ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ในห้องนอน
    “คืนนี้นอนที่นี่ได้มั้ยอ่ะ” คามิลเลียมองซีรินคนพูดที่ตอนนี้ล้มตัวลงนอนบนม้านั่งไปเรียบร้อยโดยไม่คิดจะรอคำตอบเลยสักนิดเดียว แต่วันนี้มันก็ดึกแล้วนี่นะ จะเดินทางตอนนี้ก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่
    “เฮ้! จะนอนตรงนี้เลยหรอ” ฟีวิลร้องขึ้นมาแบบที่ไม่ใช่เสียงที่เบาเลยสักนิด ยิ่งในโบสถ์ก็เงียบอยู่แล้ว ยังตะโกนอีกก็ต้องยิ่งดังเข้าไปใหญ่เป็นเรื่องธรรมดา แต่คนที่นอนลงไปแล้วเหมือนจะรับรู้แค่ครึ่งหนึ่งเลยครางเบาๆ แทบจะไม่เป็นภาษา
    “ก็...เอออ่ะดิ...ฮ้าวววว” ว่าจบก็พลิกตัวไปอีกทาง ขนาดมันหลับไปแล้วยังอุตส่าห์ตอบได้อีก ฟีวิลคิดในใจก่อนจะหันมาถามเจ้าของโบสถ์ที่ยืนนิ่งไม่คิดแม้แต่จะพูดอะไรสักประโยค
    “เอ่อ...คืนนี้คงต้องนอนที่นี่ไปก่อนล่ะนะ แหะๆ” เขายิ้มแห้งๆ แบบถ้าจะเอาดาบผ่าตัวไอ้ซีรินให้ขาดเป็นสองท่อนได้คงทำไปนานแล้ว อะไรกันเนี่ย ไม่รอคนอื่นเขาตกลงกันก่อนเลยก็หลับซะแล้ว
    “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” เอรีสตอบเสียงเรียบก่อนเอ่ยขึ้นอีก “คามิลเลียก็ขึ้นไปนอนด้วยกันนะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเก็บของ คุณเซเรสกับคุณฟีวิลก็นอนห้องเดิมนะคะ ส่วน....ซิริน ถ้าไม่อยากแบกขึ้นไปข้างบนก็ปล่อยให้นอนตรงนี้ก็ได้ ไม่มีใครมาขโมยตัวไปหรอกค่ะ” ประโยคยาวเหยียดที่ผู้ฟังทั้งหลายพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปข้างบนเพื่อเข้านอนเอาแรงไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ โดยปล่อยให้คนที่นอนไม่รู้เรื่องยังคงหลับอยู่ตรงนั้นต่อไป
    “พี่เอรีส” เสียงใสๆ ดังขึ้นเรียกให้หญิงสาวในชุดนอนเบือนนัยน์ตาสีฟ้ามาสบ คามิลเลียเลยพูดต่อ “พี่ไม่เสียใจเลยหรอที่แม่ของพี่โดนจับไป”
    ดวงตาคู่สวยฉายแววครุ่นคิดก่อนตอบเสียงเรียบ “ก็ยังมีทางเอาตัวคืนนี่ แล้วอีกอย่าง....” คำพูดที่กลืนเข้าไปในคอของนักบวชสาวกะทันหันเรียกให้นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์เป็นฝ่ายจ้องมาบ้างอย่างงุนงง คิ้วเรียวขมวดเข้ากัน แล้วทวนคำให้เอรีสกล่าวต่อ
    “อีกอย่าง?.....อีกอย่างอะไรหรือคะ”
    “อีกอย่าง.....” น้ำเสียงฟังดูลังเลเป็นที่สุดของเอรีสดังขึ้น ขณะเจ้าตัววางหวีที่เมื่อครู่กำลังสางเรือนผมสีเงินสวยอยู่ลงกับโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วยอมเอ่ยขึ้นในที่สุด “ก็มีคนสัญญากับฉันไว้แล้ว....ว่าท่านแม่จะต้องปลอดภัย” คำตอบที่ทำให้คนฟังยิ่งเพิ่มความสงสัยเพราะไม่ได้คำตอบที่คั่งค้างในใจ ไม่คิดว่าคนอย่างเอรีสจะยึดมั่นในคำสัญญามากมายขนาดนี้ ทั้งๆ ที่มันอาจจะมีความเป็นไปได้ห้าสิบห้าสิบนี่...
    “ใครหรอพี่เอรีส” ดวงตาคู่สวยยังคงจับจ้องหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนเอรีสเริ่มอึดอัดขึ้นมานิดเลยยอมพูดในที่สุด ด้วยคำพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง แต่น้ำเสียงของหล่อนก็ยังคงสงบเสมอต้นเสมอปลาย
    “ก็องครักษ์ของท่านยังไงล่ะ เจ้าหญิงคามิลเลีย” คามิลเลียเมื่อได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มบางก็ระบายบนดวงหน้าขาวนวล เอ่ยคำเย้าที่ทำให้นักบวชสาวหน้าขึ้นสี เค้าของความเย็นชาที่เคยมีหายไปอย่างกับคนละคน
    “พี่เอรีสชอบพี่เซเรสใช่ม้า....” คิ้วของเด็กสาว....พระธิดาองค์เดียวของอดีตองค์กษัตริย์แห่งอินดิสเลิกคิ้วขึ้นนิด ดวงหน้าใสซื่อเหมือนกับไม่รู้ว่าที่ตัวเองพูดไปเมื่อกี้นั้นคืออะไร
    เอรีสเลือกที่จะเงียบแทนการตอบ หากแต่เธอก็ยังคงมีความพยายามที่จะขุดคุ้ยความจริงขึ้นมาอย่างไม่ลดละ “ใช่มั้ยคะ?”
    “.....ฉัน....ไม่รู้!” เอรีสตอบเสียงดังอย่างหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ ดวงหน้าสวยยังคงแดงก่ำ น้ำเสียงที่เคยสงบเหมือนที่เป็นได้หายไปหมดแล้วตอนนี้
    “อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ” คามิลเลียเอ่ยเสียงอ่อยพลางทำท่าเตรียมนอน เอรีสหันมามองเลิกคิ้วขึ้นนิดอย่างขอคำอธิบายเพิ่มเติม “อย่างนี้พี่เซเรสก็แย่น่ะสิ ชอบคนที่ไม่รู้ว่าชอบตัวเองด้วยหรือเปล่า” หน้าที่เริ่มจะจางสีเลือดของเอรีสเมื่อได้ยินประโยคนั้นหน้าก็ร้อนวูบอีกรอบ
    “คามิลเลียคิดไปเองมากกว่า” เอรีสผู้อยากตัดบทสนทนานี้สักทีคิดหาคำพูดดีๆ ก่อนพูดไปแบบไม่คิดว่ามันจะได้ผล “แล้วเธอล่ะ รู้ใจตัวเองหรือยัง....หลายวันมานี่เธอดูติดซีรินแจเลยนะ”
    แต่มันก็เกินความคาดหมายของเอรีสมาก ไม่คิดว่าพออ้างชื่อของหัวขโมยเด็กนั่น ถึงกับทำให้คามิลเลียหน้าแดงซ่าน เงียบไปครู่ใหญ่เหมือนไม่มีความคิดว่าจะพูดอะไรอีก ล้มตัวลงนอนยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงพร้อมกล่าวคำสั้น
    “คามิลเลียนอนแล้วนะ”
    “เฮ้อ....”
    “เป็นอะไรไปฟีวิล” นัยน์ตาสีดำขลับหันไปมองคนถอนหายใจเฮือก ที่ตอนนี้ลงไปนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว
    “ก็....ผมกำลังงงอยู่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรกันแน่ตอนนี้” ดวงตาสีเขียวมรกตคู่คมมองขึ้นไปบนเพดานที่ว่างเปล่า คิ้วเข้มของเซเรสขมวดเข้ามานิดก่อนฟีวิลจะพูดต่อ “ต้องเดินทางมากับเจ้าหญิงที่กำลังหนีจากการรุกรานของฝ่ายกบฏ ทั้งๆ ที่มันไม่เกี่ยวกับตัวเองเลยซักนิด แต่ก็ดันหาเรื่องให้ตัวเอง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องช่วย ไม่จำเป็นต้องออกเดินทาง....แค่นอนอยู่ในบ้านเก่าๆ ตั้งแต่แรกก็สบายไปตั้งนานแล้ว”
    “งั้นนายก็ไม่ต้องเดินทางไปด้วยกันก็ได้ ถึงไม่มีพวกนายเจ้าหญิงก็คงไม่เป็นอันตรายแน่” น้ำคำเด็ดขาดของชายหนุ่มเรียกให้ดวงตาของอีกฝ่ายเบือนมาสบ
    “นิสัยทหารชัดๆ ยอมตายเพื่อปกป้องเจ้าหญิง พูดว่าอย่างโน้นว่าอย่างนี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ โอกาสเป็นไปได้มีอยู่ไม่ถึงครึ่ง” น้ำคำยังคงเรื่อยๆ หากแต่เซเรสไม่เรื่อยตามเสียงของฟีวิลนี่สิ
    “ถ้านายคิดดูถูกฉันอีกประโยคเดียว ฉันก็จะฆ่านายตรงนี้เลยดีมั้ยล่ะ”
    “ใจเย็นก่อนสิ ลืมตัวขนาดเรียกตัวเองว่า ‘ฉัน’ เลยหรือ” เขากล่าวอารมณ์ดีพลางลุกพรวดขึ้นนั่ง “ยังไงผมก็ต้องเดินทางไปอยู่ดีนั่นแหละ....ไม่งั้นคุณจะไปหากองกำลังมาจากไหน” รอยยิ้มบางปรากฏบนดวงหน้า ขณะอีกฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงุนงง
    “แล้วกองกำลังที่ว่านั่นมีแน่หรือไง เป็นใครก็ยังไม่รู้?”
    “เรื่องมีน่ะมีแน่ แต่ตอนนี้ขอไม่บอกได้มั้ย.....ไว้ไปถึงที่แล้วพวกคุณก็คงจะรู้เอง” คำตอบที่เหมือนไม่ได้ไขข้อสงสัยให้เซเรสขึ้นมาเลยสักนิด
    “เฮ้อ....” คราวนี้กลับกลายเป็นเซเรสที่ถอนหายใจบ้าง
    “เป็นอะไรหรอครับ”
    “ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เป็นองครักษ์แล้วนี่นะ ยังจะไปทำตัวให้มันเหมือนอีกทำไมกัน....สู้เป็นอย่างคนธรรมดาทั่วๆ ไปยังจะดีกว่า”
    “คนธรรมดา?”
    “ก็เลิกบ้ามัวแต่เอาตัวเข้าปกป้องนาย เลิกบ้ายอมตายเพียงเพราะหน้าที่....” คำพูดที่ขาดไปเรียกให้คิ้วของฟีวิลเลิกขึ้นนิด หากแต่เซเรสเพียงแค่โคลงหัวไปมาช้าๆ แล้วเอ่ยตัดบท “ยังไงก็นอนพักเอาแรงดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทาง....แล้วแน่ใจหรือว่าจะให้ซีรินนอนข้างล่าง?”
    “ช่างรายนั้นเหอะ นอนที่แย่กว่านี้ยังเคยนอนมาแล้ว....แค่นี้คงไม่เท่าไหร่นักหรอก”
    แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านเข้ามากระทบเปลือกตาของเด็กสาว จึงจำต้องขยับเปลือกตาที่มีแพขนตายาวขึ้น ก่อนจะหลุบลงเพราะแสงมันสว่างเกินไปแล้วค่อยลืมตาขึ้นมาใหม่ช้าๆ เสียงนกร้องนี่มันเพราะดีจัง อย่างกับเพลงแน่ะ เจ้าหญิงตัวน้อยคิดพลางใช้ดวงตาสีม่วงอเมธิสต์คู่สวยสอดส่ายไปรอบๆ
    ท่าจะยังไม่มีใครตื่น....
    คิดเสร็จก็มองไปข้างๆ เห็นเอรีสกำลังนอนหลับสบายใจ ก่อนจะย่องลงมาจากเตียงแล้วเดินลงมาชั้นล่างด้วยเสียงอันเงียบกริบในชุดนอนสีชมพูอ่อน ซีรินยังหลับอยู่.... ค่อยยังชั่ว ห้วงคิดที่ทำให้ถอนใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเดิน กึ่งย่องออกไปทางด้านหลังโบสถ์ที่เป็นธารน้ำใสเล็กๆ ไหลผ่านพอดี มือเล็กๆ จึงได้แช่ลงไปในน้ำเย็น สายตาเหม่อลอยไปไกล เรือนผมสีทองสวยออกยุ่งนิดๆ ยามเพิ่งตื่นนอน
    แปะ...
    ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นในจิตใจ บาดแผลที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ หรือถ้าหายก็คงต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียว ความอ่อนแอที่เธอไม่คิดอยากยอมรับ ความจริงที่เธอไม่เคยคิดว่ามันจะเกิด น้ำตาที่เธอไม่อาจห้ามได้ ความเจ็บปวดที่มันบาดลึกเข้าไปในจิตใจอย่างไม่เคยมี....ทำไมถึงไม่เคยมี? หรือเพราะว่าเราไม่เคยลำบาก ไม่เคยต้องสูญเสียใคร....อย่างนั้นหรือ ความจริงเธอไม่เคยคิดได้ ไม่เคยเปลี่ยนตัวเองจริงๆ สักครั้ง แต่ตอนนั้นที่ยิ้มขึ้นมาได้เพราะไม่อยากให้ใครต้องลำบากเพราะเรา หรือถ้าไม่มีเราเรื่องมันก็อาจจะไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้ แล้วยังพลังบ้าอะไรนั่นอีก คนอื่นก็มีต้องเยอะ ทำไมถึงต้องเป็นเธอ....เธอผู้ไม่รู้จักแม้แต่จะจับดาบหรือแตะคทา.....
    ความคิดที่ต้องหยุดลงแค่นั้น เพราะเสียงทุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นจนเธอสะดุ้งเฮือกอย่างไม่รู้ตัวว่ามีคนมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่
    “มานั่งอะไรตรงนี้คนเดียวอ่ะ เดี๋ยวโดนจับไปฆ่าไม่รู้ด้วยนา” คามิลเลียหันไปมองด้วยสายตาตื่นตระหนก แต่ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นโล่งอกเมื่อหันไปสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างงุนงง ดวงตาเปิดเพียงครึ่งเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน เส้นผมสีน้ำตาลทองที่ดูยุ่ง แล้วเจ้าตัวก็ยิ่งทำให้ยุ่งหนักเข้าไปอีก เมื่อมือใหญ่ยกขึ้นมาเกาแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจ
    “เรื่องของฉัน...น่า” เสียงของเด็กสาวที่แหบพร่าพร้อมกับใบหน้าขาวที่หันกลับไปอีกทางทันที กิริยาที่ทำให้ซีรินขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย
    “ไม่บายหรือไง”
    “ปะ...เปล่า” ซีรินยังคงไม่เชื่อที่คามิลเลียพูดเลยพยายามที่จะมองหน้าเธอให้ได้ และเมื่อเห็นก็เกิดอาการทำอะไรไม่ถูกขึ้นมากะทันหัน
    “เฮ้ย! เอ่อ....อย่าร้องดิ” ตาที่เปิดแค่ครึ่งตอนนี้กว้างยิ่งกว่าตอนปกติเสียอีก ร้องเสียงเกือบหลงเหมือนคนไม่เคยเห็นผู้หญิงร้องไห้ หรือว่าง่ายๆ พวกอ่อนประสบการณ์....อาการเลิ่กลั่กเล็กน้อยถึงมากเหมือนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาคนตรงหน้าอย่างหาวิธีไม่ออก หรือไม่รู้วิธี อาการที่ทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างขันๆ ทั้งๆ ที่น้ำตายังนองหน้า
    “นายไม่เคยเห็นคนร้องไห้หรือไง” คำพูดที่ทำให้อาการลนลานของเด็กหนุ่มหยุดกึกทันที ก่อนหน้าจะก่ำสีขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
    “...ไม่....ไม่เคยอ่ะ” คำตอบที่ดีที่สุดที่เขาหาได้ตอนนี้และคิดว่ามันดีที่สุดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจสุดยอด ก่อนจะลุกพรวดขึ้นจนทำให้คามิลเลียเกือบหงายหลังไปอย่างตกใจ มือเล็กรีบคว้ามือใหญ่ไว้อย่างลืมตัว
    “เฮ้ย!” หน้าขาวๆ เลยได้แดงระเรื่ออีกระลอก แต่มือเล็กๆ ก็ยังคงไม่ได้ปล่อยจากการเกาะกุม “รีบๆ ลุกขึ้นมาเซ่! ฉันไม่ชอบให้ใครมาจับตัวรู้ไว้ซะ”
    “โทษที ถ้าทำให้นายอารมณ์เสีย” คามิลเลียยันกายให้เหยียดขึ้นตรงก่อนยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตา พร้อมกับรอยยิ้มบาง ซีรินได้ยินดังนั้นก็เกิดอาการเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าไปในโบสถ์เสียดื้อๆ ไม่ยอมแม้แต่จะตอบหรือฟังอะไรต่อ ไม่รู้ทำไมว่าหน้ามันถึงได้ร้อนอย่างนี้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยสักนิดอย่างกับจะกระโดดออกมานอกอกได้อย่างงั้น ความคิดที่ซีรินคิดแล้วต้องส่ายหัวไปมาแรงๆ เหมือนว่ามันจะช่วยทำให้ความคิดและความรู้สึกแปลกๆ ออกไปจากหัวสมอง
    เฮ้อ....ทำไมเวลาคุยกับซีรินทีไรมันรู้สึกดีจัง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นคำพูดที่ให้กำลังใจหรือปลอบใจอะไรเลยก็เถอะ แต่แค่ได้เห็นท่าทางขำๆ ก็ทำให้รู้สึกดีได้....บางที...อาจจะไม่ใช่แค่ท่าทางอย่างเดียว ที่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นก็ได้มั้ง แล้วมันเป็นเพราะอะไรล่ะ? ใครช่วยบอกหน่อยสิ ความคิดที่ทำให้เด็กสาวถอนหายใจอย่างโล่งใจ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนริมฝีปากได้รูป มือเล็กยกขึ้นมากุมไว้ที่หน้าอกที่ตอนนี้เต้นระรัวไปหมด ถึงแม้ว่าดวงหน้าขาวจะไม่ได้ขึ้นสีสักนิด......
    นัยน์ตาสีฟ้าใสที่ดูสงบกวาดมองไปทั่วห้องเพื่อหาตัวเด็กสาวที่อยู่ห้องเดียวกัน “คงไปเดินเล่นละมั้ง” ว่าจบก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพ เดินออกมาจาห้องนอนแล้วไปเคาะประตูห้องอีกหนึ่งห้องที่เหลือ
    ก๊อก ก๊อก....
    “คร้าบ” เสียงทุ้มดังขึ้นตามมาด้วยเจ้าของร่างที่เดินมาเปิดประตู
    แอ๊ด....
    บุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีดำขลับฉายแววรอบรู้ กับเส้นผมสีเดียวกันดูยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงจากที่ปกติก็ดูจะไม่ค่อยเป็นทรงอยู่แล้ว เสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ปลดกระดุมออกทุกเม็ดเรียกให้ดวงหน้าแสนสงบของหญิงสาวที่เป็นฝ่ายเคาะประตูถูกทำลายลงแทนด้วยสีเรื่อทั่วทั้งใบหน้า เอรีสรีบหันขวับไปอีกทาง และเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวก็รีบติดกระดุมให้เรียบร้อยเหมือนปกติ
    “อ่า...อรุณสวัสดิ์ครับคุณเอรีส มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาแต่เช้า?” นัยน์ตาสีดำที่ไม่แสดงถึงเล่ห์เหลี่ยมใดๆ สบมองดวงตาสีฟ้าตรงๆ อย่างไม่คิดจะหลบ
    “เปล่าค่ะ แค่มาปลุกถ้ายังไม่ตื่น” เอรีสปรับเสียงให้เรียบก่อนถามต่อ “แล้วคุณฟีวิล...?” เซเรสที่ได้ยินดังนั้นก็ถอยห่างออกจากหน้าประตู เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มอีกหนึ่งที่นอนหลับไม่รู้ตื่นอยู่บนเตียง
    “ยังไม่ตื่นน่ะ....จะให้ปลุกมั้ย?”
    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันปลุกให้ก็ได้ค่ะ คุณเซเรสก็ไปธุระส่วนตัวเถอะค่ะ” เซเรสพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะเดินเข้าไปจัดเตียงของตัวเอง หยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าห้องน้ำไป
    เอรีสที่เดินมาถึงฟีวิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมสีชาที่ปกติเคยรวบไว้อย่างเคยถูกปล่อยออกดูแล้วแปลกตาสำหรับเธอเป็นอย่างมาก แต่มันก็ทำให้ดูดีไปคนละแบบ ชุดที่อยู่ในสภาพไม่ค่อยแตกต่างจากเซเรสเท่าไหร่นักทำให้เอรีสถอนใจเฮือกก่อนจำใจปลุกให้ตื่น โตขนาดนี้แล้วยังจะขี้เซาอีก
    “คุณฟีวิล....” เธอพูดเบาๆ
    ....เงียบ ยังไม่แม้แต่จะขยับตัว เธอจึงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีก
    “คุณฟีวิล” ยังไม่รู้สีกตัวเหมือนเดิม “ฟีวิล!”
    เสียงที่เธอคิดว่าดังที่สุดแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้บุรุษตรงหน้ารู้สึกตัวเลยสักนิด เพียงแค่พลิกตัวไปอีกข้างเท่านั้น เอรีสเลยต้องใช้มือเป็นส่วนประกอบในการปลุก...เริ่มจากการเขย่าน้อยๆ ....จนไปถึงแรงที่สุด
    พวกไร้ความรู้สึก! เธอคิดในใจอย่างเหลืออด นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววไม่สบอารมณ์ออกมาอย่างไม่คิดปกปิด ก่อนจะลุกพรวดจากข้างเตียง ให้หลับไปอย่างนั้นท่าจะดีกว่า แต่ไม่ทันที่เธอจะได้คิดไปมากกว่านั้นก็มีมือใหญ่มือหนึ่งคว้าหมับเข้าที่เอวบางเล่นเอาทรงตัวไม่อยู่ล้มลงไปแผ่อยู่บนเตียง แล้วมือนั้นก็ไม่ใช่มือใครที่ไหน....นอกจากไอ้คนที่มันยังหลับอยู่นี่เอง
    “ปล่อย” หญิงสาวพยายามกดเสียงให้เย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ หากแต่มือใหญ่ยังไม่ยอมปล่อย แถมยังรัดแน่นขึ้นอีก...ได้ ไม่ปล่อยใช่มั้ย
    กริ๊ก....
    คลูซิฟิกส์เล่มสวยถูกเรียกออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับที่ปลายดาบคมกริบจ่ออยู่ที่ต้นคอของฟีวิลที่หลับตาพริ้ม ไม่รู้ว่าหลับจริงหรือแกล้งหลับกันแน่
    ....ฟีวิลยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เอรีสเชื่อเลยสักนิดว่าเขาหลับจริง
    “นายตื่นตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ” ว่ายังไม่ทันจบประโยคดี ดาบในรูปร่างคทาก็จ่อลงลึกไปอีกหน่อย เรียกให้เลือดซึมชื้นขึ้นมานิด....
    “เล่นแรงไปหน่อยแล้วนะเอรีส” ฟีวิลเอ่ยลืมตาโพลงไม่มีเค้าว่าเพิ่งตื่นเลยสักนิด มือใหญ่รีบปล่อยร่างบางของอีกฝ่ายทันที พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นมาในท่าทางยอมแพ้
    “มันก็เหมาะกับนายแล้วนี่” คำพูดเรียบๆ ที่ฟีวิลยังยิ้มได้อย่างสบายอกสบายใจพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง แล้วเซเรสก็เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ
    “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าน่ะ” นัยน์ตาสีเข้มมองหน้าฟีวิลที่นั่งเงียบสลับกับเอรีสไปมา แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับรอยเลือดซิบๆ ที่คอของอีกบุรุษที่ตอนนี้กำลังเอามือจับๆ อยู่ เห็นแล้วก็เดาสถานการณ์ขึ้นมาแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรฟีวิลก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
    “ไม่มีอะไรหรอก....งั้นฉันไปอาบน้ำบ้างนะ” พูดจบก็ลุกไปหยิบผ้าขนหนูทำท่าจะเดินเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อเจอเสียงของอีกหนึ่งบุรุษในห้องที่เปรยขึ้นมาเฉยๆ ก็ทำเอาฝีเท้าที่กำลังก้าวหยุดลงทันที
    “ไม่ใช่ว่านายไปดึงเอรีสให้ร่วง แล้วก็ไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งเอรีสเอาคลูซิฟิกส์จ่อคอหรอกหรือ”
    หมอนี่....ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาบนหัวสมอง หันไปมองคนข้างหน้าที่เลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นคำถาม ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตเลยตอบแต่โดยดี
    “จะว่าอย่างนั้นมันก็ไม่ผิด”
    “งั้นฉันไปเตรียมอาหารกับคามิลเลียนะคะ” เอรีสเอ่ยตัดบทก่อนเดินออกไปจากห้องทิ้งให้สองหนุ่มหันไปมองอย่างห้ามไม่ได้
    “รู้อย่างนั้นแล้วนาย....” คำพูดที่ทำให้คิ้วเข้มของเซเรสเลิกขึ้นอีกครั้งพร้อมเอ่ยทวนคำเร่งคำตอบที่หยุดไปซะดื้อๆ
    “แล้วนาย?”
    “นายไม่หึงหรือไง” ฟีวิลเอ่ยพร้อมฉีกรอยยิ้มกว้างอย่างอยากแกล้งคน
    “หึง?....” เซเรสทวนคำ ใบหน้าคมคายฉายแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยอีก “งั้นเมื่อกี้ก็แผนหรอกหรอ โธ่....” เซเรสว่าพลางแสร้งทำหน้าเสียดายจับใจ สรุปว่าใครมันจะแกล้งใครกันแน่เนี่ย ฟีวิลคิดแต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มฉายชัด
    “ทำไมคิดว่ามันไม่ได้เป็นแผนล่ะ”
    “ก็นายไม่ได้ชอบเอรีสหรือ” คำถามที่รู้สึกจะตรงจนเกินเหตุของเซเรส เล่นเอาฟีวิลสะดุ้งเหมือนไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามนี้
    “ยัยนักบวชเย็นชาอย่างนั้นเนี่ยนะ ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกซะหน่อย แล้วถึงมียัยนี่คนเดียวฉันก็ไม่เอา.....และที่สำคัญ ฉันไม่อยากแย่งของของใคร” เซเรสคิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจก่อนถามอีกรอบ
    “แย่ง? ไม่เห็นจะมีใคร....นอกจากนาย...” คำพูดที่ทำเอาฟีวิลหน้าเกือบทิ่ม เรื่องอื่นไอ้นี่มันเก่งกว่าหลายขุม แต่ไอ้เรื่องแบบนี้นี่ห่างกันราวฟ้ากับเหว
    “ช่างเหอะๆ ยังไงฉันก็ไม่มีทางไปชอบยัยนั่นหรอก นายวางใจได้” ฟีวิลเอ่ยประโยคกำกวมเสียเหลือเกินแต่เซเรสก็ไม่ใช่ว่าซื่อจนบื้อที่จะไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง
    “คนที่พูดประโยคนั้นน่าจะเป็นฉันมากกว่านายอีกนะ” ฟีวิลได้ยินดังนั้นคิ้วก็เลิกขึ้นก่อนทำท่าจะขยับปากอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดโอกาสให้ด้วยการพูดตัดบทสนทนา “นายก็ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวอดกินอาหารฝีมือเอรีสกับคามิลเลียไม่รู้ด้วยนา” ว่าจบก็ผลักหลังฟีวิลเล่นเอาหน้าเกือบหน้าคว่ำเข้าไปในห้องน้ำด้วยแรงของเซเรสที่ไม่ใช่น้อยๆ เลย
    “คามิลเลียไปตามซีรินมาทานอาหารเช้าได้แล้ว” น้ำเสียงเรียบๆ ของหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยเรียกให้เด็กสาวเจ้าของชื่อพยักหน้าช้าๆ รับคำแล้วเดินออกจากบริเวณห้องครัว
    “ไปทานข้าวได้แล้วซีริน เดี๋ยวเราต้องออกเดินทางแล้วนะ” คามิลเลียว่าเสียงใสพลางเดินไปหาเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวในตัวอาคารโบสถ์ซึ่งไร้ผู้คน
    “อืม” นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ดูซื่อเกือบเป็นบื่อหันมามองเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีทองก่อนตอบสั้น
    “อรุณสวัสดิ์” เซเรสเปรยขึ้นเมื่อมาถึงที่ที่เจ้าหญิงกับหัวขโมยตัวแสบคุยกันอยู่
    “สวัสดีค่ะ พี่เซเรส” คามิลเลียหันไปทักพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “แล้วพี่ฟีวิลล่ะ?”
    “อีกพักก็คงลงมามั้ง แล้ววันนี้มีอะไรกินบ้าง” เซเรสถามพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
    “ก็เหมือนปกติน่ะค่ะ ขนมปังกับอีกสารพัดอย่างแล้วแต่คนทำพอใจจะทำค่ะ.....หวังว่าคงจะกินกันได้” ประโยคที่ทำให้เซเรสเขกหัวคามิลเลียเบาๆ อย่างเอ็นดูก่อนเอ่ยย้อน
    “เดี๋ยวนี้หัดกวนนะ”
    “ฮ่าๆ ไม่ดีหรอกหรอ” คามิลเลียถามเซเรสก่อนสายตาจะต้องไปมองอีกหนึ่งบุรุษคนสุดท้ายที่เพิ่งจะเดินลงมา พร้อมกับเสียงทักที่แสนจะดัง
    “ซีริน นี่นายใบ้กินไปแล้วหรือไง นั่งเงียบเป็นบ้าใบ้ไปได้”
    “เออ” นัยน์ตาสีน้ำตาลของคนถูกทักฉายแววกรุ่นๆ อย่างที่เคยเป็น ในขณะที่คนทักมีรอยยิ้มปรากฏบนดวงหน้าคมคายไม่มีเปลี่ยน ฟีวิลเดินเข้ามาหาเจ้าหัวขโมยผู้น้องช้าๆ ก่อนยกมือใหญ่ขึ้นตบหลังดังป้าบจนซีรินหน้าเกือบคว่ำพร้อมกับพูดขึ้นอีกครั้ง
    “พูดกับพี่ให้มันดีๆ กว่านี้หน่อยไม่ได้เลยหรอ”
    “เออ!....คร้าบ......พอใจยัง?” ซีรินเอ่ยเสียงกระแทกพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างกวนส้น
    “ยัง” นัยน์ตาสีเขียวมรกตฉายแววล้อเลียนเหมือนจะยั่วให้คนตรงหน้าโกรธ แต่ก็ดันโดนตัดบทด้วยเสียงของยัยนักบวชสาวที่ตอนนี้เขาคิดว่าโหดซะยิ่งกว่าเก่าพูดขึ้นทันทีเมื่อเตรียมอาหารเสร็จ
    “เตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว”
    “มีไรกินเนี่ย” ฟีวิลว่าพลางทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นอาหาร
    “เหมือนเดิมค่ะ” คามิลเลียตอบสั้น แต่ยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า ส่วนฟีวิลก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่เดินเข้าไปที่โต๊ะอาหารเพื่อไปจัดโต๊ะอาหารที่ทำอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว โดยมีท่านอาจารย์เอรีสและท่านอาจารย์คามิลเลียเป็นผู้สอน แต่จริงๆ ถ้าไม่มีคนสอนเขาก็จัดเป็นอยู่แล้ว แต่ก็ดีเหมือนกัน ได้รู้วิธีจัดแบบอินดิสแล้วก็เซเบิลเพิ่มมาอีกสองเมือง
    “เก็บของกันหมดหรือยัง” เซเรสเอ่ยถามเมื่อมายืนรออยู่หน้าโบสถ์เป็นที่เรียบร้อย นัยน์ตาสีดำขลับมองสำรวจรอบๆ ตัวอาคาร เส้นผมสีเดียวกันที่ดูไม่ค่อยจะเป็นทรงเท่าไหร่นักยิ่งยุ่งเข้าไปอีกเมื่อมีลมเบาๆ พัดมา มือใหญ่เลยยกขึ้นไปจัดผมให้เข้าที่ด้วยการใช้มือแทนหวีเสียเลย แล้วก็เป็นหวีที่ทำได้แค่ให้ผมมันเข้าที่ก็เท่านั้น ไม่ได้ทำให้มันเรียบขึ้นเลยสักนิด
    “น่าจะหมดแล้วนะ” หัวขโมยหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ตามปกติ คามิลเลียพยักหน้าหงึกๆ แทนคำตอบ
    “งั้นก็ออกเดินทางกันได้” เซเรสพูดก่อนจะเดินออกจากตัวโบสถ์ แต่ก่อนที่จะได้เดินไปไกลกว่านั้นเสียงของเอรีสก็ดังขึ้นซะก่อน
    “เดี๋ยวก่อน”
    “มีอะไรเหรอ” เซเรสหันกลับมาถาม นัยน์ตาสีเข้มสบไปยังหญิงสาวเจ้าของดวงตาสีฟ้าใสคู่สวย เอรีสไม่ตอบ เพียงแต่หันหลังกลับไปปิดประตูพร้อมกับลงกลอนเอาไว้
    “แค่นั้นฉันเอากิ๊บติดผมไขแป๊บเดียวก็เข้าไปได้แล้วนะ” ฟีวิลร้องทักกึ่งเล่นกึ่งจริง ร่างของนักบวชสาวไม่ได้หันกลับมามอง แต่กลับเรียกคลูซิฟิกส์ออกมาก่อนร่ายเวทยาว พลันเขตอาคมขนาดที่พอจะครอบคลุมพื้นที่โบสถ์ทั้งหมดก็ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวไม่จบมนตร์เพียงแค่นั้น แล้วบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศธาตุที่ว่างเปล่า
----------------------------------------------------------------------------
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น