ตอนที่ 10 : Chapter 10
Chapter 10
“ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าพวกเราจะตายแบบนี้” ลู่เหิงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดกับฮิววิตต์
เครือข่ายจิตวิญญาณของราชินีปิดกั้นการเข้าออกดาวทั้งดวงไว้แล้ว เมื่อหุ่นจักรกลพยายามที่จะทำลายเครือข่ายและออกจากชั้นบรรยากาศ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะถูกโจมตีโดยพลังจิตของราชินีทันที ว่าง่ายๆ คือพวกเราทั้งสามคนถูกขังอยู่ในดาวดวงนี้ ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อราชินีส่งการ์เดี้ยนเซิร์กจำนวนมากออกมาตามหาร่องรอยของพวกเขา
นี่เป็นวันที่สิบแล้ว การต่อสู้อย่างต่อเนื่องทำให้ฮิววิตต์และลู่เหิงแทบไม่มีแรงเหลือ สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือพลังงานของหุ่นจักรกลกำลังจะหมดในขณะที่การต่อสู้ยังคงดุเดือด
“นานาน้อย นายมองโลกแง่ร้ายเกินไปแล้ว ฉันสัญญาว่านายจะได้กลับไปที่ดาวใหญ่เพื่อไปงานเทศกาลดวงดาวแน่นอน” สีหน้าฮิววิตต์อ่อนล้า แต่ดวงตาเขากลับเปล่งประกาย “ฉันมีแผน แต่ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออยู่ มาคุยกันก่อนดีกว่า”
“อะไรอีก นายตั้งใจจะสร้างปัญหาจริงๆ สินะ” ลู่เหิงขมวดคิ้ว
ฮิววิตต์แสดงท่าทีเกินจริงด้วยการจับหน้าอกและทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “นานาน้อยดุฉัน ฉันกลัว และเมื่อฉันกลัวจนลนลาน ฉันก็จะลืมแผนการทั้งหมดในหัว”
ลู่เหิงนั่งลงอย่างช่วยไม่ได้ ฮิววิตต์เข้าใจท่าทางนั้น ลู่เหิงยอมรับคำขอของเขา
“อันที่จริงถึงฉันไม่พูด นายก็น่าจะรู้ว่าฉันจะถามอะไร...”
“ทำไมนายถึงได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก” ลู่เหิงค่อนข้างสับสน ฮิววิตต์เป็นคนง่ายๆ และชอบอิสระ นอกจากอุดมการณ์ของตัวเอง เขาก็ไม่เคยยึดติดกับอะไรอีก
“เพราะฉันไม่คิดว่านายมีความสุข ไรเนอร์” ท่าทางของฮิววิตต์ดูซีเรียสผิดปกติ “และฉันคิดว่าต้นเหตุของเรื่องพวกนี้คือฉัน”
ลู่เหิงเงียบไปพักใหญ่ ทั้งๆ ที่มีคำพูดมากมายนับไม่ถ้วนที่อยากจะพูด แต่เขากลับไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ไรเนอร์ซึ่งเกิดมาในครอบครัวนักการเมือง ตระหนักได้ดีถึงความจริงที่ว่าสถานการณ์ของหน่วยสายลมและสายฟ้านั้นบอบบางมากแค่ไหน การยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางหลายๆ กองพันนั้นเป็นความแข็งแกร่งที่น่ากลัว ตอนนี้หน่วยสายลมและสายฟ้าได้กลายมาเป็นดินแดนในฝันของบุคลากรทางการทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด ในบรรดาผู้สำเร็จการศึกษาระดับหัวกะทิในแต่ละปี ตัวเลือกแรกที่พวกเขามักจะเลือกคือหน่วยสายลมและสายฟ้า
ท่านจอมพลแก่ขึ้นเรื่อยๆ มีรายงานการเจ็บป่วยร้ายแรงออกมามากมายเมื่อไม่นานมานี้ แต่ถึงอย่างนั้นหน่วยสายลมและสายฟ้ากลับกำลังเบ่งบานท่ามกลางความรุ่งโรจน์ นั่นจะไม่ไปเป็นการไปแตะเส้นประสาทบนศีรษะทหารกองอื่นๆ ได้อย่างไร? พ่อของฮิววิตต์ รีสเป็นที่เคารพมากในหมู่ประชาชน และการกระทำที่กล้าหาญของกองพันที่สองนั้นโดดเด่นมาก หากควบคู่ไปกับการสนับสนุนของสายลมและสายฟ้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำแหน่งจอมพลคนถัดไปจะตกเป็นของใคร
ถึงแม้ว่าฮิววิตต์จะไม่เชื่อฟัง และมักเมินเฉยต่อกิจกรรมของกองทัพและไม่เคยมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิทธิต่างๆ แต่นายพลรีสก็เป็นพ่อของเขา ดังนั้นดวงตาที่คอยจับตาดูหน่วยสายลมและสายฟ้าจึงไม่ใช่น้อยๆ
“ฉันได้ยินมาว่าเวลาของท่านจอมพลกำลังจะหมดลงแล้ว” ลู่เหิงหยุดนิ่ง “ในแผนการของคนระดับบนนั้น มันปลอดภัยกว่าที่จะทำลายทรัพยากรที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อพวกเขา ดังนั้นหน่วยสายลมและสายฟ้าที่ไม่สามารถควบคุมได้จะคุกคามน้อยกว่าการรวมเป็นน้ำหนึ่งน้ำใจเดียวกันมาก”
ฮิววิตต์ไม่ใช่คนโง่ เขาแค่ขี้เกียจเกินว่าจะสนใจเกี่ยวกับแผนร้ายพวกนี้ เขาเชื่อว่าหน่วยสายลมและสายฟ้าอยู่ห่างจากดาวหลักและประจำการอยู่แถบชายแดนมาเป็นเวลานาน ซึ่งมุ่งเน้นในการปกป้องสหพันธ์มนุษย์และต่อสู้กับเซิร์กเท่านั้น สายฟ้าที่ไม่สามารถควบคุมได้คุกคามน้อยกว่าสายลมและสายฟ้าที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
อย่างไรก็ตามการที่เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการด้วยความอุ่นใจ นั่นเป็นเพราะการทำหน้าที่เป็นสื่อกลางแทนเขาของลู่เหิง ด้วยเหตุนี้ลู่เหิงจึงกดดันธรรมชาติของตัวเองเอาไว้ และเขาไม่ลังเลเลยที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกแผนกสูงๆ เพื่อเข้าร่วมในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ต้องรู้ไว้ว่าที่ลู่เหิงไม่ได้แคร์เกี่ยวกับสิ่งที่ครอบครัวตระเตรียมไว้ให้ และสมัครเข้าสถาบันทหารเพราะว่าเขารังเกียจความดำมืดในแวดวงการเมือง
หลังจากคิดถึงปัญหานี้ฮิววิตต์ก็จับมือลู่เหิง กรามของเขาสั่นจากการกัดฟันแน่น “นาย...”
เมื่อพูดคำนี้ออกไป เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก เขาทำได้เพียงกอดลู่เหิงไว้ในอ้อมแขน แขนที่เหมือนเหล็กของเขาก็โอบรอบตัวลู่เหิงเอาไว้
ลู่เหิงค่อนข้างอึดอัด เขาจึงผลักฮิววิตต์ออกด้วยการดันเบาๆ “นายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด หน่วยสายลมและสายฟ้าไม่ใจแค่ความฝันในอุดมคติของนายแต่เป็นของฉันด้วย ปัญหาแบบนี้ควรจัดการโดยคนที่แบบเดียวกัน”
หลังจากนั้นลู่เหิงก็พิจารณาฮิววิตต์ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่าทางสบประมาท “คนคนนี้ดูไม่น่าใช่นายเลย”
ฮิววิตต์แกล้งทำเป็นโกรธและพูดว่า “นานาน้อย นายกำลังดูถูกฉันเหรอ?”
ต่อมาเขาก็เห็นลู่เหิงยกยิ้มมุมปากเบาๆ และรับรู้ได้จากรอยยิ้มนั้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการว่าเขา มองรอยยิ้มของลู่เหิงแล้ว เขารู้สึกใจกระตุกไปสองสามจังหวะ คล้ายบางมีอย่างได้เปลี่ยนไป ลู่เหิงดูดีมากจริงๆ ฮิววิตต์พลันตระหนักได้ทันที หางตาเขายกขึ้นน้อยๆ จมูกเรียวสวย ริมฝีปากที่ยกยิ้มอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยนทำให้ทั้งตัวเขาดูเหมือนจะเปล่งประกาย
“นายบอกแผนของนายให้ฉันฟังได้ไหม?” สิ่งที่ทำให้ฮิววิตต์เสียใจคือการที่ลู่เหิงรีบเก็บรอยยิ้มอย่างรวดเร็วและกลับมาเป็นใบหน้าจริงจังเหมือนปกติ
ต่อมาฮิววิตต์ก็อธิบายแผนของเขา การสะท้อนทางจิตของพวกเขาจะสามารถเพิ่มพลังจิตเป็นสองเท่าได้ จากนั้นก็โจมตีไปที่ร่างจิตของราชินีแล้วใช้โอกาสนั้นหลบหนีออกไปจากดาว ทั้งสองฝ่ายที่ใช้การสะท้อนทางจิตจะต้องมีความเชื่อใจกันและกันอย่างสมบูรณ์ การจะทำให้สำเร็จต้องไม่มีความสงสัยหรือความเข้าใจผิดใดๆ ในหัวใจ ดังนั้นฮิววิตต์จึงแก้ไขปัญหานี้ล่วงหน้าก่อน
หลังจากยืนยันแผน ชายหนุ่มทั้งสองก็เอาคาร์โลที่อยู่ในตู้รักษาไปด้วย และแอบเข้าไปในที่ซ่อนของราชินี ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ ความเสียหายที่พวกเขาได้รับยิ่งเพิ่มขึ้นจากการโจมตีทางจิตวิญญาณ
หลังจากฆ่าการ์เดี้ยนเซิร์กไปสองสามระลอก พวกเขาก็มาถึงหน้าผาอีกครั้ง ฮิววิตต์จุดไฟโดยใช้กองฟืนขนาดใหญ่แล้วเอาเนื้อสองสามชิ้นที่ตัดมาจากพวกเซิร์กออกมาจากปุ่มสเปซและเริ่มย่าง “มากินเติมพลังหน่อย หลังจากนี้พวกเราต้องใช้กำลังเต็มที่เพื่อดำเนินการตามแผน”
ลู่เหิงมองไปที่ชายตรงหน้าที่สามารถใจเย็นได้ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหน เขาทำได้แค่เลือกที่จะฟังอีกฝ่ายเท่านั้น เขานั่งลงและให้ความร่วมมือในการเริ่มปรุงเนื้อเซิร์ก
“ที่จริงฉันคิดว่าเราสามารถลองเข้าหากันด้วยวิธีที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงได้นะ ต่อหน้าคนอื่นพวกเราแค่แกล้งทำตัวเหมือนเดิม แต่ตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกันเราสามารถสนิทกันได้และนอนด้วยกันเหมือนแต่ก่อน มันจะวิเศษแค่ไหนกัน!” ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ฮิววิต์ก็ยังรู้สึกไม่ชินกับภาพลักษณ์เย็นชาของลู่เหิงอยู่ดี
“ก่อนอื่นเลยนะ ฉันสงสัยว่ามีทหารจากกองพันอื่นในหน่วยสายลมและสายฟ้า” ลู่เหิงมองไปที่อีกคน “และสองเราไม่เคยนอนด้วยกัน”
ฮิววิตต์ทำท่าบาดเจ็บ เมื่อเห็นลู่เหิงไม่สนใจเขา เขาจึงต้องโฟกัสไปที่งาน “คนทรยศ? นายสงสัยใครไหม?”
ลู่เหิงส่ายหัว “มันมีเบาะแสบางอย่าง แต่ฉันไม่รู้ว่าใคร”
ทั้งสองคนที่กินดื่มเพียงพอแล้ว มีพลังจิตที่ดีพอจะที่จะเริ่มการสะท้อน พลังจิตของฮิววิตต์ก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้น และเขาเป็นร่างหลักในการสะท้อนครั้งนี้
ยิ่งพลังจิตทรงพลังมากเท่าไหร่ เมื่อเผชิญหน้ากับพลังจิตจากภายนอกปฏิกิริยาตอบรับที่ได้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น และสถานการณ์อาจอยู่เหนือการควบคุมได้ ดังนั้นลู่เหิงจะแผ่กิ่งก้านจิตวิญญาณออกมา และค่อยๆ เข้าไปในห้วงจิตของฮิววิตต์
สิ่งที่ทำให้ลู่เหิงประหลาดใจก็คือพลังจิตของเขาได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์ ปราศจากร่องรอยของการปฏิเสธใดๆ ลู่เหิงมองไปที่ฮิววิตต์ด้วยสีหน้าซับซ้อนแล้วปิดตาลง รวมพลังของตัวเองเข้าไปในห้วงจิตของฮิววิตต์อย่างเต็มที่
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ทำการสะท้อนจิต แต่ทั้งคู่ก็ทำได้อย่างราบรื่น พลังจิตทั้งสองบิดเป็นเชือกเส้นยักษ์อย่างรวดเร็ว ลู่เหิงมอบการควบคุมให้ฮิววิตต์ และอีกฝ่ายก็ควบคุมพลังจิตของพวกเขาให้เปลี่ยนเป็นหอกยักษ์ พุ่งเข้าไปทำลายร่างจิตของราชินีทันที
ในช่วงเวลาสำคัญที่ชีวิตของพวกเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย บางทีความเข้ากันได้ระหว่างพลังจิตของคาร์โลและฮิววิตต์อาจจะสูงเกินไป ความแข็งแกร่งทางจิตของอีกฝ่ายจึงถูกปลดปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัวและพัวพันเข้ากับพลังจิตของพวกเขาสองคน การสะท้อนทางจิตเป็นสิ่งที่อันตรายมากและจำเป็นต้องอยู่ในจุดที่สมดุล หากมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณของคาร์โล พวกเขาทั้งสามจะอาจจะตายหรือบาดเจ็บสาหัสได้
ฮิววิตต์ที่ควบคุมพลังจิตของทั้งสองนั้นไม่มีกำลังเหลือพอที่จะช่วยเหลือเขา ลู่เหิงต้องกัดฟัน บังคับแยกเอาส่วนเล็กๆ ออกจากแหล่งพลังวิญญาณของตัวเองเปลี่ยนเป็นกำแพงเพื่อปกป้องคาร์โล ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากแหล่งพลังที่ถูกแยกออกทำให้เขาหน้าซีดทันที
ในขณะเดียวกันในที่ซ่อนของราชินีก็ดังก้องไปด้วยเสียงร้องโหยหวน และดูเหมือนว่าการโจมตีของพวกเขาจะได้ผล เครือข่ายจิตวิญญาณของราชินีที่หนาเท่ากำแพงเมืองเริ่มไม่มั่นคง ฮิววิตต์จึงจัดการเปลี่ยนพลังวิญญาณของทั้งสองให้กลายเป็นมีดยาวและตัดที่ช่องว่างบนตาข่ายจิตวิญญาณตามแนวที่บอบบางที่สุด
“ตอนนี้แหละ!” ฮิววิตต์เรียกหุ่นจักรกรของตัวเองออกมาแล้วหิ้วลู่เหิงที่ดูอ่อนแอกระโดดเข้าไป จากนั้นเขาก็ใช้หุ่นจักรกลคว้าตู้รักษาที่มีคาร์โลอยู่ แล้วบินออกไปเหมือนนกที่เพิ่งได้รับอิสระคืนมา เขาพุ่งออกไปทางช่องว่างและบินออกไปสู่อวกาศทันที
“ไม่เป็นไรหรือไงที่คาร์โลอยู่ข้างนอก?” ลู่เหิงถามและไม่หยุดทำงาน
“ยังไงตู้รักษาก็มีระบบหมุนเวียนเลือดติดตั้งอยู่ เพราะงั้นเขาไม่ตายหรอก” นิ้วของฮิววิตต์เต้นบนแผงควบคุม
ลู่เหิงรู้สึกว่าทัศนคติของฮิววิตต์ที่มีต่อคาร์โลค่อนข้างแปลก เขาเป็นคนที่ปกป้องคาร์โลมาตลอดและเขาก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกของผู้มีพระคุณ แต่ตอนนี้เขาดันโยนอีกฝ่ายไว้ข้างนอกหุ่น แม้ว่าพื้นที่ในห้องนักบินจะค่อนข้างแคบ ถึงจะยากหน่อยแต่ก็สามารถอัดตู้รักษาเข้ามาได้ อย่างไรห้องนักบินก็ปลอดภัยกว่าอยู่แล้วเมื่อเทียบกับแขนของหุ่นจักรกล
“นายรู้สึกยังไงบ้างไรเนอร์? การบังคับแบ่งพลังจิตไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ” ถึงแม้ว่าฮิววิตต์จะไม่มีเวลาที่จะไปโฟกัสที่อื่น แต่ชัดเจนว่าเขาไม่ได้พลาดเหตุการณ์นั้น “ไม่ดีเลย หลังจากกลับไป บางทีดร.ไอรีนอาจจะไม่สามารถให้การรักษาที่เหมาะสมได้ ไม่ๆๆ ไปตรวจที่ดาวฮอร์สกันเถอะ ฉันรู้จักหมอดีๆ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังจิต...”
“โอเค ฮิววิตต์ ตราบใดที่นายเงียบลง ฉันจะรู้สึกดีขึ้นมาก” ลู่เหิงปวดหัวจึงยกมือนวดหน้าผากตัวเอง
ฮิววิตต์มองใบหน้าซีดขาวของลู่เหิง ทำท่ารูดซิปปากแสดงให้เห็นว่าเขาจะไม่เอะอะอีก
หลังจากนั้นสักพักลู่เหิงก็มองไปที่จอเรดาร์ และรู้สึกว่าสถานการณ์มันแปลก “ราชินีไม่ได้ส่งกองกำลังออกมาไล่ตามเรา นี่มันไม่ถูกต้อง”
“ตอนฉันโจมตีราชินีครั้งแรก ฉันก็พบว่าการป้องกันทางจิตมันอ่อนเกินไปนิด” ฮิววิตต์พูด “นั่นอาจไม่ใช่ความแข็งแกร่งของราชินี”
ไม่ว่าจะยังไงทั้งสองก็มาถึงใกล้รู้หนอนแล้ว และความผิดปกติของราชินีก็กำลังจะถูกตรวจสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ของสถาบัน ครั้งนี้หลังจากหลบหนีจากปากเหวความตายได้สำเร็จ ทั้งฮิววิตต์และลู่เหิงก็หมดแรงและอยากกลับไปที่ยานเพื่อพักผ่อนเท่านั้น
---------------------------------------------------------------
อ่านตอนนี้แล้วสงสารไรเนอร์(ตัวจริง)มากอ่ะ คือทำเพื่อสหพันธ์ก็แล้วทำเพื่อเพื่อนก็แล้วแต่ไม่มีใครเห็นเลย โดยเฉพาะอีตาฮิววิตต์ คือน้องยอมทำตัวไม่สนิทกับเพื่อนเพื่อปกป้องหน่วยอ่ะะ //ลูบหัวปลอบใจน้อง
อย่างน้อยอีตาฮิวนางก็รู้จักความไม่เอาคาร์โลเข้าไปในหุ่นด้วยจะยอมให้นางเป็นพระเอกต่อไปก็ได้ เหอะะ
ป.ล. มีใครสังเกตมั้ยว่าตอนนี้มันเข้ากับการเมืองตอนนี้ฝุดๆ //ซุบซิบเบาๆ
---------------------------------------------------------------
คำศัพท์ ゚*。(・∀・)゚*。
Formidable = ยากที่จะจัดการ, น่าเกรงขาม
Intrigues = ก่อให้เกิดความสนใจ, การลักลอบเป็นชู้, เล่ห์เพทุบาย
Echelon = ระดับตำแหน่ง
Utter = พูด, เปล่งเสียง
Scornful = ดูถูก, สบประมาท
Requisite = จำเป็น
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อย่าบอกนะว่าราชินีเซิร์กอะไรนั่นไปอยู่ในร่างคาร์โลอ่ะ?
[ มโน ]
นี่ว่าน้องลู่ค่อนข้างหัวช้ามากๆเลย ส่วนระบบก็ไม่ต่างกัน...
555ชอบตรงซุบซิบเบา (แต่รู้กันให้แซด) นี่แหละค่ะ^^
อ่านคำว่า “หน่วยสายลมและสายฟ้า” ซ้ำๆแล้วแอบเหนื่อยอ่ะ แบบยิ่งประโยคที่มีการพูดชื่อหน่วยถี่ๆ อ่านแล้วแบบ กว่าจะจบแต่ละประโยค55
แนะนำเป็นคำว่า “หน่วยวายุอัสนี” ไหมคะ เคยเห็นคนแต่งนิยายจีน กับนิยายแปลจีนเขาใช้กันบ่อยอยู่ มันดูคุ้นๆหูด้วย
ขนาดสลบยังเป็นตัววุ่นวาย คือมาเพื่อให้คนอื่นลำบาก ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแถมยังสร้างอันตรายให้คนอื่น น้องเกือบแย่ อิฮิวคงเริ่มหมั่นไส้ ไม่ไหวกับนังคาร์โลละ 55555 //อีกรอบ สงสารไรเนอร์โลกก่อนละเกิ๊นนนน
สงสารไรเนอร์ตัวจริงโคตร อีนายเอก อีสาสสสสส ขอโทษที่หยาบค่าาา
อืม ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็พอจะรู้ตัวอยู่นิว่าหน่วยตัวเองโดนเล็ง แต่กลับคิดง่ายๆว่าคงไม่เป็นไร แล้วพอเกิดปัญหาก็โยนให้ไรเนอร์?
อ่านแล้วสงสารไรเนอร์ตัวจริงเลย เพื่อปกป้องหน่วย เพื่อปกป้องเพื่อน แต่สุดท้ายกลับถูกบันทึกว่าเป็นต้นเหตุของภัยร้าย