ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Sinister

    ลำดับตอนที่ #8 : ค่ำคืนที่เงียบสงบ กับความรู้สึกของใครบางคน

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 48






        เศษไม้ถูกสุมเป็นกองเล็กๆ พร้อมกับเปลวไฟที่แผ่กระจายความอบอุ่นรอบบริเวณที่เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาวนับร้อยนับพันกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกที่จนสุดเส้นขอบฟ้า จันทราครึ่งเสี้ยวให้เพียงแค่แสงสว่างไม่สู้จะมากนัก ในบรรยาการที่น่าจะเงียบเหงาและวังเวงเช่นนี้ แต่กลับมีคณะเดินทางกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาด้วยถ้อยคำที่ไม่เบาเลยสักนิด เล่นเอาสัตว์ป่าต่างๆ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปตามๆ กัน



        “เอ้า....เอาเสื้อคลุมไป” นัยน์ตาสีเขียวมรกตที่พราวประกายแม้จะมืดค่ำแล้วก็ตาม บัดนี้ได้มองไปที่ซีริน น้องชายตัวแสบของเขา พร้อมกับยื่นเสื้อคลุมตัวโคร่งให้ ดวงตาสีน้ำตาลมองมาอย่างสงสัย



        “ให้ทำไม” คำพูดของเจ้าตัวยังคงห้วนสั้นตามแบบฉบับ ฟีวิลถึงได้พูดต่ออีกประโยค



        “อ้าว เดี๋ยวนายก็ปะ....” ประโยคของฟีวิลที่ทำให้เด็กหนุ่มร้องเสียงดังแทรกขึ้นมาแทบจะในทันทีทันใด



        “เออน่า! ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” พูดจบเจ้าตัวก็นอนลงแล้วหลับไปยังห้วงนิทราของตนเองอย่างรวดเร็ว ฟีวิลโคลงหัวไปมาช้าๆ อย่างหน่ายๆ ในนิสัยที่แก้ยังไงก็ไม่หายของน้องตัวเอง บอกแล้วก็ไม่ฟัง อย่ามาหาว่าไม่เตือนทีหลังแล้วกัน....ความคิดของชายหนุ่มที่คิดได้แค่นั้นเพราะหูที่ดีเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้ได้ยินบทสนทนาที่ออกจะเป็นแนวกระซิบของสองสาวที่นั่งอยู่บนขอนไม้ห่างออกไปจากที่ที่เขานั่งอยู่อีกหน่อย



        “ฟีวิลกับซีรินนี่ไม่ใช่พี่น้องกันใช่มั้ย” เรริน่าถามแบบที่คิดว่าคำตอบมันต้องเป็น ‘ใช่’ แต่ติดที่ว่าโครงหน้ามันออกจะคล้ายกันอยู่หน่อยๆ นี่สิที่ทำให้เธอไม่แน่ใจไปมากสักเท่าไหร่ว่ามันจะจริงอย่างที่เธอคิดหรือไม่



        “ไม่ใช่...เป็นพี่น้องกันจริงๆ” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเงินสวยตอบด้วยน้ำเสียงแสนราบเรียบ เรริน่ารู้สึกมึนไปชั่วครู่ ก็เหตุการณ์เมื่อกี้นี้มันไม่เห็นจะบอกความเป็นพี่เป็นน้องของคนทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย สักนิดก็ไม่มี...



        “ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกครับคุณเรริน่า ซีรินก็นิสัยอย่างนี้แหละ คิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่ค่อยสนใจคนอื่นเท่าไหร่นักหรอกครับ” ฟีวิลเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ฉายชัดบนดวงหน้าคมคาย ยามต้องแสงสว่างจากกองเพลิง “คุณเรริน่าจะเอาเสื้อคลุมมั้ยครับ นี่ก็เริ่มจะเข้าฤดูหนาวแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอาเปล่าๆ นะครับ” ฟีวิลเอ่ยอย่างสุภาพ ส่งยิ้นหวานแบบที่ถ้าสาวๆ ปกติทั่วไปเห็นเข้าถึงกับถอนสายตาไม่ได้เลยทีเดียว แล้วยื่นเสื้อคลุมให้ แต่หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มรับ เอ่ยตอบเรียบๆ



        “คุณฟีวิลเอาไว้ให้คนอื่นน่าจะดีกว่านะคะ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่า ‘ไม่ให้คุณแล้วจะให้ใคร’ เรริน่าจึงเอ่ยต่อแบบกึ่งเล่นกึ่งจริง “ก็แฟนคุณยังไงล่ะ”



        “แฟน!?” ชายหนุ่มร้องเสียงที่ไม่สู้จะเบาเท่าไหร่นักอย่างงุนงงเป็นที่สุด หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ เหมือนจะยืนยันในคำพูดของเธอว่ามันไม่ผิดแม้แต่คำเดียว “อะไรกัน ผมยังไม่มีแฟนซักหน่อย” น้ำคำของฟีวิลเปลี่ยนมาเป็นกลั้วหัวเราะแทน พร้อมรอยยิ้มแหง...นัยน์ตาสีเขียวมรกตฉายแววงงงวยอย่างถึงที่สุด



        “แล้วไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันหรอกหรือคะ” คำพูดที่ทำให้หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยแสนสงบที่ไม่ได้เกี่ยวของกับบทสทนานี้เลยสักนิด ต้องหันขวับมามองเรริน่า ก่อนตอบปฏิเสธเสียงแข็ง



        “ไม่ใช่อย่างแน่นอน!” แต่มันก็ดันไปตรงกับคำพูดของฟีวิลที่ออกมาจากลำคอพร้อมกับเด๊ะๆ ทั้งคู่จึงหันมามองหน้ากันอย่างไม่มีสาเหตุ แต่ก่อนที่การปะทะคารมของทั้งสองจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เรริน่าก็ส่งเสียงบางอย่างในลำคอเป็นเชิงให้เงียบ พร้อมเอานิ้วแตะปากตัวเอง



        “เงียบๆ หน่อย เดี๋ยวคามิลเลียกับซีรินก็ตื่นเอาหรอก” กล่าวจบก็มองไปยังเด็กสาวที่นอนหลับไหลไม่ได้สติอยู่ใกล้กองไฟพอสมควรให้ได้ความอบอุ่น เรือนผมสีทองถูกปล่อยสยายอย่างสวยงาม ดวงตาปิดสนิทอย่างยากจะเปิดได้ถ้าเป็นตอนนี้ กับอีกเด็กหนุ่มที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ในบริเวณที่ห่างออกไปอีกหน่อย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตื่นทั้งสามคนก็ได้แต่ถอนใจอย่างโล่งอก....







        “เฮ้อ....” ตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืนแล้ว หากแต่ชายหนุ่มเจ้านัยน์ตาสีดำคมเข้ม และเส้นผมสีเดียวกันกำลังนอนมองท้องฟ้าพร้อมทั้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้ทุกคนก็คงหลับกันหมดแล้ว



        คามิลเลียนอนก่อนเพื่อนเลย คงเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางที่เริ่มต้นตั้งแต่เช้ามายันค่ำ แล้วพี่น้องหัวขโมยที่น่าปวดหัวก็หลับเป็นตายไปเรียบร้อย....ส่วนสองสาวก็ดูท่าจะหลับสบายดี ความคิดของเขาหยุดลงทันทีเมื่อเสียงๆ หนึ่งผ่านเข้ามาในโสตประสาท



        “ทำไมยังไม่นอนอีกละคะ?” ดวงตาสีแดงเพลิงมองมายังชายหนุ่มที่ลุกพรวดขึ้นมาตามเสียง



        “นึกว่าหลับไปแล้วซะอีก” เซเรสมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง เมื่อเอ่ยคำออกไป



        “อาจเป็นเพราะต้องนอนต่างที่ ก็เลยนอนไม่ค่อยจะหลับเท่าไหร่นักก็ได้น่ะค่ะ” เรริน่าเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบา เพราะเธอไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของคนอื่นๆ “เมื่อกี้คุณทำอะไรอยู่หรือคะ” คำถามที่ทำให้เซเรสเกาหัวแกรกๆ แก้เก้อก่อนตอบกลับด้วยเสียงที่ดังพอๆ กัน



        “ก็...นอนดูดาวไปเรื่อยน่ะครับ”



        “ดูดาว?” ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ หญิงสาวเอ่ยต่อพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ “คุณนี่ท่าทางจะเป็นคนโรแมนติกไม่ใช่น้อยเลยนะ”



        “ผม?....ไม่หรอกมั้งครับ ที่บ้านผมใครๆ เขาก็บอกว่าผมเป็นคนที่ไม่มีความโรแมนติกเอาซะเลย” เขาเอ่ยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ



        “แล้วคุณมองดาวทำไมล่ะ” เรริน่ายังคงถามต่อไปเรื่อย ชายหนุ่มแหงนคอมองฟ้าแล้วเอ่ยตอบแบบเรียบง่าย



        “ไม่รู้เหมือนกันสิ....แต่พอมองไปบนฟ้าแล้วมันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นน่ะ” คิ้วของหญิงสาวเลิกขึ้นสูงอย่างสงสัย



        “คุณมีเรื่องให้ไม่สบายใจมากเหรอ”



        “อืม...ก็นิดหน่อยน่ะครับ”



        “เอ่อ...” เรริน่าชะงักไปนิด เซเรสเลยหันมามองอย่างงงๆ ก่อนที่เธอจะพูดต่อ “คือว่า...พอจะเล่าให้ฟังบ้างได้มั้ยคะ เผื่อว่ามันจทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นบ้าง”



        เซเรสนิ่งไปนิด นัยน์ตาสีดำลับฉายแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “มันก็ไม่ถึงกับไม่สบายใจหรอกครับ แต่มันรู้สึกไม่ค่อยดีมากกว่า....ถ้าหากว่าคุณต้องจากบ้าน จากเมืองที่เคยอยู่อย่างสงบมานานๆ คุณจะรู้สึกยังไง?”



        “ก็คงจะคิดถึงมั้งคะ....แล้วทำไมละคะ คุณก็เดินทางเพื่อจะมาเที่ยวไม่ใช่หรือ” คำพูดที่เอาทำให้เซเรสนึกขึ้นได้ ว่าเธอไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ไม่รู้ว่าคามิลเลียเป็นเจ้าหญิง ไม่รู้ว่าจริงๆ พวกเขาเดินทางมาเพื่ออะไร....คิดได้เช่นนั้นเขาจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ



        “พอดีเดินทางมาหลายวันแล้วเจอแต่เรื่องยุ่งน่ะ...ยังไม่ถึงไอออสซักที ผมก็เลยอดคิดถึงบ้านขึ้นมาไม่ได้ก็เท่านั้นแหละครับ” เซเรสตอบออกไปน้ำขุ่นๆ ก่อนรีบทำให้บทสนทนามันจบโดยเร็ว “คุณเรริน่าก็รีบนอนได้แล้วนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเดินทางไม่ไหว”



        “แล้วคุณละคะ” เธอยังคงถามต่ออีกครั้ง



        “ผมก็จะนอนแล้วครับ ราตรีสวัสครับ” ไม่พูดพล่ามทำเพลงไปมากกว่านั้นเจ้าตัวก็นอนลงทันที พลิกตัวไปอีกทางก่อนลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างเสียไม่ได้ แค่นี้ก็ดูจะมีพิรุธมากจนเกินควรแล้ว



        หญิงสาวเพียงขยับยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาสีแดงเพลิงฉายแววอ่านยาก เรือนผมสีเดียวกันถูกรวบอย่างง่ายๆ ก่อนนอน คณะเดินทางนี้ช่างแปลกดีแท้....







        “เดินทางกันต่อได้แล้ว” ฟีวิลร้องขึ้นหลังจากที่ใช้เวลาในตอนเช้าทานเสบียงที่เอามา และนั่งสัปหงกไปหลายต่อหลายรอบ คามิลเลียเดินไปหยิบสัมภาระที่เอามา....



        แต่ปัญหามันไม่ได้มีอยู่แค่นั้น....



        “เธอแน่ใจนะว่าจะแบกไอ้กระเป๋าใบนี้ไปด้วยน่ะ” ซีรินร้องถามพร้อมกับมองไปที่กระเป๋าใบใหญ่ของเรริน่า



        “แน่สิจ๊ะ ยังไงฉันก็ต้องเอาของพวกนี้ไปส่ง หรือไม่ก็พยายามเก็บเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะแค่นี้ก็ขาดทุนพอดูแล้ว” หญิงสาวเอ่ยอย่างมาดมั่นในคำตอบ ก่อนจะหยิบกระเป๋าที่ว่านั่นขึ้นมาสะพายไว้บนหลัง



        “ให้ผมช่วยมั้ยครับ” ฟีวิลออกปากอย่างสุภาพ เรริน่าส่ายหน้าช้าๆ ก่อนกล่าว



        “ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ฉันยังไหวค่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้าประมาณว่า ‘เอางั้นก็ได้’ ก่อนจะเดินไปขนาบกับเซเรส



        วันนี้ทำไมดูเซเรสเงียบๆ ไปหว่า....หรือว่าเขาจะคิดไปเอง? ฟีวิลคิด....เพราะตั้งแต่เช้าวันนี้ดูเซเรสจะเงียบกว่าปกติ เงียบจนผิดสังเกต...ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา ถามคำตอบคำจนนับคำที่หลุดออกมาจากปากได้เลยนะนั่น...นัยน์ตาสีเขียวของเขายังคงมองทางข้างหน้า แต่ไม่สามารถหยุดความสงสัยที่มีลงไปได้



        เรริน่าจะติดใจสงสัยอะไรหรือเปล่านะ ตั้งแต่เรื่องปลอมๆ ที่ฟีวิลบอกไว้ตอนแรก....แล้วเขายังมาพูดเหมือนจะไปคนละเรื่องกับที่ฟีวิลพูดเอาไว้ว่า ‘จะไปเที่ยวที่ไอออส’ ....แต่ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง วันนี้เรริน่าก็ไม่ได้มาเอาความต่อ



        ความคิดของเซเรสที่วนไปวนมา ซ้ำไปซ้ามาแบบนี้อยู่ในหัวสมอง ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เลิกคิด เขาพยายามจะไล่ความคิดเช่นนี้ออกไปหลายต่อหลายครั้ง แต่มันก็เข้ามาอยู่ในหัวทุกครั้งที่เขาเห็นหน้าหญิงสาวต้นเหตุ....คิดแล้วก็ถอนใจเฮือก จนฟีวิลที่เดินมาข้างๆ ถึงกับเบือนนัยน์ตาสีเขียวมรกตมามองอย่างงงๆ คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ



        “เป็นอะไรไปหรือ?”



        “เปล่า” เซเรสตอบเสียงเหมือนคนเหนื่อยเต็มแก่ อีกฝ่ายยังไม่หายสงสัยกับท่าทีที่แปลกไป เลยส่งคำถามออกไปอีกรอบ



        “ไม่สบายหรือไง ซึมอย่างกับซากศพเดินได้” นัยน์ตาสีดำขลับเบือนมาสบก่อนเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ



        “ซากศพอะไรกัน ฉันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว”



        “นี่ เอรีส อาวุธเธอมันคือไม้กางเขนเหรอ” เรริน่าส่งเสียงใสขณะเดินขึ้นมาขนาบกับเจ้าของคนที่เธอจะถาม หญิงสาวเบือนนัยน์ตาสีฟ้ามาสบก่อนส่ายหน้าไปมาช้าๆ เรริน่าเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างแปลกใจก่อนจะถามใหม่อีกรอบ



        “ไม่ใช่ไม้กางเขนแล้วมันเป็นอะไร?” เอรีสกระตุกรอยยิ้มเย็นขึ้นนิดอย่างนึกขำในดวงตาสีแดงเพลิงคู่ใสที่ดูฉงนอย่างถึงที่สุด ก่อนจะเรียกอาวุธให้พลันปรากฏอยู่บนมือ ขยับนิ้วเพียงนิด ไม้กางเขนสีเงินแสนธรรมดาก็ยืดออกกลายสภาพเป็นดาบสีเงินสวย เรริน่าเบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะอุทานออกมา



        “ว้าว...วิเศษจัง” หญิงสาวว่าก่อนเอ่ยต่อ “มันมีชื่อหรือเปล่า?”



        “มีสิ....คลูซิฟิกซ์” เอรีสรับคำสั้น



        “อ้อ...” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ “เอรีส ฉันขอถามอีกอย่างนะ...” เอรีสพยักหน้า....และสิ่งที่เธอกำลังสงสัยอยู่มากที่สุดในตอนนี้คือ ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เรริน่าคุยกับเธอจ้อแบบไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อ ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้เป็นคนช่างพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย แล้วก็แทบไม่ได้จะเป็นคนเริ่มเปิดบทสนทนาก่อนเลยสักครั้ง



        “ฉันคิดว่าคามิลเลียชื่อมันคุ้นๆ นะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน” หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็หันมามองด้วยสายตาที่สงบเหมือนเดิม ก่อนตีหน้าเฉยยิ่งกว่าเดิมแล้วตอบเสียงเรียบสุดๆ



        “ชื่อคามิลเลียก็ไม่ใช่ว่าจะมีอยู่แค่คนเดียวซะเมื่อไหร่ ชื่อออกจะโหล” คามิลเลียที่เดินตามหลังมาได้ยินเข้าก็ถึงกับค้อนขวับเข้าให้อย่างน้อยใจ ซีรินที่เดินทิ้งท้ายมามองดูเหตุการณ์ของสาวๆ อยู่ห่างๆ อย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก เรื่องของผู้หญิง....น่าเบื่อเป็นบ้า เขาคิดอย่างหน่ายๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบือนไปมองข้างทางด้วยสีหน้าที่ใครๆ ดูก็รู้ว่าเบื่อแบบสุดจะบรรยาย....



        และในที่สุด....เวลาก็ได้เดินมาจนถึงเที่ยงตรง แสงแดดแผดจ้าผ่าลงมากลางหัวด้วยอากาศที่แจ่มใสผิดปกติ ไม่มีแม้แต่เศษเมฆ



        “เฮ้อ....ทำไมมันร้อนอย่างนี้” ฟีวิลบ่นอุบขณะเดินไปข้างหน้า คนอื่นๆ มองหน้ากันอย่างงุนงง จะเข้าฤดูหนาวแล้ว....ลมก็ออกเย็นแต่ดันบอกว่าร้อน?



        “ไม่เห็นจะร้อนเลยนี่คะ” เรริน่าแย้งเหมือนยังงงอยู่ ชายหนุ่มหันมามองก่อนกล่าวขึ้นอีก



        “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ....ปกติผมอยู่เมืองหนาว มาอยู่อย่างนี้ก็เลยไม่ชินเท่าไหร่ ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือขี้ร้อน หรือไม่ก็ไม่ถูกกับอากาศร้อนๆ นั่นแหละครับ” ฟีวิลพูดพร้อมส่งยิ้มหวานตามเคย



        “เอ๋...นั่นลำธารนี่” เรริน่าร้องลั่น นัยน์ตาสีแดงเพลิงมองไปข้างหน้าอย่างดีอกดีใจ “ไปอาบน้ำที่ลำธารกันมั้ย ฉันรู้สึกตัวมันเหนอะๆ ยังไงก็ไม่รู้....นะๆ เอรีส....คามิลเลียก็ไปด้วยกันน้า” หญิงสาวเอ่ยพลางส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ทั้งสองคนที่ได้แต่มองหน้ากัน คามิลเลียเลยเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน



        “ก็ดีเหมือนกันนะคะ คามิลเลียก็รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว....ไปด้วยกันนะพี่เอรีส” เอรีสพยักหน้าช้าๆ ก่อนมองไปที่ฟีวิลด้วยสายตาไม่ไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง ฟีวิลเหลือบมามองบ้าง แต่ใบหน้าคมคายนั้นก็ยังมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่อย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง



        “แต่ไม่มีเสื้อผ้า....”



        “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ สินค้าที่ฉันจะเอาไปส่งนี่มีของครบเลยนะ ทั้งผ้าขนหนู ชุดสวยๆ ....” เรริน่าพูดขัดขึ้นมาจนเอรีสต้องยกมือห้ามแล้วตอบตกลงโดยไม่ขัดข้อง



        “อืม ก็ได้ๆ” ทั้งคามิลเลียและเรริน่าร้องอย่างดีใจ



        “ถึงแล้ว” คามิลเลียร้องอย่างดีใจ ในขณะที่หนุ่มๆ พากันเงียบกริบ กระพริบตาปริบๆ มองดูหญิงสาวทั้งหลายตัดสินใจกันโดยไม่บอกกล่าว คามิลเลียเดินไปที่ธารน้ำใส ดูแล้วก็ไม่ตื้นไม่ลึก มีน้ำตกสวยงาม อากาศก็แสนจะสดชื่น



        เอรีสเมื่อเดินมาถึงก็วางสัมภาระลงบนพื้น แกะที่มัดผมออก ก่อนจะเริ่มนึกขึ้นได้ เบือนนัยน์ตาสีฟ้าใสไปมองพวกคนที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ด้วยสายตาเย็นชา แต่ก่อนที่จะได้ด่าไปนั้น เรริน่าก็พูดขึ้นมาเสียก่อน



        “ซีริน เธอจะอาบน้ำด้วยกันมั้ย” คำถามที่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว....จบประโยค ใบหน้าของซีรินก็ขึ้นสีเรื่ออัตโนมัติ ก่อนโสตประสาทจะรับรู้ในคำพูดโดยเร็ว



        “เธอจะบ้าเหรอ!” เขาโวยลั่นแบบไม่ต้องคิดหาคำพูดอื่นใดทั้งสิ้น “อยากอาบก็อาบกันเองดิ!” พูดยังไม่จบประโยคดีก็รีบเดินกึ่งวิ่งออกไป ไม่สนคนอื่นที่กำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถแม้แต่น้อย



        “งั้นพวกผมก็จะไปรอตรงโน้นก่อนนะครับ” เซเรสเอ่ยสุภาพ ก่อนจะเดินไปกับอีกหนึ่งบุรุษ



        “ฮ่าๆๆ พี่เรริน่านี่ก็....” คามิลเลียปล่อยฮาออกมาลั่นแบบไม่เกรงใจใคร จนเรริน่าที่กำลังจัดเตรียมของออกจากกระเป๋าสินค้าที่คงจะต้องขอเลื่อนกำหนดการส่งเป็นคราวหน้าแทน หันมายิ้มให้แบบขำๆ เอรีสที่นั่งอยู่ไม่ห่างเบือนนัยน์ตามาสบอย่างเห็นเป็นเรื่องแปลก







        ทางด้านหนุ่มๆ ที่หาที่พักไม่ใกล้ไม่ไกลจากลำธารเท่าไหร่นักได้แล้ว ต่างคนก็ต่างเงียบ ฟีวิลเรียกดาบของตัวเองออกมาทำความสะอาด จากที่มันก็ไม่ได้สกปรกอะไรมากมายเลย....เซเรสก็หยิบหนังสือที่ยังอุตส่าห์ไปซื้อมาที่ตลาดในเมืองเซเบิลก่อนออกเดินทาง และก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปซื้อมาตอนไหน ส่วนซีรินก็นอนแผ่ลงไปกับพื้นอย่างหมดแรง รู้สึกมึนไปหมดกับเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เพิ่งเจอมาสดๆ ร้อนๆ นึกแล้วก็น่าฆ่านัก พวกผู้หญิง



        บรรยายกาศรอบตัวยังคงถูกปล่อยให้เงียบอยู่อย่างเดิม จนสามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงใบไม้ไหวเพียงน้อยจากยอดสูง เสียงอากาศเสียดสีกับพื้นหญ้า หรือเสียงจากน้ำตกตรงลำธารที่ดังมาตลอดไม่ขาดสาย....



        ....จนกระทั่ง



        “ซีริน เซเรส....” คนถูกเอ่ยชื่อเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ ส่วนเด็กหนุ่มอีกหนึ่งเพียงแค่ลืมตาขึ้นมามองนัยน์ตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยความหงุดหงิดอย่างชัดเจน ดาบที่ถืออยู่ถูกวางลงกับพื้นก่อนนัยน์ตาสีเขียวมรกตจะมองผู้ฟังทั้งสองที่พร้อมจะฟังแล้วตอนนี้ ถึงได้พูดต่อไปอีก “ไปหาสาวๆ ที่ลำธารกันมั้ย” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าคมคายของชายหนุ่ม แบบที่ทำให้อีกสองคนที่เหลือนึกสยองก่อนจะรีบค้านโดยไว



        “ท่าจะไม่ดีนะ” เซเรสพูดพรอ้มกับยิ้มแห้งๆ



        “ไอ้ประสาท!” ซีรินสบถเข้าให้เสียงดัง ฟีวิลได้ยินดังนั้นเลยรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที



        “อะไรกัน ฉันแค่ล้อเล่นเฉยๆ เองนะ....เออนี่ เราไม่ต้องกางเขตเวทอะไรเลยหรอ เดี๋ยวพวกมันบุกมาทีเผลอแล้วจะแย่นา เราอยู่ที่สว่าง พวกมันอยู่ในที่มืด....อันตราย” เขาทำเสียงน่ากลัวจนน่าขนลุก นัยน์ตาสีดำขลับของคนฟังฉายแววครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นบ้าง



        “นั่นสิ แล้วเราจะทำยังไงล่ะ”



        “เวลาเราพักกลางป่าก็ให้เอรีสกางเขตอาคม?” ฟีวิลเสนอความเห็น เซเรสเลยเปรยขึ้นอีกรอบ



        “จริงด้วย....แล้วเราจะต้องหนีไปจนถึงเมื่อไหร่ คนที่จะโจมตีเราก็ไม่ได้ว่าจะมีแค่กลุ่มเดียวด้วย....ถ้ามันกระจายข่าวโดยเอาของเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแล้วละก็นะ....ยิ่งลือกันให้ทั่ว...”



        พูดจบ....ความเงียบก็เริ่มโรยตัวอีกครา ปล่อยให้ต่างคนต่างอยู่ในห้วงคิด...ยกเว้นซีรินที่นั่งฟังราวกับเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอย่างไรอย่างนั้น



        “แล้วยังมีไอ้พลังบ้าบออะไรก็ไม่รู้ของยัยเจ้าหญิงบ๊องนั่นอีก?” นัยน์ตาสีน้ำตาลมองไปที่ใบหน้าเคร่งเครียดของทั้งสองไปมาขณะพูดขึ้น เพราะเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ สองบุรุษเมื่อได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้างเหมือนได้ถูกขุดออกมาจากความทรงจำส่วนลึกของสมอง



        “อืม....งั้นถ้าเรายังไม่ไปคลายผนึกอะไรนั่นอย่างที่ไอ้คิงเฮงซวยคนนั้นบอก คามิลเลียก็จะไม่เป็นอะไรอย่างงั้นน่ะเหรอ” ฟีวิลที่คิดอยู่ได้พักนึงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่นัก



        “แล้วจะมีใครในพวกเราเก่งขนาดคลายผนึกได้” ซีรินพูดอย่างหน่ายๆ



        “มีสิ...” เซเรสเปรยขึ้นมาก่อนจะเงียบไปพัก ซีรินหันขวับมามอง คราวนี้นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นฝ่ายเบิกกว้างขึ้นบ้าง ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อ “ก็จำไม่ได้หรือไง ที่ไอ้คิงเฮงซวยของนายบอกว่า ‘หรือจะให้เอรีสคลายผนึกให้ก่อน’....แทนที่จะส่งตัวคามิลเลียมาเลย แล้วให้มันไปคลายเอาเองทีหลัง” สมองของซีรินเริ่มถูกคุ้ยกระจัดกระจายระลึกอดีตที่ลืมไปได้ง่ายๆ มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิดเมื่อยังนึกไม่ออกเสียที ในขณะที่ฟีวิลทำหน้าแบบที่ดูแล้วน่าจะเข้าใจหมดทุกอย่าง



        “อ๋อ จำได้แล้ว....แต่ถ้าไม่พูดไปเอรีสกับคามิลเลียก็คงจะลืมไป หายห่วงได้ แล้วเอรีสก็คงไม่บ้าพอที่จะคลายผนึกด้วย ถ้ายังอยากได้แม่คืน” พูดจบบุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตถึงได้หยิบดาบขึ้นมาทำควาสะอาดต่ออีกรอบ



        “คงไม่มีใครขะ...แค่กๆๆ” พูดยังไม่จบประโยคเจ้าตัวก็ไอค่อกแค่ก ฟีวิลส่ายหน้าก่อนย้อนเข้าให้



        “เมื่อคืนจะบอกก็ไม่ยอมฟัง ให้ใส่เสื้อคลุมก็ไม่ใส่ แล้วตอนนี้เป็นไงบ้างล่ะ โรคกำเริบอีกละสิ”



        “โรค?” เซเรสที่นั่งฟังบทสนทนาของสองพี่น้องหัวขโมยอยู่ไม่ห่างเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสืออีกรอบ ทวนคำสั้น คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสงสัย นัยน์ตาสีดำขลับฉายแววงุนงงอย่างถึงที่สุด



        “เอ่อ....คือมันก็ไม่ใช่โรคอะไรหรอก แต่เจ้าซีรินมันประมาณว่าป่วยง่าย ยิ่งช่วงใกล้ๆ จะเข้าฤดูหนาวแบบนี้นี่อาการยิ่งหนักเข้าไปใหญ่....ไม่ได้อยู่เมืองหนาวแค่แป๊บเดียวเอง เจอเย็นๆ เข้าหน่อยก็ไม่สบายซะแล้ว”



        “ใครบอก ฉันแค่...แค่กๆ” นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววหงุดหงิดขึ้นทันควันเมื่อได้ยินฟีวิลพูดราวกับบ่น แต่ยังไม่ได้ค้านอะไรไปมากกว่านั้น อาการป่วยก็เริ่มทำพิษอีกครั้ง



        “เอ้ายา...กินซะ แล้วอย่าบอกว่าไม่กินอีกนะ” คำพูดดักคอที่เด็กหนุ่มกำลังจะค้านจำต้องกลืนคำพูดลงไปในคอจนสิ้น ยอมรับยาที่มันค้นออกมาจากกระเป๋าใบเล็กพร้อมกับน้ำแต่โดยดี “มันพอจะช่วยได้แค่นิดเดียวนะ ไว้ถึงไอออสแล้วถ้ายังไม่หายค่อยไปซื้อยาที่มันได้ผลกว่านี้ก็แล้วกัน”



        “ฟีวิล นายพอจะ....”  ชายหนุ่มเจ้าของนัยนาสีดำขลับและเส้นผมสีเดียวกันยังพูดไม่ทันจะจบ ก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น



        กรี๊ด!?...



        ทั้งหมดหันไปในทิศทางเดียวกัน...ลำธาร!



        “เฮ้ย! นั่นมันเสียงจากตรงลำธานี่หว่า!” ฟีวิลที่รู้ตัวก่อนคนแรกหยิบดาบขึ้นวิ่งพรวดไปก่อนเพื่อน แล้วตามด้วยอีกสองหนุ่มที่วิ่งตามมาด้วยความเร็วที่ไม่น้อยไปกว่ากันเท่าไหร่



        “เกิดอะไรขึ้น!” เขาร้องเสียงดังเมื่อมาถึงลำธารเป็นที่เรียบร้อย



        “นะ นั่น! ตรงนั้นมีใครอยู่ก็ไม่รู้!” เด็กสาวเอ่ยเสียงดัง หลับตาปี๋พร้อมกับชี้มือชี้ไม้ไปทางพุ่มไม้ ตัวแทบจะดำลงไปใต้น้ำเลยก็ว่าได้



        “ไหน? ไม่เห็นจะมีใครเลย” เซเรสเอ่ยขึ้นขณะวิ่งไปสำรวจที่ที่คามิลเลียชี้มา จะเห็นก็แต่กระต่ายสีขาวขนปุกปุยนอนสลบคาพื้นอยู่ตัวหนึ่ง



        “ต้องมีสิ! เมื่อกี้ใบไม้ยังไหวๆ อยู่เลย” เรริน่าร้องขึ้นมาอีกคน ก่อนจะได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดจากเอรีสที่ไม่ได้มีอาการตกใจเลยสักนิด ว่าจริงๆ มันเป็นแค่กระต่ายที่กระโดดออกมาเท่านั้น แล้วเผอิญเธอมือไวไปหน่อยคว้าก้อนหินมาได้ก็ขว้างไปแบบไม่คิดจะดูให้แน่ว่ามันเป็นใครหรืออะไร เมื่อคามิลเลียและเรริน่าได้ยินดังนั้นก็ถอนใจอย่างโล่งอก เพราะพวกเธอคิดว่าเป็นพวกโรคจิตที่ไหนมาแอบดูผู้หญิงอาบน้ำ



        ....พูดมาได้ถึงตอนนี้ คนทั้งหมดก็เริ่มนึกขึ้นมาได้....ว่าพวกผู้หญิงที่อยู่ในน้ำ...กำลังอาบน้ำกันอยู่ กับพวกผู้ชาย ที่วิ่งพรวดพราดเข้ามา....เท่านั้นแหละ



        โป๊ก!



        นักบวชสาวมือไวหยิบก้อนหินขึ้นมาได้ก็ขว้างออกไปเต็มแรงจนคนที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา ต้องกระโดดหลบออกไปกันให้จ้าละหวั่น



        “มันไม่แรงไปหรือเอรีส” เรริน่าร้องถาม ดวงหน้าหวานขึ้นสีนิดๆ



        “ฉันว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ” คนถูกถามตอบน้ำเสียงเรียบแบบกดต่ำให้หนักเข้าไว้ แต่ใบหน้าถูกแต่งแต้มไปด้วยสีเรื่อๆ ไม่รู้เพราะว่าโกรธหรือจากสาเหตุอันใด



        “แต่อย่างน้อยเขาก็ยังอุตส่าห์วิ่งมาหาเราเพราะนึกว่าเราเกิดอันตรายนะคะ” คามิลเลียแย้งขึ้นมา ถึงแม้ว่ามันจะมีส่วนผิดอยู่บ้าง ไม่มาก...ก็น้อย







        “โอ๊ย! ขว้างมาได้ เจ็บนะเว้ยยัยบ้า!” ซีรินร้องเสียงหลงพลางลูบหัวป้อยๆ ขณะเดินกลับมานั่งที่เดิม



        “นั่นใช้แรงหรือเวทน่ะ หัวเกือบแตกแล้วมั้ยล่ะ” ฟีวิลที่โดนลูกหลงเข้าไปเหมือนกันครางเหมือนบ่นขึ้นมาเบาๆ พลางเอามือคลำหัวที่เริ่มจะโน



        “สมแล้วที่แค่กระต่ายยังโดนขนาดนั้น ขืนมีพวกโรคจิตจริงๆ พวกมันคงโดนหนักกว่านี้อีกแน่ๆ” และอีกหนึ่งบุรุษที่โดนเข้าไปเต็มๆ เหมือนกันกำลังจับหัวตัวเองที่โดนเข้าให้เช่นกัน



        “แต่ก็ยังดีกว่าเป็นพวกโรคจิตหรือโจรป่าจริงนั่นแหละ” ฟีวิลร้องขึ้นเบาๆ ก่อนจะหยิบดาบที่วางไปเพราะมือไม่ว่าง พึมพำสองสามคำ ดาบทั้งด้ามก็หายไปในทันที



        “รู้งี้ไม่น่าเสนอน่าเข้าไปเลย” นัยน์ตาสีน้ำตาลยิ่งดูหงุดหงิดจากปกติเข้าไปใหญ่ นัยน์ตาสีเขียวของอีกหนึ่งบุรุษถึงได้ฉายแววเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แบบที่น่าส่งบาทาไปประทับอยู่บนดวงหน้าคมๆ นั่นนัก



        “ก็เพราะนายเป็นห่วงเจ้าหญิงนั่นน่ะสิ ถึงได้เสนอหน้าเข้าไปได้....ไม่งั้นปกตินายก็คงจะนอนอยู่เฉยๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอย่างนี้หรอกใช่มะ” พูดจบก็ยักคิ้วแผล็บอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ฝ่ายถูกเย้าหน้าก่ำด้วยสีแดงเรื่อ เซเรสที่นั่งดูอยู่เงียบๆ กระตุกรอยยิ้มขึ้นอย่างขันๆ กับพี่น้องคู่นี้ ที่ไม่เห็นจะเคยคุยกันดีๆ ได้เกินสองหรือสามประโยค



        “นายคิดเองเออเองอ่ะดิไม่ว่า” ซีรินแย้งเสียงดังหันขวับไปทางอื่นทันที คนยั่วถึงได้ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมอย่างมีความสุขที่แกล้งมันได้ จากที่ปกติก็แกล้งมันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว



        “อย่างนั้นหรอกเหรอ....แต่ฉันไม่ยักจะเคยเห็นนายเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปช่วยคนอื่นก่อนเลยนะ”



        “ก็ถ้าเป็นพวกโจรป่าบุกมาแล้วไม่ลองไปช่วยดูสิ....แล้วถ้ายัยเจ้าหญิงบ้านั่นตายขึ้นมาจริง พวกเราก็ต้องซวยกันหมด...แล้วที่เดินทางมาถึงนี่มันจะมีประโยชน์อะไร?....รู้งี้ไม่น่าไปขโมยของวันนั้นเลย หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ” เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ยิ่งดูก็ยิ่งอารมณ์เสีย สบถพรืดยาวเหยียดเป็นกิโล จนคนฟังแทบจะหูอื้อเลยทีเดียว



        “ถ้ามันเดือดร้อนมากนักนายก็แค่ทำเป็นไม่สนใจ ไม่ต้องเข้าใกล้ คิดซะว่า ‘ยัยเจ้าหญิงบ้า’ ของนายไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้เท่านี้ก็สิ้นเรื่องไม่ใช่เหรอ” เซเรสพูดล้อเลียนด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แสดงถึงความไม่เครียด ส่วนคนที่ยังร่ายยาวเหมือนร่ายมนตร์ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดถึงได้เงียบลง แล้วหันมามองใหม่อีกรอบ ดวงตาสีดำขลับเป็นประกายแปลกๆ แบบที่ดูแล้วไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กันแน่....ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือว่าพูดเล่นๆ ไปอย่างนั้น หัวขโมยตัวแสบถึงได้เป็นฝ่ายเลือกที่จะเงียบมากกว่าจะตอบออกไป ฟีวิลจึงเป็นคนยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงบ่งว่าอารมณ์ดี



        “นายพูดเล่นใช่มั้ยเนี่ย?” พร้อมกับนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่คมกำลังมองไปยังชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีดำขลับคนพูดที่นั่งเอามือคลำหัวตัวเองแล้วครางเบาๆ ด้วยความเจ็บที่ยังคงไม่หาย



        “น่าจะใช่”



        จะตอบให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือยังไงกัน! คำตอบที่ออกจะกวนหน่อยๆ ทำให้ฟีวิลเลิกล้มความคิดที่จะถามอะไรออกไปอีก ปล่อยให้บทสนทนาจบลงอยู่เพียงแค่นั้น...



        เมื่อเวลาดำเนินไปได้พักใหญ่ๆ ทั้งสามก็ยังคงปล่อยให้บรรยากาศโรยตัวด้วยความเงียบงัน แต่แล้วก็มีเสียงใสๆ ดังขึ้นมาทำลายความเงียบที่มันชักจะเงียบเข้าไปทุกทีๆ เรียกให้สายตาของคนทั้งสามเบือนไปมองทางต้นเสียง ก่อนจะต้องตาค้างกับภาพตรงหน้า



        “พวกเราเสร็จแล้วนะ จะเดินทางกันเลยหรือเปล่า” เรริน่าส่งเสียงทักมาคนแรก ก่อนที่สายตาของคามิลเลียที่เดินตามมาจะเลื่อนขึ้นไปมองบุรุษทั้งสาม ที่มีลักษณะอาการแปลกไปจากเดิม ถึงได้เอ่ยขึ้นมาอย่างงุนงง



        “เป็นอะไรกันไปหมดน่ะ” นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ของเธอยังคงฉายแววไม่เข้าใจ ก็ซีรินนั่งอ้าปากค้างตาโตแทบจะเท่าไข่ห่าน โดนสาปให้กลายเป็นหินหรือไงกัน....พี่ฟีวิลก็ตาเป็นประกายวิบวับ...จนดูเหมือนน่ากลัวมากกว่าอย่างอื่น ส่วนพี่เซเรสก็ตาค้างไปเลย....มันจะมีอะไรนักหนา? เธอนึกอย่างไม่เข้าใจ กับการที่เธอแค่เปลี่ยนชุดไปไม่เหมือนตอนแรกเท่านั้นเอง



        คามิลเลียเลยหันไปข้างหลัง แต่แล้วก็พบแต่ความว่างเปล่า เธอจึงได้ร้องเรียกหญิงสาวอีกหนึ่งที่น่าจะหลบอยู่แถวนี้ “พี่เอรีส! ไปไหนแล้วล่ะ”



        “อยู่นี่” เสียงที่เย็นยิ่งกว่าเย็นบอกได้ถึงอารมณ์ขุ่นเคืองไม่ใช่น้อย ของหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าที่ตอนนี้ดูสงบแสนสงบ หากแต่ผิดกับดวงหน้าขาวๆ ที่ตอนนี้มันดูจะแดงนิดๆ อย่างคนอายๆ



        นักบวชสาวร่างบางจากที่อยู่ในชุดกางเกงขายาวกับเสื้อแขนสั้นสุดแสนจะธรรมดา ทว่าตอนนี้เธอกลับอยู่ในชุดอย่างที่ผู้หญิงในตระกูลสูงๆ เขาใส่กัน เสื้อแขนกุดที่ออกจะบางๆ เหมาะกับอากาศร้อน ทำจากผ้าเนื้อดีสีฟ้าอ่อนๆ เข้ากับเรือนผมสีเงินสวยที่ตอนนี้ถูกปล่อยให้ยาวสยายปรกดวงหน้าขาวนวลและลำคอบางระหงของเจ้าหล่อน กระโปรงสีเดียวกันยาวถึงข้อเท้าถูกผ่าขึ้นมาทั้งสองข้างเพื่อให้เดินง่าย และมันก็ดูโล่งๆ สำหรับเธอในขณะเดียวกัน แต่ยังดีที่เรริน่าให้เธอใส่กางเกงไว้ข้างใน ประกอบกับร้องเท้าที่ถูกบังคับให้เปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นสูงสีฟ้าเข้าชุดกัน....ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอไม่เคยคิดที่จะใส่ชุดอย่างนี้เลย แต่ด้วยความรำคาญหรือไม่ก็ใจอ่อนเพราะเรริน่ากับคามิลเลียตื้อไม่เลิก ผลถึงได้ออกมาเป็นอย่างนี้



        “น่านะ เอรีส ใส่แค่วันเดียวเอง เสื้อของเธอไว้ซักเสร็จแล้วค่อยเปลี่ยนกลับยังไงล่ะ....อย่าทำหน้าอย่างนั้นเลยนะ” นัยน์ตาสีแดงเพลิงของหญิงสาวฉายแววอ้อนวอนที่ไม่รู้สมควรจะทำตามหรือไม่ เพราะดูๆ ไปแล้วคนที่น่าจะมีอายุมากกว่าน่าจะเป็นเรริน่าด้วยซ้ำไป



        “แล้วเมื่อไหร่จะได้เปลี่ยน” เอรีสเอ่ยเสียงห้วนสั้น แต่เยือกเย็นเสียยิ่งกว่าอะไรดี แต่เรริน่าก็ยังใจแข็งพูดต่อ



        “พรุ่งนี้ไงพรุ่งนี้”



        “ผมว่าไม่ต้องรีบเปลี่ยนก็ได้นะ ออกจะสวย” ฟีวิลที่นัยน์ตาสีเขียวมรกตพราวระยับอย่างเจ้าเล่ห์ ปากเผลอขยับเป็นคำพูดออกมาอย่างลืมตัว เพิ่งมานึกได้ก็ตอนที่พูดออกไปหมดแล้ว



        “แล้วถ้าเกิดมีคนมาโจรป่ามาอีกเหมือนคราวก่อนจะสู้ได้ยังไงกัน!” เอรีสเริ่มเพิ่มน้ำหนักเสียงมากขึ้น



        “ไม่เป็นไรหรอก ระยะนี้คงไม่มีใครมาหรอกมั้ง”



        “แล้วเธอแน่ใจได้ยังไง เรริน่า?” เรริน่าทำท่าลังเลเป็นที่สุดก็ในเมื่อแผนของเธอมันไม่ได้ผลเนี่ยสิ



        “เอ่อ....คือ...ลางสังหรณ์มันบอกนะ...ฉันลางสังหรณ์แม่นนะ ไม่เคยพลาดเลยล่ะ” ว่าจบก็ระบายรอยยิ้มอย่างโล่งอก เพราะดูท่าเอรีสจะเริ่มลดระดับอารมณ์ลงมาบ้างเล็กน้อย



        เอรีสเกิดอาการปลงตก หันไปมองสาวทั้งสองที่ใส่ชุดกันได้หน้าตาเฉย คามิลเลียนี่คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าไม่ใช่เจ้าหญิงห่ามๆ ละก็นะ คามิลเลียอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงยาวสีเหลืองสวยเรียบๆ แต่ก็ดูมีราคาไม่น้อยเลยทีเดียว เข้ากับเรือนผมสีทองเสียยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนเรริน่าที่อยู่ในชุดเสื้อสายเดี่ยวสีชมพูกับกระโปรงยาวเลยเข่ามาหน่อยสีเดียวกัน รองเท้าส้นสูงที่สูงได้ใจเสียเหลือเกินสีชมพูดอีกเช่นกัน เฮ้อ....คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ



        “จะพักกันก่อนมั้ย หรือจะเดินทางต่อเลย?” เซเรสถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่า สนทนาปัญหาเรื่องผู้หญิงกันจบแล้ว



        “เดินทางเลยก็ดีเหมือนกันนะคะ จะได้ถึงเร็วๆ” คามิลเลียเสนอความเห็น



        “ฉันก็ว่าอย่างนั้น” ฟีวิลตอบบ้าง ก่อนจะหันไปหาเจ้าน้องตัวแสบ “แล้วนายล่ะ”



        “ยังไงก็ตามใจ” คำตอบยังคงเป็นชนิดที่ห้วนและสั้นเช่นเดิม แต่มันออกจะดูแหบๆ ไปหน่อยเพราะอาการป่วยเริ่มกำเริบ ทว่าก็ไม่มีใครทันได้สังเกตเห็นอาการเช่นนี้ เอรีสที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่รออะไรทั้งสิ้นเดินนำไปก่อนเลย รองเท้าอย่างนี้เอามาใช้เดินป่า เข้าใจคิดจริงๆ!



        “แต่ยังไงคืนนี้ก็คงได้นอนในป่าตามเดิม” เซเรสพูดขึ้นมาเบาๆ ขณะลุกขึ้นยืนเมื่อได้ผลสรุป หยิบกระเป๋าสัมภาระใบเล็กขึ้นพาดบ่าก่อนเดินตามคนอื่นๆ ที่เดินล่วงหน้าไปก่อนแล้วนิดหนึ่ง





    ----------------------------------------------------------------------------





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×