ตอนที่ 4 : Chapter 4 [RW]
Chapter 4
ทันทีที่กลับมาที่ที่พักชั่วคราวในนาเบีย ทั้งสามก็เริ่มปรึกษาเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการในอนาคต มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามหาเอเรดานในเมืองนาเบียที่วุ่นวาย สถานที่เดียวที่พวกเขาสามารถเข้าถึงเอเรดานได้มีแต่หอประมูลกลางเท่านั้น
จากข้อมูลที่ได้จากผู้ส่งข่าว ก่อนการจะมูลแต่ละครั้งผู้ขายจะนำรายการของประมูลของตนเองไปรอในห้องที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาด้านหลังฟลอร์ประมูล การค้าขายในการประมูลนี้จะได้เป็นบัตรสเตลล่าดอลลาร์ทันทีก่อนจะหลบออกไป– บัตรนี้ใช้สำหรับการเก็บรักษาเงินโดยสามารถถอนได้ที่ธนาคาร
“ดูเหมือนว่าถ้าเราต้องการจับเจ้าอาชญากรที่มีค่าหัวคนนี้ พวกเราจะทำได้แค่นั่งรอในบริเวณนั้นเท่านั้น” ฮิววิตต์ฉายแผนผังหอประมูลกลางอากาศ และหมุนไปตามมุมต่าง ๆ ซ้ำ ๆ เพื่อศึกษา “ฉันต้องทำยังไงถึงจะได้โครงสร้างภายในของหอประมูลมา? ถ้าหากพวกเรามีแปลนก่อสร้าง ความยากลำบากในการปฏิบัติงานคงจะลดลง”
ลู่เหิงส่ายหัว “ก่อนวางสายอีกฝ่ายบอกว่ามันถูกเก็บรักษาเป็นความลับ นี่เป็นหอประมูลระดับสูง เขาก็ไม่สามารถเข้าถึงได้เหมือนกัน”
“จุ๊ ๆ ในกรณีนี้เราคงมีปัญหานิดหน่อยแล้วล่ะ”
“นั่นไง” จู่ ๆ คาร์โลก็พูดขึ้น “ผมมีไอเดีย...”
“พูดเลย ฉันฟังอยู่” ฮิววิตต์มองเขาอย่างให้กำลังใจ
“ผมสามารถเล่นเป็นโอเมก้า แล้วปลอมตัวเป็นบริกรเข้าร่วมการประมูลได้” คาร์โลพูดแล้วมองไปที่อีกฝ่าย พออีกฝ่ายเหมือนจะสนใจ เขาค่อยรู้สึกมั่นใจมากขึ้น “ผมจะหาโอกาสที่จะศึกษาโครงสร้างภายใน หลังจากนั้นผมก็สามารถช่วยคุณในวันประมูลได้”
ลู่เหิงรู้สึกไม่สบายใจ ในโลกดั้งเดิมคาร์โลก็เสนอแผนเดียวกัน และในเวลานั้นไรเนอร์กับฮิววิตต์ก็ไม่คัดค้าน ดังนั้นเขาเลยแต่งตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟและปนเปเข้าไปในงานประมูลอย่างราบรื่น แต่ในวันประมูลระดับแพลตตินัมเขากลับไปต้องตาต้องใจอัลฟ่า และถูกวางยาที่กระตุ้นอาการติดสัดเพื่อที่จะทำสัญลักษณ์บนตัวเขา ผลคือคาร์โลเกิดติดสัดในตอนที่ต้องถอนตัวออกมาซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ตามมาอีกมากมาย
ผิดจากที่คาด ฮิววิตต์ไม่ได้อนุมัติแผนในทันที แต่กลับหันมาถามลู่เหิงแทน “ไรเนอร์ นายคิดว่าแผนนี้พอจะเป็นไปได้หรือเปล่า?”
ลู่เหิงเคาะโต๊ะเบา ๆ หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ควรรู้ว่านี่เป็นพฤติกรรมที่มาจากจิตใต้สำนึกของเขา ฮิววิตต์ไม่ได้พูดอะไรและรอเงียบ ๆ
คาร์โลกังวลเล็กน้อย “รองผู้บัญชาการไรเนอร์ครับ ได้โปรดเชื่อใจผม”
“แผนนี้มีตัวแปรเยอะเกินไป” ลู่เหิงกล่าว เมื่อคาร์โลพยายามจะเกลี้ยกล่อมฮิววิตต์ ลู่เหิงก็พูดขึ้น “หนึ่งคือมันไม่แน่นอนว่าพนักงานใหม่ที่เข้าไปจะสามารถติดต่อพวกเราได้ สอง คาร์โล คุณไม่มีประสบการณ์การเป็นสายลับ เราไม่สามารถให้คุณเผชิญหน้ากับอันตรายดังกล่าวได้”
“แต่มันไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว!” ฮิววิตต์ตบไหล่คาร์โลสบาย ๆ “ไม่ต้องห่วง ไรเนอร์น่าจะมีแผนในหัวเขาแล้ว”
นี่เป็นวิธีการทำงานร่วมกันระหว่างฮิววิตต์และไรเนอร์ การทำงานภายในหน่วยสายลมและสายฟ้า ฮิววิตต์รับผิดชอบเรื่องการกำหนดกลยุทธ์ทั่วไป ส่วนไรเนอร์รับผิดชอบเรื่องการจัดการรายละเอียดปลีกย่อย โดยปกติแผนปฏิบัติการในภารกิจก็มักถูกวางโดยไรเนอร์เช่นกัน
ลู่เหิงเปิดไลท์เบรนและหมุนภาพโฮโลแกรมของสถานที่ตั้งหอประมูลซ้ำ ๆ แล้วค่อย ๆ สังเกตในทุก ๆ มุมมอง
“ฉันรู้สึกว่าตึกนี้ดูคุ้น ๆ” จู่ ๆ ฮิววิตต์ก็พูดขึ้น “แต่ฉันแนะนำอะไรไม่ได้นะ เกี่ยวกับ ‘ประวัติสถาปัตยกรรม’ ฉันเคยได้ยินแค่สองสามบทตอนไปหานาย”
ลู่เหิงพยักหน้า “ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน”
ไรเนอร์เป็นคนมีความรู้รอบด้าน ที่สถาบันทหารเขาลงหลักสูตรในสาขาต่าง ๆ มากมาย ไม่เหมือนฮิววิตต์ที่ผูกขาดอยู่แค่คลาสเกี่ยวกับทหาร และประวัติสถาปัตยกรรมเป็นหนึ่งในคลาสที่เขาเลือก ในเอกสารสำคัญที่เขาเคยเขียนได้รับการยกย่องว่าเป็นเอกสารที่ยอดเยี่ยมที่สุดของภาควิชาสถาปัตยกรรม และในภายหลังมันถูกนำไปใช้เพื่อการศึกษา
คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลู่เหิงก็ติดต่อผู้ช่วยของตัวเองทันทีเพื่อที่จะเริ่มค้นความทรงจำของไรเนอร์ และเขาก็เจอเบาะแสที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว มีหนังสือที่เลิกพิมพ์ไปแล้วเล่มหนึ่งที่ไรเนอร์เคยกล่าวถึงเป็นครั้งคราวตอนที่เขาเขียนวิทยานิพนธ์ ผู้เขียนค้นพบการออกแบบสถาปัตยกรรมของดาวเคราะห์สีน้ำเงินโบราณที่โด่งดัง และสถานที่ตั้งหอประมูลกลางก็คล้ายคลึงกับภาพวาดการออกแบบหนึ่งในนั้นมาก
ลู่เหิงเล่าความคิดของเขาให้ฮิววิตต์ฟัง และฮิววิตต์ก็พยายามขุดการออกแบบนั้นออกมาจากมุมหนึ่งของความทรงจำ แต่ก่อนพวกเขาเป็นรูมเมทกัน เขาจึงเคยเห็นหนังสือเล่มนี้
คาร์โลยกความคิดเห็นที่แตกต่างออกมา “ภาพลักษณ์ภายนอกคล้ายกัน แต่ถ้าโครงสร้างภายในต่างกันล่ะ?”
“ผู้ก่อตั้งหอประมูลกลาง ล็อคขึ้นชื่อเรื่องความคลั่งไคล้เกี่ยวกับวัฒธรรมของดาวเคราะห์สีน้ำเงินโบราณมาก” ลู่เหิงอธิบาย
หลังจากปัญหาที่ใหญ่ที่สุดได้รับการแก้ไข ทั้งสามก็รีบสรุปแบ่งงานและรายละเอียดอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว ต่อมาลู่เหิงกลับไปที่ห้อง วาดแปลนก่อสร้างเผื่อต้องใช้ในอนาคต แล้วทิ้งไว้ให้ฮิววิตต์เอาไว้เน้นย้ำบางจุดที่สำคัญ
“คาร์โล หลังจากที่ฉันเจอกับไรเนอร์แล้ว ฉันจะส่งข้อความหานายผ่านข้อความรหัสข้อมูลลับนะ... คาร์โล?”
คาร์โลดูเหมือนจะมีปัญหามาก ภายใต้การมองอย่างตั้งคำถามของฮิววิตต์ อีกฝ่ายตอบด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “ฮิววิตต์ รองผู้บัญชาการไม่ชอบผมหรือเปล่า?”
“อะไรทำให้นายคิดอย่างนั้น?” ฮิววิตต์รู้สึกบ่อย ๆ ว่าบรรยากาศระหว่างลู่เหิงและคาร์โลไม่ถูกต้อง แต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบคิดอะไรลึกซึ้ง เขาจึงคิดว่านี่เป็นเพราะทั้งสองไม่คุ้นเคยกันเท่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนความน่าเกรงขามของลู่เหิงจะทำให้คาร์โลกลัว
เขาส่ายหัวในใจ คาร์โลคนนี้ดูเปราะบางเกินไปหน่อยนะ นี่ไม่ใช่คุณสมบัติที่ดีของทหารที่มีคุณภาพเลย
“ตอนเริ่มภารกิจ รองผู้บัญชาการไรเนอร์ไม่เห็นด้วยที่จะพาผมมา แผนการที่ผมเสนอก็ถูกเขาปฏิเสธอีก ผมเลยได้แต่แอบคิดในใจว่าเพราะผมเป็นสมาชิกใหม่ที่ดีแต่จะวิ่งเข้าใส่ปัญหาเท่านั้น แต่ ๆ ผมก็พยายามแล้ว... เท่าที่ผมจะทำได้”
“คาร์โลน้อย บางทีนายก็คิดมากเกินไปจริง ๆ บุคลิกของไรเนอร์เป็นแบบนี้มาตลอด เขาแค่พยายามที่จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นกลาง ไม่ได้พยายามเพ่งเล็งนาย” ฮิววิตต์รู้สึกว่าน้ำเสียงเขาดูรุนแรง แล้วเขาก็กะพริบตา “เขาอ่อนโยนต่อนายมากแล้ว นายไม่เห็นเหรอว่าเขาขมวดคิ้วมากแค่ไหนเวลาเจอฉัน? ถ้าวันหนึ่งเขาปฏิบัติต่อฉันเหมือนที่เขาปฏิบัติกับนาย ฉันคงยิ้มแม้ว่ามันจะเป็นความฝันก็ตาม”
แม่ของคาร์โลเป็นแดนซ์เซอร์ในบาร์ ส่วนพ่อเป็นจ่าสิบเอกเม็ก แม่ของเขาตั้งครรภ์ในค่ำคืนแห่งตัณหา เธอไม่ได้บอกจ่าสิบเอกเกี่ยวกับการมีอยู่ของคาร์โลจนกระทั่งก่อนเธอจะตาย แต่การต่อสู้กับเซิร์กในตอนนั้นค่อนข้างดุเดือด จ่าเม็กมีภาระเต็มสองมือ ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูคาร์โลด้วยตนเองได้ ดังนั้นเขาจึงยกคาร์โลให้กับพี่ชายของเขา
การอยู่ภายใต้ความอดกลั้นมาเป็นเวลานานทำให้คาร์โลไวต่ออารมณ์ของผู้คนมาก เขารู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของฮิววิตต์ และรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “บางทีผมอาจจะอ่อนไหวเกินไป ป้าผมเข้มงวดมาก ผมเลยค่อนข้างกลัวผู้คนที่มีทัศนคติแบบนี้”
เมื่อประสบการณ์ชีวิตของคาร์โลถูกพูดขึ้นมา ฮิววิตต์จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีอ่อนลง หลังจากเรื่องทั้งหมดจ่าสิบเอกเม็กก็ได้ยื่นหนังสือแจ้งเรื่องเกษียณอายุเรียบร้อยแล้ว เขาควรจะได้เกษียณหลังทุกอย่างสิ้นสุดและได้เลี้ยงดูบุตร แต่อีกฝ่ายกลับสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเขา ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ได้รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของคาร์โล ฮิววิตต์จึงมองว่าอีกฝ่ายเป็นความรับผิดชอบของเขา
“ไม่ต้องห่วง นายยังมีฉัน” ฮิววิตต์ยิ้มและตบไหล่คาร์โล “นายจะเป็นทหารที่ดี”
การประมูลระดับแพลตตินัมคืองานประมูลใหญ่ประจำปีของนาเบีย ซึ่งเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในสหพันธ์มนุษย์แต่ละปีก็ว่าได้ หัวขโมยอวกาศส่วนมากที่ออกปล้นได้รวบรวมของที่แย่งชิงในสงครามมาไว้ที่นี่ และนักธุรกิจจากทุกประเทศก็มาที่นี่เพื่อตามหาของมีค่าต่างๆ
ระดับการแจ้งเตือนของหอประมูลกลางได้รับการกล่าวว่าอยู่ในระดับสูงที่สุด แต่นี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อหัวขโมยอวกาศที่ใจกล้าในทุก ๆ ปี และตราบใดที่การค้านั้นคุ้มค่า ทุกคนก็กล้าที่จะขโมย
เป็นที่รู้กันดีว่าฟริเซียนถูกรู้จักในเรื่องเสรีภาพ และสถานที่ประมูลกลางนั้นมีกฎที่น่าสนใจมาก คนที่สามารถปล้นหอประมูลกลางได้สำเร็จ ตราบใดที่พวกเขาสามารถหลบหนีออกไปได้ พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นแขกรับเชิญในครั้งต่อไป แต่ถ้าพวกเขาถูกจับได้ พวกเขาจะต้องจ่ายค่าปรับหรือถูกประมูลเป็นทาสโดยหอประมูล
บิลลี่ดึงปกเสื้อซึ่งเขารู้สึกว่ามันรัดเกินไปหน่อย สามปีก่อนเพื่อที่จะมีชีวิตที่มั่นคง เขาได้ล้างมือในอ่างทองคำ และเลิกเป็นนักล่าเงินรางวัล เขาไปที่หอประมูลกลางเพื่อเป็นหัวหน้าการ์ด
ไม่ใช่ว่าเขาโอ้อวด แต่ในไม่กี่ปีที่ผ่านมามีใครบ้างที่สามารถหนีไปจากเงื้อมมือเขาได้ อีกทั้งชื่อเสียงของนักล่าเงินรางวัลระดับ S ก็ไม่ได้ได้มาอย่างไร้ค่าขนาดนั้น แต่วันนี้เขากลับรู้สึกกระสับกระส่ายแปลก ๆ กระทั่งรอยแผลเป็นแห่งเกียรติยศของเขายังคันยุบยิบ
น่าจะเป็นเพราะอากาศร้อนไปล่ะมั้ง เขาคิดอย่างนั้น เขาคือฟอลคอน บิลลี่นะ หัวขโมยอวกาศไร้ยางอายคนล่าสุดที่ถูกเขาจับได้ยังขุดถ่านหินในเหมืองอยู่เลยตอนนี้
บิลลี่ดึงปกเสื้ออีกครั้งและตัดสินใจเดินเข้ามุมห้องเพื่อผ่อนคลายและสูบบุหรี่ ตอนเดินเขาตะโกนถามยามที่กำลังลาดตระเวนรอบ ๆ เพื่อให้กำลังใจ และพอเขาหันกลับเข้ามุมก็เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงขึ้นที่ประตูหน้า
บิลลี่หันหลังกลับไปมองโดยอัตโนมัติและเห็นบางอย่างที่รูปร่างแปลก ๆ เขาไม่เคยเห็นหุ่นลักษณะนี้บนไหล่รูปปั้นของล็อคมาก่อน
โอ้ นี่คงเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่กลัวตาย บิลลี่คิด แต่ในทางตรงกันข้ามเขาก็ไม่ได้ลังเลที่จะใช้มือกดเรียกหุ่นจักรกลจากด้านล่าง และก้าวไปข้างหน้าเพื่อพบคนคนนั้น
“การป้องกันของหอประมูลกลางนี่ห่วยแตกหรือไงห้ะ? ก็ได้ ฉันจะได้ฝึกฝีมือสักหน่อย”
ระหว่างที่ฟังมุกตลกไร้สาระของฮิววิตต์ผ่านช่องสื่อสาร ลู่เหิงก็สังเกตเห็นบริกร รูปร่างของเขาดูคล้ายลู่เหิง และเครื่องแบบของเขาก็ดูพิเศษ
ลู่เหิงหยิบแก้วไวน์จากโต๊ะข้างตัวและเดินตรงไปที่บริกรคนนั้น เมื่อเขาเข้าใกล้ก็สะดุดและกระแทกเข้าที่ตัวของบริกรคนนั้น ไวน์แดงในมือหกลงบนหน้าอกของลู่เหิง และชุดสูทแบบสามชิ้นบนตัวเขาก็เลอะเทอะไปหมด
“เฮ้ย อะไรวะ! แกทำกับลูกค้าวีไอพีแบบนี้เหรอ?” ลู่เหิงตวาดและยกหมัดขึ้นมาเพื่อโชว์กระดุมข้อมือที่บ่งบอกสถานะวีไอพี
“ขอโทษครับ คุณโอเคไหม?” บริกรรีบกล่าวขอโทษ
“แกใช้ตาไหนมองว่าฉันโอเคหา? ชุดนี้แพงมากนะเว้ย ฉันจะฟ้องค่าเสียหาย!”
หน้าตาของบริกรคนนี้ดูเด็กและอ่อนโยน เหมือนเขาจะเพิ่งมาใหม่ เขารู้สึกอับอายมากจากการกระทำของลู่เหิง เขากังวลจนเหงื่อผุดออกมาที่หน้าผาก “ผมขอโทษจริง ๆ ครับ ผมจะพาคุณไปเปลี่ยนสูท สำหรับเสื้อผ้าของคุณ ผมจะรับผิดชอบและชดเชยให้คุณเอง”
“ก็รู้สถานะตัวเองดีนี่ นำไปสิ”
บริเวณมุมห้อง ในขณะที่สายตาทุกคนยังจับจ้องไปที่เสียงอึกทึกครึกโครมข้างนอก ลู่เหิงก็รีบชกให้บริกรสลบแล้วลากเขาเข้าไปในห้องแต่งตัว
ไม่กี่นาทีต่อมาลู่เหิงที่แต่งตัวเป็นบริกรก็เดินออกมา แล้วตรงไปที่ด้านหลังของหอประมูล เดาว่าบริกรคนนี้ต้องเป็นสตาฟที่อยู่ด้านหลังเพราะเขาสามารถเดินผ่านได้ทุกที่
สถานที่ตั้งสำหรับจุดพักของเป็นไปตามที่พวกเขาคาดไว้ หลังจากเข้ามาในบริเวณจุดพัก ลู่เหิงก็เคาะประตูหมายเลข 7 ตามข้อมูลในไลท์เบรนที่ขโมยมาจากบริกร
------------------------------------------------------------
คำศัพท์ ʕథ౪థʔ
Rummage = ค้นกระจุยกระจาย
Sternness = ความน่าเกรงขาม, ความเข้มงวด
Conceive = เข้าใจ, คิด, ตั้งครรภ์
Subjugation = การปราบปราม, การเอาชนะ
Unscrupulous = ไม่มีหลักศีลธรรม, ไม่ซื่อสัตย์
Patrol = ตรวจตรา, ลาดตระเวน
Banter = มุกตลก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แม้แต่นายเอกนิยายวายหลายเรื่องที่ดูน่ารำคาญยังมีดูมีสมองกว่านี้เลยยยยยยยย°[ ]°!!!!!!!
ว่าแต่นานาน้อยใส่ชุดบริกรแล้วสินะ
คาร์โลนี่สมเป็นนางเอกเมื่อภพก่อน 55555555 คิดน้อย หาเรื่องเก่ง คุณสมบัตินางเอกมาก