่ชื่นชอบเขา
แต่คาร์โลตรงหน้าเขาหน้าซีดเผือดจนเกือบโปร่งแสงคล้ายกวางตัวเล็กๆ ที่ประดับด้วยใต้ตาคล้ำๆ ใต้ดวงตากระจ่างใส ปากเขาขาวซีดเหมือนคนตาย ถ้าคนที่ชื่นชมเขามาเห็นเข้า พวกนั้นคงยุ่งเกินกว่าที่จะไปทำงานเพียงเพื่อที่จะทำให้เขายิ้มอีกครั้ง
โชคไม่ดีที่ลู่เหิงไม่ใช่คนที่ชื่นชอบคาร์โล เขาจึงแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นความยุ่งยากเล็กๆ
การเห็นลู่เหิงทำให้คาร์โลยืนขึ้นอย่างดีใจ แต่เพราะต้องอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน ขาเขาจึงปวดร้าวเหมือนจะร่วงลงไปกองที่พื้นอีกครั้ง
ลู่เหิงเดินเข้าไปช่วยพยุงแขนของคาร์โล แต่เหมือนเขาจะใช้ประโยชน์จากมือของลู่เหิง “รองผู้บัญชาการไรเนอร์ ผมขอร้อง...”
“โทษทีคาร์โล ฉันกำลังรีบ” ลู่เหิงขัดเรื่องราวยืดยาวที่คาร์โลกำลังจะพูด ถ้าเขาปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อ เขาคงไม่สามารถหนีไปจากตรงนี้ได้อีกเป็นชั่วโมง ลู่เหิงใช้พลังของเขาในการทำให้อีกฝ่ายถอยออกไป
โดยไม่คาดคิด คาร์โลกลับตื่นตระหนกอย่างรุนแรง แล้วคุกเข่าลงกอดขาของลู่เหิง “รองผู้บัญชาการไรเนอร์ ถ้าคุณไม่ยอมรับคำขอร้องของผม ผมจะไม่ลุกขึ้น!”
ลู่เหิงรู้สึกเหมือนเส้นเลือดที่ขมับจะระเบิด เขารับมือกับคนลักษณะนี้ไม่เก่งจริงๆ ไม่ว่าคุณจะพยายามพูดอะไร หรือไม่ว่าคุณจะฟังหรือไม่ฟัง คุณก็จะหมกมุ่นอยู่แต่กับโลกและตรรกะของตัวคุณเองอยู่ดี ถึงอย่างนั้นในกรณีของคนบุคลิกแบบไรเนอร์ มันง่ายมากที่จะแก้สถานการณ์ในมือ
ลู่เหิงดูอึกอักก่อนจะตะโกน “ทหารชั้นสอง คาร์โล เม็ก! พฤติกรรมของคุณในตอนนี้กำลังทำลายเกียรติของทหารสหพันธ์!”
คาร์โลที่ไม่เคยโดนตะคอกใส่ นิ่งอยู่ที่เดิม
“ยืนขึ้น! นี่เป็นคำสั่ง!” มองคาร์โลยืนขึ้น ลู่เหิงไม่ได้มีอะไรอยากจะพูดกับเขา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
มองแผ่นหลังที่จากไปของลู่เหิงแล้วคาร์โลก็รู้สึกผิดพลาด รองผู้บัญชาการไรเนอร์ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว ถึงแม้คาร์โลจะเป็นโอเมก้าแต่ความสามารถของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเบต้า ตราบใดที่อีกฝ่ายให้โอกาสเขาได้พิสูจน์ตัวเอง
“คาร์โล นายเป็นอะไร?” เสียงที่เหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิดังมาจากด้านหลังคาร์โล
คาร์โลหมุนตัวและเห็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหน้าตาหล่อเหลา “แอนดริว...”
ยังพูดไม่ทันจบ น้ำตาที่เอ่อคลอของคาร์โลก็ไหลลงมาในที่สุด แอนดริวไม่ได้ว่าอะไรและอ่อนโยนต่อเขาเสมอ เวลาเขาเห็นแอนดริวเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมองพี่ชายคนหนึ่ง ถ้าเขามีพี่ชายตอนนี้เขาคงให้อีกฝ่ายปลอบแน่ๆ
“คาร์โลน้อยที่น่ารัก ให้เกียรติฉันพาเธอไปภัตตาคารได้ไหม” แอนดริวโค้งตัวลงและชักชวนอย่างสุภาพบุรุษ “ฉันได้ยินมาว่าของหวานวันนี้อร่อยมาก”
-----------------------------------------------------------------------
คือเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช้คำว่าอะไรแทนคำว่า ทหารผู้สื่อสาร(The communications soldiers) กับ เจ้าหน้าที่สื่อสาร(The communications officer) ใครมีไอเดียดีๆก็บอกหน่อยนะอันนี้เรากูเกิลทรานมา
สละเรือฮิววิตต์แล้วไปขึ้นเรือแอนดริวแทน มาน้อยๆแต่เอาใจไปเลยจ้าาาา(*≧∀≦*)
-----------------------------------------------------------------------
คำศัพท์ { @ᵕꈊᵕ@ }
Loquacious = พูดมาก
Spectate = เป็นผู้ชม
Detest = เกลียดมาก, รังเกียจ
Meticulous = พิถีพิถัน
Smother = หอบ, ปกปิด
Besmirch = ทำลายความคิดเห็น
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อีตัวถ่วงงงงงง รำคาญ
แล้วก็คราวนี้อีก บอกว่ารีบก็ยังจะไปขวางเขาไว้อีก เรื่องของตัวเองสำคัญขนาดนั้นเลย? ไม่สิ คิดว่าคนอื่นจะหมุนรอบตัวเองทุกคนงี้หรอ เรื่องนั้นไม่สำคัญสำหรับตัวเอง คนอื่นก็ไม่คิดว่ามันสำคัญงี้ แล้วถ้าจะเถียงว่าไม่รู้ว่ารีบ โง่หรอถามจริง เขาก็บอกอยู่ว่ารีบ การกระทำก็รีบกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้น(ดูจากตอนแรกที่เดินไปแบบชิวๆ อ่ะ)
ให้ตาย อ่านกี่ทีๆ ก็โมโหเหมือนเดิม พอละ ที่พอนี่คือจะเข้าห้องสอบแล้ว ถ้าไม่งั้นยาวกว่านี้แน่ เห้ออออ
รำคาญโว้ยยยย