ตอนที่ 59 : Chapter 56
Chapter 56
บนชั้นสามฉินอี้เดินตามลู่เหิงเข้าไปในห้องด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ เมื่อเห็นสายตาที่มองมาของลู่เหิง เขาจึงพูดอย่างหนักแน่น “พวกเรามีกฎสวรรค์เป็นพยานแล้วว่าเป็นสามีกันอย่างถูกต้อง”
มุมปากลู่เหิงโค้งขึ้น “ผมแค่อยากจะถามว่าคุณไม่ต้องกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องเหรอ?”
ฉินอี้ก้มลงมองเสื้อผ้าของตัวเองซึ่งฉีกขาดและเต็มไปด้วยคราบเลือด เขายักไหล่ “ยังไงเสื้อผ้าทั้งหมดในตู้นายก็เป็นของฉัน”
การต่อสู้ที่ตึงเครียดอย่างหนักทำให้ทั้งสองอ่อนล้าจนแทบยืนไม่ไหว ทันทีที่เข้ามาในห้องและเห็นเตียงนุ่มขนาดใหญ่ พวกเขาก็ถอดเสื้อผ้าและทิ้งศีรษะลงบนเตียงนุ่มและหลับไปตลอดวัน
ในขณะที่สะลึมสะลือลู่เหิงรู้สึกฝันดีมาก ๆ ในฝันตัวเขาอยู่ในสระน้ำเย็นที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี แขนขาพัวพันกับคนคนนั้นอย่างแนบชิด ทว่าน้ำที่ควรจะเย็นนั้นกลับอุ่นเกินไปหน่อย สัมผัสที่แขนขาเองก็สมจริงมาก คล้ายตัวเขากำลังอยู่ในอ้อมกอดของคนคนหนึ่งจริง ๆ
ลู่เหิงตื่นขึ้นมา
เขาลืมตาและพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่น ข้างหลังไม่ใช่อ่างน้ำแข็ง ๆ เย็น ๆ แต่เป็นแผ่นอกของใครบางคน แขนแกร่งคู่หนึ่งโอบกอดเขาไว้อย่างแน่นหนาในอ้อมแขน
ลู่เหิงขยับตัวด้วยความอึดอัดเล็กน้อย
“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงของฉินอี้ดังมาจากด้านหลัง
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ลู่เหิงถาม
“ฉันคิดว่านายดูสกปรกเหมือนครีมพัฟตอนแอบหนีออกไปข้างนอกสามวันเลย น่าสงสารจนฉันอดทำความสะอาดให้นายไม่ได้ มา หลับตานะ” ฉินอี้ยื่นมือออกไปทางชั้นวางด้านข้าง หยิบขวดแชมพูลงมาและขยี้ฟองบนเส้นผมอ่อนนุ่มของลู่เหิง
“ครีมพัฟ?” หลังจากหลับตา สัมผัสต่าง ๆ ก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น ลู่เหิงรู้สึกว่าน้ำหนักมือบนหนังศีรษะกำลังพอดี สบายจนทำให้เขาอยากกลับไปนอนต่อ
“อืม มันเป็นแมวที่ฉันเคยเลี้ยงตอนเด็ก น่ารักมาก ๆ ขนนุ่มฟูคล้ายนายเลย”
ลู่เหิงรู้สึกได้ว่ามือของฉินอี้ผละออกไป ครู่ต่อมาน้ำก็ไหลลงบนหนังศีรษะ ด้วยความกลัวว่าน้ำจะเข้าตา ลู่เหิงจึงหลับตาแน่น อีกทั้งยังเผลอหดคอโดยไม่รู้ตัว
ฉินอี้หัวเราะเบา ๆ “นายดูเหมือนมันมากกว่าเดิมอีก ครีมพัฟก็เป็นแบบนี้ตอนอาบน้ำ พอกลัวมาก ๆ ก็จะขดตัวเป็นลูกบอลแล้วอยู่นิ่ง ๆ อย่างเชื่อฟัง”
ผ้าขนหนูผืนนุ่มคลุมลงบนหัวลู่เหิง
ในที่สุดก็ได้ลืมตา ลู่เหิงขมวดคิ้วครู่หนึ่งและกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “คุณชอบผมเพราะผมเหมือนแมวของคุณเหรอ?”
“พรืด” ฉินอี้ฝังใบหน้าของตัวเองที่ข้างคอลู่เหิงและหลุดหัวเราะออกมา “ฉันไม่ได้วิปริตนะ”
ลู่เหิงรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังตัวเองสั่นระริก รับรู้ได้ว่าประโยคที่พูดไปเมื่อกี้ปัญญาอ่อนเล็กน้อย เห็นฉินอี้หัวเราะไม่หยุด เขาจึงกวักน้ำสาดใส่หน้าคนที่อยู่ด้านหลัง
“ถ้าเป็นเพราะนายคล้ายครีมพัฟ ทำไมฉันถึงอยากทำแบบนี้กับนาย?” มือขวาของฉินอี้มุดลงไปใต้น้ำ มือซ้ายจับใบหน้าของลู่เหิงหันมาอย่างนุ่มนวล
ห้องนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายความรักเข้มข้น
ดวงดาวตอนกลางคืนส่องสว่างอย่างหาได้ยาก ลมหนาวยามค่ำคืนพัดเอาความอบอุ่นในบ้านออกไป
ลู่เหิงนั่งขัดสมาธิบนเตียง บนใบหน้ามีร่องรอยของความหงุดหงิด รู้สึกว่าแผนการออกกำลังกายตอนเช้าพรุ่งนี้คงถูกความไม่สบายตัวเหล่านี้ทำลายแล้ว
สัมผัสของฉินอี้กดลงที่เอวของลู่เหิงอย่างนุ่มนวล ฝ่ามือที่ใช้พลังไฟอยู่ทำให้อุณหภูมิอุ่นขึ้นเล็กน้อย “ฉันทำเกินไปหรือเปล่า?”
“เมื่อกี้ลืมโคจรพลังในการบำเพ็ญเพียรคู่ เสียดาย” ลู่เหิงพูด
ฉินอี้รู้สึกช่วยไม่ได้เล็กน้อย “ศิษย์พี่ เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อการฝึกตนเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่สามีกับสามี*สนใจเช่นกัน”
(*จริง ๆ ต้องเป็นสามีภรรยาแต่คาดว่าคนเขียนน่าจะตั้งใจเปลี่ยนให้เป็นสามีกับสามี)
ทว่าลู่เหิงไม่ได้ตอบรับคำพูดของอีกฝ่าย และยังพูดวิธีที่ปราศจากความโรแมนติคออกมาในตอนท้าย “แต่ตอนนี้ผลของการโคจรพลังให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม”
พูดจบลู่เหิงก็หลับตาและเริ่มบำเพ็ญเพียร
คู่ที่ตนเลือกเขาว่าแบบนั้น ฉินอี้ยื่นมือออกไปจัดเส้นผมหยักศกที่ยุ่งเหยิงของคนที่จมลงไปในการฝึกตนอย่างสมบูรณ์ตรงหน้า ก่อนที่ตนเองจะหลับตาและเริ่มทำความเข้าใจค่ายกลที่อาจารย์ปู่จู่ถ่ายทอดเข้ามาในหัวด้วย
ตอนที่ลู่เหิงตื่นจากการบำเพ็ญเพียร ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ข้างตัวว่างเปล่า ลู่เหิงจึงมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบเงาของคนบางคนที่ระเบียง ลู่เหิงผลักประตูออกไป แต่ก็ต้องถูกควันปะทะเข้าที่ใบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวจนสำลักไอโขลก ๆ
ฉินอี้หันมาเห็นลู่เหิงรีบดับบุหรี่ในมือ
“คุณสูบด้วย?”
“เมื่อก่อนสูบตอนคิดอะไรไม่ออกน่ะ แต่หลังจากที่พบว่าการสูบบุหรี่ทำให้ความสามารถในการตอบสนองลดลงก็เลิก” ฉินอี้พูด
“มีอะไรทำให้คุณกังวลเหรอ?” ลู่เหิงถาม
“...” ฉินอี้โยนก้นบุหรี่ที่อยู่ระหว่างนิ้วลงถังขยะ “ผนึกใกล้จะคลายแล้ว”
“อะไรนะ?” จริง ๆ ลู่เหิงก็รู้เรื่องนี้ ในบันทึกของสำนักก็มีเรื่องนี้มีเขียนเอาไว้ และตอนนี้มันก็ใกล้ถึงเวลาตายของอวิ๋นหลานในโลกดั้งเดิมแล้วเช่นกัน
“ค่ายกลขนาดใหญ่ที่อาจารย์ปู่จู่วางไว้เพื่อผนึกโลกปีศาจใกล้จะหมดฤทธิ์แล้ว” ฉินอี้พูด “แต่เดิมแผนของเขาคือก่อนที่ผนึกจะคลาย โลกนี้จะสามารถสร้างพลังวิญญาณได้ด้วยตนเองแล้ว และไม่ต้องกังวลเรื่องพลังปีศาจจากโลกปีศาจจะกล้ำกรายเข้ามา”
ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าผนึกคลายมีแต่จะทำให้เรื่องแย่กว่าเดิม โลกนี้จะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับโลกปีศาจ และกระทั่งปีศาจระดับต่ำอย่างราชาซอมบี้ก็จะถือกำเนิดขึ้นมา โลกนี้คงกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกปีศาจทันทีที่ผนึกคลาย
“ไม่มีทางแก้ไขเลย การวางค่ายกลเก้าชั้นที่ชีพจรมังกรอาจจะสามารถเปลี่ยนพลังปีศาจทั้งหมดในโลกนี้ให้เป็นพลังวิญญาณได้ แต่ระดับการฝึกตนของฉันไม่สามารถกระทั่งจะแตะขอบค่ายกลนั้นได้ด้วยซ้ำ เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกไร้ความสามารถสิ้นดี” ฉินอี้ยิ้มอย่างขมขื่น
“ต้องมีทางออกสิ” ลู่เหิงตบบ่าฉินอี้ ถึงแม้ฉินอี้จะมีพรสวรรค์และการหยั่งรู้ที่ยอดเยี่ยม แต่ระยะเวลาในการฝึกตนยังน้อยเกินไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจไม่ได้
เห็นแววตาของฉินอี้เป็นประกาย ลู่เหิงจึงว่าต่อ “หากใช้ค่ายกลในพื้นที่มิติก็น่าจะโอเค”
ฉินอี้งุนงงเล็กน้อย “ค่ายกลเก้าชั้นอยู่ในโลกใบเล็กไม่สามารถเอาออกมาทั้งหมดได้ ถึงแม้จะเอาออกมาแค่บางส่วน แต่ค่ายกลต้องใช้ทุกอย่างในนั้นจึงจะเริ่มทำงาน และถึงจะวางค่ายกลให้เหมือนของเดิม แต่มันอาจจะไม่สำเร็จก็ได้”
“ผมหมายถึงพวกเราต้องรวมพื้นที่มิติเข้ากับโลกนี้และชีพจรมังกรโดยตรง” ลู่เหิงพูด “ด้วยวิธีนี้มันจะสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกับชีพจรมังกรได้”
“งั้นจะรออะไร พวกเรารีบออกเดินทาง หลังจากจัดการปัญหาใหญ่นี้ได้แล้ว วันอันแสนสงบก็จะกลับคืนมา” ฉินอี้พูด
“พลังของพวกเราในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำเรื่องนี้ และผนึกก็ยังสามารถคงอยู่ได้อีกสักพัก เพราะงั้นช่วงนี้พวกเราควรฝึกให้หนัก” ลู่เหิงพูด
ไม่มีปีศาจก่อการจลาจลในที่มืด ช่วงนี้ลู่เหิงจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่ละวันแกนคริสตัลจะถูกใช้ในการบำเพ็ญเพียรหรือการออกล่า วันดีคืนดีก็ใช้วิชาบำเพ็ญเพียรคู่เพื่อเร่งระดับการฝึกตนซึ่งทำให้ใครบางคนมัวเมาจนลืมหน้าที่
[หมายเลข666เหลืออีกหนึ่งวันก่อนจะถึงเวลาตายของอวิ๋นหลาน]ผู้ช่วงตัวน้อยปรากฏตัว ทำลายช่วงเวลาอันแสนสงบสุขอย่างไร้ความเมตตา
[ฉันรู้แล้ว]
ตอนที่บนสนทนานี้เกิดขึ้น ลู่เหิงกำลังฝึกดาบอยู่ในสวน ไม่ไกลออกไปมู่เฟยกำลังนั่งที่โต๊ะหิน ป้อนอาหารเจียงซือเล่อ กินได้ไม่กี่คำจู่ ๆ เจียงซือเล่อก็ปัดถ้วยข้าวขึ้นและกระโดดออกมายืนสบถสาปแช่งด้วยความเดือดดาล “ใครอยากให้นายมาเสแสร้งอยู่ตรงนี้กัน! นายไม่ต้องไปคลุกวงในกับอีพานหรงซีหรือไง?”
ใบหน้าและศีรษะของมู่เฟยเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน เขาเพียงแค่เช็ดหน้าตัวเองและพูดอย่างนุ่มนวล “เสี่ยวเล่อ อย่าเสียงดัง กินดี ๆ พอกินแล้วจะได้มีแรงไปสู้กับสัตว์ประหลาด”
“สู้กับสัตว์ประหลาด! สู้กับสัตว์ประหลาด! ฉันมีพลัง ฉันอยากสู้กับสัตว์ประหลาด!” เจียงซือเล่อย่อตัวลงช้า ๆ แล้วเริ่มหัวเราะคิกคัก
เจียงซือเล่อวิกลจริต การถูกบังคับให้ถอนพันธนาการกับจี้หยกทำให้จิตวิญญาณของเขาเสียหาย หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาจากอาการโคม่าก็เสียสติไปแล้ว
ทุกอย่างเกี่ยวกับเจียงซือเล่อถูกปีศาจบันทึกไว้ในลูกปัดซึ่งอยู่ในพื้นที่มิติ ตั้งแต่การลอบเข้าไปในค่ายกลของสำนักคุรุเทพโดยใช้กลิ่นอายของชางหมิงซึ่งหลงเหลืออยู่ในจี้หยก ขโมยต้นกำเนิดพลังวิญญาณ หลังจากกลายเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์ก็มอบแกนคริสตัลให้พานหรงซี ในช่วงเวลาสำคัญก็สับเปลี่ยนค่ายกลในแกนคริสตัล เปลี่ยนพลังวิญญาณให้เป็นพลังปีศาจจนทำให้พานหรงซีติดเชื้อ อีกทั้งยังยืมมือซ่งคุนอวี่ในการยุแยงให้สามกองทัพแตกคอกันซึ่งทำให้ทหารจำนวนมากออกไปจากฐานทัพ ก่อนที่พวกเขาจะถูกซอมบี้ล้อมเมือง ด้วยคิดว่าหากใช้วิธีนี้อย่างไรฉินอี้และลู่เหิงก็ต้องออกไปข้างนอก
ถึงแม้ความผิดพลาดทุกอย่างของเจียงซือเล่อจะเกิดขึ้นเพราะถูกปีศาจควบคุม แต่การที่ปีศาจปรากฏตัวขึ้นก็เป็นเพราะจิตใจชั่วร้ายสุด ๆ ของเขา เรื่องนี้ใครผิดใครถูกก็ยากที่จะบอกได้ ได้แต่ถอนหายใจให้กับโชคของคนคนนี้
การกลับมาเกิดใหม่ของเจียงซือเล่อเองก็ถูกเปิดเผยจากคำพูดบ้า ๆ ของเขา บวกกับเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่อยู่ในลูกปัดบันทึกภาพ มู่เฟยปะติดปะต่อความจริงนี้เข้าด้วยกัน มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถอธิบายสาเหตุของทุกอย่าง สาเหตุของความชั่วร้ายในหัวใจของเจียงซือเล่อ
ช่วงนั้นมู่เฟยจมอยู่ในความรู้สึกโทษตัวเองอย่างหนัก คาดไม่ถึงว่าในชาติก่อนตัวเองจะทอดทิ้งเจียงซือเล่อ หลังจากนั้นยังไปคบพานหรงซีที่เป็นคนฆ่าเจียงซือเล่อ ความรู้สึกผิดนี้แทบจะทำให้มู่เฟยแตกสลาย ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงซือเล่อยังต้องการเขาอยู่ บางทีเขาอาจจะไม่กล้ามีชีวิตอยู่ต่อแล้วก็ได้
ความขัดแย้งของคนทั้งคู่ไม่ได้ทำให้ลู่เหิงสนใจนัก ตอนนี้ทั้งหมดที่เขาสนใจมีแค่ฉินอี้เท่านั้น
แสงสลัวยามค่ำคืนมืดลง เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งวันก่อนจะถึงเวลาตายของอวิ๋นหลาน ลู่เหิงยันตัวขึ้นมองใบหน้าหลับใหลของคนข้าง ๆ ผ้านวมหล่นลงจากอกเปลือยเปล่า ลู่เหิงไม่ได้ยื่นมือไปดึงมันขึ้น เขาคีบยันต์ผ่อนคลายจิตใจไว้ระหว่างนิ้ว รู้สึกลังเลชั่วขณะ นิ้วยังหยุดอยู่บนหน้าผากของฉินอี้
ยันต์กลายเป็นแสงสว่างแล้วพุ่งเข้าไปในหัวของฉินอี้ ทันใดนั้นลมหายใจของเขาพลันลึกขึ้นกว่าเดิม ลู่เหิงหยิบชุดจีนตัวเดิมซึ่งไม่ได้ใส่มานานจนทำให้ต้องใช้ความพยายามในการใส่อย่างมาก
เขาแบกดาบตี๋เฉินไว้บนหลังและจากไปเหมือนครั้งแรกที่มา ยกเว้นก็แต่มือที่มีจี้หยกเพิ่มเข้ามา
เนื่องจากพลังภายในของลู่เหิงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตอนที่แสงสีขาวของรุ่งรุณปรากฏบนเส้นขอบฟ้า เขาก็มาถึงตีนเขาของสำนักแล้ว ต้องขอบคุณฉินอี้ที่ใจดีวาดแผนที่พิเศษให้ลู่เหิงตั้งแต่กลับมาครั้งก่อน
ลู่เหิงกำแผนที่ในมือแน่นโดยไม่รู้ตัวและกำลังจะก้าวไปข้างหน้า ทว่าจู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน ความทรงจำมากมายปะทุออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ลู่เหิงอยากจะนึกถึง ความทรงจำตอนที่ซื่อคงตกลงสู่ทางมาร นักบวชในชุดขาวท่าทางราวกับสายลมเฉื่อย ๆ ดวงจันทร์กระจ่าง ฉับพลับปฏิกิริยาต่อต้านเกิดขึ้นในหัวใจพยายามบังคับให้ภาพมายานั้นหายไป ทว่ามันกลับยังมีเวลาเหลือพอให้เห็นฉากการตายของคนที่คนคนนั้นรัก และฉากสุดท้ายคือการตกลงสู่ทางมาร
ลู่เหิงกำหมัดแน่น ขบริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างแรง และเดินกลับไปทางเดิม ไม่ว่าอย่างไร ในฐานะคนที่มีความรู้สึกตรงกัน เขาไม่ควรตัดสินใจแทน ควรให้อีกฝ่ายได้รับรู้ความจริงและให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้เลือก
ทว่ายังไม่ทันได้ออกจากป่า ร่างสูงของคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้เขา
เมื่อเห็นคนคุ้นเคย ลู่เหิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างของคนคนนั้นก็มาปรากฏตรงหน้าทันที
เป็นฉินอี้ แต่ก็เหมือนไม่ใช่
คนคนนี้ดูไม่ปกติ
“นายคิดจะทิ้งฉันไปไหน?” ดวงตาของคนตรงหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าดูแตกต่างจากปกติอย่างสิ้นเชิง เวลานี้ภาพของซื่อคงซ้อนทับขึ้นมา “นายคิดจะไปตายคนเดียวใช่ไหม?”
ลู่เหิงอยากจะอธิบายสักสองสามประโยคแต่กลับถูกฉินอี้กัดริมฝีปากอย่างไร้ความเมตตา กลิ่นสนิมคละคลุ้งไปทั่วปากของลู่เหิงอย่างรวดเร็ว เดิมทีลู่เหิงคิดจะปล่อยให้ฉินอี้ระบายอารมณ์และรอให้เขาสงบลงช้า ๆ
คาดไม่ถึงว่าการกระทำของชายหนุ่มจะยิ่งเลยเถิด กดลู่เหิงลงกับพื้น มือขวาบีบคอลู่เหิงไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ และจูบอย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม
ลู่เหิงเห็นว่าฉินอี้เกือบจะตกลงสู่สภาวะบ้าคลั่งและไม่ฟังอะไรแล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไปน่ากลัวว่าจะกลายเป็นปีศาจอีกครั้ง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันสับต้นคอของอีกฝ่ายให้สลบ
ลู่เหิงผลักคนที่ทับอยู่บนตัวให้ออกแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็อุ้มฉินอี้พาดบ่าตรงไปที่สำนัก เขาจับริมฝีปากที่ถูกกัดจนเป็นแผลลึก รู้สึกว่าได้พบเรื่องน่ายินดีในเรื่องน่าเศร้าใจ น่าดีใจที่ความแข็งแกร่งของร่างกายผู้ฝึกตนไม่เลว ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถลากชายหนุ่มขึ้นเขาได้
เมื่อฉินอี้ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่บนหน้าผาของสำนัก เขาลุกขึ้นนั่งด้วยความตระหนก แต่ก็เห็นลู่เหิงนั่งอยู่ไม่ไกลจากเขาเสียก่อน
“ทำไมออกมาไม่บอก? แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” ฉินอี้เกิดความสงสัยอย่างหนักในใจ
กลางดึกเมื่อคืนเขาตื่นขึ้นมาและพบว่าเตียงนอนด้านข้างเย็นชืด ตี๋เฉินและจี้หยกก็ไม่เห็น ถึงแม้จะไม่รู้เหตุผลว่าทำไม ทว่าความตระหนกอย่างถึงที่สุดพลันโอบล้อมตัวเขาไว้ หลังจากนั้นเขาก็จมลงสู่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด
ลู่เหิงยิ้มให้เขา “เรื่องจากไปไม่บอกเป็นความคิดผมเอง แต่ผมตระหนักได้ถึงความผิดของตัวเองแล้ว คุณไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว”
เห็นลู่เหิงยิ้มอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก ความโกรธในใจฉินอี้จึงหายไปอย่างฉับพลัน เขาก้าวมาข้างหน้าแล้วลูบผมลู่เหิง “นอกจากเรื่องที่ทิ้งฉันแล้ว ฉันไม่โทษอะไรนายหรอก”
ลู่เหิงจับมือฉินอี้แล้วยืนขึ้น “คุณยังจำได้หรือเปล่าว่าตะเกียงในวิหารของสำนักพวกนั้นดับได้อย่างไร?”
ในตอนนั้นฉินอี้ได้ยินลู่เหิงบอกว่า “จู่ ๆ สถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณก็ถูกเปิดเผยออกไปทำให้ซอมบี้เข้ามาโอบล้อม...”
“มันต้องใช้เวลากว่าพื้นที่มิติจะเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบใหญ่ ระหว่างนั้นต้นกำเนิดพลังวิญญาณของค่ายกลจะดึงดูดซอมบี้จำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามา” ลู่เหิงพยักหน้า
เมื่อฉินอี้ได้ยินแบบนั้นจึงเข้าใจเหตุผลว่าทำไมลู่เหิงถึงไม่บอกอะไรเลย “นายคิดจะปกป้องค่ายกลตามลำพัง!”
ลู่เหิงพูดอย่างไม่ปิดบัง “ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น เรื่องตายสิบส่วนไม่มีรอดแบบนี้ผมควรจัดการคนเดียว แต่ตอนอยู่ที่ตีนเขาผมรู้สึกผิดต่อคู่บำเพ็ญเพียรซึ่งไม่ควรปกปิดกันแบบนี้ แล้วก็ไม่ควรตัดสินใจแทนโดยไม่ปรึกษาคุณก่อน”
ลู่เหิงยื่นมือไปให้ฉินอี้ “การไปครั้งนี้อาจจะไม่ได้กลับมาอีก คุณจะเลือกยังไง?”
ฉากเดิม เมื่อไม่นานมานี้ ตรงนี้ที่เดิม คนคนเดิม มือที่ยื่นออกมาหาเขา
“ยังต้องให้พูดอีกเหรอ? มีนายอยู่ด้วย ถึงแม้ข้างหน้าจะเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยคมดาบหรือทะเลเพลิง ฉันก็ไม่มีทางเสียใจที่เดินขึ้นไป” ฉินอี้หัวเราะเสียดังแล้วจับคนตรงหน้าไว้แน่น
อีกครั้งกับพื้นที่ปิดที่คุ้นเคย ทว่าอารมณ์ของลู่เหิงกลับต่างจากเดิมมาก ๆ ในช่วงเวลาสุดท้ายคนคนนั้นก็ยังจับมือเขาไว้แน่น ท่ามกลางความเลือนรางลู่เหิงได้ยินประโยคหนึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มี “รอฉันนะ”
“ผู้ช่วยตัวน้อย เปิดจอเร็ว เขียนสรุปรายงานให้ดี ๆ แล้วเราจะได้รีบไปทำงานกันต่อ”
ผู้ช่วยตัวน้อยมองลู่เหิงที่มีพลังงานล้นเหลือตรงหน้าแล้วในใจพลันรู้สึกคล้ายถูกยัดอาหารหมาเข้ามาเต็มปากอย่างบอกไม่ถูก
พวกเขาวางค่ายกลขนาดใหญ่บนชีพจรมังกรของแผ่นดินใหญ่ซึ่งเปลี่ยนพลังปีศาจเป็นพลังวิญญาณได้สำเร็จ พลังถูกปลุกให้ตื่น พูดง่าย ๆ คือกระตุ้นรากวิญญาณของผู้คนมากมาย สมาชิกกองกำลังเจียนเตาซึ่งนำโดยอวี๋ชานตามมาที่สำนักคุรุเทพและพบข้อมูลที่ลู่เหิงทิ้งไว้ หลังจากคารวะอักษรฟ้าดินสองตัว จุดตะเกียง แล้วจงสืบทอดสำนักคุรุเทพสืบไป
ถึงแม้ภายหลังผนึกจะคลายลง พลังปีศาจหลั่งไหลมาจากโลกปีศาจ แต่ภายใต้ค่ายกลเก้าชั้นมันจึงกลายเป็นพลังวิญญาณอันไม่มีที่สิ้นสุดแทน โลกระดับต่ำใบนี้ไม่ช้าก็ถูกยกระดับเป็นโลกแห่งการฝึกตนที่แท้จริง ส่วนสำนักคุรุเทพถึงแม้จะกลายเป็นสำนักที่เต็มไปด้วยบุปผานับร้อย แต่ก็ยังคงเป็นสำนักอันดับหนึ่งอย่างไม่สามารถหาข้อโต้แย้งได้
สถานที่ใต้หุบเขากลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกตน ไม่ใช่แค่เพราะค่ายกลเก้าชั้นที่สร้างพลังวิญญาณให้ทั้งโลกอยู่ตรงนั้น แต่เป็นเพราะรูปปั้นหยกของคนสองคนที่ไม่เสื่อมสลายแม้จะผ่านไปพันปี ผู้อาวุโสสองคนซึ่งทำให้พลังวิญญาณสะอาดและไม่มีวันหมด
รูปปั้นหยกของผู้อาวุโสทั้งสองยืนเคียงข้างกัน คนหนึ่งมือขวาอยู่ในท่าร่ายอาคม คนหนึ่งมือซ้ายจับดาบพาดอก จนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตทั้งสองก็ยังคงต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นมือของทั้งสองคนยังกุมกันไว้อย่างแน่นหนา
นี่คือสองบุคคลศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีสถานะคล้ายกับอาจารย์ปู่จู่ของสำนักคุรุเทพ กล่าวว่าทั้งสองปกป้องค่ายกลเก้าชั้นนี้จนกระทั่งค่ายกลสำเร็จ ใช้ร่างกายของพวกเขาต่อต้านกองทัพปีศาจนับพัน หลังจากค่ายกลทำงาน จิตใจอันแข็งแกร่งจึงยอมปล่อยวาง เรี่ยวแรงอ่อนล้าก่อนจะเสียชีวิตลง
ลู่เหิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเปิดรูปพี่ชายของอวิ๋นหลาน มู่เฟย
ตอนจบของสองคนนี้ค่อนข้างน่าถอนหายใจ
หลายปีผ่านไปมู่เฟยยังคงตั้งหน้าตั้งตาดูแลเจียงซือเล่อ เมื่อได้ยินว่ามียาวิเศษที่สามารถรักษาอาการเสียสติได้ จึงคิดที่จะออกไปตามหาเพื่อมารักษาเจียงซือเล่อ โดยคาดไม่ถึงว่าคนในกองกำลังเจียนเตาจะไม่มีใครอยากออกไปกับเขาเลย
ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ ทุนคนพลันโมโหขึ้นมา “ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงซือเล่อ หัวหน้าฉินคงไม่ต้องตาย ปล่อยให้เขาเป็นบ้าไปสิ อยากให้พวกฉันออกไปหายาให้เขา นายก็เป็นบ้าไปด้วยหรือไง?”
อีกทั้งยังมีคนพูดแดกดัน “น้องชายของนายก็ถูกเจียงซือเล่อฆ่าทางอ้อม แต่นายก็ยังอุตส่าห์ออกไปหายาให้เขา ช่าง... แสงพ่อพระสว่างจ้าเชียวนะ”
มู่เฟยได้แต่พูดเสียงเบา “มันไม่ใช่ความผิดของเสี่ยวเล่อ”
หลังจากนั้นมู่เฟยออกไปตามหายาคนเดียว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
ภาพถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านหนึ่งคือภาพนิ่งบริเวณพื้นที่ร้างแถบชนบทซึ่งมีซากศพที่ถูกสัตว์ป่ากัดกินจนไม่เหลือเค้าเดิม ในขณะที่อีกด้านคือภาพเจียงซือเล่อกำลังคุ้ยขยะอยู่ข้างถนนเพื่อเอาชีวิตรอด
ถึงแม้ลู่เหิงจะถอนหายใจในใจ แต่ก็เข้าใจดีว่าผลลัพธ์ที่เจ็บปวดนี้เป็นผลจากการกระทำของคนทั้งสองและไม่สามารถโทษใครได้
“เริ่มภารกิจถัดไปกันเถอะ” ลู่เหิงบอกผู้ช่วยตัวน้อย
“คุณไม่พักหน่อยเหรอ?”
“สำหรับฉัน การอยู่ในโลกภารกิจคือการพักผ่อน”
------------------------------------------------
จบอาร์คแล้วจ้า! สรุปเขาตายด้วยกันค่ะ อย่างน้อยเขาก็ตายแบบมีความสุขอ่ะเนอะ แต่แอบสงสารมู่เฟย เราว่าเขาเป็นคนดีนะไม่น่าจบแบบนี้เลย แต่ก็ช่างมันเถอะ มีข่าวดีคือเหลือตอนพิเศษอีกตอนนึงเป็นคู่คุณปู่แหละค่า//ตบมือ แต่ไม่รู้ทำไมทางอิ้งเขาไม่แปลตอนพิเศษก็ไม่รู้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 4 พฤศจิกายน 2563 / 01:20
ดีงามที่น้องยอมเปิดโอกาสเลือกให้พี่เค้าบ้าง ตายด้วยกันยังดีกว่าเหลืออีกคนไว้กับความเศร้า ไม่งั้นต้องเข้าสู่ทางมารเหมือนซื่อคงแน่ๆ ปล.เราว่าเรื่องนี้มู่เฟยน่าสงสารสุดๆแล้ว
เราชอบนะ