ตอนที่ 64 : Chapter 62
ย้ำอีกรอบ ตอนที่ 59-61 อ่านที่คุณ Bemorefriend แปลได้เลยนะคะ
https://writer.dek-d.com/mystory-gig/writer/view.php?id=2033459
----------------------------------------------------------------------------------------
Chapter 62
เขตโคโมตั้งอยู่ในหุบเขาดารัคซึ่งมีทิวทัศน์อันสวยงาม เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มีประชากรไม่มากและการค้าก็ยังไม่พัฒนา แต่ก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ในเขตโคโมมีวิหารอันงดงามไม่มีที่ใดเปรียบ ทุกปีในวันสักการะศักดิ์สิทธิ์จะมีผู้ศรัทธาจำนวนมากจากเขตอื่น ๆ มาที่นี่เพื่อแสวงบุญ
วิหารแห่งดารัคถูกสร้างขึ้นเมื่อสามพันปีก่อน ว่ากันว่าปาฏิหาริย์สุดท้ายของเทพแห่งแสงเกิดขึ้นที่วิหารเล็ก ๆ อันห่างไกลแห่งนี้ หลังจากปาฏิหาริย์ครั้งนั้น เขตใต้ก็ใช้เวลาถึงห้าปีในการเก็บภาษีเพื่อบูรณะวิหารแห่งดารัคให้สมบูรณ์ ทั่วทั้งวิหารถูกสร้างขึ้นจากหินสีขาวที่มาจากภูเขาเรแวน ฐานถูกสร้างโดยช่างที่มีฝีมือที่สุดในเผ่าคนแคระ เอลฟ์ขาวเองก็ถูกเชิญให้มาแกะสลักประติมากรรมนูนบนเสาทุกต้นในวิหาร บนหลังคาโค้งของวิหารวาดภาพเทพแห่งแสงและทูตส่งสาร
ตั้งแต่บิชอปเบอร์นี่รับหน้าที่ดูแลวิหารแห่งดารัค สิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดคือทุกปีเวลาที่สมเด็จพระสันตะปาปามาที่เขตใต้เพื่อแสดงพระธรรมจะตั้งใจอ้อมมาที่เขตโคโมซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ห่างไกลเป็นพิเศษ
“นี่เป็นของขวัญจากพระเจ้า” สมเด็จพระสันตะปาปากล่าวเช่นนั้นตอนที่เห็นวิหารแห่งดารัคครั้งแรก
ถึงแม้จะเป็นเรื่องเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว บิชอปเบอร์นี่ก็ยังจำคำเยินยอที่พระสันตะปาปากล่าวถึงวิหารแห่งดารัคได้
อากาศวันนี้ดีมาก ท้องฟ้าสีฟ้าเมฆสีขาว เทพเจ้าทรงมอบแสงสว่างให้แก่เรา บิชอปเบอร์นี่เอนตัวอยู่บนเตียงนุ่มขนาดใหญ่ ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น เขาก็เห็นท้องฟ้าปลอดโปร่งและคิดว่าช่างเป็นวันที่ดีสำหรับการสวดภาวนาตอนเช้า
ไม่ถูกสิ เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนเขานอนในห้องนอน แล้วทำไมเขาถึงเห็นท้องฟ้าได้! บิชอปเบอร์นี่ลุกขึ้นนั่งทันทีและพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนถนนหน้าวิหาร คนที่นอนอยู่บนพื้นข้างเตียงสี่เสาอันนุ่มนิ่มของเขาคือนักบวชฝึกหัดและนักบวชทั้งหมดในวิหาร
ตรงหน้าคือสถานที่ที่วิหารแห่งดารัคควรจะตั้งอยู่มีเพียงความว่างเปล่า
ควรดีใจไหมที่เขาตื่นขึ้นมาบนเตียง? บิชอปเบอร์นี่คิดเช่นนั้นในหัว
ไม่ถูกสิ! วิหารแห่งดารัคหายไป! หายไป! เทพแห่งแสงอยู่เบื้องบน นี่ต้องเป็นปาฏิหาริย์แน่นอน ในที่สุดก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วหรือ? วิหารแห่งดารัคได้รับความโปรดปรานจากเทพแห่งแสงจึงถูกย้ายไปเป็นปราสาทของพระองค์ที่อาณาจักรแห่งเทพ บิชอปเบอร์นี่หมอบกับพื้นและสวดภาวนาด้วยใจศรัทธา
วิหารแห่งดารัคซึ่งเป็นเหมือนงานศิลปะตอนนี้ตั้งอยู่ตรงหน้าลู่เหิง
“นี่คือวิหารแห่งดารัค?” ลู่เหิงถามอย่างไม่แน่ใจ
หลังจากที่ลู่เหิงเสนอว่าอยากฝึกในวิหารวันนั้น ไอโอนาสก็หายไปสองวัน ถึงแม้เจ้ามังกรจะหายไป แต่เกาะมังกรก็อยู่สูงจากแผ่นดินใหญ่มาก ถึงจะมีวิชาลอยตัวก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี
ในตอนเช้าของวันนี้ไอโอนาสก็กลับมา ลู่เหิงตามอีกฝ่ายที่ทำสีหน้ามีลับลมคมใน ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างปิดไม่มิดไป ลู่เหิงสงสัยจริง ๆ ว่าถ้าอีกฝ่ายอยู่ในร่างมังกรจะกระดิกหางด้วยหรือเปล่า
ทันทีที่ออกมาจากถ้ำ ลู่เหิงก็ตะลึงด้วยความโง่งมไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ถามด้วยประโยคเมื่อกี้
“ลิชคัส อ้อ เขาเป็นมังกรเขียวที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรหรอก เจ้าไม่ต้องจำชื่อเขาก็ได้ นักกวีพเนจรของเขาบอกข้าว่าพระสันตะปาปาแห่งแสงเคยกล่าวชื่นชมวิหารแห่งดารัค” ไอโอนาสกล่าว “แต่อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้ไปหาลิชคัสเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะหรอก ข้าแค่นอนมานานเกินไปเลยรู้สึกว่าร่างกายมันตึง ๆ นิดหน่อยก็เลยไปหาเขาเพื่อออกกำลังกายแล้วก็พูดคุยกันสองสามคำเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
“ไอโอ ท่านย้ายวิหารดารัคทั้งวิหารมาที่นี่หรือ?” ลู่เหิงยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“อย่างไรเอสมอนด์ก็ตายไปแล้ว ไม่มีใครมาสร้างปัญหาให้ข้าหรอก” ไอโอนาสครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าประโยคนั้นดูเหมือนจะหยามศักดิ์ศรีของเจ้าแห่งมังกรไปหน่อย “แน่นอนว่าถึงแม้เอสมอนด์จะยังไม่ตาย ข้าก็ไม่กลัวหรอกถ้าข้าจะต้องสู้กับเขา”
เอสมอนด์คือชื่อของเทพแห่งแสง อย่างที่คาดไอโอนาสรู้เรื่องที่เทพเจ้าตายไปหมดแล้ว เจ้าแห่งมังกรตนนี้ยอมมีร่างครึ่งเทพดีกว่ายอมไปอาณาจักรแห่งเทพ เป็นไปได้ไหมว่าเขารู้บางอย่าง? ไอโอนาสผู้นี้อาจจะไม่ได้ง่ายเหมือนภายนอกเสียแล้ว
“เราเพียงแปลกใจในความสามารถของท่านเท่านั้น” ลู่เหิงคิดในใจโดยไม่ได้แสดงร่องรอยใด ๆ บนสีหน้าแม้แต่น้อย
“แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่เจ้าแห่งมังกรทำไม่ได้ เกาะมังกรทั้งเกาะนี้ข้าก็เป็นคนทำให้มันลอย นับประสาอะไรกับวิหารเล็ก ๆ” ไอโอนาสภูมิใจมาก “ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าฝึกผ่านการสวดมนต์อย่างไรทั้งที่เอสมอนด์ตายไปแล้ว แต่แค่เจ้ามีความสุขก็พอ”
“ขอบคุณเจ้าแห่งมังกรสำหรับความช่วยเหลือ” ลู่เหิงโค้งเล็กน้อย ครึ่งเทพตนนี้รู้จริง ๆ ว่าเทพเจ้าตายไปหมดแล้วแต่กลับไม่ถามอะไร
“ไม่ใช่ว่าการจูบเป็นวิธีแสดงความขอบคุณที่จริงใจที่สุดหรือ?” ไอโอนาสรู้สึกว่าการแสดงความขอบคุณของลู่เหิงไม่จริงใจไปหน่อย
ลู่เหิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับการถูกอีกฝ่ายพาบินออกมาข้างนอกวันนี้ สมองไม่สามารถประมวลผลต่อไปได้ “ท่านฟังมาจากผู้ใด?”
“นักกวีพเนจรของลิชคัส” ไอโอนาสนึกอย่างระมัดระวัง “ในบทกวียาวที่เขาขับร้องกล่าวว่าสาวงามได้รับของขวัญที่เฝ้ารอมานานจึงมอบกลีบปากอันอ่อนนุ่มให้แก่นักรบผู้หล่อเหลา ทั้งสองอยู่ด้วยกันท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้สุดลูกหูลูกตา แต่งเพลงสรรเสริญเกี่ยวกับชีวิต มนุษย์อย่างพวกเจ้าเชื่อในเทพแห่งแสงไม่ใช่หรือ ทำไมถึงร้องเพลงสรรเสริญเทพีแห่งชีวิตล่ะ? เทพีแห่งชีวิตเป็นเทพประจำเผ่าเอลฟ์ เป็นไปได้ไหมว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นเผ่าเอลฟ์?”
“... ไอโอ ในอนาคตท่านควรไปพบนักกวีพเนจรผู้นั้นให้น้อยลงนะ” หลังจากลู่เหิงพูดจบก็ผงกหัวให้ไอโอนาสเป็นนัยน์ แล้วหันกลับเข้าวิหาร
ช่างคู่ควรกับการเป็นสมบัติของเจ้าแห่งมังกร ขี้หวงพอ ๆ กับมังกรเลย ไอโอนาสมองแผ่นหลังของลู่เหิงแล้วคิดอย่างมีความสุข ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงครึ่งเทพ และเอสมอนด์ก็ตายไปแล้ว แต่หากปราศจากความนอบน้อมก็ไม่มีทางเข้าไปในวิหารแห่งแสงได้ ไอโอนาสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนกลับเป็นร่างมังกรและเอนตัวนอนหน้าประตูวิหาร เตรียมหลับสักงีบเพื่อไม่ให้เสียเวลาระหว่างรอใครบางคนออกมา
ตอนนี้ลู่เหิงยืนอยู่หลังเทวรูปเทพแห่งแสง ในมือถือรูปปั้นที่เอาออกมาจากเทวรูป เขาวางรูปปั้นลงบนหน้าผากและหลับตา
ภาพนิมิต
ลู่เหิงเห็นพลังแห่งศรัทธาที่ไหลบ่าไปทั่ววิหาร และพลังแห่งศรัทธาที่ไหลออกมาจากผู้ศรัทธาที่กำลังสวดมนต์จากทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ซึ่งไหลเข้าไปในเทวรูป ทว่าสิ่งที่ลู่เหิงกำลังมองหาไม่ใช่ผู้ศรัทธาที่เชื่อในเทพแห่งแสงเหล่านี้ เป้าหมายของเขาคือพลังแห่งศรัทธาที่หลั่งไหลเข้ามาในรูปปั้นในมือเขาซึ่งก็คือผู้ศรัทธาที่เชื่อในพระสันตะปาปา
คาร์ดินัลสององค์ที่ใกล้ชิดพระสันตะปาปาที่สุดรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการล่มสลายของอาณาจักรแห่งเทพ สิ่งที่พวกเขาเชื่อไม่ใช่เทพเจ้าแห่งแสงที่เสื่อมสลายไปแล้วแต่เป็นสมเด็จพระสันตะปาปา ลู่เหิงต้องการติดต่อผู้ช่วยที่น่าเชื่อถือที่สุดสองคนนี้
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ท่ามกลางเส้นด้ายที่เชื่อมโยงกันนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็มีลำแสงหนึ่งพุ่งเข้ามาในศีรษะของรูปปั้นในมือลู่เหิง เพียงแต่พลังแห่งศรัทธานี้อ่อนเกินไปไม่แรงกล้าเหมือนคาร์ดินัลทั้งสองที่มีพลังสูง แต่เนื่องจากมันเป็นพลังศรัทธาของผู้ที่เคร่งครัดในศาสนา คนคนนี้จะต้องคู่ควรกับการมอบความไว้วางใจให้อย่างแน่นอน
วิชาเทพสถิต
ทิวทัศน์รอบด้านบิดเบี้ยวก่อนจะเปลี่ยนไป สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าลู่เหิงคือเจ้าหญิงวินด์เซอร์ที่กำลังคุกเข่าบนพื้น ประสานมือที่หน้าท้องเพื่อสวดภาวนา ค่อนข้างแปลกที่เจ้าหญิงวินด์เซอร์อยู่ในชุดนักบวชสำหรับต่อสู้ นางสวมเกราะเบาไว้บนร่าง มีค้อนศึกอันหนึ่งเสียบอยู่ที่เอว ผมสีบลอนด์ถูกมัดขึ้นเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย ปกติแล้วนี่เป็นการแต่งกายของนักบวชในกลุ่มนักผจญภัย
“วินด์เซอร์”
ได้ยินเสียงลู่เหิง เจ้าหญิงวินด์เซอร์พลันลืมตาขึ้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เมื่อเห็นว่าเป็นลู่เหิงจริง ๆ ดวงตาทั้งสองข้างของนางพลันเปล่งประกาย “พระบิดา”
เจ้าหญิงวินด์เซอร์ทำความเคารพตามแบบสานุศิษย์เสร็จก็รีบลุกขึ้น เมื่อเดินมาตรงหน้าลู่เหิง นางจึงตระหนักได้ว่านี่เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
“วิชาเทพสถิต! ” เจ้าหญิงวินด์เซอร์ป้องปากร้องเบา ๆ “ท่านสามารถใช้วิชาเทพสถิตได้แล้ว”
เห็นแววตานับถืออย่างปิดไม่มิดของเด็กสาว ลู่เหิงจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นาง “วินด์เซอร์ เจ้ามีเรื่องสำคัญต้องออกไปทำหรือ?”
“อ่า” เจ้าหญิงวินด์เซอร์หน้าแดงขึ้นมาทันที “ข้าคิดว่าพระองค์ถูกมังกรกักขังจึงรวบรวมกลุ่มนักผจญภัยระดับสูงมาเพื่อช่วยเหลือพระองค์ ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นข้าที่คิดมากไป พระองค์แข็งแกร่งมาก! ”
อารมณ์ของลู่เหิงค่อนข้างซับซ้อน ในหัวเขาปรากฏภาพแปลก ๆ ขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงจินตนาการของตัวเองที่คล้ายม้าป่าที่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนและควบคุมไม่ได้ ลู่เหิงจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องธุระสำคัญอย่างรวดเร็ว
“วินด์เซอร์ เราอยากจะขอความช่วยเหลือบางอย่างจากเจ้า”
“น้อมรับคำสั่งพระองค์” วินด์เซอร์ไม่แม้แต่จะถามว่าเรื่องอะไร ยกมือขวาขึ้นวางเหนืออกและคำนับรับแต่โดยดี
สิ่งที่ลู่เหิงให้เจ้าหญิงวินด์เซอร์ทำจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เขาขอให้เจ้าหญิงวินด์เซอร์แสร้งเป็นพระสันตะปาปา ส่วนรายละเอียดเฉพาะอื่น ๆ พระคาร์ดินัลทั้งสองจะเป็นคนช่วยนางเอง หลังจากที่ปรากฏตัวหลายครั้งแล้วก็น่าจะใช้การสารภาพบาปบังหน้าเพื่อเข้าไปอาศัยในวาติกันได้ พระสันตะปาปาก็เคยทำเรื่องคล้าย ๆ แบบนี้มาหลายครั้ง ดังนั้นเพียงแค่เจ้าหญิงวินด์เซอร์กล้าหาญพอและเต็มใจจะทำเรื่องนี้ก็ไม่น่ามีอะไรผิดพลาด
การถูกมังกรพาตัวมาครั้งนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น หากไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าสาวกนาน ๆ ไม่รู้ว่าผู้คนจะตื่นตระหนกอย่างไรบ้าง ครั้งนี้ลู่เหิงคาดว่าตัวเองไม่น่าจะสามารถกำจัดเจ้ามังกรทองได้ในเร็ว ๆ นี้ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเขาจึงได้แต่ขอให้เจ้าหญิงวินด์เซอร์ช่วย ยิ่งไปกว่านั้นลู่เหิงยังมีแผนอื่นอีกด้วยจึงไม่ต้องการให้ตัวตนของพระสันตะปาปามาจำกัดความเคลื่อนไหวของเขาในช่วงระยะสั้น ๆ นี้
หลังจากฟังแผนของลู่เหิงซึ่งอาจจะทำให้สาวกคนอื่นตะลึงคล้ายโลกแตกจบ เจ้าหญิงวินด์เซอร์ไม่ได้รู้สึกเสียใจและยังยินดีที่จะทำตามคำสั่งของลู่เหิงทุกประการ หลังจากที่ทั้งสองปรึกษากัน วินด์เซอร์ก็ตัดสินใจจะอ้างกับพี่ชายว่าต้องการศึกษาหลักสูตรขั้นสูงในวาติกัน ต่อให้เซอร์เรย์ไม่เห็นด้วย อย่างไรพี่ชายของนางไม่เคยโน้มน้าวนางให้เปลี่ยนใจได้อยู่แล้ว
หลังแก้ปัญหาเรื่องวาติกันได้ ลู่เหิงก็กลับมาที่วิหารแห่งดารัค เขาเอากล่องสี่เหลี่ยมสีดำออกมาจากแหวนเก็บของที่เขาเจอในกองสมบัติของไอโอนาส ตอนนั้นลู่เหิงเพียงดูผ่าน ๆ แล้วไอโอนาสก็ลากกองสมบัติทั้งหมดมาไว้ตรงหน้าเขา
ลู่เหิงเปิดกล่องสี่เหลี่ยมซึ่งข้างในเก็บตุ๊กตาตัวหนึ่งเอาไว้ ตุ๊กตาตัวนี้มีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือ ยิ่งไปกว่านั้นโครงกระดูกยังทำมาจากโลหะทั้งหมด หัวกะโหลกที่เป็นโลหะทั้งหมดดูน่ากลัวเล็กน้อย
ด้านในฝากล่องสี่เหลี่ยมประทับด้วยตราประจำแผ่นดิน
นี่เป็นของของก็อบลิน
—————————————-
ลืมบอกว่าเราเอานิยายลง RAW แล้วนะคะ เผื่อใครสะดวกอ่านในนั้นมากว่า
https://www.readawrite.com/a/d4f78c404e7ccb62f2e4850b83650a34
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กรี๊ดดดดดดดดดดด ในที่สุดก็ได้อ่านอีกครั้ง ขอบคุณไรท์มากๆนะคะที่กลับมา 😄😄😄😄😄