ตอนที่ 43 : Chapter 42
Chapter 42
ทางเข้าศูนย์ป้องกันภัยทางอากาศอยู่ในป่าที่ลู่เหิงถูกส่งตัวมา มันซ่อนตัวอยู่แถวเชิงเขาในสถานที่ที่ห่างไกลและยากจะมองเห็น อีกทั้งยังมีวัชพืชจำนวนมากปกคลุมมันไว้ ถ้าตำแหน่งที่ระบุไม่สามารถใช้งานได้ก็คงทำได้เพียงต้องพึ่งพาตนเองแล้วค้นหาไปทุกตารารางนิ้ว ซึ่งก็ไม่แน่ว่ามันจะใช้เวลานานเท่าไร
อาจเพราะความแข็งแกร่งของสัตว์กลายพันธุ์ที่เคยอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ทำให้ภูเขานี้คล้ายกลายเป็นอาณาเขตของมัน หลังจากสัตว์กลายพันธุ์ถูกลู่เหิงกำจัด ป่านี้จึงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่อีกซึ่งนั่นช่วยลดปัญหาได้มากมายสำหรับทีมทหารรับจ้าง หลังจากที่ทิ้งคนจำนวนหนึ่งไว้ป้องกันข้างนอก ฉินอี้ก็นำคนส่วนที่เหลือเข้าไปในศูนย์ป้องกันภัยทางอากาศ
เมื่อผ่านมาถึงทางเดินยาวส่วนหน้า ในที่สุดทั้งกลุ่มก็หยุดที่หน้าประตูเหล็ก สถานที่เก็บวัสดุยุทธศาสตร์ถูกสร้างตามมาตรฐานการระเบิดเจาะพื้นดิน ทั้งหกด้านทำจากโลหะพิเศษที่มีความหนามากกว่าหนึ่งเมตร แม้ว่ามันจะถูกกระแทกอย่างแรงจากเครื่องเจาะพื้น มันก็จะทิ้งไว้เพียงรูตื้นๆ เท่านั้น
หากต้องการเข้าไปมีเพียงต้องผ่านเข้าไปทางประตูหน้าซึ่งมีรหัสป้องกันเท่านั้น เหนือประตูมีป้ายเตือนแขวนไว้ว่า ‘ฝั่งทหาร’ ด้านล่างมีตัวอักษรสีแดงสดตัวเล็กๆ เรียงเป็นแถวซึ่งบางทีอาจหมายถึงถ้ารหัสผิดสองครั้ง สัญญาณเตือนภัยจะถูกส่งออกไปยังสถานีตำรวจ เมื่อสัญญาณเตือนภัยสิ้นสุดลง ระเบิดที่ฝังอยู่ในภูเขาจะถูกจุดชนวนและศูนย์ป้องกันภัยทางอากาศก็จะพังลงมาทันที
“มีรหัสอยู่ในข้อมูลไหม?” ฉินอี้ถาม
เจียงซือเล่อพยักหน้าด้วยความมั่นใจและกำลังจะเริ่มกดรหัสเมื่อเดินไปถึงประตู
“เดี๋ยว!” ทันใดนั้นก็มีใครบางคนในทีมร้องห้ามเขา
เจียงซือเล่อหันกลับไปมอง เมื่อพบว่าเป็นพานหรงซี เขาแทบจะกลอกตาขึ้นฟ้า “มีเรื่องไร้สาระอะไรอีก ค่อยพูดหลังจากฉันทำงานเสร็จเรียบร้อยจะได้ไหม?”
พานหรงซีไม่ได้รู้สึกรำคาญและยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ฉันเรียนวิศวกรรมโยธาที่มหาลัย ตอนฉันเขียนวิทยานิพนธ์จบการศึกษา ฉันได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับศูนย์ป้องกันภัยทางอากาศมาด้วย ถึงหนังสือพวกนั้นจะเป็นเพียงการอ้างอิง แต่รหัสนี้ไม่น่าจะเป็นอะไรที่ง่าย ระวังไว้ก่อนไม่ดีกว่าเหรอ?”
เมื่อเห็นใบหน้าของฉินอี้เหมือนจะเห็นด้วยกับอีกฝ่าย โทสะของเจียงซือเล่อพลันลุกโชนขึ้นมา “นายมาดูข้อมูลที่พ่อของฉันทิ้งไว้เลยก็ได้ เขาได้เข้าร่วมการก่อสร้างศูนย์ป้องกันภัยทางอากาศนี้!”
“เสี่ยวเล่อ” สีหน้าฉินอี้ลุ่มลึก ในวันปกติเรื่องของเจียงซือเล่อนั้นเขาขี้เกียจเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งส่วนตัวของพวกเขา แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาใช้ความรู้สึกส่วนตัวในการทำงาน ฉินอี้ไม่ได้ฉลาดมากแต่เขาพอมีวิจารณญาณอยู่บ้าง ความกังวลที่พานหรงซียกขึ้นมาค่อนข้างสมเหตุสมผล
คนในทีมส่วนมากเป็นทหารที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาของฉินอี้ นักเลงกลุ่มหนึ่งที่เลียเลือดจากใบมีดของตัวเองและกล้าฝ่าลมฝ่าฝนเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับโครงสร้างของอาคาร รหัสหรืออะไรก็ตาม ในหมู่พวกเขาคนที่มีการศึกษาสูงที่สุดคือมู่เฟยและพานหรงซี ก่อนวันสิ้นโลกมู่เฟยกำลังเรียนปริญญาเอก และเพราะความสัมพันธ์กับพ่อของเขา อีกฝ่ายจึงเข้าร่วมการออกแบบอุปกรณ์ต่อพ่วงในค่ายทหารที่ไม่เป็นความลับมาก
เจียงซือเล่ออยากพูดบางอย่างแต่เขาก็กลืนมันลงไปทันทีที่เห็นใบหน้าของฉินอี้ แม้ว่าเจียงซือเล่อจะหยิ่งยโสแต่ทันทีที่ฉินอี้มีสีหน้าลุ่มลึกขึ้นมา เขาก็ไม่กล้าทำตามอารมณ์ตัวเองอีก
“อามู่ นายพูด” ฉินอี้หันไปหามู่เฟย
มู่เฟยมองใบหน้าเจียงซือเล่อและพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายน่าเกลียดเป็นอย่างมาก ในใจเขารู้สึกลังเลเล็กน้อย เดิมมู่เฟยคิดเหมือนพานหรงซีแต่เขารู้ว่าเจียงซือเล่อต้องโมโหแน่ๆ หากเขาเห็นด้วยกับพานหรงซี ช่วงนี้เจียงซือเล่อเย็นชามากและมู่เฟยเองก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแย่ไปมากกว่านี้
“นี่...”
“มู่เฟย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาห่วงเรื่องส่วนตัว!” ฉินอี้เห็นสีหน้าลังเลของมู่เฟย น้ำเสียงเขาจึงรุนแรงขึ้น
“ฉันว่าที่พานหรงซีพูดก็มีส่วนถูกนะ ฉันไม่ได้รู้เรื่องรหัสมากนัก แต่ในแง่ของอัตราส่วนและระดับการป้องกันของศูนย์ป้องกันภัยทางอากาศนี้ สถานที่สำคัญที่วางวัสดุยุทธศาสตร์ไว้ไม่น่าจะใช้รหัสที่เรียบง่าย” มู่เฟยมองสถานการณ์และกล่าวความคิดของตัวเองอย่างเป็นระบบและละเอียดครบถ้วน
เดิมเจียงซือเล่อก็เป็นคนหุนหันพลันแล่นอยู่แล้ว เขามักจะทำสิ่งต่างๆ โดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา หลังจากฟังมู่เฟยพูดจบ ความโกรธของเขาก็พุ่งขึ้นมา เขายื่นมือออกไปกดอินเตอร์เฟซป้อนรหัสทันที
ปฏิกิริยาของฉินอี้รวดเร็วมากทำให้เขาคว้ามืออีกฝ่ายได้ทัน “เจียงซือเล่อ!”
ทว่าบนหน้าจอกลับมีเลขนับถอยหลังสามสิบวินาทีสีแดงสดปรากฏขึ้นมา ภายในสามสิบวินาทีนี้ถ้าพวกเขาไม่กดรหัส มันจะทำให้รหัสกลายเป็นผิดพลาดทันที เพื่อไม่ให้โอกาสอันมีค่านี้สูญเปล่า ฉินอี้จึงต้องให้เจียงซือเล่อลอง
รหัสผิดพลาด
เป็นไปไม่ได้ เจียงซือเล่อช็อค เขาจะหันกลับไปอธิบาย แต่เขาก็เห็นพานหรงซีที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนยิ้มประชดประชันเข้าเสียก่อน เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นเจียงซือเล่อพลันโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ผิด เขาจะต้องกังวลมากไปเลยเผลอไปโดนแป้นข้างๆ โดยบังเอิญแน่ๆ มือของเจียงซือเล่อยังไม่ได้ผละออกจากหน้าจอ เขาวางนิ้วด้านข้างและพยายามจะลองอีกครั้ง
“มันต้องเป็นรหัสนี้แน่นอน เมื่อกี้ฉันคงกังวลเกินไปเลยกรอกรหัสผิด” เจียงซือเล่อรีบอธิบายให้ฉินอี้ที่อยู่ด้านข้างฟัง ก่อนจะใส่รหัสที่เขาท่องในใจมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างระมัดระวัง
รหัสผิดพลาด จำนวนรหัสผิดพลาดถึงขีดจำกัด ศูนย์นี้กำลังจะถูกทำลายลงในไม่ช้า
บนหน้าจอปรากฏเลขนับถอยหลังห้านาทีสีแดงสด
ตอนที่เจียงซือเล่อกดอินเตอร์เฟซป้อนรหัสเป็นครั้งที่สอง ฉินอี้แทบอยากฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย ทำตามอำเภอใจเพียงเพราะทิฐิของตัวเอง เกิดอะไรขึ้นกับเจียงซือเล่อ? เมื่อก่อนอีกฝ่ายไม่ใช่คนแบบนี้ แต่เพราะตอนนี้อยู่ในสถานการณ์เร่งด่วนจึงยังไม่มีเวลาพูดคุยกับอีกฝ่าย หมึกหกออกมาแล้วเขากลัวว่าทุกคนจะถูกฝังไว้ใต้ภูเขากันหมด
“ฉันเคยเห็นรหัสนี้มาก่อน...”
ท่ามกลางความโกลาหลลู่เหิงได้ยินเจียงซือเล่อพึมพำประโยคนั้น คนอื่นไม่ได้สนใจแต่ลู่เหิงกลับมีปฏิกิริยาทันที ข้อมูลหรืออะไรก็ตามเป็นเพียงข้ออ้างของเจียงซือเล่อทั้งหมด เขาต้องเคยมาที่นี่ในชาติก่อนและเห็นคนใส่รหัสผ่านที่ถูกต้องและนำวัสดุออกไปแน่
แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน บางทีอาจเป็นอย่างที่พานหรงซีพูด ประตูไม่สามารถเปิดได้ง่ายๆ ด้วยการป้อนรหัสเพียงอย่างเดียว
“หัวหน้าฉิน คุณจะถอนกำลังไหม?” บางคนถามขึ้นมา
“ฉันกลัวว่าเสียงระเบิดจะดึงดูดซอมบี้ทั้งหมดในร้อยไมล์นี้แล้วพวกเราจะถูกขวางน่ะสิ” ถึงแม้ฉินอี้จะอารมณ์ไม่ดี เขาก็ยังรักษาความสงบไว้ได้ในเวลาวิกฤตแบบนี้โดยไม่มีความตกใจแม้แต่น้อย “มู่เฟย สัญญาณเตือนภัยของตัวล็อคนี้สามารถปิดได้ไหม?”
มู่เฟยคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าใช้ไฟฟ้าแรงสูงหมื่น โวลต์ก็สามารถทำลายวงจรได้ทันทีและน่าจะหยุดสัญญาณเตือนภัยได้”
น่าเสียดายที่ทีมของฉินอี้ไม่มีผู้ใช้พลังสายฟ้าเลย พวกเขาจึงทำได้เพียงทำไปทีละขั้นตอน อย่างแรกคือต้องเอาตัวให้รอดจากสถานการณ์อันตรายตอนนี้ก่อน ในตอนนั้นเองฉินอี้พลันถูกลู่เหิงดึงไว้และถาม “อะไรคือไฟฟ้าแรงสูงหมื่นโวลต์?”
ถ้าเป็นคนอื่นในทีม ฉินอี้คงจะเตะพวกมันไปแล้ว ทั้งยังจะด่าที่เพิ่มปัญหามาให้อีกด้วย แต่เขามักจะมีความอดทนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยกับเจ้าแมวครีมพัฟที่กลับมาเกิดใหม่ตัวนี้เสมอ เมื่อคิดว่าลู่เหิงไม่ได้อยู่ในสังคมสมัยใหม่ฉินอี้จึงทำการเปรียบเทียบให้ฟัง “ก็เหมือนสายฟ้าบนท้องฟ้าที่มีพลังสักหนึ่งในหมื่น”
ลู่เหิงแสดงสีหน้าเหมือนตรัสรู้อย่างฉับพลัน ก่อนจะคลำห่อสัมภาระเล็กๆ ของตัวเอง หยิบกระดาษสีเหลืองออกมาแล้วแปะมันลงบนหน้าจอ หลายคนรอบๆ ที่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของเขาพลันตกใจ ชายคนนี้เป็นหมอผีเหรอ? ถึงจะเป็นหมอผีก็ไม่ควรเอากระดาษไปติดบนเครื่องจักรนะ มันไม่สามารถหลอกหลอนใครได้
ฉินอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับการกระทำของอีกฝ่าย ความโกรธที่ถูกเจียงซือเล่อกระตุ้นหายไปทันที
ฉินอี้กำลังจะแกล้งอีกฝ่าย แต่เขากลับเห็นกระดาษแผ่นนั้นไหม้ไปเองทั้งที่ไม่มีลมเสียก่อน กระดาษกลายเป็นเถ้าถ่าน เมฆสีดำขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของพวกเขาจนได้ยินเสียงฟ้าร้องดังมาจากเมฆดำเหล่านั้น สายฟ้าที่แลบออกมาพลันพุ่งเข้ากลางตัวล็อค
ตัวล็อคแตกเป็นชิ้นเล็กๆ และมีควันดำลอยออกมา จากนั้นหน้าจอก็มืดลงคล้ายพังไปแล้ว
“นั่นมันอะไร?” ฉินอี้ตะลึงจนพูดไม่ออกเกือบนาทีจนในที่สุดก็ถามออกมาด้วยความยากลำบาก
“ยันต์สายฟ้าเบื้องต้น” ลู่เหิงบอก
ตั้งแต่พลังวิญญาณของโลกถูกตัดขาด ถึงแม้จะมีวิธีวาดยันต์ขั้นสูงอย่างห้าสายฟ้าคลั่งแต่พลังวิญญาณก็มีไม่เพียงพอจะใช้ยันต์ที่มีอานุภาพสูงพวกนั้นอยู่ดี แต่ยันต์สายฟ้าเบื้องต้นที่อาจารย์ในสำนักของลู่เหิงวาดไว้ มีบางส่วนที่ถูกวาดด้วยต้นกำเนิดพลังวิญญาณและตอนนี้เขาเพิ่งทำให้มันลดลงไปอีกอัน
ลู่เหิงล้วงเข้าไปในกระเป๋าของตัวเองที่ดูเหมือนห่อสัมภาระเล็กๆ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความกังวล
“เรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วยเหรอ?” ฉินอี้รู้สึกว่ามุมมองโลกของตัวเองพังทลายลงอีกครั้ง และครั้งล่าสุดที่มันพังคือตอนที่ไวรัสซอมบี้แพร่ระบาด
“ผมเป็นคุรุเทพ” ลู่เหิงตอบคำถาม
ฉินอี้รู้ว่าเขาไม่สามารถถามอะไรได้ตอนนี้จึงยักไหล่อย่างไม่แยแส “น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่สามารถเอาของที่อยู่ข้างในออกมาได้ ได้ยินมาว่าข้างในมีอาวุธแล้วก็เสบียงทหารจำนวนมาก”
เสบียงทหาร ได้ยินสองคำนี้วิญญาณของลู่เหิงพลันฟื้นตัวขึ้นมา อาจจะมีเนื้อกระป๋องและสิ่งต่างๆ ในเสบียงเหล่านั้นก็ได้ อย่างไรมันก็รสชาติดีกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแน่นอน
“ทำไมคุณถึงเอามันออกมาไม่ได้?”
ฉินอี้เห็นดวงตาที่เปล่งประกายในดวงตาของอีกคน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตระหนักได้ว่าคำไหนที่กระตุ้นอีกฝ่าย ฉินอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา น้ำเสียงเขาเจือความรื่นเริงเล็กน้อย “ตอนนี้ห้องเก็บรักษาถูกผนึกไว้ในกล่องเหล็ก โลหะพิเศษนี้ต้องใช้อุณหภูมิสูงอย่างต่ำหนึ่งหมื่นองศาในการละลาย น่าเสียดายที่ฉันมีระดับพลังไม่พอ ฉันจะกลับมาเอามันใหม่ในอนาคต”
“อุณหภูมิสูงอย่างต่ำหนึ่งหมื่นองศา?”
“อืม ถ้าเปลวไฟเป็นสีทองและขาวก็น่าจะถึงหมื่นองศาอยู่นะ” ฉินอี้อธิบาย
หลังจากพูดจบฉินอี้ก็เห็นเส้นผมที่หยักศกเล็กน้อยของลู่เหิงดูเหมือนจะลู่ลง ท่าทางหดหู่เหงาหงอยไม่มีชีวิตชีวา ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปขยี้ผมของลู่เหิง และสัมผัสนั้นก็ดีอย่างที่จินตนาการไว้ ทั้งนุ่มทั้งฟู
หลังจากหยอกล้อเจ้าแมวครีมพัฟในร่างคนเสร็จ ฉินอี้ที่พอใจแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางไปพร้อมกับคนทั้งทีม แต่ก็ถูกลู่เหิงดึงไว้เสียก่อน
“คุณมากับผมหน่อยได้ไหม?” ลู่เหิงกระซิบ
อย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีอะไรสำคัญ ฉินอี้ทำท่าทางเป็นเชิงบอกให้ทีมพักผ่อน จากนั้นก็เดินตามลู่เหิงไปที่ทางแยกอีกทาง
ลู่เหิงไม่หยุดเดินจนกระทั่งเขาไม่ได้ยินเสียงผู้คนแล้ว เขาจึงหายใจเข้าลึกๆ และตัดสินใจ “คุณอยากเข้าสำนักคุรุเทพไหม?”
ตอนที่อาจารย์ส่งอวิ๋นหลานออกมา ท่านบอกเขาว่าเขาต้องตามหาต้นกำเนิดพลังวิญญาณและซ่อมผนึก นอกจากนี้ท่านยังพูดต่ออีกเล็กน้อย
“ถ้าเจ้าพบคนที่ใช่ให้ส่งต่อวิทยายุทธของสำนักให้เขา”
“ใครคือคนที่ใช่?”
“เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย อีกทั้งเจ้ายังเชื่อคนอื่นได้อย่างง่ายดาย ทว่าความคิดของเจ้านั้นบริสุทธิ์ ดังนั้นจงอย่าเชื่อตาและหูของเจ้าแต่จงถามใจของตัวเองดู”
นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้เขา ปัจจุบันฉินอี้เป็นคนที่ลู่เหิงเลือกหลังจากทำตามหัวใจตัวเอง
“นายอยากรับฉันเป็นศิษย์?” ฉินอี้ช็อค จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาจะให้เจ้าแมวครีมพัฟตัวนี้เป็นอาจารย์ได้อย่างไร?
“ไม่ ผมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับศิษย์ ผมแค่รับคุณแทนอาจารย์” ลู่เหิงพูดอย่างเป็นระบบระเบียบ
เห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายแล้ว ฉินอี้จึงคิดจะตกลงแต่เขาพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “นายคงไม่ได้เป็นศิษย์พี่ของฉันใช่ไหม? ไม่มีทางๆ นั่นมันแย่เกินไปสำหรับฉัน”
ลู่เหิงเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่ายจึงครุ่นคิดอีกครั้ง “ถึงแม้ว่าผมจะเริ่มก่อน แต่กฎของสำนักจัดอันดับตามความแข็งแกร่ง ถ้าคุณเหนือกว่าผมคุณก็จะได้เป็นศิษย์พี่”
“โอเค!” ฉินอี้ตกลงทันที “ฉันต้องทำพิธีคารวะอาจารย์อะไรไหม?”
“ผมจะพาคุณไปชดเชยทีหลัง ตอนนี้ผมจะสอนวิธีเริ่มให้คุณก่อน” จากนั้นลู่เหิงก็บอกเป้าหมายสูงสุด ความจริงปราณในร่างฉินอี้แข็งแกร่งว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมามาก อีกฝ่ายแค่ไม่เข้าใจกฎอวิ้นชี่จึงไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งทั้งหมดออกมาได้
“ปิดตาแล้วสัมผัสเส้นทางที่ปราณของคุณไหลเวียน” ลู่เหิงวางมือลงบนตันเถียนของฉินอี้
ทันทีที่รู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นๆ ที่สัมผัสลงมา ฉินอี้พลันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ความรู้สึกนั้นอยู่ไม่นานก่อนที่เขาจะได้เห็นโลกอันน่าพิศวง แม้จะหลับตาอยู่แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเขาเห็นปราณสีแดงเพลิงไหลเวียนอยู่ในร่างของตัวเอง ในที่สุดปราณที่สะสมอยู่ใกล้ๆ ท้องส่วนล่างของเขาก็กลายเป็นน้ำวน
ระดับการหยั่งรู้ของฉินอี้สูงมาก เขาสามารถสัมผัสถึงทะเลลมปราณข้างในได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถควบคุมการไหลเวียนของลมปราณได้แล้วด้วย ลู่เหิงปล่อยให้อีกฝ่ายใช้พลังไฟของตัวเอง
ก่อนจะเห็นเปลวเพลิงสีทองขาวสั่นไหวบนฝ่ามือของฉินอี้
ลู่เหิงเลิกคิ้วขึ้นแล้วดันตัวฉินอี้ให้ไปเปิดประตูเหล็ก อารมณ์ของฉินอี้ที่อยู่ข้างหลังค่อนข้างซับซ้อน เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการยอมรับเพราะเสบียงทหารที่อยู่ข้างในประตู
มองไปที่ประตูเหล็กตรงหน้าแล้วเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเปลวเพลิงสีทองขาวให้ครอบคลุมมันไว้ ลู่เหิงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้ ก่อนฉินอี้จะทันหยุดอีกฝ่าย ลู่เหิงก็ดึงดาบไม้ออกมาจากด้านหลังและเจาะรูขนาดใหญ่บนประตูเหล็กที่บิดเบี้ยวไปเรียบร้อยแล้ว เพลิงนั้นร้อนไม่พอที่จะละลายโลหะพิเศษแต่มันก็ไม่ได้ทิ้งรอยอะไรไว้บนดาบไม้
เมื่อเห็นว่าลู่เหิงกระวนกระวายมาก ฉินอี้จึงเรียกผู้มีพลังน้ำมาช่วยทำให้ประตูทางเข้าเย็นลงอย่างช่วยไม่ได้ ทันทีที่ไอน้ำหายไปลู่เหิงก็มองไปที่ฉินอี้ ความคาดหวังแทบจะเขียนอยู่บนดวงตาคู่นั้น
“เข้าไปเถอะ” ทันทีที่เสียงตกลง ฉินอี้ก็เห็นลู่เหิงกระโจนเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาได้แต่ส่ายหัวและตามลู่เหิงเข้าไป
แน่นอนว่าข้อมูลที่ได้รับถูกต้อง ห้องเก็บของบรรจุอาวุธยุทธภัณฑ์ไว้อย่างเรียบร้อย ฉินอี้มองมันคร่าวๆ และทำการคำนวณในใจ เมื่อเขาหันกลับไปเขาก็เห็นลู่เหิงกำลังนั่งน้ำลายไหลมองเสบียงทหารอยู่
ในที่สุดฉินอี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและพูด “ครั้งนี้ฉันยกเครดิตให้นาย นายมีสิทธิเลือกได้อย่างหนึ่งหลังจากกลับไป”
ลู่เหิงพยักหน้ารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก คนที่เข้ามาทีหลังก็ดีใจมากเช่นกัน นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ที่ก่อตั้งทีมทหารรับจ้างมาเลยก็ว่าได้
หลังจากจัดเรียงและนับจำนวนของทั้งหมดในห้องเสร็จ ผู้มีพลังมิติหลายคนก็เข้ามาเก็บพวกมัน ฉินอี้ไม่ปล่อยให้ของทั้งหมดอยู่ที่คนคนเดียว ถึงแม้เจียงซือเล่อจะมีพื้นที่มิติเพียงพอ อีกทั้งพวกเขายังโตมาด้วยกัน แต่นี่ไม่ใช่การไม่ไว้ใจเจียงซือเล่อแต่เป็นการมีความรับผิดชอบต่อทั้งทีม ยิ่งไปกว่านั้นคุณไม่สามารถเอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียวได้
ลู่เหิงให้ความสนใจเจียงซือเล่อเป็นพิเศษ ตอนที่เจียงซือเล่อเก็บของเข้าไป ความผันผวนรุนแรงปะทุออกมาจากอะไรก็ไม่รู้ในหน้าอกของเขา
พื้นที่มัสตาร์ด พื้นที่ของเจียงซือเล่อนั้นแตกต่างจะพลังมิติของคนอื่นอย่างสิ้นเชิง มันเป็นโลกใบจิ๋วที่ถูกสร้างด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ทว่าโลกใบจิ๋วนั้นดูคล้ายกำลังสูญเสียพลังวิญญาณของตัวเอง มันเริ่มแสดงสัญญาณของการพังทลายออกมาแล้ว ตอนนี้มันสามารถทำได้เพียงใช้เป็นพื้นที่เก็บของธรรมดาๆ เท่านั้น
และต้นกำเนิดพลังวิญญาณเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่จำเป็นต่อการเสริมพลังและซ่อมแซมโลกใบจิ๋วที่กำลังพังทลาย เจียงซือเล่อคนนี้น่าสงสัยเป็นอย่างมาก แต่เขาเป็นเพียงคนธรรมดา เขาจะสามารถแอบเข้าไปในค่ายกลของภูเขาที่สำนักซ่อนอยู่ได้อย่างไร?
ลู่เหิงอยากปล้นวัตถุลึกลับของเจียงซือเล่อมาตรงๆ ไม่ต้องยุ่งยากเพื่อดูว่าต้นกำเนิดพลังวิญญาณซ่อนอยู่ในนั้นหรือเปล่า อย่างไรเสียเจียงซือเล่อก็ไม่ใช่บุตรแห่งโชคชะตา เขาจึงไม่กลัวว่าการกำจัดอีกฝ่ายจะทำให้โลกนี้เกิดความผิดปกติ แต่พื้นที่มัสตาร์ดนี้ดูเหมือนจะจดจำผู้เป็นนาย ในกรณีที่เจียงซือเล่อทุ่มสุดชีวิตเพื่อทำลายพื้นที่มัสตาร์ด เขาจะไม่สามารถหาต้นกำเนิดพลังวิญญาณเจอได้อีกเลย
ปัญหานี้จำเป็นต้องวางแผนรับมืออย่างช้าๆ
---------------------------------------------------------
มีคำศัพท์ที่แปลตามกูเกิ้ลทรานอยู่2-3คำเพราะไม่รู้จะแปลว่าไรดี อย่างเช่น password input interface หรือ mustard space เราลองเทียบกับจีนแล้วมันก็เป็นคำนี้จริงๆ ก็เลยเอาตามนั้นแหละ
สรุปคือน้องเป็นเจ้าแมวครีมพัฟในสายตาพี่อี้ไปแล้วค่ะ และเป็นแมวเห็นแก่กินด้วย555555
#วิธีตายอย่างยิ่งใหญ่
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หรงซีดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่เลย ซือเล่อดูอารมณ์ร้อนน่าจะสร้างปัญหาเพราะคิดว่าตนรู้อนาคต
สองคนนี้มาเกิดใหม่รึเปล่า
งื้ออออ นั่กลั่กไปหมดด
คำว่าพื้นที่มัสตาร์ดนี่ชวนให้นึกถึงเรื่องศิษย์ข้าเจ้าตายอีกแล้วจัง ตอนเเปลในเว็บก็มีคำๆนี้ออกมาเหมือนกัน
ปล.จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ความหมายจริงๆของมัน