ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เมื่อถึงคราวเจ็บ
    เด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์คู่โต กับเรือนผมสีทองสลวยเดินเข้าไปใกล้นักบวชสาวแสนเงียบ ที่ตอนนี้รู้สึกจะมีอาการเดินที่แปลกไป เธอจึงเอ่ยทักขึ้นเบาๆ
    “เป็นอะไรไปหรือคะพี่เอรีส” หญิงสาวเจ้าของชื่อเบือนนัยน์ตาสีฟ้ามาสบ ก่อนจะตอบเหมือนบ่น
    “เคยมีใครเขาใส่รองเท้าส้นสูงเดินป่ากันบ้างหรือไง” ว่าจบเจ้าตัวก็ยิ่งแสดงอาการเดินแปลกๆ มากขึ้น ราวกับว่าการทรงตัวที่มีเริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ขาพับลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นใกล้กับโคนต้นไม้ใหญ่ มือบางจึงเอื้อมไปแกะรองเท้าออกอย่างหมดความอดทน ก็เธอเคยใส่รองเท้าส้นสูงกับเขาเสียเมื่อไหร่กัน แล้วต้องมาเดินป่าที่ทางก็ไม่ได้เดินสบายเหมือนถนนอีก....คิดแล้วก็ปวดหัว
    “ไหวมั้ยเนี่ยเอรีส” เรริน่าที่เดินนำหน้าหันขวับกลับมามองทันที ก่อนจะวิ่งเข้ามาใกล้ๆ “ท่าทางจะไม่ชินละสิ” หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาแดงเพลิงเปรยขึ้นเรียบๆ
    “ก็ใช่” เอรีสตอบเสียงสั้น ดูข้อเท้าที่รู้สึกว่าจะเป็นแผลเข้าให้แล้ว...เพราะรองเท้ามันกัด เรริน่าก็ยังอุตส่าห์ใส่เข้าไปได้ เฮ้อ...
    “จะเอายังไงกันดีล่ะทีนี้” เรริน่าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พยุงไปอย่างนั้นหรือ” ไม่มีใครตอบอะไรจนกระทั่งฟีวิลเป็นคนเอ่ยขึ้นมาคนแรกท่ามกลางความเงียบ
    “จริงๆ เราก็เดินทางกันมาหลายชั่วโมงแล้วนะ พักตรงนี้ก็ไม่เสียหายอะไร” เจ้าตัวว่าพลางเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวที่นั่งหมดสภาพอยู่กับพื้น ก่อนจะวางสัมภาระลง แล้วทิ้งตัวลงนั่งบ้าง...เอื้อมมือใหญ่ไปจับข้อเท้าของหญิงสาว จนเอรีสต้องร้องโอยด้วยความเจ็บ
    “ข้อเท้าแพลง?....โดนรองเท้ากัด เดินมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าใช่ย่อยเหมือนกันนะ” ประโยคที่ไม่รู้ว่าด่าหรือชมกันแน่ เรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าของหญิงสาวตวัดฉับมามองด้วยสายตาอันเย็นเยียบ จนฟีวิลต้องถอนใจ ระบายรอยยิ้มบนใบหน้าราวกับว่าจะยั่วโมโห ยกมือขึ้นทั้งสองข้างขึ้นในอากัปกิริยาของคนยอมแพ้ “จะยังไงก็เอาเถอะ ฝืนเดินมาได้ยังไงกัน ข้อเท้าบวมขนาดนี้ ถ้าช้ากว่านี้อีกหน่อยสงสัยคงต้องตัดเท้าทิ้ง”
    คำพูดที่ทำให้เอรีสขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรออกไป ชายหนุ่มตรงหน้าก็มือไวพอที่จะหยิบอุปกรณ์ทำแผลขึ้นมาทันที จนเธอร้องออกมาแทบจะเดี๋ยวนั้น
    “จับให้มันเบาๆ ไม่ได้หรือ”
    “ถ้าไม่จับแล้วจะทำแผลได้ยังไงกันละครับ คุณนักบวช” หัวขโมยหนุ่มว่าอย่างอารมณ์ดี มือก็ยังคงทำแผลอย่างสนุกสนาน เอรีสที่ได้ยินดังนั้นก็เงียบไปในทันใด ไม่อยากต่อปากต่อคำ ทั้งๆ ที่ในใจสบถไปแล้วอีกยาวเหยียดเป็นกิโล
    “ซีรินๆ นายมาช่วยฉันหยิบของหน่อย” บุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่คมกล่าวขึ้นมา แต่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมามองผู้ถูกเรียกชื่อ ซีรินได้ยินดังนั้นคิ้วเข้มก็ขมวดเข้ามานิด ก่อนเดินลากเท้าอย่างหมดแรงเข้าไปหาคนทั้งคู่
    “จะให้หยิบไร?” เด็กหนุ่มยิงคำถามทันทีที่เดินมาถึง นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก่อนคิ้วที่ขมวดมุ่นจะคลายออกเพราะอาการไอค่อกแค่ก
    “หยิบผ้าพันแผลให้หน่อยสิ”
    หวังว่ามันคงจะไม่ป่วยหนักก่อนถึงไอออสนะ....
    ฟีวิลคิดในใจขณะเอ่ยก่อนจะรับผ้าพันแผลมาจากผู้เป็นน้อง
    “ฉันว่าเราน่าจะรีบเดินทาง....” บุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีดำขลับคู่คมเอ่ยเสียงเรียบ เรียกให้คิ้วของคนฟังเลิกขึ้นสูงอย่างข้องใจ เซเรสถึงได้ชี้แจงแถลงไขต่อไป “ถ้าเกิดซีรินมาป่วยหนักก่อนจะถึงไอออส งานนี้คงลำบากเพราะยาเราก็ไม่มีที่รักษาอาการได้ชะงัดนัก....”
    “ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย” เจ้าหัวขโมยตัวแสบแย้งขึ้นทันควัน แต่ก็ยังไม่วายไอแค่กอีกตามเคย
    “อย่างนี้ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอ” คามิลเลียที่ฟังอยู่นานเอ่ยขึ้นบ้าง แล้วหันไปถามเซเรส “ทำไมซีรินถึงได้ป่วยเอาง่ายๆ อย่างนี้ละคะ พี่เซเรส”
    เซเรสไม่ได้ตอบ แต่บุ้ยหน้าไปทางที่เอรีสกับฟีวิลนั่งอยู่เป็นเชิงว่า ‘ให้หมอนั่นตอบน่าจะดีกว่า’ เธอจึงส่งคำถามไปใหม่อีกรอบ
    “พี่ฟีวิลคะ....ทำไมซีรินถึงมาป่วยเอาง่ายๆ อย่างนี้ละคะ อากาศหนาวก็ไม่ใช่ว่าจะมาก นี่ก็เพิ่งเริ่มเข้าฤดูหนาวเองนะคะ” คนฟังได้ยินก็หันมายังคิ้วแผล็บพร้อมขายจุดอ่อนของเจ้าน้องชายตัวดีด้วยการสาธยายความเป็นมาของอาการยาวเหยียด แล้วมันก็เป็นกิริยาที่น่าส่งรอยเท้าไปประทับไว้สักที่บนร่างของมันนักสำหรับซีริน พอฟีวิลเล่าจนหมด ทุกคนก็พยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงรับรู้อย่างถ่องแท้และแน่นอน
    “รู้ว่าตัวเองป่วยง่าย แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อหนาวหรือดูแลตัวเองซักหน่อยเลยล่ะ ซีริน” เรริน่าเอ่ยขึ้นอย่างเอ็นดู ก่อนจะรื้อค้นหาของในกระเป๋าสัมภาระสินค้า ว่าแล้วก็หยิบเสื้อกันหนาวมาได้หนึ่งตัว ส่งให้ซีริน แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธด้วยการส่ายหน้าไปมาเร็วๆ แล้วตอบเสียงห้วน
    “มันร้อน” เสียงที่ควรจะห้วนและดูสั้นอย่างเคย ตอนนี้กลับแหบพร่าไปหมด เรริน่าหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะย้อนเข้าให้
    “ดูซิ เดี๋ยวป่วยหนักกว่านี้แล้วอย่ามาหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน.....เอ้า ใส่ซะสิจ๊ะ” คราวนี้เขาไม่ได้ปฏิเสธ เพราะขืนอาการทรุดหนักมากกว่าเดิม เขาก็คงไม่ต่างอะไรไปกับตัวถ่วงดีๆ นี่เอง แล้วเวลาจะทำอะไรก็ทำไม่สะดวกดั่งใจนึกอีก
    “จะให้ฉันใช้เวทรักษามั้ย” เอรีสเอ่ยขึ้นมาในที่สุดหลังจากเจ็บจนรู้สึกชาไปแล้วตอนนี้ ซีรินถึงกับรีบส่ายหัววืดๆ แบบไม่อยากจะยอมรับข้อเสนอใดๆ แล้วทั้งสิ้น ฟีวิลที่นั่งทำแผลอยู่ถึงได้บ่นออกมาเบาๆ
    “ตัวเองยังเอาไม่รอดจะไปช่วยคนอื่นซะแล้วรึนี่” หญิงสาวที่ยังเจ็บไม่หายหันมามองพร้อมกับขยับเท้าเตรียมจะลุกทันที ชายหนุ่มที่กำลังพันผ้าพันแผลให้หลังจากใส่ยาแล้วเงยหน้าขึ้นมามองฉับพลัน พร้อมกับส่งนัยน์ตาสีเขียวมรกตเป็นเชิงดุไปว่า ‘จะขยับทำไม!’ เอรีสที่เพิ่งจะเคยเห็นแววตาดุๆ ของเจ้าคนอารมณ์ดีตลอดไม่เคยเปลี่ยนถึงกับงุนงงไปชั่วขณะ จึงได้แต่นั่งลงเหมือนเดิมแต่โดยดี
    กับแค่ลุกไม่เห็นจะต้องดุขนาดนี้เลย....
    “ไม่ดุแล้วเธอจะยอมฟังฉันอย่างนั้นหรือเอรีส?” ฟีวิลพูดลอยๆ ออกมา แต่ราวกับว่าเขาอ่านใจเธอออกหรือเข้าไปนั่งดูสิ่งที่เธอคิดแล้วพูดออกมาเป็นคำๆ อย่างไรอย่างนั้น หญิงสาวเบือนนัยน์ตาสีฟ้าไปสบอีกรอบ แล้วมันก็เป็นครั้งแรกที่ฟีวิลได้เห็นสายตาปนงุนงงที่มีมากกว่าสายตาที่เย็นชา
    ....แล้วเจ้าตัวก็รีบเปลี่ยนสายตาเป็นดังเดิมทันทีพร้อมกับปรับเสียงให้เป็นปกติ
    “ฉันก็ไม่เคยฟังนายอยู่แล้ว...”
    “เอ้า เสร็จแล้ว....อย่าเพิ่งเดินเพ่นพ่านไปไหนมาไหนตอนนี้ล่ะ ไม่อย่างงั้นคงได้ตัดขาทิ้งแน่ๆ” ฟีวิลพูดตัดทบทันทีพร้อมกับลุกขึ้นยืน เก็บอุปกรณ์ทำแผลอย่างคล่องแคล่ว “ซีริน...เอ่อ...เซเรส ไปหาฟืนกับอาหารกันมั้ย” เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อมองไปทางซีรนก็พบว่า ‘หลับไปแล้ว’ จึงหันไปเรียกบุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีดำขลับแทน เซเรสพยักหน้าช้าๆ พร้อมกับลุกขึ้นเหยียดกาย
    “พวกเราไปแป๊บเดียวนะครับคุณเรริน่า ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ....” ฟีวิลพูดพร้อมกับส่งสายตาแปลกๆ ไปให้เรริน่าที่ตอนนี้หน้าร้อนผ่าว ก่อนเขาจะพูดขึ้นมาอีกรอบ “ฮ่าๆ ผมล้อเล่นน่ะครับ ไม่ต้องคิดมาก...ไปล่ะ”
    “อะไรก็ไม่รู้!” เรริน่าร้องขึ้นอย่างอายๆ หลังจากที่ทั้งคู่เดินลับไปแล้ว จะพูดจริงก็ไม่ใช่ หลอกให้ตกใจเล่นรึไงกัน! เรริน่าคิดแล้วก็ทั้งอายทั้งขำ...
    “พี่ฟีวิลนี่ขี้เล่นจังเลยเนอะ” คามิลเลียเอ่ยขึ้น รอยยิ้มบางปรากฏอยู่บนริมฝีปากบางอย่างขำขัน “แล้วทำไมน้องนิสัยมันถึงได้ต่างกับพี่อย่างนี้นะ” เธอเอ่ยขึ้นเบือนกับดวงตาสีอเมธิสต์คู่โตที่ชำเลืองมองไปยังซีรินที่หลับไม่รู้เรื่องไปแล้ว
    “แล้วพี่เอรีสละคะเป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย” เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีทองสวยถามขึ้นขณะขยับตัวเข้าไปใกล้ นักบวชสาวพยักหน้าช้าๆ จะว่าไปฝีมือการรักษาของหมอนั่นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก น่าจะไปเป็นหมอมากกว่าหัวขโมยด้วยซ้ำ
    ว่าแล้วเจ้าหญิงแสนเรียบร้อยที่กำลังจะกลายเป็นเจ้าหญิงแสนซนขึ้นมาหน่อยแล้วก็เหลือบไปมองเรริน่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกคำแหย่มาได้ก็เอ่ยออกไปโดยไม่ยั้งปาก
    “พี่ฟีวิลเขาก็นิสัยออกจะดี พี่เรริน่าไม่สนใจบ้างหรือไงคะ” เอ่ยเสร็จก็ระบายรอยยิ้มเหมือนเด็กน้อยที่ช่างไร้เดียงสา แม้กระทั่งประโยคที่ตัวเองพูดออกมานั้น ก็ดูเหมือนเธอจะเห็นเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็สามารถถามกันได้ซึ่งๆ หน้า พลันดวงหน้างามๆ ของหญิงสาวผู้ถูกยิงคำถามก็ถึงกับร้อนฉ่า ขึ้นสีเรื่ออีกครั้ง
    เมื่อรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาได้ครบ หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีแดงเพลิงก็ตอบเสียงเรียบ “ฉันไม่ชอบผู้ชายที่อายุน้อยกว่าหรอกนะจ๊ะ” คามิลเลียได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ ในขณะที่เอรีสคิ้วขมวดมุ่นอย่างสงสัยอยู่นิดหนึ่ง แต่เธอก็ยังทำอะไรไม่ได้ตอนนี้ จึงได้แต่ไล่ความติดใจสงสัยออกไป
    ....เมื่อเวลาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ หญิงสาวทั้งสองก็ยังคงพูดเล่นกันต่อไปเรื่อยๆ โดยมีนักบวชสาวที่นั่งเงียบฟังบทสนทนาอย่างสงบภายใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่อันที่จริงเธอได้ฟังเป็นช่วงๆ หรือแค่บางทีที่พวกเธอทั้งสองขอความเห็นจากหญิงสาวเท่านั้น นัยน์ตาสีฟ้าใสคู่สวยเหม่อมองไปยังป่าโดยรอบที่เริ่มมืดแสงลงทีละน้อย อากาศเย็นเริ่มพัดผ่านล้อเล่นกับใบไม้และพื้นหญ้าให้ลู่ไหว เสียงธารน้ำไหลให้ได้ยินเบาๆ แสดงถึงการที่อยู่ไม่ห่างจากลำธารเท่าไหร่นัก เพราะได้ตัดสินใจกันว่าจะเดินลัดเลาะลำธารไป แทนที่จะเดินโดยไม่มีหลักยึดอะไรสักอย่างเดียว
    ทำไมช่วงนี้รู้สึกมันเงียบสงบ สงบจนน่าสงสัย...ไม่มีใครมาลักพาตัวคามิลเลีย ไม่มีโจรป่าที่อาศัยอยู่ในป่าหรือเดินทางหาแหล่งกบดานไปเรื่อยๆ ลอบเข้าชิงทรัพย์ หรือแม้กระทั่งทำร้ายร่างกาย....สักนิดก็ไม่มี
    มันน่าแปลกจนเกินไป...
    ทั้งๆ ที่การเดินทางครั้งนี้เพื่อรวบรวมกำลังชิงบัลลังก์คืน...
    ...ทั้งๆ ที่การเดินทางครั้งนี้เพื่อตามหากษัตริย์ที่หายสาบสูญไป
    แล้วนี่มันอะไรกัน ไม่ต่างกับการมาเที่ยวเล่นเลยแม้แต่น้อย...ความคิดที่ล่องลอยไปไกลของหญิงสาวร่างบางเจ้าของเรือนผมสีเงินจำต้องหยุดอยู่เพียงแค่นี้ เพราะเสียงของสองบุรุษที่ส่งมาแต่ไกลทำให้เธอสะดุ้งสุดตัวออกจากห้วงแห่งภวังค์แทบจะทันที
    สองบุรุษที่เธอไม่เคยเห็นว่าจะเครียดเป็นกับใครเขา...
    เวลาได้ล่วงเลยไปอย่างเชื่องช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็น บรรยากาศโดยรอบดูเงียบสงบจนผิดสังเกต หรือเพราะวันนี้คณะเดินทางไม่สู้จะครึกครื้นสักเท่าไหร่นัก
    “นี่จ้ะ ปลาเพิ่งย่างเสร็จใหม่ๆ” เรริน่าว่าพลางส่งปลาย่างมาให้เด็กสาวที่รีบรับมาโดยไว
    “หอมจัง” เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อทำจมูกฟุดฟิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทานอย่างเอร็ดอร่อย เนื่องจากการเดินทางด้วยเท้าที่แสนจะเหนื่อย ยิ่งเมื่อบวกกับชุดที่ไม่ค่อยจะเหมาะกับการเดินทางด้วยแล้วยิ่งซ้ำร้ายเข้าไปอีก
    “พี่เอรีส.....” คามิลเลียเอ่ยขึ้นคิดจะเอาปลาย่างไปให้ ก่อนต้องจะเงียบเสียงลงเมื่อนัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์มองไปเห็นหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเงินยาวสยาย ที่ตอนนี้นั่งหลับอยู่ที่เดิมเพราะไม่ได้ขยับไปไหนเลย
    ชายหนุ่มที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่เห็นดังนั้นก็ลุกจากที่ แล้วเดินไปยังนักบวชสาวที่นั่งหลับไม่ได้สติอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนมือทั้งสองข้างของชายหนุ่มจะถือวิสาสะช้อนร่างบางขึ้นมาในอ้อมแขน
    ฟีวิลก้มลงมองหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาที่เป็นสีฟ้าใสที่ตอนนี้ได้ปิดสนิท คิ้วเรียวยาวเข้ารูปกับดวงหน้ารูปไข่แสนอ่อนหวาน ริมฝีปากบางรูปกระจับสีกลับกุหลาบสวยยามต้องแสง ผิวขาวเนียนราวกับหิมะของเจ้าหล่อนช่างดูงดงามยิ่งนัก เรือนผมสีเงินเงางามที่ถูกปล่อยยาวสยายลู่ลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงยามอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม พลันความคิดเกี่ยวกับความงามของหญิงสาวตรงหน้าที่ดูยังไงก็เป็นแค่หญิงสาวหน้าตาธรรมดาๆ จำต้องถูกลบทิ้งไปจากหัวสมอง....เพราะตอนนี้ดูยังไงๆ ก็สวย....
    สุดจะบรรยาย
    เขานึกคำบรรยายภาพหญิงสาวตรงหน้าอยู่ในใจ และดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าเธอชัดๆ สักครั้ง....ก็ถ้าหากเขามีเวลาดูมากกว่านี้เขาคงจะดูไปนานแล้ว
    ....เพราะแค่ครั้งแรกที่เจอกันก็เกือบจะได้ฆ่ากันตายไปข้าง
    เขาส่ายหน้าไปมาเหมือนจะไล่ความคิดออกไปจากหัวสมอง ว่าแล้วก็วางร่างบางลงนอนในท่าที่คิดว่ามันน่าจะสบายที่สุดเท่าที่ความสามารถของเขาจะมี นัยน์ตาสีเขียวมรกตเหลือบมองไปทางคนอื่นๆ ที่จ้องมองมาอย่างสงสัย ฟีวิลจึงได้เอ่ยถามแก้เก้อพร้อมกับรอมยิ้มที่เห็นอยู่เสมอ
    “ฉันมีอะไรผิดปกติงั้นหรือ” เซเรสไหวไหล่อย่างไม่ติดใจอะไรมากนักก่อนเอ่ย
    “เปล่า”
    นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ของเด็กสาวเบือนไปสบกับนัยน์ตาสีแดงเพลิงของหญิงสาวอีกหนึ่งผู้ร่วมดูเหตุการณ์มองหน้ากันก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏบนริมฝีปาก พลางพยักหน้าหงึกๆ เสริมกับคำพูดของเซเรส
    เปรี๊ยะ....
    เสียงเศษไม้หักดังมาจากกองเพลิงสีแดงสดดูร้อนแรงยิ่งนัก ความอบอุ่นถูกแผ่กระจายออกมารอบกองไฟ เพียงแต่สู้ลมที่หนาวที่หนาวกว่าไม่ได้ ท่ามกลางความมืดรอบตัวและความเงียบงัน ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศขมุกขมัวและทะมึน....หากแต่ในเวลาเช่นนี้กลับยังคงมีหญิงสาวร่างบางผู้หนึ่งนั่งอยู่หน้ากองไฟนั้น
    รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายชัดบนริมฝากบางได้รูปสีกุหลาบสวยของเจ้าหล่อน มือเรียวเอื้อมไปหยิบขวดเล็กๆ ซึ่งภายในขวดบรรจุผงอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋า ที่ตอนนี้หญิงสาวได้เปิดฝาขวดออกมาแล้วโรยผงเข้าไปในกองไฟ ช้าๆ...ช้าๆ....จนในที่สุดก็หมดทั้งขวด....
    เจ้าหล่อนลุกขึ้นยืนพลางมองไปรอบตัว พลันทันใดก็เกิดกลิ่นหอมประหลาดขึ้น และเมื่อเห็นว่าคนอื่นยังหลับดีอยู่ หญิงสาวก็รีบสาวเท้าเบา และเร็วพร้อมกับเดินหายเข้าไปในความมืดมิด ไรซึ่งหนทางสำหรับยามวิกาลเช่นนี้ ยิ้มให้กับความสำเร็จของตัวเองที่หน้าที่ของเธอกำลังจะจบลงแล้ว...
    รอยยิ้มที่หากว่าใครมาเห็นคงบอกได้ว่า
    ไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง....
    คามิลเลียงัวเงียตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด และความเงียบสงัด แต่ก็ยังมีแสงสว่างสลัวๆ จากกองไฟที่เริ่มมอดดับไปทีละน้อย ตอนนี้น่าจะสักราวๆ เที่ยงคืนกว่าๆ ได้ นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ที่เปิดแค่ครึ่งของเธอมองไปรอบๆ ตัว ก่อนจะรู้สึกถึงความแปลกประหลาด และกลิ่นหอมคล้ายเครื่องหอมที่แปลกกลิ่นด้วยเช่นกัน
    ทำไมมันง่วงกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้โดนปลุกตอนกำลังหลับสบายๆ....แต่หนังตามันก็จะปิดเอาเสียให้ได้...ว่าแล้วเจ้าตัวก็หาวหวอดๆ
    สงสัยเดินทางมากไปเลยง่วงละมั้ง
    คิดยังไม่ได้จบประโยคดีก็ส่ายหน้าไปมา ก่อนเด็กสาวจะล้มตัวลงนอนจมเข้าสู่ห่วงนิทรา หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้หลับสนิทดีก็มีมือใหญ่คว้าหมับเข้าที่เอวพร้อมกับลากเธอขึ้นไปตามแรงเหวี่ยง มีดสั้นจ่ออยู่ที่คอหอยเรียกเสียงร้องให้หวีดลั่นในทันใด
    กรี๊ด!!!!
    ไม่ตื่นงานนี้แล้วจะไปตื่นงานไหน คนประสาทสัมผัสไวอย่างฟีวิลและซีรินถึงกับเด้งขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันยืนได้ดีก็เซถลาหน้าเกือบทิ่มลงพื้น ฟีวิลและซีรินส่ายหน้าไปมาเหมือนไล่ความคิดหรืออาการอะไรสักอย่างออกไป แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล ตามมาด้วยเซเรสและเอรีสที่พอรู้สึกตัวก็รีบเรียก อินเดเวอร์ และคลูซิฟิกส์ ออกมาไว้ในมือทันที สุดท้ายก็เรริน่าดูจะยังมีอาการง่วงอยู่เป็นนิจ
    “ใครน่ะ!” ฟีวิลร้องเสียงดังแทบจะเป็นตวาด พร้อมกับพยายามหรี่ตามองไปยังชายผู้หนึ่งในชุดดำรัดกุม ที่กำลังเอามีดมาจ่อคอเด็กสาวอยู่ เท่านั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มตาสว่างขึ้นมาบ้าง
    พลันสายตาของฟีวิลก็ไปสะดุดกับสัญลักษณ์รูปดาบไขว้กันสีขาวบนแขนเสื้อสีดำ.....
    “นี่มันองค์กรที่รับงานตั้งแต่ลักพาตัวไปจนถึงฆ่าคน” เซเรสที่นึกขึ้นได้เหมือนกันเมื่อเห็นสัญลักษณ์ที่แขนเสื้อด้านขวา
    ว่าแล้วจมูกของฟีวิลก็รู้สึกถึงกลิ่นหอมอะไรบางอย่าง
    “กลิ่นนี่มัน.....ควันยาสลบ! ลอบโจมตีกันนี่....”
    ฟิ้ว....
    ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตจะร้องทักท้วงอะไรไปได้มากกว่านั้น เสียงฟิคสตาร์ของซีริน เจ้าน้องชายตัวแสบก็ออกไปโลดแล่นแหวกอากาศเล่น พุ่งไปยังใบหน้าที่คลุมด้วยผ้าสีดำสนิทอย่างแม่นยำพร้อมๆ กับจิตสังหารที่รุนแรงพวยพุ่งออกมาจากตัวของเขา
    มันไม่ชอบให้ใครมากวนเวลานอน....
    ฟีวิลหันไปมองน้องชายที่ตอนนี้นัยน์ตาสีน้ำตาลดูหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
    ฟึ่บ!?
    ฟิคสตาร์ตัดผ่านหน้าของผู้บุกรุกไปอย่างเฉียดฉิว จะโดนก็แต่ผ้าที่ปิดหน้าที่ตอนนี้ร่วงลงพื้นไปแล้ว ใบหน้าดุดันภายใต้ผ้าสีดำได้ถูกเปิดเผย พร้อมๆ กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดูน่ากลัวจนน่าขนลุกและเสียงหัวเราะในลำคอ ว่าแล้วชายผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ฟีวิลและซีรินคุ้นหูยิ่งนัก
    “ไม่มีคำว่าสัจจะในหมู่นักฆ่าหรอกระหม่อม ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองสำเร็จงานเท่านี้ก็ถือเป็นใช้ได้” เมื่อคามิลเลียเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วเห็นหน้าตาอันดุดันแล้วก็ถึงกับตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรือจากสาเหตุอันใด แต่มีความรู้สึกแปลกๆ อยู่ในน้ำเสียงและหน้าตานั้น....น่ากลัว? ทรงอำนาจ? น่าเกรงขาม?....
    “กองโจรจากยูเครน!” เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเมื่อจำได้แล้วว่ามันเป็นใคร
    กองโจรที่ไม่เคยมีใครจับได้....แล้วมันก็เป็นหัวหน้า!
    “ยังจำได้อยู่อีกหรือ ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมก็คงไม่ต้องพูดอ้อมค้อมออกแรงอะไรมากนัก” เสียงทุ้มต่ำตอบกลับด้วยความเรียบเรื่อย ไม่มีอาการวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนเอ่ยต่อ “พวกท่านจงมอบคามิลเลีย ซานทรีโอ เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรอินดิสมาแต่โดยดี ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่ากระหม่อมไม่เตือน...” เรริน่าที่ได้ยินดังนั้น นัยน์ตาสีแดงเพลิงจึงได้ฉายแววงุนงงยิ่งนัก
    ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน!?
    “นี่มันเรื่องอะไรกัน เซเรส?” หญิงสาวเอ่ยถามทันทีไม่รอให้ติดค้างอยู่ในใจ ดวงตาฉายแววจริงจังมองตรงไปยังบุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีดำขลับอย่างงงงวยปนคาดคั้นเล็กๆ
    ชีวิตทั้งชีวิต จะให้มาตายฟรีทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างนั้นน่ะหรือ....ไม่มีทาง!
    นัยน์ตาสีดำขลับของเซเรสส่งแววขอโทษขอโพยมาก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนๆ “เรื่องมันยาวน่ะ ไว้เรียบร้อยแล้วจะเล่าให้ฟังนะครับ”
    “แน่ใจหรือว่าจะมีโอกาสได้มาคุยกันทีหลัง?” เสียงทุ้มฟังดูเกรงขามน่ากลัว และมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง “ถ้าไม่มีอะไรแล้วกระหม่อมขอตัวนะพะยะค่ะ ท่านฟีวิล เทลเลอร์....” พูดจบก็แบมือออกไปในอากาศที่ว่างเปล่า พึมพำสองสามคำ เชือกเส้นใหญ่ก็ปรากฏบนฝ่ามือ ก่อนจะหยิบมันมามัดที่ข้อมือของคามิลเลียอย่างรวดเร็วและชำนาญการเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาทำมาหากินไปมากกว่านี้
    ใช่....คราวนี้เขาไม่ได้รับงานมาจ้างฆ่าเจ้าหญิง แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามฆ่าผู้ติดตามมาด้วย...เพราะเช่นนั้น
    มือใหญ่เอื้อมไปหยิบของในช่องที่เกี่ยวไว้กับที่คาดเข็มขัด กำขึ้นมาไว้แน่นจนไม่มีใครเห็นว่ามันคืออะไร ทุกคนยืนนิ่งถืออาวุธค้างอยู่อย่างนั้นเพื่อรอรับสถานการณ์ และหาช่องว่างเข้าโจมตี ทว่ายังไม่ทันที่จะตั้งตัว บุรุษเจ้าของร่างใหญ่ที่ดูฉลาดกว่าคนตัวใหญ่ที่เอาดีด้านกำลังอย่างเดียวก็ดึงอะไรออกจากสิ่งนั้นดัง
    แกร๊ก....
    พร้อมกับกล่าวคำเรียบๆ แต่รวดเร็วด้วยเสียงทุ้มต่ำ และรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจยิ่งนัก “ขอบคุณสำหรับตัวเจ้าหญิง...โชคดีและลาก่อน....ลาแล้ว...ลาลับ”
    นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ทันมองเห็นสิ่งที่ชายผู้นั้นถือมาถูกโยนออกไปก็ถึงกับเบิกตากว้าง พอจะตะโกนร้องก็ถูกแรกกระชากจนพูดไม่ออก
    จะไม่ให้ร้องได้ไง มันไม่ใช่ของหลอกเด็กสักหน่อย...
    ก็นั่นมัน....
    ไม่!!!
    พอสิ่งที่ถูกปามาใกล้ถึงตัวพวกที่กำลังจะวิ่งตามไปก็ถึงกับชะงักกึก นัยน์ตาเบิกกว้าง ทำอะไรไม่ทันแล้วนอกจากยกมือขึ้นกันเท่านั้น!...
    ตูม!!!!!
    ลมหายใจของคามิลเลียแทบจะหยุดลงเสียให้ได้ หัวใจเจ้ากรรมเหมือนจะลืมวิธีการเต้นไปชั่วขณะ...
    ระเบิดรุนแรง....มากๆ...ถึงกับทำให้ต้นไม้ใหญ่โตหลายสิบต้นโค่นล้มลงระเนระนาดเป็นวงกว้าง เสียงครืนพังทลายของต้นไม้ดังเป็นระลอกๆ ให้ได้ยิน ฝุ่นควันฟุ้งกระจายหนามากจนมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด เสียงกรีดร้องที่น่าจะเป็นของเรริน่าก็เงียบหายไป...ราวกับว่าร่างของสาวเจ้าได้หายไปพร้อมๆ กับเสียง....ที่อาจได้ยินเป็นครั้งสุดท้าย
    คามิลเลียมองภาพตรงหน้าที่ไกลออกไปเรื่อยๆ ด้วยดวงตาที่เอ่อล้นด้วยหยาดน้ำใสๆ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาที่ไม่นานนักที่พวกเธอได้พบกัน แต่ก็เป็นบุคคลที่เธอรู้สึกไว้ใจ และอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้....โชคชะตา มีจริงแน่หรือ พบกันแล้วทำไมต้องจาก....จากกันเร็วอย่างนี้?
    หรือว่านี่จะเป็น...มิตรภาพที่เป็นเพียงแค่ฝัน?
    ฝุ่นยังคงฟุ้งกระจายจึงทำให้ไม่เห็นแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตอยู่เลยเมื่อดูจากข้างนอก พลันเธอก็รู้สึกว่าเจ้าของร่างสูงที่แบกเธอขึ้นบ่านั้นหยุดลงทำให้ภาพที่ไกลออกไปเรื่อยๆ หยุดตามไปด้วย เขาวางเธอลงก่อนจะหันไปชื่นชมผลงานของตัวเองด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความพอใจเป็นอย่างยิ่ง คามิลเลียเห็นดังนั้นก็อดรนทนไม่ได้ ก็เลยแหวใส่ด้วยเสียงสูงๆ ทั้งน้ำตา
    “คนบ้า! ใจร้ายจำดำ! ฆ่าคนได้ลงคอแล้วยังไม่รู้จักสำนึกผิดอีก! น่าเกลียดที่สุด! ไอ้คน....”
    “อ๊ะ เห็นเรียบร้อยๆ อย่างนี้ก็ด่าคนได้เหมือนกันหรือนี่....ถ้าไม่ติดที่ว่าเจ้าเป็นถึงเจ้าหญิงที่ข้าได้ถูกให้มารับตัวไปแล้วล่ะก็.....ไม่เหลือแน่” เขาพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงอันดุดันและเย็นเยียบขนาดที่ว่าทำให้เธอขนลุกซู่ทันที แต่ด้วยความโกรธเธอจึงตีหน้าเคร่งว่ากลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
    “ถ้ารำคาญนักละก็....งั้นเจ้าก็จงฆ่าข้าให้ตายๆ ไปซะเดี๋ยวนี้เลย!” คำพูดแกมประชดบวกคำสั่งอย่างเคยชิน เรียกให้รอยยิ้มพิลึกบวกสีหน้าปั้นยากปรากฏบนใบหน้าดุดันของอีกฝ่าย
    “ท่านอย่ายั่วโมโหข้าให้มากนักเลยนะ ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะส่งท่านไปหาเพื่อนท่านในเวลาอันใกล้นี้ก็อาจเป็นได้นะพะยะค่ะ”
    “อยากทำอะไรก็เชิญ ยังไงข้าก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่ตั้งแต่แรกแล้วนี่” อีกฝ่ายได้ยินเด็กสาวพูดดังนั้นก็ถึงกับหัวเราะหึหึ ในคำพูดของเธอก่อนย้อนกลับ
    “อย่างน้อยก็ได้เงินล้านกว่าๆ รีเบิลแล้วกัน” เด็กสาวได้ยินดังนั้นจึงได้เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เอาแต่ใจบวกประชดสุดชีวิตยิ่งนัก
    “แล้วเจ้าไม่คิดจะเอาพลังของข้าไปใช้หาเงินแทนที่จะเอาแค่เงินหรอกหรือ เพื่อนของข้าเจ้าก็ฆ่าไปแล้ว จะเอาข้าไปต้มยำทำแกง หรือจะถอดพลังบ้าบออะไรนั่นออกตอนนี้เลยก็ยังได้” ว่าแล้วเจ้าตัวก็จัดแจงสะบัดตัวเองหลุดจากการเกาะกุม แล้วเดินมาข้างหน้าของอีกฝ่าย นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์คู่โตที่เต็มไปด้วยน้ำใสๆ ดูแน่วแน่และนิ่ง....นิ่งจนดูน่ากลัว ก็ยังดีกว่าไปเป็นเครื่องมือของเจ้าคนทรยศ...ทรยศแม้กระทั่งบ้านเมืองของตัวเอง
    เชื้อสายวงศ์กษัตริย์ในโลหิตที่วิ่งวนอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยมบอกให้เธอทำอย่างนี้ ท่านพ่อเคยบอกว่าบ้านเมืองต้องมาก่อนตัวเอง เพราะเช่นนั้นถ้าหากเรามีพลังอย่างว่าจริงก็จะไม่ยอมเอาพลังอย่างนี้ไปให้เจ้าคนที่ทรยศท่านพ่อเป็นอันขาด...
    “ข้าก็ได้ยินอย่างนั้นมาเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ดี...ข้าขอร่างของท่านตอนนี้เลยก็แล้วกัน” ว่าจับก็ชักดาบบนหลังออกมา เผยให้เห็นคมดาบสองด้านวาววับสีเงิน วาดปลายดาบลงมาจ่อที่คอของเด็กสาว
    นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ยังคงลืมตานิ่ง ไม่มีความหวาดกลัวอยู่ในแววตาใสๆ แม้แต่น้อย...รวมถึงไม่มีอะไรอยู่ในหัวสมองอีกแล้ว....
    ผู้เป็นหัวหน้ากองโจรแห่งยูเครนเหยียดยิ้มขึ้น ถ้าเอาไปให้นักบวชเก่งๆ ถอดพลังในร่างไร้วิญญาณน่าจะง่ายกว่าทำเอง คิดแล้วก็ตวัดดาบขึ้นสูง เตรียมฟันให้ตายเพียงครั้งเดียว!
    วืด!
    แต่พอเอาเข้าจริงความกลัวของเธอก็พุ่งขึ้นจับจิต ลมหายใจติดขัดกะทันหัน ดวงตาที่เคยนิ่งบัดนี้ปิดสนิทลงทันที!....
----------------------------------------------------------------------------
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น