ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : จุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยาวไกล
    “มีอะไรให้รับใช้หรือเจ้าคะ นายหญิง” เสียงเล็กๆ ดังมาจากภูตตัวจิ๋ว ผมยาวสำหรับมันซึ่งมีสีชมพูแสนสะดุดตา กับดวงตาคู่โตสีเดียวกันที่ฉายแววมุ่งมั่นมาก แต่ไม่ว่าจะดูยังไงภูตตนนี้ก็ยังเหมือนตุ๊กตามากกว่าจะเป็นภูตผี....
    “ฝากดูแลโบสถ์ด้วยนะ เนเรน”
    “นายหญิงจะไปไหนหรือเจ้าคะ”
    “เดินทางไปเรื่อยๆ น่ะ”
    “จะไปจริงๆ หรือเจ้าคะ อย่าทิ้งเนเรนไว้ตนเดียวสิเจ้าคะ แล้วถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับนายหญิงจะทำอย่างไร ยังไงให้เนเรนเดินทางไปด้วยดีกว่านะเจ้าคะ....” เนเรนทำท่าจะพูดต่อด้วยความเร็วแสง แต่โดนเอรีสขัดขึ้นด้วยรู้นิสัยของเนเรนเป็นอย่างดี
    “เจ้าอยู่นี่ล่ะดีแล้ว.....ฉันสัญญาว่าจะกลับมาที่นี่อย่างปลอดภัย เข้าใจมั้ย” น้ำเสียงจริงจังปนเย็นชาของผู้เป็นเจ้านายทำให้เนเรนภูตตัวจิ๋วทำท่าครุ่นคิด จากตาคู่โตที่เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเป็นห่วงจนกลายเป็นวิตกกังวลเกินเหตุ
    “ก็ได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นต้องเรียกเนเรนนะเจ้าคะ ห้ามลืมเด็ดขาดเลยเชียว!” เนเรนพูดย้ำเสียงเขียว ที่ฟังดูยังไงก็ไม่มีเค้าของความน่ากลัวเลยสักนิด
    “งั้นฉันไปล่ะ”
    “ขอให้โชคดีนะเจ้าคะท่านเอรีส.....อ๊ะ! แล้วนั่นใครน่ะเจ้าคะ แย่แล้ว! มีคนบุกรุก อ๋า! จะทำยังไงดีๆ.....” เสียงเล็กๆ นั้นฟังดูตื่นตระหนกจนถึงขีดสุดเมื่อเพิ่งจะหันมาเห็นคนที่ยืนอยู่ก่อนตนกำลังอ้าปากค้างอย่างสงสัยว่านั่นมันตัวอะไร และมันคิดอะไรของมัน? เอรีสส่ายหน้าไปมาก่อนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
    “หุบปากของเจ้าซะ....แล้วถ้าคนพวกนั้นจะทำอันตรายฉัน....ฉันก็คงไม่มายืนคุยอยู่กับเจ้าอย่างนี้หรอกเนเรน” เมื่อภูตนิสัยประหลาดได้ยินเช่นนั้นท่าทางลุกลี้ลุกลนว่าจะทำยังไงดี ทั้งๆ ที่ถ้าตนเองร่ายเวทนิดเดียว พวกเธอก็คงไม่เหลือแล้วแน่ๆ ก็หยุดลงได้ถนัดตา
    “ผีบ๊อง” เสียงงึมงำเบาๆ ของซีรินตามมาด้วยเสียงถอนใจเฮือกที่ดันไปเข้าหูของเนเรนเข้า ทำให้ภูตตัวเล็กที่อายุไม่เล็กเลยถึงกับแว้ดใส่
    “ข้าไม่ใช่ผีนะ! เป็นเด็กไม่หัดเคารพผู้อาวุโสเสียบ้างเลย! ข้าเป็นภูตต่างห่าง! แล้วข้าก็ไม่ได้บ๊องอย่างที่เจ้าว่าด้วย...นายหญิง คนพวกนี้รู้จักกับท่านจริงๆ น่ะหรือ พวกไม่น่าคบอย่างนี้นี่นะ ปากก็เสีย นิสัยก็ไม่ดี หน้าตาก็....” เนเรนเว้นช่วงไปนิดก่อนค้อนขวับไปทางอื่นแล้วพูดเบาๆ แบบที่เอรีสได้ยินแล้วแทบหลุดหัวเราะ แต่ยังคงต้องรักษามาดให้สมเป็นนายของเจ้าภูตบ๊องๆ ตนนี้อยู่ “...ไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอกนะ”
    “พวกเขาจะเดินทางไปกับฉันน่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันจะได้รีบไป”
    “คือ...ท่านชื่ออะไรหรือ” เนเรนว่าพลางลอยไปทางฟีวิล ที่ตอนนี้เอามือชี้หน้าตนเองเป็นเชิงถาม ก่อนจะเอ่ยตอบ
    “ฟีวิล เทลเลอร์ ทำไมหรือ?” เนเรนเพียงแค่ยิ้มให้แทนคำตอบ ซึ่งทำให้ฟีวิลยิ่งทำหน้างงหนักเข้าไปอีก
    “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะเจ้าคะ” ว่าจบเจ้าตัวก็ยกมือจิ๋วขึ้นโบกไปมา ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มออกเดินทางในที่สุด และเมื่อทั้งหมดเดินไปจนลับสายตาแล้ว ภูตตัวน้อยก็พึมพำขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะหายตัวไปเสียดื้อๆ “นายหญิงของเราจะรู้สึกเหมือนที่ข้าคิดไว้หรือหรือเปล่านะ แต่ข้าว่าสองคนนี้เหมาะสมกันมากๆ เลยล่ะ....”
    “คุณเอรีส....นั่นคือภูตจริงๆ เหรอ” ฟีวิลถามอย่างสงสัย เอรีสเพียงแค่พยักหน้าช้าๆ นัยน์ตาสีฟ้าไม่แม้แต่จะเบือนมามองคนถาม “จะใช้ให้เฝ้าบ้านได้หรือนั่นน่ะ เซ่อซ่าซะขนาดนั้น”
    “แต่มันก็เคยช่วยกองทัพใหญ่ต่อสู้มาหลายต่อหลายครั้งเป็นเวลาหลายพันปี” คำพูดที่ทำให้คนฟังเบิกตากว้าง แต่คนที่พูดเสียงดังกลับไม่ได้เป็นคนที่ถามคำถาม
    “ยัยผีบ๊องนั่นเนี่ยนะอายุเป็นพันปี!” ดวงตาสีน้ำตาลที่เบิกกว้างยิ่งกว่าไข่ห่านของซีริน พร้อมกับเสียงอันดังก้องที่เรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าใสเบือนมาสบก่อนตอบสั้น
    “ใช่”
    “อ้าว! หนูเอรีส....จะเดินทางไปไหนหรือยังไงกัน” หญิงสาววัยกลางคนคนเดียวกับที่เจอกันตอนแรกที่ร้านเดิมเรียกหญิงสาวเจ้าของชื่อเอาไว้
    “ค่ะ....อีกซักระยะคงจะกลับมา”
    “แล้วโบสถ์ล่ะจ๊ะ จะทิ้งร้างเอาไว้อย่างนั้นน่ะหรือ”
    “ไม่หรอกค่ะน้าเครีน มีคนดูแลแทนหนูให้แล้วล่ะค่ะ” เครีนเลิกคิ้วเรียวๆ ขึ้นเป็นเชิงถาม เอรีสจึงเริ่มอธิบายต่อ “หนูให้เนเรนดูแลให้ระหว่างที่ไม่อยู่....งั้นลาเลยแล้วกันค่ะ ไว้เจอกันใหม่” ไม่รอให้ใครถามอะไรไปมากกว่านั้น หญิงสาวเลือกที่จะเดินไปดื้อๆ โดยไม่คิดจะรอคนที่เหลือสักนิด
    “เธอจะรีบเดินไปไหนนั่นน่ะ” ฟีวิลร้องถามหลังจากที่เดินตามมาจนเกือบทันแล้ว
    “ฉันไม่อยากโดนถามอีก” เอรีสเบือนดวงหน้ากลับมาตอบเสียงเรียบๆ ก่อนจะหันกลับไปเดินต่อ
    “กินแอปเปิ้ลมั้ย” ร่างสูงวิ่งไปขวางทางหญิงสาวที่เดินนำลิ่ว ก่อนยกแอปเปิ้ลลูกหนึ่งขึ้นมาตรงหน้าของเธอพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตรที่ไม่ได้ทำให้เอรีสยิ้มตามขึ้นมาได้เลยสักนิด
    “นายไปขโมยมาหรือไง”
    “ใช่แล้วครับ” นัยน์ตาสีเขียวมรกตพราวระริกอย่างคนอารมณ์ดี ก่อนแววตาที่มีจะวูบลงด้วยเสียงของคนที่เขาถาม
    “ฉันไม่รับของที่ขโมยมาหรอกนะ”
    “งั้นก็ตามใจ” เขาเอ่ยอีกครั้ง ก่อนจะลองถามขึ้นมาใหม่ “แน่ใจนะว่าจะไม่เอา”
    “แน่” น้ำคำเด็ดขาดของหญิงสาวที่ฟีวิลไม่คิดจะต่อกรอีก เนื่องจาก....ขี้เกียจ คุยด้วยกันทีไรไม่เคยคุยดีๆ ได้ถึงสองประโยค.... เขาจึงหลีกทางให้โดยดี แล้วเดินไปหาผู้เป็นน้องที่เดินทำหน้าหมดอารมณ์อย่างนี้เสมอๆ
    “เอ้า แอปเปิ้ล” พูดเสร็จก็โยนให้ซีรินที่รับได้อย่างแม่นยำ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองย้อนไปทางที่เดินมาก็เห็นเจ้าของร้านผลไม้ร้านหนึ่งกำลังโวยอยู่หน้าร้านเสียงดังจนได้ยินแว่วมาถึงที่ที่พวกเขายืนอยู่ ซึ่งมันก็ห่างกันประมาณเกือบยี่สิบเมตรได้ พอหันกลับมาปากก็ทำหน้าที่จัดการผลไม้ตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
    “ฝีมือยังไม่ตกนี่หว่า”
    “แล้วใครบอกว่าฝีมือฉันห่วยมากขึ้นล่ะ” ฟีวิลว่าพลางหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมาอีกลูก
    “พี่เซเรส....” นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์คู่โตของเด็กสาวมองไปข้างหน้า....ข้างหน้าที่มีพี่น้องหัวขโมยตระกูลเทลเลอร์กำลังต่อปากต่อคำกันอยู่อย่างสนุกสนานหรืออย่างอยากจะฆ่ากันให้ตายเธอก็ยังไม่แน่ใจนัก “พี่ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะรวบรวมกำลังพล....แล้วหาท่านพ่อเจอ”
    ดวงตาคู่คมฉายแววครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนเอ่ย “ทำไมถึงถามอย่างนั้นล่ะ” คำถามที่คามิลเลียเลือกที่จะไม่ตอบ เซเรสถึงได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องนี้ก็ยังไม่มีใครรู้หรอก....เรื่องของอนาคตเราอาจจะกำหนดให้มันเป็นไปแบบไหนก็ได้ แล้วแต่เราที่จะเลือกเส้นทางการดำเนินชีวิตของตนเอง....แต่เรื่องของเวลาน่ะ มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่เราจะไปกำหนดหรือรู้ได้ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะจบเมื่อไร หรือแม้กระทั่งกำหนดเวลาตายเราก็ยังทำไม่ได้....แล้วอย่างนี้จะให้ผมบอกว่าอีกเดี๋ยวเดียว หรืออีกนาน เรื่องนี้ผมไม่สามารถจะให้คำตอบได้จริงๆ คามิลเลีย....” ประโยคชักแม่น้ำทั้งร้อยสายของเซเรสที่ทำให้คามิลเลียนิ่งเงียบไปเลย จนเซเรสรู้สึกถึงความผิดปกติเลยถามขึ้นใหม่อีกรอบ
    “เอ่อ....เป็นอะไรรึเปล่า คามิลเลีย?”
    “อ๋อ...เปล่าค่ะ พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อย” เธอเพียงส่งยิ้มแหยๆ ให้ เรื่องของเวลา....เราไม่สามารถที่จะกำหนดได้จริงๆ น่ะหรือ...แล้วเมื่อไหร่ล่ะ....เมื่อไหร่ที่เธอจะได้พบท่านพ่อ เมื่อไหร่ที่การเดินทางจะจบลง...
    ....แล้วเธออยากให้มันจบจริงๆ เหรอ การเดินทางกับคนที่ต่างกันสุดขั้ว การเดินทางที่เธอไม่เคยพบเจอมาในชีวิต ความสนุกสนาน เสียงหัวเราะที่มีอยู่เสมอๆ ....เธออยากจะให้มันจบลงเสียเร็วๆ แน่น่ะเหรอ
    เด็กสาวส่ายหัวไปมาเหมือนจะไล่ความคิดยุ่งๆ ออกจากหัวสมอง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นเลยสักนิดเดียว นัยน์ตาม่วงอเมธิสต์ฉายแววครุ่นคิดอย่างหนักในขณะที่ท้าวก็ก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ในถนนที่ผู้คนเริ่มจะซาลงเรื่อยๆ เนื่องจากพวกเธอเริ่มเดินออกห่างตัวเมืองมากขึ้นทุกทีๆ
    แล้วทำไมไม่ใช้เกวียน?
    .....ก็เพราะว่ามีเงินไม่มากพอที่จะซื้อม้ากับเกวียนที่ใช้งานทนๆ ได้....พวกเธอก็เลยจำต้องเดินจนขาเกือบลากกว่าจะมาถึงในป่า....
    “พักก่อนไม่ได้เหรอคะ” คามิลเลียถามเสียงอ่อนอย่างหมดแรง ก็ไม่ให้หมดได้ยังไงล่ะ เดินตั้งแต่เช้าจนตอนนี้มันใกล้จะค่ำเข้าไปทุกทีแล้ว
    “เอาไงกันล่ะ” เซเรสถามความเห็น “ฉันว่า...คืนนี้เราก็หาถ้ำพักซักที่แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางต่อ?”
    “มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว” นัยน์ตาสีเขียวมรกตดูอ่อนล้าเล็กน้อย เส้นผมสีชาที่ถูกรวบลวกๆ ดูเปียกไปด้วยเหงื่อ ก่อนเจ้าตัวจะล้มตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าสีเขียวชะอุ่ม
    “ฉันขอนอนก่อนแล้วกัน” ซีรินว่าบ้างแล้วล้มตัวนอนลง แต่ก่อนที่จะได้หลับสบายๆ ก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังมาแต่ไกล ทางด้านใดด้านหนึ่งของป่า ซีรินลุกพรวดขึ้นนั่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบๆ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ก่อนร้องเสียงดังแล้ววิ่งนำไป
    “ทางนี้!”
    “ว๊าย!....พวกแกจะทำอะไรน่ะ! อย่ามายุ่งกับฉันน้า!” เสียงหวานของหญิงสาวดังขึ้น ขณะมือเรียวกำลังพยายามไล่พวกโจรป่าไปให้ไกลๆ ขาก็พยายามจะวิ่งหนี แต่ด้วยสัมภาระกองโตที่อยู่บนหลังเลยทำให้เธอล้มลงไปกับพื้นหญ้าอย่างสุดจะห้ามได้
    “หึ...ร้องไปแล้วใครจะได้ยิน....ทางที่ดีแกก็ส่งของทั้งหมดมาให้ฉันจะดีกว่า”
    “ไม่นะ! ฉันจะต้องเอาของส่ง....”
    “เอาของทั้งหมดมา เพื่อแลกกับชีวิตของแก!” หนึ่งในกลุ่มโจรเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอามีดจ่อคอของหญิงสาวจนเลือดไหลซิบๆ ตามรอยกรีดบางๆ นั่น เธอเงียบลงทันที เหงื่อเย็นเริ่มซึมชื้น น้ำตาเริ่มไหลพรากจากดวงตาคู่สวยสีแดงเพลิง
    “จะ....จะเอาก็....ก็เอาไปเลย ตะ แต่อย่าฆ่าฉันเลยนะ” เสียงที่ฟังดูเว้าว้อนสั่นเครือไปหมดด้วยความตกใจ เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มเหยียดก็ปรากฏบนริมฝีปาก ก่อนจะเรียกให้พวกที่เหลือไปหยิบของทั้งหมดมา
    “อย่าคิดแม้แต่จะแตะต้อง” เสียงห้าวดังขึ้นแต่ยังไม่มีใครเห็นตัว หญิงสาวกวาดมองอย่างหวาดผวา
    ฟิ้ว....
    ฟิคสตาร์เริ่มทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง มันขีดเส้นกั้นระหว่างโจรป่าและผู้เคราะห์ร้าย พร้อมๆ กับที่เจ้าของเสียงและเจ้าของอาวุธปรากฏตัวออกมา
    “จะว่าไปฉันก็ไม่อยากทำร้ายพวกเดียวกันหรอกนะ” ซีรินว่าพลางทำหน้าหงุดหงิดปนเบื่อหน่าย
    “นั่นสิ....แต่ฉันทนเห็นผู้หญิงถูกทำร้ายไม่ได้นานนักหรอกนะ” ดวงตาสีเขียวมรกตดูเจ้าเล่ห์ พราวระริกอย่างกับเจอของเล่นชิ้นใหม่ พูดจบ เจ้าตัวก็ยกมิสเทอร์รีขึ้นมาพาดบนบ่าอย่างสบายอารมณ์เหมือนตั้งใจจะยั่วมากกว่าอย่างอื่น
    “พวกแกหมดทางหนีแล้ว” เซเรสพูดเสียงเครียดพลางยกดาบใหญ่จ่อคอของคนที่คิดว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรนี้ นัยน์ตาสีดำขลับดุดันจนดูน่ากลัวอย่างที่คามิลเลียไม่เคยเห็น ตอนนี้เธอได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ ....ถ้าหากว่าเธอมีพลังสักนิดก็ดีสิ.....
    ....พลัง....พลังในตัวเธอ พลังที่ถูกผนึกไว้! แล้วถ้าปลดผนึกออกซะล่ะ....เธอก็สามารถทำเหมือนคนอื่นได้อย่างนั้นหรือ สามารถช่วยคนอื่น ช่วยตัวเองได้ และไม่ต้องเป็นตัวถ่วงให้ใคร! ความคิดที่ได้แต่เก็บเอาไว้คนเดียว นัยน์ตาสีม่วงคู่โตมองไปยังเหตุการณ์อย่างเงียบๆ
    “ฮ่าๆ คิดว่าแค่มีอาวุธในตำนานพวกเราจะกลัวอย่างนั้นหรือ....พวกแกคิดผิดถนัดเลยล่ะ!” ว่าจบก็หยิบดาวกระจายขึ้นมาพร้อมๆ กับปาออกไปด้วยความเร็วสูง แต่แล้วก็ต้องหยุด....กลางอากาศ...ด้วยมนตร์ของนักบวชสาวที่ใช้เวลาร่ายเวทเพียงน้อยนิด ก่อนที่คลูซิฟิกส์ที่ลอยอยู่กลางอากาศจะหมุนเร็วขึ้น....ดาวกระจายก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที มันวนกลับไปหายังเจ้าของด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิมมาก หากแต่โจรผู้นั้นก็ไวพอที่จะกระโดดหลบอย่างเฉียดฉิว แต่ละคนได้รับบาดแผลกันทั่วหน้า บ้างก็เล็กน้อย บ้างก็โดนเข้าไปเต็มๆ
    “อย่าให้ฉันต้องฆ่าใคร” นัยน์ตาสีฟ้าดูเย็นเสียยิ่งกว่าเย็น น้ำเสียงที่เค้นออกมานั้นชัดถ้อยชัดคำ ราบเรียบจนฟังดูน่าขนหัวลุก แต่หัวหน้ากลุ่มโจรก็ยังไม่มีความรู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย เรียกดาบเรียวยาวออกมาคู่หนึ่ง มือทั้งสองข้างกระชับดาบแน่นก่อนจะสั่งให้ลูกน้องที่เหลือทำการโจมตีต่อ
    ชายชุดดำวิ่งถลาเข้าใส่ด้วยความรวดเร็ว ชายผู้นั่นเริ่มใกล้เข้าตัวของเซเรสเรื่อยๆ นัยน์ตาสีดำขลับเป็นประกายอย่างถูกใจ เขายืนอยู่นิ่งๆ เหมือนว่าภาพตรงหน้าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
    “ลงนรกไปเลยก็แล้วกัน!” หัวหน้ากลุ่มโจรร้องลั่นด้วยรอยยิ้มเหี้ยม พร้อมกับง้างดาบขึ้นสูงเตรียมตัวที่จะฟาดฟันสิ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าสุดแรง และอีกไม่เกินสองวินาทีก็นานพอที่จะผ่ากลางหัวของเขาได้พอดี!
    เคร้ง!!!
    “ช้าไปนิดนะครับ” เซเรสกล่าวเสียงเรียบๆ พร้อมกลับรอยยิ้มเป็นมิตร แบบที่อีกฝ่ายไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีตอบกลับมาด้วยเลย....แต่สำหรับชายชุดดำคนนั้นมันคือ รอยยิ้มของซาตานชัดๆ ซาตานที่ถ้าไม่ได้มีการนองเลือดก็คงจะยังไม่พอใจ!
    เขาตวัดอินเดเวอร์ ดาบของเขาเพียงครั้งเดียว ก็ส่งดาบสีเงินสวยทั้งสองเล่มของอีกฝ่ายกระเด็นกระดอน หมุนคว้างกลางอากาศไปปักจมลงกับพื้นดินจนเหลือแต่ด้ามดาบเท่านั้นที่ยังคงสภาพให้รู้ว่าดาบได้จมลงไปอยู่ ณ ที่นั้น
    เซเรสไม่รอช้าพุ่งพรวดเข้ามาด้วยความเร็วชนิดที่ลมยังอาย มีดเล่มใหญ่วางพาดอยู่บนบ่าของอีกฝ่ายที่กำลังยืนอ้าปากค้าง ตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย....และนั่นก็หมายความว่า...เขาหมดทางสู้
    ฟิคสตาร์ถูกปล่อยออกไปรัดตัวของโจรที่ดันทะเล่อทะล่าพุ่งพรวดเข้ามาทางเจ้าหัวขโมยตัวแสบ ซีรินพึมพำอะไรเล็กน้อย กระแสไฟฟ้าก็ถูกปล่อยไปตามสายสีดำยาวจนอีกฝ่ายเกิดอาการชักกระตุกสลบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้นอยู่บนพื้นหญ้า รอยยิ้มถูกใจปรากฏบนใบหน้าที่มักจะหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาของเด็กหนุ่ม หากแต่เวลาไม่ใช่เวลาที่ใครจะมัวมานั่งสังเกตได้
    พลันดาบใหญ่ของโจรอีกหนึ่งที่พุ่งเข้ามาก็ฟับฉับลงไปที่สายส่วนหนึ่งของฟิคสตาร์
    หากแต่....ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่คนอื่นๆ ก็เห็นว่าชายคนนี้เอาดาบฟันลงไปแล้ว แต่เชือกนั่นมันไม่ยักจะมีรอยอะไรเลย....หรือถ้ามันจะขาดง่ายอย่างนั้นก็คงจะแปลก เนื่องจากว่าถ้ามันขาดง่ายขนาดนั้น ฟิคสตาร์ก็คงไม่อยู่ในสภาพแบบนี้จนเขาสามารถจะใช้มันได้อย่างเช่นทุกวันนี้หรอก
    “เฮ้ย! ทำไมมันไม่ขาดวะ!” ชายผู้ลงดาบร้องขึ้นอย่างงุนงง มันก็แค่เชือกธรรมดาๆ นี่หว่า
    “ก็เพราะมันไม่ได้ห่วยอย่างที่แกคิดไงเล่า!” ซีรินตะโกนกลับก่อนจะเอาส่วนปลายของฟิคสตาร์ที่แหลมคม เฉือนเนื้อส่วนแขนข้างที่ถือดาบจนแรงที่มีทั้งหมดเหือดหาย ดาบถึงได้ร่วงหล่นลงพื้นอย่างง่ายดาย โจรป่ากัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ มือที่เหลืออีกข้างจับบาดแผลฉกรรจ์ด้วยความเจ็บปวด
    “ทำไมไม่ฆ่าให้มันรู้แล้วรู้ลอดไปเลยวะ!”
    อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร เรียกอาวุธให้กลับเข้าที่พร้อมกับเช็ดคราบเลือดออก ก่อนเอ่ยเสียงห้วน
    “ก็บอกแล้วว่าไม่อยากทำร้ายพวกเดียวกัน”
    “ขี้ขลาดอ่ะดิไม่ว่า” แม้แผลยังเจ็บ แต่ปากก็ยังไม่วายวอนหาเรื่อง นัยน์ตาสีน้ำตาลตวัดมามองอย่างอาฆาต ฟิคสตาร์พุ่งตรงไปที่เหยื่อ...ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อีกไม่กี่อึกใจก็จะสามารถปลิดชีพอีกฝ่ายได้
    ....หากแต่อาวุธของเขาก็ทำได้แค่เพียงจ่อที่คอของชายชุดดำผู้นั้น เหงื่อเย็นซึมชื้นไปทั่วร่างที่ปกคลุมด้วยชุดสีดำปิดหน้าปิดตา น้ำลายเฝื่อนคอไปหมด และเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ลงมือ...
    ฟิ้ว....
    กริชสีเงินสวยก็พุ่งวูบมาด้วยความเร็ว ซีรินใช้มือรับมันไว้ได้ทันก่อนจะโดนปาเข้าเต็มๆ หน้า รับโดยใช้เพียงแค่สองนิ้ว....ไม่มีแม้แต่เลือดสักหยด ฝ่ายตรงข้ามถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ แล้วร้องเสียงหลง
    “แก!” ซีรินกระตุกยิ้มเหยียดที่มุมปาก กระแสไฟฟ้านับแสนโวลต์ก็พุ่งตรงไปยังเป้าหมาย
    ....สลบคาที่
    โจรป่าธรรมดามันไม่น่าจะทนอยู่ได้ถึงขนาดนี้....เพราะส่วนใหญ่ถ้าเป็นแค่โจรปลายแถวอย่างนี้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็น่าจะจัดการได้หมด...ฟีวิลวิเคราะห์เหตุการ ขณะดาบเรียวในมือก็ฟาดฟันไปเรื่อยๆ เหมือนไม่เหน็ดเหนื่อย แถมแรงและความเร็วก็ดูท่าว่าจะมีแต่เพิ่มกับเพิ่ม
    ดวงตาสีเขียวมรกตวาวโรจน์ด้วยอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา สมองเริ่มทำงานหนัก ถ้าไม่ใช่โจรธรรมดาแล้วมันเป็นใคร? ความคิดต้องสะดุดลงแค่นั้น เมื่อดาบหนึ่งกำลังจะฟันผ่าตัวเขา มิสเทอร์รีถูกยกขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง เสียงดาบปะดาบดังสนั่นเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ
    การต่อสู้ดูเหมือนจะดำเนินไปเนิ่นนาน นานเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด.....
    “กะ...แก...พวกแก! ฝากเอาไว้ก่อนเหอะ!....” หัวหน้ากลุ่มโจรเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยหอบก่อนจะชูมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณการหลบหนี
    ลูกน้องทุกคนดูหมดสภาพลงถนัดตา บ้างก็สลบไสลไม่ได้สติ บ้างก็บาดเจ็บสาหัด คนที่ยังพอมีแรงก็แบกพวกกลับไป....
    “จะรีบไปไหนกันนะ” ฟีวิลว่าเสียงเรียบเรื่อย แต่พวกโจรไม่คิดแม้แต่จะฟัง ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งลูกเดียว “เฮ้อ....ยังไม่ทันได้ออกแรงอะไรเลยนะเนี่ย เซ็งชะมัด!” นัยน์ตาสีเขียวมรกตดูเบื่อหน่ายทันทีที่หมดเรื่องสนุก
    เนี่ยนะยังไม่ได้ออกแรงของมัน! ทุกคนต่างคิดในใจ ขณะกำลังยืนหอบแฮ่กอยู่
    เซเรสเบือนนัยน์ตาสีดำขลับไปมองหญิงสาวที่มีสีหน้าตื่นตระหนกอยู่บนพื้นไม่ยอมขยับไปไหนก่อนจะเดินเข้าไปหา เช่นเดียวกับคามิลเลียที่เดินเข้าไปเช่นกัน
    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เซเรสเอ่ยถามขึ้น หญิงสาวมองมาด้วยสีหน้าวิตกกังวลจนถึงขีดสุดก่อนเอ่ยเสียงสั่น น้ำตาอาบสองข้างแก้ม
    “พวก....พะ พวกคุณเป็นใคร”
    “เราไม่ทำร้ายคุณหรอกค่ะ” คามิลเลียเอ่ยอย่างเป็นมิตรพร้อมส่งรอยยิ้มบางไปให้
    “ว่าแต่....ทำไมคุณถึงมาเดินทางคนเดียวกลางป่าตอนเย็นๆ อย่างนี้ละครับ” ฟีวิลที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ถามขึ้นด้วยเสียงสุภาพ
    “เอ่อ....” นัยน์ตาสีแดงเพลิงติดจะฉายแววไม่ค่อยไว้ใจอยู่หน่อยๆ ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่อความสบายใจของหญิงสาว
    “พวกเราแค่เดินทางผ่านมา กำลังจะไปเมืองไอออสน่ะครับ....เราไม่ต้องการทำร้ายใครจริงๆ นะครับ” นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองสบดวงตาสีเพลิงตรงๆ แสดงความสัตย์จริงที่หาได้ยากจากหัวขโมยคนนี้ หญิงสาวเลยเริ่มหายใจทั่วท้องแล้วพูดขึ้น
    “จริงๆ ฉันไม่ได้มาคนเดียวหรอกค่ะ...พอดีคุณพ่อของฉันเป็นพ่อค้าอยู่ที่เมืองใกล้ๆ นี้ แล้วมีคนมาติดต่อขอให้ขายส่งของ บังเอิญคุณพ่อไม่สบายพอดีฉันก็เลยขออาสามาส่งของกับคนงานของคุณพ่อน่ะค่ะ.....แต่พอมีโจรป่ากลุ่มเมื่อกี้มา พวกคนงานก็เลยพากันวิ่งหนีหายไปหมด....”
    “แล้วพี่ต้องเดินทางไปส่งของที่ไหนหรือคะ” คามิลเลียถามเสียงหวาน ส่งรอยยิ้มไปให้
    “ไอออสจ้ะ”
    “งั้นก็พอดีเลยเนอะ....พี่ๆ ให้เขาไปกับเราด้วยนะคะ”
    “ช่างสรรหาเรื่องยุ่งยากมาให้จริงๆ” ซีรินบ่นงึมงำกับฟีวิลที่พอได้ยินก็ยืนอมยิ้มแทบหลุดก๊ากออกมา
    “มันก็ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหนเลยนี่” คำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายชักสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาอีก
    “ยุ่งจะตาย”
    “น่าๆ....ชอบกันก็ให้อภัยกันหน่อยจะเป็นอะไรไป” ฟีวิลพูดเรื่อยๆ แบบที่ทำให้หน้าขาวๆ ของซีรินขึ้นสีมาเสียเฉยๆ นึกอยากตะโกนด่าแต่ก็ด่าไม่ทัน เพราะคนพูดเดินห่างออกไปหาหญิงสาวเคราะห์ร้ายซะแล้ว ก่อนจะเอ่ยตามนิสัย “ให้เขาเดินทางไปกับเราก็ได้มั้ง....มีคนสวยๆ อย่างคุณร่วมเดินทางด้วยผมยิ่งยินดี” พูดเสร็จมือใหญ่ก็ยกมือเรียวๆ ของอีกฝ่ายขึ้นมาจุมพิต หญิงสาวหน้าขึ้นสีน้อยๆ อย่างอายๆ
    “งั้นฉันไปเดินสำรวจก่อนนะ ว่าแถวนี้มีถ้ำรึเปล่า....ถ้าไม่มีเราก็พักกันตรงนี้แหละ” เซเรสว่าแล้วเดินออกไป
    “ฉันไปด้วยได้มั้ยคะ” เอรีสถามเสียงเรียบ เซเรสพยักหน้าช้าๆ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินหายไปด้วยกัน
    ความเงียบเริ่มโรยตัวอย่างช้าๆ ฟีวิลก็รู้สึกอึดอัดเลยเอ่ยขึ้น
    “เอ่อ....งั้นฉันขอไปหาฟืนมาก่อนก็แล้วกันนะ” ว่าจบก็เดินออกไป แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะส่งคำไล่หลังมาให้ “นายก็ช่วยดูแลสองสาวไปก่อนแล้วกันนะซีริน” คนฟังทำหน้าบึ้งก่อนจะบ่นงึมงำ
    “ทำไมต้องเป็นฉันด้วยวะ” แล้วเจ้าตัวก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น
    นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์เบือนไปมองหญิงสาวเจ้าของดวงตาสีแดงเพลิงที่ดูผ่อนคลายลงมาหน่อย และเรือนผมยาวสลวยสีเดียวกันถูกรวบเป็นทรงหางม้าอย่างประณีต เจ้าหล่อนอยู่ในชุดรัดกุมเหมาะกับการเดินทางเป็นอย่างยิ่ง
    “พี่ชื่ออะไรหรือคะ” คามิลเลียออกปากถามอย่างสุภาพ หญิงสาวหันมามอง นิ่งไปพักแล้วจึงตอบ
    “เรริน่าจ้ะ” เสียงที่หลุดออกมาจากปากนั้นฟังดูไพเราะมากกว่าอะไร ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยขึ้นอีก “เธอคงชื่อซีรินใช่มั้ย”
    คนถูกถามเพียงแค่เหลือบนัยน์ตาสีน้ำตาลมามองอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แล้วหลับตาพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่นทันที
    “แล้วเธอละจ๊ะ ชื่ออะไร?”
    “คามิลเลียค่ะ” เด็กสาวตอบเสียงใส “ซีริน....นายไม่คิดจะคุยกับคนอื่นบ้างเลยหรือไงน่ะ”
    “แล้วทำไมต้องคุยด้วยอ่ะ” น้ำคำห้วนสั้นของซีรินเล่นเอาเรริน่าโคลงหัวไปมาช้าๆ แล้วพูดเบาๆ กับคามิลเลีย
    “ท่าทางเขาจะเป็นคนขี้อายนะ” แต่เจ้าตัวหูไวก็ดันได้ยินอีก ดวงตาสีน้ำตาลเลยเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงห้วนตามนิสัย
    “ใช่ซะที่ไหน”
    “อืม....แล้วเวลามีคนชมซีรินเขาหน้าแดงหรือเปล่า คามิลเลีย” เมื่อเด็กสาวได้ยินก็ทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะอมยิ้ม พยักหน้าแล้วเสริมคำ
    “แดงค่ะ แดงมากๆ เลยด้วย” จบประโยค....หน้าขาวๆ ของเด็กหนุ่มก็ขึ้นสีทันที เรริน่ากระตุกรอยยิ้มขึ้นอย่างขันๆ นั่งมองซีรินอยู่อย่างนั้น....นานพอควร....จนหัวขโมยตัวแสบต้องโวยลั่นขึ้นมาเพราะเริ่มรู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องเอานานๆ
    “ไม่เคยเห็นคนหรือไง!”
    “อ้อ....นอกจากจะขี้อายแล้วยังอารมณ์ร้อนอีกด้วยแฮะ” เรริน่าเปรยขึ้นลอยๆ ดวงตาสีเพลิงมองไปทางอื่นเหมือนจะยั่วคนอารมณ์ร้อนให้ยิ่งร้อนหนักเข้าไปอีกอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดวงหน้าเด็กหนุ่มแดงก่ำเนื่องจากทั้งโกรธทั้งอาย อย่างที่ถ้าเขาจะเลือดเย็นกว่านี้อีกนิด หญิงสาวตรงหน้าที่นั่งยิ้มขันๆ อยู่ตอนนี้คงได้ลงไปนอนกองกับพื้นแล้วเป็นแน่ เขาทำเพียงแค่หันขวับไปอีกทางหวังจะสงบอารมณ์ให้เย็นขึ้นก่อนจะได้ก่อการฆาตกรรมคนโดยไม่ตั้งใจ ส่วนคามิลเลียที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เพราะหนึ่ง...ไม่ได้เห็นซีรินมีอาการอย่างนี้มานานเหมือนกัน สอง ได้เจอคนที่ยั่วซีรินขึ้นอีกคนแล้ว แต่คราวนี้มันยั่วคนละแบบ....และตอนนี้...ความสามารถในการกลั้นเสียงไม่ให้หลุดรอดออกมาจากลำคอของเธอก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว เด็กสาวทำได้แค่ปล่อยฮาออกมาอย่างห้ามไม่อยู่.....ขำแบบที่คนอื่นคิดว่า เรื่องพวกนี้มันน่าขำมากขนาดนั้นเลยหรือ?
    เรริน่าเบือนสายตามามอง รอยยิ้มระบายบนใบหน้าหวาน แล้วแม้แต่ซีรินที่หันหน้าหนีไปทางอื่นยังต้องหันขวับกลับมามองอย่างสงสัยก่อนหลุดคำถามเสียงห้วน
    “ขำไรของเธอ”
    “ปะ...เปล่า...ไม่...ไม่ ฮ่าๆๆ” เสียงของเธอขาดห้วงตามเสียงหัวเราะและการหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ เล่นเอามาดของเจ้าหญิงผู้สง่างาม สงบเสงี่ยม ดูสูงศักดิ์ยิ่งนักในความคิดของประชาชนเมืองอินดิสที่ผ่านๆ มาแทบจะพลังทลายลงตรงหน้าอย่างยับเยินไม่มีดี เมื่อน้ำใสๆ เล็ดออกมาจากดวงตาคู่สวย มือเล็กกุมท้องไว้อย่างหมดแรง...ไม่เหลือเลย...
    “พูดอะไรน่ะ?” ซีรินต้องถามรอบสองด้วยอารมณ์ที่เริ่มฉุนขึ้นมาอีกนิด
    “ไม่...ไม่มีอะไร...ฮ่าๆ” คามิลเลียยังคงไม่หยุดเสียงหัวเราะลงแต่เพียงเท่านั้น จนเวลาผ่านไปได้พักหนึ่ง ซีรินเริ่มหมดความอดทนเลยตะโกนลั่นออกมาอย่างรำคาญ
    “เมื่อไหร่จะหยุดซักที! ฉันรำคาญนะ!”
    “ก็...ก็มันหยุดไม่ได้” เธอพูดเสียงเบาอย่างหมดเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรทั้งสิ้น เรริน่าที่นั่งมองดูเหตุการณ์เงียบๆ เลยพูดขึ้นอีกรอบ
    “งั้นก็ปล่อยให้อยู่อย่างนี้ไปพักนึงเดี๋ยวก็หายเองแหละ” เรริน่าเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้ “แล้วนี่พวกพี่ๆ ของเธอทำไมไปกันนานจัง” แต่ก็ไม่มีคำตอบให้กับคำถาม....
    “คืนนี้นอนนี่แหง” ซีรินพูดห้วนก่อนยันกายขึ้นยืน เส้นผมสีน้ำตาลทองลู่ไปตามแรงลมที่บอกถึงสภาพอากาศที่เริ่มเข้าช่วงฤดูหนาวแล้ว ใบไม้เริ่มร่วงโรยตามกาลเวลา “น่าเบื่อจริงๆ” พูดเองเออเองอยู่คนเดียวแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เล่นเอาสองสาวงุนงงไปตามๆ กัน ทั้งคู่หันมามองหน้ากันอย่างสงสัย แต่ก็ไม่มีใครถามอะไรออกมา คามิลเลียที่หยุดขำได้แล้วก็เริ่มอยู่ในโหมดปกติเหมือนเก่า เรริน่าหยิบเศษไม้ขึ้นมาเขี่ยเล่นกับพื้นดินเป็นตัวอักษรต่างๆ
    ความเงียบเริ่มโรยตัวเป็นเวลานานขึ้นเรื่อยๆ ....จนในที่สุด ‘พวกพี่ๆ’ ที่เรริน่าพูดถึงก็มากันแล้วสองคน
    “เจอถ้ำมั้ยคะ” นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์มองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวอย่างขอความเห็น ที่น่าจะรู้อยู่แล้วเพราะสีหน้ามันบ่งบอก ทั้งคู่ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะนั่งลงกับขอนไม้ผุๆ
    “แล้วฟีวิลล่ะ....หายไปไหน?” คำถามแรกถูกส่งมาทันทีที่ชายหนุ่มสอดส่องนัยน์ตาสีดำขลับสำรวจรอบตัว ก่อนจะได้คำตอบจากคามิลเลียด้วยน้ำเสียงใสๆ
    “ไปหาฟืนค่ะ” เซเรสพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้  “เอ้อ....ลืมไปเลย นี่พี่เซเรสค่ะ แล้วนี่ก็พี่เอรีส.....ส่วนอีกคนก็พี่ฟีวิลค่ะ”
    “ฉันเรริน่าค่ะ” หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีแดงเพลิงเป็นประกายสวย กล่าวอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวาน
    “เป็นไง เจอถ้ำมั้ย” ฟีวิลส่งเสียงทุ้มมาก่อนที่เจ้าของเสียงจะโผล่มาจากหลังต้นไม้ใหญ่ บุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตเป็นประกาย เส้นผมสีชาที่ถูกรวบไว้อย่างลวกๆ ในชุดผู้ดีกำลังแบกเศษไม้ไว้บนบ่า....แต่ทว่าพวกเศษไม้เหล่านี้ไม่มีส่วนไหนดูที่จะเข้ากันกับชุดและหน้าตาที่ติดจะดีเกินกว่าขโมยธรรมดาทั่วไปเลยสักนิด เขาเดินเข้ามาวางเศษไม้เหล่านั้นไว้ที่ว่างเหมือนรู้คำตอบว่าคืนนี้คงจะได้พักที่นี่แน่ๆ “แล้วนี่จะต้องไปหาฟางมาหรือเปล่า” สายตาของเขาเบือนมาสบนัยน์ตาสีแดงเพลิงอย่างขอความเห็น
    “สำหรับฉันไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันอยู่ยังไงก็ได้อยู่แล้ว” รอยยิ้มหวานฉายชัดบนใบหน้าหญิงสาว
    “แล้วคามิลเลียล่ะ” เซเรสเป็นฝ่ายถามซะเอง เพราะขืนรอให้เจ้าฟีวิลมันมาถาม คงต้องรอชาติหน้าก็เป็นได้ ก็ดูมันสิ เล่นจ้องเรริน่าเสียตาแทบจะไม่กระพริบ คนถูกถามส่ายหน้าก่อนพูดเรียบง่าย
    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้คามิลเลียนอนได้สบายๆ อยู่แล้ว”
    “อืม....แล้วนี่พวกคุณออกเดินทางกันทำไมหรือคะ” เรริน่าถามขึ้นมาคามิลเลียเลยจะตอบเสียเอง
    “ก็คือพอดีเรา....”
    “เราจะไปเที่ยวกันที่ไอออสน่ะครับ พอดีพวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันก็เลยชวนๆ กันมาก็เท่านั้นละครับ” ฟีวิลพูแทรกกะทันหันเล่นเอาเด็กสาวกลืนคำพูดลงคอไปจนหมด ช่างโกหกหน้าตายดีจริง
    ตอนนี้คน ‘คนโกหกหน้าตาย’ ยังคงยืนยิ้มอย่างเป็นมิตรไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย แบบขนาดที่ว่าเธอเองยังแทบจะเชื่อเลยด้วยซ้ำ ขณะที่เจ้าของใบหน้าที่ทำให้ทุกคนพากันเชื่อยังยืนยิ้มอยู่ได้นั้น ในใจก็คิดด่าตัวเองอย่างสุดประมาณว่า...นี่เขาจะคิดหาคำโกหกที่มันเข้าท่ากว่านี้อีกหน่อยไม่ได้เลยหรือยังไงกัน!
----------------------------------------------------------------------------
    ในที่สุดก็เสร็จไปอีกบท ^^\"
    ใครที่ติดตามอ่านมาจนถึงบทนี้ก็ขอขอบคุณมากๆ ค่ะ (ดีจายสุดๆ ^o^)
    ช่วงนี้ก็ใกล้สอบแล้วด้วย (แต่ก็ยังแต่งต่อไป [เด็กไม่ดี =_=])
    ยังไงก็ขอคำแนะนำด้วยนะคะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น