ตอนที่ 45 : Chapter 44
Chapter 44
ทั้งสองคนที่นำโดยฉินอี้ขับรถไปตามทิศทางที่พานหรงซีบอก แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยอีกครึ่งของเจียงซือเล่อหรือมู่เฟย
ยิ่งเป็นห่วงเพื่อนสมัยเด็กทั้งสองคน สีหน้าของฉินอี้ยิ่งดูวิตก เขากำหมัดขวาแน่นและทุบพวงมาลัยอย่างแรง
“คุณลองหาบริเวณรอบๆ ด้วยจิตสัมผัสดูสิ” ลู่เหิงพูด
“จิตสัมผัส?” ฉินอี้ไม่เข้าใจ
“มันคือสิ่งที่คุณเรียกว่าพลังจิต”
“ไม่มี ฉันลองแล้ว พวกเขาเหมือนจะไม่ได้อยู่แถวนี้” ฉินอี้ได้ลองหาพวกเขาด้วยพลังจิตตั้งแต่ก่อนจะออกมา เป็นไปได้ว่าในพื้นที่เก็บของๆ เจียงซือเล่อมีรถสมรรถภาพสูงอยู่ ทั้งสองจึงไปไกลแล้ว
“วิธีใช้พลังจิตของคุณหยาบเกินไป” ลู่เหิงหยิบม้วนคัมภีร์หยกชิ้นหนึ่งจากห่อสัมภาระขนาดเล็กของตัวเองโยนมันไปให้ฉินอี้ “ติดมันไว้บนหน้าผากแล้วตรวจสอบมันด้วยพลังจิตของคุณ”
ฉินอี้หยุดรถและทำตามที่ลู่เหิงบอก บนหยกมีวิธีใช้จิตสัมผัสอย่างถูกต้องอยู่ ถึงแม้ว่าข้อมูลจะมีจำนวนมากมายมหาศาล แต่ก็ไม่อยากเกินกว่าที่ฉินอี้ซึ่งเป็นผู้ใช้พลังจิตจะทำความเข้าใจ
“ผู้มีพลังจะมีปราณในร่างกาย และไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน ถ้าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังก็จะมีร่องรอยของปราณหลงเหลือ” ลู่เหิงเห็นฉินอี้อ่านคำสอนบนม้วนคัมภีร์หยกเสร็จแล้วจึงพูด “คุณลองสัมผัสร่องรอยของปราณที่มู่เฟยทิ้งไว้ดูสิ”
ฉินอี้หลับตาและทำตามตัวที่ตัวอักษรบนคัมภีร์หยกอธิบาย โดยการแบ่งพลังออกเป็นเส้นไหมเนื้อละเอียด แล้วทอมันให้เป็นตาข่ายขนาดใหญ่ ก่อนจะกางออกช้าๆ พลังจิตที่แบ่งออกเป็นเส้นใยนั้นรับรู้สัมผัสได้ไวกว่าการรับรู้ด้วยปราณ ปราณในอากาศที่ยังไม่หายไป พลังของผู้มีพลัง พลังปีศาจของซอมบี้ ทุกอย่างปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
“เจอแล้ว” ในบรรดาเส้นปราณที่เชื่อมต่อกันจำนวนนับไม่ถ้วน ฉินอี้พบเส้นใยสีเขียวอ่อนที่มาจากปราณธาตุไม้ของมู่เฟย เพียงแต่ทิศทางที่ปราณชี้ไปนั้นค่อนข้างแตกต่างจากที่พานหรงซีพูด
ฉินอี้สตาร์ทรถและวกกลับไปตามทิศทางของปราณ ทว่าเริ่มขับออกมาได้ไม่กี่เมตร จู่ๆ รถก็เอนเอียงจนเขาต้องรีบเหยียบเบรกอย่างรวดเร็ว
“ให้นายติดตามปราณของมู่เฟยน่าจะดีกว่า วิธีควบคุมมันทำให้เสียสมาธิเกินไป ถ้าตามรอยไปด้วยขับรถไปด้วย ฉันกลัวว่าฉันจะขับรถลงคูน้ำ” ฉินอี้ที่เท้าขวายังเหยียบอยู่บนเบรกอย่างแข็งเกร็งพูดขึ้นมา
“ผมเรียนเคนโด้ ไม่เก่งเรื่องควบคุมจิตสัมผัส” ลู่เหิงเงียบไปครู่หนึ่ง และในที่สุดเขาก็พูดสิ่งที่เขาทำให้เขาซึ่งเป็นศิษย์พี่รู้สึกเสียหน้าออกมาอย่างไม่เต็มใจ
เคนโด้เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจความหมายอันยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ของดาบ ยิ่งมีสมาธิมากเท่าไหร่ พลังของดาบก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น ดังนั้นผู้คนที่ฝึกเคนโด้จึงมักจะเชื่อมั่นแค่ดาบที่ถือเอาไว้ และไม่รู้วิธีใช้จิตสัมผัสเนื่องจากมันห่อหุ้มอยู่รอบตัวดาบทั้งหมด
“ถ้างั้นนายขับ” ฉินอี้เห็นลู่เหิงอึกอักเล็กน้อยก็รีบพูดวิธีแก้ไขวิธีถัดไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เหิงทำหน้าบึ้งกว่าเดิม เขาเงียบต่อไปและจ้องฉินอี้
ฉินอี้เห็นคำต่อว่าในดวงตาของลู่เหิงซึ่งสะท้อนว่า เขาไม่เคยกินกระทั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เขาจะขับรถเป็นได้ยังไง “ฉันจะสอนนาย นายค่อนข้างเรียนรู้ได้เร็ว นี่เป็นรถเกียร์ออโต้นายขับได้ง่ายๆ แน่นอน”
ตอนนี้ฉินอี้ไม่มีเวลาจะอธิบายว่าคันเร่งคืออะไร เบรกคืออะไร แล้วให้อีกฝ่ายทำความเข้าใจช้าๆ การเรียนขับรถด้วยการปฏิบัติจริงเป็นวิธีที่เร็วที่สุด
ฉินอี้ให้ลู่เหิงนั่งที่คนขับ หลังจากนั้นก็จับข้อมืออีกฝ่ายไว้และถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไป การแบ่งปันความรู้สึกเป็นเทคนิคที่เขาเพิ่งเรียนในตำราหยก เขาสามารถแชร์ความทรงจำและความรู้สึกของตัวเองให้อีกฝ่ายได้ผ่านพลังจิต ฉินอี้แชร์ความทรงจำและความรู้สึกเกี่ยวกับการขับรถให้ลู่เหิง
คลื่นพุ่งขึ้นสูงหมื่นจั้ง เวลานี้มีเพียงคำนี้เท่านั้นที่สามารถอธิบายสภาพจิตใจของลู่เหิงได้ เขาคว้ามือของฉินอี้อย่างฉับพลัน
จิตสัมผัสของทุกคนแตกต่างกัน เพราะจิตสัมผัสเป็นการบ่งชี้ลักษณะของดวงวิญญาณ ในทางกลับกันตราบใดที่คนคนนั้นมีวิญญาณดวงเดียวกัน จิตสัมผัสก็ต้องเหมือนกัน ถึงแม้ลู่เหิงจะเคยชี้แนะให้ฉินอี้ก้าวเข้าสู่ประตูแห่งการฝึกตนด้วยจิตสัมผัสมาก่อน แต่ก่อนหน้านั้นปราณของฉินอี้เพียงเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีร่องรอยจิตวิญญาณที่ชัดเจน
ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป ทันทีที่จิตสัมผัสของฉินอี้แทรกซึมเข้ามา ลู่เหิงก็จำจิตวิญญาณที่คุ้นเคยดวงนี้ได้ทันที
“ซื่อ...”
[คำเตือน คำเตือน! คำเตือน OOC ระดับวิกฤต! เสี่ยวลู่ใจเย็น ถ้าถูกเตะออกไปมันจะเป็นเรื่องยากที่จะได้พบกันอีก!]
ฉินอี้มองด้วยความสงสัย
“ซื่อ... ซือตี้* อย่าเข้ามาในจิตสัมผัสของคนอื่นตามใจชอบสิ” ลู่เหิงคลายมือ “มันอาจเกิดการโต้กลับอัตโนมัติจากจิตสำนึกของอีกคนได้”
(*ศิษย์น้อง, รุ่นน้อง)
“...ต้องมีวันหนึ่งที่ฉันทำให้นายเรียกฉันว่าศิษย์พี่ให้ได้” ฉินอี้สำลักอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นในวิทยาลัยหรือหลังจากเข้ากองทัพ เขามักจะถูกคนอื่นเรียกว่าพี่ชายเสมอ ไม่คิดว่าเขาจะมีวันที่ถูกเรียกว่าศิษย์น้อง
ลู่เหิงเชี่ยวชาญการขับรถอย่างรวดเร็วและพวกเขาก็ออกเดินทางอีกครั้ง แต่ลู่เหิงกลับรู้สึกรวบรวมสมาธิได้ยากลำบากเล็กน้อย ดวงตาของเขาคอยแต่จะเบนไปด้านข้างโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่เพื่อให้ตัวเองมีสมาธิในการตามหาร่องรอยของปราณ ฉินอี้จึงหลับตาลง ไม่อย่างนั้นผู้ช่วยตัวน้อยคงจะกระโดดออกมาเตือน OOC อีกรอบ
“ได้แล้ว!” ฉินอี้ลืมตา “พวกเขามุ่งหน้าไปเขต Q”
เขต Q เป็นเมืองเล็กๆ ที่ยังไม่ได้รับการกวาดล้างทำความสะอาด มันตั้งอยู่บนพื้นที่ห่างไกลและการจราจรก็ไม่สะดวก สถานที่นี้รายล้อมไปด้วยภูเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเข้าหรือออก อย่างไรก็ต้องใช้ทางหลวงผานซานที่คับแคบเพียงทางเดียวเท่านั้น หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัส ทั้งเขตก็เป็นเหมือนกล่องปิดตายที่มีรอยแตกเพียงรอยเดียว มีคนเพียงไม่กี่คนที่หลบหนีออกมาได้ กระทั่งคนที่โชคดีพอที่สามารถปลุกความสามารถของตัวเองขึ้นมาได้ยังตายในดงซอมบี้ แล้วในที่สุดก็กลายเป็นหนึ่งในพวกมัน
ผู้มีพลังที่กลายเป็นซอมบี้นั้นแข็งแกร่งกว่าและพัฒนาได้รวดเร็วกว่า สถานการณ์พิเศษในเขต Q ทำให้มันเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายมาก มีข่าวลือว่าหัวหน้าซอมบี้ของเขต Q เป็นซอมบี้พลังจิตระดับเก้า
ซอมบี้พลังจิตนั้นไม่รวดเร็ว ความแข็งแกร่งก็ไม่น่าจดจำ ไม่มีผิวหนังที่กระสุนเจาะไม่ได้ แต่มันเป็นซอมบี้ตัวสุดท้ายที่ทุกคนต้องการเผชิญหน้า การทำให้เกิดความหวาดผวาในจิตใจและการควบคุมจิตใจทำให้มันน่ากลัวยิ่งกว่าซอมบี้ประเภทอื่นในระดับเดียวกันมาก
ฉินอี้สรุปได้ทันทีว่าเจียงซือเล่อต้องมาที่คลังข้าวของเขต Q แน่นอน เขต Q เป็นที่ๆ ป้องกันได้ง่ายแต่โจมตีได้ยาก การออกแบบเชิงยุทธศาสตร์ของที่นี่เป็นเหมือนป้อมปราการที่จำเป็นเมื่อถึงเวลาต้องปกป้องเมืองในยามสงคราม ดังนั้นในเขต Q จึงมีคลังเก็บข้าวขนาดใหญ่ แต่หลังจากเข้าสู่วันสิ้นโลกเขต Q กลายเป็นสถานที่รวบรวมซอมบี้อย่างรวดเร็ว คลังเก็บข้าวของที่นี่จึงยังไม่เคยถูกแตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียว
เหตุผลถูกอธิบายให้ลู่เหิงฟัง พวกเขาทั้งคู่มาถึงจุดเริ่มต้นของทางหลวงผานซานซึ่งเป็นทางเข้าเขต Q แล้ว แต่บนทางหลวงผานซานกลับมีฝูงซอมบี้จำนวนมาก
ลู่เหิงเหยียบเบรก โชคดีที่ระยะทางยังอยู่ห่างพอที่จะหลีกเลี่ยงความสนใจของซอมบี้
“กลั้นหายใจไว้”
แม้จะไม่คุ้นเคยกับวิถีของผู้ฝึกตน ฉินอี้ก็ตอบสนองต่อคำพูดของลู่เหิงได้อย่างรวดเร็วและใช้เทคนิคการกลั้นลมหายใจ
พวกเขาลงจากรถและพบที่ซ่อนตัว
“สถานการณ์ไม่ค่อยดี ดูเหมือนซอมบี้มากกว่าครึ่งในเขต Q จะมากระจุกกันอยู่ที่นี่” ฉินอี้ตรวจสอบเล็กน้อย
“ผมคิดว่ามีพลังปราณที่แข็งแกร่งอยู่ที่นี่” สัญชาตญาณของลู่เหิงเตือนเขา
ถึงแม้ฉินอี้จะไม่พบอะไรแต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเชื่อในสัญชาตญาณของลู่เหิง แน่นอนว่าหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด ฉินอี้ก็พบบางสิ่งผิดปกติ
“ซอมบี้ระดับเก้าเหมือนจะอยู่แถวนี้” ฉินอี้พูด “ซอมบี้ระดับเก้าตัวนี้มักจะอยู่แต่ในรังและไม่เคยออกไปไหนมาไหน ทำไมจู่ๆ มันถึงวิ่งออกมานอกเขต Q”
อย่างไรก็ตามฉินอี้ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เขารู้สึกว่าปราณของมู่เฟยดูแปลกๆ “ไม่ มู่เฟยอยู่ในอันตราย”
ในการรับรู้ของฉินอี้ มู่เฟยและเจียงซือเล่อติดอยู่ในคลังข้าวซึ่งล้อมรอบไปด้วยซอมบี้จำนวนมาก มู่เฟยใช้เถาวัลย์ในการปิดประตูคลังเก็บข้าว โชคดีที่หน้าต่างของคลังทั้งหมดสูงมาก ดังนั้นจึงต้องเฝ้าแค่ประตูไม่ให้มันพังลงมาเท่านั้น เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าพลังของมู่เฟยจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร
ฉินอี้อยากจะวิ่งไปช่วยคนของเขา แต่ซอมบี้ที่อยู่ข้างหน้าขวางทางเขาอยู่ กว่าพวกเขาจัดการซอมบี้และเข้าไปในเขต Q ได้ ร่างของเจียงซือเล่อและอีกคนคงเย็นชืดไปหมดแล้ว
“มีวิธีไหนบ้างที่จะล่อซอมบี้ระดับเก้าออกมาได้?” ฉินอี้เชื่อว่าลู่เหิงจะมีวิธีที่เขาคาดไม่ถึง หลังจากเขาได้สัมผัสกับปาฏิหาริย์ของการฝึกตน
“บีบจิตสัมผัสของคุณไว้ที่จุดๆ เดียว จากนั้นก็ปล่อยมันออกมาทันที พลังปีศาจจะต่อต้านโดยไม่รู้ตัว” ลู่เหิงพูด
ฉินอี้ทำตามคำพูดของอีกฝ่าย วิธีนี้ได้ผลอย่างยอดเยี่ยม ฉินอี้ล็อคเป้าที่สถานที่ซึ่งซอมบี้ระดับเก้านั้นอยู่ทันที
“พวกเราไปฆ่าซอมบี้ระดับเก้ากัน”
วิธีการในการช่วยชีวิตคนของฉินอี้เรียบง่ายมาก กลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าว* ถ้าฆ่าซอมบี้ระดับเก้าที่ควบคุมซอมบี้ตัวอื่นได้ ซอมบี้ที่รวมตัวกันอยู่นอกคลังเก็บข้าวก็จะค่อยๆ กระจายตัวออกไปเอง ถ้าฉินอี้อยู่คนเดียว เขาคงไม่ทำอะไรโง่ๆ กับซอมบี้ระดับเก้าเด็ดขาด
(*เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก หมายถึง การบุกเข้าโจมตีในจุดที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย โจมตีในจุดที่ศัตรูไม่ได้เตรียมการตั้งรับและคอยระวังป้องกัน ย่อมถือว่าได้เปรียบและได้รับชัยชนะมาแล้วครึ่งหนึ่ง)
แต่ครั้งนี้มีลู่เหิงที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่ด้วย แน่นอนว่าเขาคงไม่ยอมพลาดโอกาสที่ยอดเยี่ยมแบบนี้
ทั้งคู่เดินตามรอยซอมบี้ระดับเก้าไป มันอาจต้องใช้พลังปีศาจมากมายเพื่อควบคุมฝูงซอมบี้ ลู่เหิงและอีกคนเห็นเงาร่างของซอมบี้ระดับเก้า แต่มันกลับไม่เห็นพวกเขา
ซอมบี้ระดับเก้ามีขนาดตัวเล็ก แต่หัวของมันกลับใหญ่จนไม่สมส่วนและดูน่าหัวเราะเล็กน้อย มันนั่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยซอมบี้ระดับสูงเป็นโหล
“ซอมบี้ตัวนี้มีความตื่นตัวสูงมาก” ฉินอี้คำนวณความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย “พลังไฟของฉันเหมาะกับการโจมตีเป็นกลุ่ม ซอมบี้ระดับสูงพวกนั้นฉันรับมือเอง ส่วนซอมบี้ระดับเก้ายกให้นาย”
ซอมบี้พลังจิตที่ไม่มีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งอาจกล่าวได้ว่าอ่อนแอลงกว่าครึ่ง ลู่เหิงมีความรวดเร็วและความคล่องแคล่ว ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาในการจัดการมัน
พวกเขาแอบย่องไปตรงตำแหน่งที่ยอดเยี่ยม
โจมตีอย่างฉับพลัน
ฉินอี้ผสานมือเข้าด้วยกันแล้วลูกบอลไฟขนาดเท่าลูกบาสก็ปรากฏในมือ ทันทีที่เขาขว้างมันออกไป ลูกบอลไฟก็บินตรงไปที่ซอมบี้ระดับเก้าซึ่งมันเองก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและถอยออกไปทันที ซอมบี้ระดับสูงตัวหนึ่งข้างซอมบี้ระดับเก้ากันลูกบอลไฟด้วยร่างกายของตัวเอง ลูกบอลไฟระเบิดออกมา ซอมบี้ระดับสูงครึ่งหนึ่งถูกเป่ากระเด็น
ซอมบี้ระดับเก้าโกรธจัด ครึ่งหนึ่งของซอมบี้ระดับสูงพุ่งเข้ามาล้อมรอบเขาไว้ ในเวลาไม่นานซอมบี้ระดับเก้าก็เห็นว่าซอมบี้พวกนั้นถูกฉินอี้ฆ่าลงทีละตัวๆ เมื่อโบกมือครั้งหนึ่งซอมบี้สองตัวก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ส่วนซอมบี้ที่เหลือก็เดินไปข้างหน้าเพื่อล้อมเขาไว้ พวกมันพยายามฆ่าผู้ใช้พลังด้วยเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โอกาสมาแล้ว
ร่างของลู่เหิงว่องไวราวกับผี พริบตาเดียวเขาก็ไปปรากฏตัวด้านหลังซอมบี้ระดับสูง มือยกดาบขึ้นแล้วฟาดฟันลงมา ศีรษะเปื่อยเน่ากลิ้งลงบนพื้น ในตอนที่ลู่เหิงกำลังจะตวัดดาบใส่ซอมบี้อีกตัว จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดในสมองอย่างรุนแรง
จิตใจของลู่เหิงตกอยู่ในภวังค์ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายกลับเป็นไปตามสัญชาตญาณ ดาบไม้ของเขาขวางกรงเล็บของซอมบี้ระดับสูงได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ต้องรับมือกับการโจมตีทางจิตวิญญาณอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของซอมบี้ระดับเก้า ในที่สุดลู่เหิงก็ต้องอาศัยสัญชาตญาณในการต่อสู้ของตัวเองในการจัดการซอมบี้
กำแพงไฟของฉินอี้แทบจะเผาไหม้ทุกอย่าง ซอมบี้บางตัวที่ฝ่ากำแพงไฟเข้าไปได้ก็ไปช่วยตัวอื่น ไม่รอให้เสียเวลาลู่เหิงยกดาบขึ้นและเข้าไปใกล้ซอมบี้ระดับเก้าทันที ในตอนที่ดาบตี๋เฉินเจาะเข้าไปที่กะโหลกของซอมบี้ระดับเก้า ลู่เหิงเห็นนัยน์ตาสีเทาของซอมบี้ระดับเก้าพลันหดเหลือขนาดเท่าปลายเข็ม จากนั้นเขาก็พบว่าร่างกายของเขาไม่ยอมทำตามคำสั่ง
ที่สมองส่วนหลังของซอมบี้ระดับเก้าระเบิดหลุมดำคล้ายทางเข้าถ้ำออกมา คาดไม่ถึงว่าซอมบี้ตัวนี้จะเดิมพันชีวิตตัวเองด้วยการระเบิดแกนคริสตัลในสมองเพื่อยกระดับพลังจิตให้เป็นระดับสูงในพริบตา มันควบคุมร่างกายของลู่เหิงไม่กี่วินาที
ทุกอย่างเปลี่ยนไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีได้อย่างไร?
ทันใดนั้นรอยแตกก็ปรากฏขึ้นในอากาศ กรงเล็บแหลมคมโผล่ออกมาและเล็งไปที่หัวใจของลู่เหิงที่ขยับตัวไม่ได้
คนเรามักจะแสดงความสามารถที่ซ่อนอยู่ออกมาเมื่อตกอยู่ในอันตราย มือแกร่งจับกรงเล็บนั้นไว้แน่น และแม้ว่าฝ่ามือจะถูกแทงทะลุก็ไม่แม้แต่จะคลายออก จากนั้นเปลวเพลิงสีขาวทองก็แผดเผาไปตามกรงเล็บ ฉินอี้ดึงมันอย่างแรงอีกครั้ง ลากร่างซอมบี้ที่ไหม้เกรียมออกมา
ซอมบี้ระดับเก้าในเขต Q ไม่ได้มีตัวเดียว แต่มีสอง เพียงแต่ซอมบี้อีกตัวนั้นเป็นซอมบี้ที่มีพลังมิติซึ่งหาได้ยากยิ่งกว่า มันซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่มิติโดยไม่มีใครรู้ กระทั่งฉินอี้ยังถูกมันหลอกในตอนนี้
ทันทีที่ลู่เหิงหลุดจากการควบคุม เขาก็กำจัดซอมบี้ระดับสูงที่เหลืออย่างง่ายดายและรวดเร็ว พื้นที่รอบๆ สงบลงเล็กน้อย
ลู่เหิงจับมือของฉินอี้และมองดูบาดแผลน่ากลัวบนนั้นแล้วขมวดคิ้ว
ฉินอี้ยิ้มอย่างขมขื่น “แผลลึกแบบนี้ถึงจะเป็นผู้ใช้พลัง แต่ฉันว่ามันน่าจะติดเชื้อไปแล้ว”
ลู่เหิงเงยหน้ามองอีกฝ่าย คนคนนี้ถึงแม้จะจำเขาไม่ได้ก็มักเลือกที่จะเอาร่างกายของตนเองมาขวางข้างหน้าเขาเสมอ เมื่อเขาตกอยู่ในอันตราย
“ฉันเดาว่าฉันคงมีชีวิตเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง ตอนฉันหยุดหายใจจำไว้ว่านายต้องตัดหัวฉัน ฉันไม่อยากกลายเป็นซอมบี้น่าขยะแขยงแบบนั้น” เนื่องจากคุ้นชินกับกระสุนที่สาดมาราวกับห่าฝน ฉินจึงสงบมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อที่จะช่วยชายที่อยู่ตรงหน้าแล้วเขารู้สึกว่ามันคุ้มค่า
ตอนที่เขาจัดการซอมบี้ระดับสูงพวกนั้น จู่ๆ ฉินอี้ก็รู้สึกใจสั่น ร่างกายของเขาวิ่งไปอีกด้านด้วยตนเองโดยไม่แม้แต่จะคิดใคร่ครวญ ในตอนที่เขามาถึงและพบว่าลู่เหิงอยู่ในอันตราย ฉินอี้พลันรู้สึกหัวสมองว่างเปล่า ตอนที่ตอบสนองอีกครั้ง มือของเขาก็เข้าไปจับกรงเล็บแหลมคมที่เกือบจะพรากชีวิตอีกคนไว้แล้ว
“แต่มีบางอย่างที่ฉันยังรู้สึกเสียใจที่ทำไม่สำเร็จก่อนตาย” ฉินอี้ถอนหายใจ
เห็นแบบนั้นลู่เหิงจึงตัดสินใจคล้อยตามคำพูดของอีกฝ่ายและถาม “อะไรเหรอ?”
“ฉันตายในฐานะศิษย์น้อง ทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ”
“คุณยังก้าวข้ามผมไม่ได้ การเป็นศิษย์น้องนั้นเป็นกฎของสำนักซึ่งเปลี่ยนไม่ได้” ลู่เหิงพูดอย่างจริงจัง
“อืม ฉันรู้ กฎสำนัก ฉันเป็นศิษย์น้อง” ฉินอี้ยักไหล่ “แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็แก่กว่านาย ความปรารถนาสุดท้ายของคนที่กำลังจะตายคนนี้คือการได้ยินนายเรียกว่าพี่ชาย ถ้านายอาย นายจะเรียกฉันว่าฉินเกอก็ได้...”
ลู่เหิงพยักหน้า หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็เปิดปากพูด “ฉินเกอ...”
“.....เกอ”
ฉินอี้ฟังคนตรงหน้าที่ในที่สุดก็เรียกเขาว่าพี่ชาย ถึงจะดูเขินนิดหน่อย แต่หลังจากพูดตะกุกตะกักไปครู่หนึ่งก็ยังอุตส่าห์เพิ่มคำว่าเกอ*อีกตัวให้ เสียงของลู่เหิงทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน ฉินอี้เคลิ้มไปเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าผิวหน้าที่หยาบกร้านของตัวเองลุกไหม้ เหมือนจะมีบางอย่างผิดปกตินะ!
(*哥哥 gē ge พี่ชาย)
แน่นอนว่าลู่เหิงตั้งใจ เขามองใบหน้าคล้ำแดดของฉินอี้ที่แดงขึ้นมาแล้วหัวเราะในใจ แต่ใบหน้าเขายังคงจริงจังเหมือนเดิม “เริ่มได้แล้ว”
“อ่า?” ฉินอี้ยังคงหมกมุ่นอยู่กับสามคำนั้นและตอบสนองอย่างเชื่องช้า
“เคลื่อนกำลังภายในขับไล่ปราณปีศาจออกไป”
“อะไร อะไรนะ?” ฉินอี้แสดงสีหน้าโง่งมอย่างหาได้ยาก
“เคลื่อนกำลังภายใน ใช้พลังวิญญาณขับไล่ปราณปีศาจตามคำสอนของสำนักที่ถ่ายทอดกันมา”
มีวิธีแบบนั้นด้วยเรอะ! ก่อนหน้านี้ฉินอี้รู้สึกว่าตัวเองหล่อมากที่ยินดีตายอย่างวีรบุรุษโดยไม่เกรงกลัว แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองโคตรโง่เลย จริงๆ นะ
------------------------------------------------------------
กรี๊ดดดด เขาเจอกันแล้วค่าาาา \(T∇T)/
พี่อี้เริ่มออกอาการแล้ว ว่าแต่เมื่อไหร่จะรักน้องสักที! ชอบเรื่องนี้ตรงที่เจอกันกี่รอบพระเอกก็ค่อยๆ เริ่มรักอีกครั้งไม่ใช่เจอปุ๊บรักปั๊บแบบนิยายระบบเรื่องอื่น

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำไมสัมผัสความเป็นซือคงไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าในบริบทของนิยายแล้ว ต่อให้นิสัยภายนอกจะแปลเปลี่ยนไปตามการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมและเผ่าพันธุ์ยังไง แต่ลึกๆก็ยังต้องสัมผัสความเป็นตัวตนของคนๆนั้นได้หรอกหรอ นี่ไม่เหมือนพระเอกโลกที่แล้วเลยอ่ะ ดูๆไปเหมือนพระเอกโลกแรกมากกว่า