ตอนที่ 38 : Chapter 38 Extra Chapter
Chapter 38
Extra Chapter: การกลับมาเล่นบทคู่รักที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
หลังจากนั้นนานมากๆ
ลู่เหิงย้ายไปทำงานตำแหน่งที่ปรึกษาและใช้ชีวิตที่รอคอยมานานด้วยการกินและสาดอาหารสุนัข*
(*หมายถึงการแสดงความรักในที่สาธารณะ สุนัขในภาษาจีนมีความหมายในเชิงของคนโสดหรือยังไม่แต่งงาน คนมีคู่จึงมักจะสาดอาหารสุนัขให้สุนัขพวกนี้อิจฉาเล่น //แปลง่ายๆ ว่าอวดหลัวนั่นเอง)
“พูดถึงเรื่องนี้ ตอนเราแต่งงานกันครั้งแรก น่าเสียดายที่เราไม่มีห้องส่งตัวเจ้าสาวหลังจากกราบไหว้ฟ้าดิน” วันหนึ่งจู่ๆ ลู่เหิงก็รู้สึกอ่อนไหวขึ้นมา
แต่ไม่นานหลังจากที่พูดอย่างนั้น เขาก็หมกตัวเองอยู่กับเรื่องราวอันน่าทึ่งบนจอขนาดใหญ่ตรงหน้า ชั้นเรียนพิเศษนี้ดีมาก ไม่ว่าใครก็สามารถได้รับประสบการณ์จากผู้ปฏิบัติภารกิจได้ด้วยรับฟังรับชมในห้องนี้ ภารกิจพวกนี้น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าหนังหรือละครทีวีบนโลกพวกนั้นเสียอีก
ลู่เหิงผู้ที่กำลังอุทิศตัวเองไปกับการกินเมล่อน ไม่ได้สังเกตเห็นดวงตาครุ่นคิดของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“นายอยากเข้าไปเล่นในโลกไหนไหม?”
“แน่นอนว่าไป ความทรงจำจะถูกผนึกไว้เหมือนเดิมนะ นายห้ามโกงและห้ามแอบปลดผนึกความทรงจำเพื่อตามหาฉัน!”
.
.
.
“องค์ราชาขอรับ องค์ราชา นายน้อยหายไปแล้ว!” ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาลู่โยวโยวเติบโตขึ้นมาก แต่รูปร่างเขากลับยังอ่อนเยาว์เหมือนเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ราชาจิ้งจอกเก้าหางในชุดสีแดงวางตำราลงอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะนวดหน้าผากตนเอง บุรุษผู้นั้นเมื่อก่อนแม้จะมีความคิดลึกซึ้งเกินจะหยั่งแต่ก็น่าเชื่อถือดุจดั่งบรรพต แล้วเขากลายมาเป็นเด็กที่มีนิสัยเช่นนี้ได้อย่างไร? วันทั้งวันต้องยั่วยุแมวและวิ่งไล่สุนัข มีส่วนใดของภูเขาจาวเหยาบ้างที่ไม่ถูกเขาเฉือนเนื้อ?
ซีซีมองดูเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะและคิดว่าที่จริงก็ดูเหมือนจะมีหลักฐานบางอย่างให้คล้อยตามเหมือนกัน นางตกตะลึงเป็นอย่างมากในวันแรกที่นางเข้ามาในภูเขาจาวเหยาเพื่อทำหน้าของราชาปีศาจ หลังจากได้รับแกนปีศาจครึ่งหนึ่งจากบุรุษผู้นั้น เอกสารกองเป็นพะเนินเต็มถ้ำไปหมด กระทั่งตราประทับยังไม่ถูกเปิดผนึกเลยด้วยซ้ำซึ่งเป็นหลักฐานชั้นดีว่าชายคนนั้นไม่เคยจัดการกับเอกสารใดๆ เลย ยามนี้ซีซีทราบแล้วว่าตอนที่นางเป็นราชาจิ้งจอก ไฉนรายงานทุกฉบับเกี่ยวกับเรื่องในเผ่าถึงได้รับ ‘พิจารณาตามความเหมาะสม’ ซึ่งเป็นประโยคเดิมๆ กลับมาเสมอ
ถึงกระนั้นซีซีก็ยิ้มด้วยความโล่งใจ โชคดีที่ชายคนนั้นได้รับพรจากกฎฟ้าดินทำให้สามารถฟื้นคืนร่างกายและวิญญาณกลับมาได้อีกครั้ง ภาระในการปกป้องเผ่าปีศาจนี้เขาต้องแบกรับมันเพียงผู้เดียวมาตลอด คนคนนั้นควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างที่เขาต้องการหลังจากที่ต้องอดทนแบกรับภาระนั้นมาหลายพันปีเสียที ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขา แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง แต่เต๋าแห่งสวรรค์จะปกป้องเขาจากอันตรายทั้งปวง เนื่องจากเขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตหลายพันชีวิตบนแผ่นดินใหญ่เอาไว้
ลู่เหิงค่อนข้างรู้สึกผิด เขายืนอยู่หน้าเศษซากที่เหลือของวัดฟ่านหยิน สายลมเย็นยะเยือกที่พันผ่านทำให้เส้นผมของเขายุ่งเหยิง ลู่เหิงจับผมตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาไม่ชอบให้คนอื่นแตะผมของเขาแต่เขาก็ไม่สามารถทำผมให้ตัวเองได้ เขารวบปลายผมของตัวเองมาผูกด้วยเชือกฟางอย่างระมัดระวัง แต่เมื่อลมพัดมามันก็คลายออกอย่างรวดเร็ว
ลู่เหิงเพิ่งเปลี่ยนร่างได้ไม่นาน เสียงซุบซิบจากจากปีศาจรอบตัวมักจะลอยมาเข้าหูเขาบ่อยๆ เกี่ยวกับความแข็งแกร่งและความสง่างามของเขาเมื่อก่อน ในฐานะปีศาจที่ต้องการไล่ตามเป้าหมาย เพื่อกระตุ้นตนเองให้ฝึกหนักขึ้น ลู่เหิงจึงตัดสินใจในวันที่เขาสามารถเปลี่ยนร่างได้ว่าจะมาดูว่าร่างปีศาจของเขาคนก่อนแข็งแกร่งและมีความห่างชั้นเพียงใด เพื่อให้ตนเองมีแรงจูงใจที่จะพัฒนา
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะออกจากเผ่าและข้ามแผ่นดินใหญ่มาที่เศษซากวัดฟ่านหยินแห่งนี้ ลู่เหิงหยุดอยู่หน้าภูเขา หมอกสีดำที่อยู่ล้อมรอบยอดเขาหลักของวัดฟ่านหยินไม่ยอมให้สิ่งมีชีวิตใดเฉียดเข้าไปใกล้ หมอกสีดำที่พุ่งสู่ท้องฟ้านั้นให้ความรู้สึกไม่ดีเลยแม้แต่น้อยในครั้งแรกที่เห็น
ลู่เหิงประเมินระดับการบำเพ็ญเพียรของตัวเองแล้วยอมแพ้ในใจ แต่เมื่อคิดเช่นนั้นเขากลับรู้สึกไม่อยากถอนตัวขึ้นมา เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ออกจากอาณาเขตของเผ่าอีกครั้งตอนไหน
ในขณะที่กำลังถกเถียงกับตัวเอง ลู่เหิงไม่ได้สังเกตว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บริเวณริมหมอกสีดำ เมื่อเขาหันมาเห็นหมอกสีดำนั้นก็ม้วนตัวขึ้นมาบนเท้าเขาเรียบร้อยแล้ว ลู่เหิงตกใจและกำลังจะใช้พลังของตัวเองต่อต้าน ก่อนจะพบว่าหมอกสีดำนี้ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเขา ตรงกันข้ามมันกลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยด้วยซ้ำ
ลู่เหิงเป็นนายน้อยแห่งเผ่าปีศาจที่กล้าหาญในภูเขาจาวเหยา เมื่อเห็นว่าหมอกสีดำนี้ไม่เป็นอันตราย เขาจึงถือโอกาสนี้ก้าวเข้าไปในหมอกด้วยความแน่วแน่
พลังวิญญาณในต้นกำเนิดแผ่นดินใหญ่แตกต่างจากโลกภายนอกเพราะมันบริสุทธิ์มาก บนต้นไม้หินขนาดใหญ่มีงูยักษ์ตัวหนึ่งพันอยู่รอบๆ อีกทั้งยังมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างล่างต้นไม้ ชายคนนั้นอยู่ในชุดสีแดง หน้าตาหล่อเหลาและดวงตาสองข้างหลับพริ้ม เขาดูราวกับได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับงูหินยักษ์ไปแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้ขยับไปไหนมาหลายพันปี
ทันใดนั้นขนตางอนยาวของชายคนนั้นก็ขยับ ดวงตาของเขาค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง เขามองมาที่ทางเข้าด้วยความปลื้มปิติและลังเลเล็กน้อย
ซื่อคงมองร่างเล็กๆ ที่ปรากฏตรงทางเข้า ใบหน้าอันคุ้นเคยปรากฏออกมาจากความมืดทีละนิดๆ ร่างเล็กประมาณเด็กเจ็ดแปดขวบที่ยังมีแก้มยุ้ยๆ และดวงตาคู่นั้นที่ปรากฏในสมองเขามานับครั้งไม่ถ้วน
ซื่อคงไม่กล้าขยับ เขาไม่กล้ากระทั่งจะหายใจด้วยซ้ำ เขากลัวว่านี่จะเป็นเพียงบุปผาในกระจกหรือพระจันทร์บนผืนน้ำ และลมหายใจของเขาอาจไปรบกวนภาพลวงตานั้นเข้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความบ้าคลั่งของเขา เขาก็เต็มใจที่จะมัวเมาไปกับภาพตรงหน้าชั่วนิรันดร์
ซื่อคงเห็นเด็กคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนปลายนิ้วที่อบอุ่นจะแตะลงบนหน้าผากเขา “หือ? ยังมีชีวิตอยู่”
คล้ายเสียงจากธรรมชาติ
ร่างที่เย็นยะเยือกมาหลายพันปีเริ่มอุ่นขึ้นทันที ภายในอกที่ว่างเปล่าดังก้องไปด้วยเสียงของหัวใจที่เต้นระรัว เขาจับมืออ่อนนุ่มนั้นอย่างแผ่วเบาและมองด้วยดวงตาที่อ่อนโยน “อย่าเล่นบ้าๆ น่ะ”
วันหนึ่ง
ลู่เหิงได้รับนกกระดาษ เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้บอกเรื่องที่เขาได้พบซื่อคงโดยบังเอิญ ดังนั้นนกกระดาษตัวนี้น่าจะเป็นจดหมายตอบกลับจากซีซี คำตอบของซีซีมีเพียงสี่คำ “ทำตัวดีๆ กับเขาล่ะ”
นั่นเป็นสิ่งที่ข้าก็คิดเช่นกันตั้งแต่ข้าได้เห็นซื่อคงครั้งแรก ลู่เหิงพยักหน้าในใจ
เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าระดับการฝึกตนของซื่อคงสูงกว่าข้าขนาดไหน ข้าจึงไม่สามารถช่วยเรื่องการฝึกตนได้มาก อีกอย่างลู่เหิงก้มมองตัวสั้นๆ ของตัวเองแล้วตกอยู่ในห้วงความคิด
เขาเป็นคนที่มักจะถามสิ่งที่ไม่เข้าใจเสมอ เวลานี้เขาจึงหนีบนกกระดาษมาหาซื่อคง “ข้าค่อนข้างเห็นด้วยกับสิ่งที่ซีซีพูด แต่ข้าจะปฏิบัติตัวดีๆ ต่อท่านได้อย่างไร?”
ซื่อคงที่ได้ยินเขาพูดยกยิ้ม “อยู่กับอาตมา แล้วอย่าไปไหนอีก”
มันเป็นวันที่ยาวนานอีกวันหนึ่ง
ลู่เหิงกลายเป็นเด็กหนุ่มหลังจากที่เขาสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้
ในเวลาเช้าตรู่ ซื่อคงกำลังหวีผมให้เขา
ลู่เหิงเห็นว่าท่าทางเชี่ยวชาญจึงเอ่ยถาม “เหตุใดท่านจึงทำผมได้เชี่ยวชาญทั้งที่ท่านเป็นนักบวช?”
ซื่อคงหยุดชะงักไปชั่วขณะ “อาตมาเคยทำผมให้คนคนหนึ่งทุกวัน”
ลู่เหิงที่ได้ยินประโยคนั้นรู้สึกขมๆ ในหัวใจ “แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ทำผมให้ชายคนนั้นต่อ?”
“อาตมารอเขามาหลายพันปีเพื่อที่จะได้ทำผมให้เขาอีกครั้ง ยามนี้ในที่สุดคำอธิฐานของอาตมาก็เป็นจริงแล้ว”
ใบหน้าของลู่เหิงแดงก่ำด้วยความอายที่ได้ยินแบบนั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวม้าขาวที่ห้อตะบึงผ่านซอกแคบ
เมื่อไม่นานมานี้ลู่เหิงรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย เขาจะเพิกเฉยต่อความรู้สึกทั้งหมดนี้ได้อย่างไรในเมื่อเขาทุ่มความสนใจของตัวเองทั้งหมดไว้ที่ซื่อคง?
ตัวอย่างเช่นยามนี้ที่เขากำลังแอบมองอีกฝ่ายอีกครั้ง ซื่อคงเปิดเปลือกตาขึ้นมาดู และตามที่คาดลู่ทำท่าลนลานก่อนจะเบนสายตาหนีไปอีกด้าน
“ระยะนี้โยมคิดมากมาตลอด โยมกังวลเรื่องอันใดหรือไม่?” ซื่อคงถาม
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแข็งทื่อก่อนจะแสดงสีหน้างุ่นง่าน ถึงกระนั้นอารมณ์ของลู่เหิงก็ไม่ใช่ความประหม่า เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวไปข้างหน้า
“ซื่อคง ข้ารู้ว่าท่านและข้าน่าจะเป็นคนรักมาก่อน แต่ข้าไม่สามารถจดจำอดีตได้ ข้าจึงอยากถามท่านว่าท่านคิดอย่างไรกับข้าในยามนี้” ลู่เหิงหยุดชะงักก่อนจะกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค “แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไร ข้าก็มีความสุขที่ได้อยู่กับท่าน”
ทันทีที่พูดจบ ลู่เหิงพลันรู้สึกถึงความร้อนบนริมฝีปาก
“ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย บนโลกนี้มีเพียงโยมที่สามารถสัมผัสหัวใจและวิญญาณของอาตมาได้ ทุกความชอบและความไม่ชอบ 7 อารมณ์ 6 ปรารถนาของอาตมาทั้งหมดล้วนผูกติดอยู่กับโยม”
สองสามวันผ่านไป
ลู่เหิงหายตัวไป ทันทีที่ซื่อคงพบว่าร่างที่คุ้นเคยหายไป ดวงตาที่กระจ่างใสพลันถูกย้อมด้วยโลหิต จิตมารของเขาไม่เคยหายไป เขาจะเข้าสู่หนทางแห่งพระพุทธศาสนาอีกครั้งได้อย่างไรในเมื่อเขายังยึดติดกับความหลงใหลและความปรารถนาอย่างดื้อดึง?
หมอกสีดำค่อยๆ ปรากฏตัวและหนาขึ้นเรื่อยๆ เวลานั้นเองนกกระดาษพลันพรวดพราดเข้ามา “ซื่อคง มาหาข้าที่ภูเขาจาวเหยาเร็วเข้า”
ภูเขาจาวเหยา ทุกๆ ที่บนภูเขาถูกปกคลุมด้วยสีแดง
อดีตที่อยู่อาศัยของราชาปีศาจที่อยู่ด้านบนยอดเขาปรากฏร่างเด็กหนุ่มในชุดสีแดงมองกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ทิวทัศน์ที่มีสีสันงดงามของภูเขาดูจืดจางลงชั่วขณะ
เขายื่นมือไปหาซื่อคงและกล่าวว่า “ซื่อคง วันนี้ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ท่านจะอยู่กับข้าไปอีกร้อยปีได้หรือไม่? ไม่สิ ชั่วนิรันดร์ดีหรือไม่?”
ซื่อคงก้าวไปข้างหน้าและจับมือที่เขารอมานานหลายพันปี
น้ำตาของเทียนมังกรคู่ไหลเป็นทางยาว ใต้แสงเทียนเงาของชายหนุ่มทั้งสองค่อยๆ ซ้อนทับกัน ความรู้สึกรักใคร่จนไม่อาจแยกจากนับพันหมุนวนอยู่ภายใน
ครองคู่กันนานนับพันปีและไม่เคยหลงลืมความรักที่มีร่วมกัน
-----------------------------------------------------------------
เป็นบทที่ฮีลตับไตไส้พุงมากหลังจากที่โดนคนแต่งพังเละ 555555 อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วนะคะว่าเดี๋ยวอนาคตเขาก็ได้อยู่ด้วยกัน
อาร์คนี้จบลงแล้วนะคะทุกคน //ตบมือออ เราจะแปลบทต่อไปซึ่งเป็นบทแรกของอาร์ค 3 แล้วหยุดแปลก่อนนะคะจนกว่าทางอิ้งจะแปลอาร์คนี้จบตามที่เคยแจ้งไปเนื่องจากเราไม่สามารถงมภาษาจีนได้จริงๆ
----------------------------------------------------------------
คำศัพท์
Vicariously = มีประสบการณ์จากการฟัง ดู หรืออ่านงานผู้อื่นมากกว่าทำด้วยตนเอง
Remnant = ส่วนที่เหลือ, เศษเล็กเศษน้อย
Reverberate = ดังก้อง, สั่นสะเทือน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นึกว่าพ้นจากบาปแล้วแต่เราก็ยังต้องบาปต่อไปค่ะขอบคุณ
ได้ฮีลตับหน่อย🥺
ไม่รู้ทำไม แต่บทนี้เรียกน้ำตาเราได้มากกว่าบทที่แล้วอีกแง
ตั้งแต่เริ่มอ่านมา มาม่ามากทุกตอนนี้ ไม่ร้องไห้เลย มาตายท่อน "อยู่กับอาตมาแล้วอย่าหายไปไหนอีกน่ะโยม" นี้คือน้ำตาหยด ใส่โทรศัพท์เป็นเม็ดๆเลย ฮือออออออ จะหาผู้ชายอย่างซื่อคงได้ที่ไหน ยอมไม่ตรัสรู้เพื่อเธอ จะเลิกเป็นพระแล้วมาอยู่กับเธอ ตอนโดนจับกลับวัดปกป้องน้องสุดชีวิตมีอะไรเอาออกมาใช้ปกป้องหมด ตอนน้องกระเด็นมาปัจจุบัน โดนจับกลับวัดยอมปิดกั้นสติเพื่อให้ไม่ลืมเธอ
เข้าวิถีมารเพื่อให้เจอเธอแม้อีกสักครั้ง ไปฆ่ายัยกระต่ายเพื่อให้เธอกลับมา กลับมานั่งอยู่กับรูปปั้นงู(ลู่เหิง)เป็นพันๆปี สร้างหมอกดำขึ้นมาไม่ให้ใครผ่านยกเว้นน้องคนเดียวพอเห็นลู่เหิง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจหรือขยับ เพราะกลัวน้องหายไป จากตอนแรกแพ่ไอเย็นไปทั้งตัวพอน้องจับอุ่นขึ้นมาทันตา บอกน้องด้วยว่าอย่าเล่นบ้าทั้งๆทีในใจนี้คือเต้นระรั่ว เพราะเธอกลับมา รอหลายพันปีเพื่อจะได้หวีผมเธออีกครั้ง พอน้องหายไปล่ะตานี้แดงเกรี้ยวกราดสร้างไอหมอกขึ้นมาอีก น้องส่งนกกระดาษบอกให้ไปหานี้ แล้วได้อยู่ด้วยกันตลอดไป นี่จากใจแฟ่บไปฟู่ขึ้นเลย????????????
ติดใจกับคำว่า มัวเมา ในท่อนนั้นมากค่ะ