ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : สนทนากลางป่า
    “เจ้าหญิงอย่าทรงวิ่งเร็วอย่างนั้นสิเพคะ เดี๋ยวก็หกล้มเอาหรอกนะเจ้าคะ” หญิงวัยกลางคนร้องห้ามเด็กน้อยตัวเล็กกระจ้อยเสียงเกือบหลง เมื่อเห็นเจ้าหล่อนวิ่งไปใกล้ๆ ธารน้ำใส
    “ไม่เป็นไรหรอกน่ารานี่ เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ” เสียงใสๆ ของเจ้าหล่อนเอ่ยออกมาเหมือนดื้อรั้น ก่อนจะวิ่งเล่นต่ออย่างสบายอกสบายใจ ไม่ฟังคำของผู้เป็นพี่เลี้ยงสักนิด
    นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ใสแจ๋วก็พลันไปสะดุดกับหนุ่มน้อยที่เดินมาหาแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มฟังดูนุ่มหู “ทำตัวยุ่งยากให้ท่านน้ารานี่อีกแล้วสินะ” นัยน์ตาสีดำฉายแววรอบรู้อยู่ในทีที่ดูจะเกินกว่าวัยไปมาก เส้นผมสีดำสั้นดูไม่ค่อยเป็นทรงเท่าไหร่นัก
    “เซเรสอย่ามาว่าหญิงแบบนี้นะ หญิงไม่ชอบ” คำพูดเอาแต่ใจของเด็กสาวตัวเล็ก ทำให้คนถูกกล่าวชื่อกระตุกยิ้มขึ้นอย่างขันๆ ก่อนเจ้าหญิงตัวน้อยจะต้องโดนเทศนา
    “เจ้าหญิงต้องเรียกเซเรสว่า ‘พี่เซเรส’ รู้มั้ยเพคะ เขาห่างกับท่านตั้งหกปีเชียวนะ” จบคำเทศนาของรานี่ เจ้าหญิงแสนดื้อก็ทำหน้าเบ้ ยกมือเล็กๆ ของเธอขึ้นมานับนิ้ว
    “อืม...หญิงหกใช่ม้า....แล้วก็ต้องเจ็ด แปด เก้า สิบ....” นัยน์ตาสีม่วงใสแจ๋วฉายแววขัดใจก่อนเอ่ยประโยคที่ทั้งซื่อทั้งไร้เดียงสา “นับไม่พอแล้วทำไงดีล่ะ....พี่เซเรส?”
    “อืม....เอาอย่างนี้...ไว้วันหลังพี่จะสอนให้น้องรักก็แล้วกันนะ ถ้าโตกว่านี้อีกหน่อย” คำพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงที่เจ้าตัวอุกอาจเรียกเจ้าหญิงว่า ‘น้องรัก’ ทำให้เจ้าหญิงตัวน้อยทำหน้าเบ้อีกรอบอย่างไม่พอใจ
    “แล้วตอนนี้ยังสอนไม่ได้หรือไง.....ไม่เอาแล้ว ไปเล่นต่อดีกว่า....” ว่าจบก็วิ่งอีกรอบ เล่นไปเล่นมาโดยที่มีเด็กชายกับพี่เลี้ยงยืนอมยิ้มดูเด็กสาวที่ช่างไร้เดียงสาซะเหลือเกิน....จนกระทั่ง
    ตูม....!?
    น้ำใสๆ สาดกระเซ็นขึ้นมา ในขณะที่ร่างของเด็กตัวจ้อยลงไปนั่งจุ้มปุ๊กแทนที่น้ำที่กระเซ็นออกมา
    “เจ้าหญิง!” รานี่ร้องเสียงหลงก่อนจะวิ่งรี่เข้าไปหาอย่างรีบร้อน “เป็นอะไรมากมั้ยเพคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
    “หญิงก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะแค่.....” เสียงใสๆ ขาดหายไปเพราะมีเสียงๆ หนึ่งตะโกนแทรกดังมาแต่ไกล
    “เสียงอะไรเอะอะโครมคราม รานี่?” ตามมาด้วยร่างของเจ้าของเสียงผู้เป็นมารดาของเด็กสาวที่ลงไปนั่งกลางลำธาร เสียงของเธอนั้นทั้งอ่อนโยนทั้งใจดี ดวงหน้าอ่อนวัยที่มีดวงตาสีน้ำเงินคู่สวย เรือนผมยาวสีทองที่เด็กน้อยได้แบบมาจากผู้เป็นแม่ รูปร่างอรชร สมกับที่เป็นราชินีคู่ใจกษัตริย์ที่ตอนนี้ยังไม่มีแม้กระทั่งนางสนมสักคน....
    “ท่านแม่” เจ้าหญิงร้องอย่างดีใจก่อนวิ่งเข้าหา ผู้เป็นราชินีนิ่วหน้าลงนิดก่อนเอ่ยถามเสียงอ่อน
    “ไปเล่นซนมาอีกแล้วใช่ไหม” เด็กสาวยิ้มแห้งๆ ก่อนเอ่ยตอบเสียงอ่อย
    “เพคะ”
    “ท่านเฟเรียมานี่มีอะไรหรือเปล่าเพคะ” รานี่ถามขึ้นพร้อมกับยอบกายลงในอาการเคารพคนตรงหน้า
    “ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะ ข้าแค่อยากจะมาหาลูกของข้า ว่าจะเล่นอะไรพิเรนท์ๆ อีกหรือเปล่า” คำตอบอย่างเป็นกันเองของเฟเรียที่ดูจะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับพระราชวังอินดิสแห่งนี้....ราชินีผู้ไม่เคยถือตัว ราชินีซึ่งอ่อนโยนมีจิตใจงดงามบริสุทธิ์ ใครเห็นก็ต้องรักต้องชอบหรือยกย่องให้เป็นแม่ของแผ่นดิน....
    “ไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่ามั้ยคามิลเลีย เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาเสียเปล่าๆ” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ ที่ทำให้เฟเรียระบายรอยยิ้มบางออกมาอย่างขันๆ “เซเรสก็ไปในตำหนักด้วยกันสิ” เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ต้องทำตามแต่โดยดี
    “พะย่ะค่ะ....แต่กระหม่อมคงอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะต้องไปเรียนอีก” เขาพูด หญิงสาวผู้สูงศักดิ์พยักหน้าอย่างใจเย็น เขาจึงเดินตามไปแต่โดยดี.....
    ความคิดที่เลื่อนลอยออกไปไกลของเด็กสาวครั้งยังเยาว์วัยกว่าที่เป็นอยู่ ขณะที่เธอนั่งอยู่บนเตียงเก่าๆ ในกระท่อมหลังเล็กอยู่คนเดียว....ถ้าท่านแม่ยังอยู่ก็ดีสิ พลันน้ำตาที่เพิ่งหยุดไปได้ไม่นานก็ไหลพรากออกมาจากดวงสีม่วงคู่สวยที่บวมช้ำอีกรอบ จะนั่งเสียใจอยู่อย่างนี้ต่อไป หรือจะทำตัวดีๆ .....แล้วคิดหาแผนการแก้แค้น? คำถามที่ยังคงวนเวียนอยู่ในใจ คิ้วเรียวขมวดหากันอย่างใช้ความคิด
    “เอาแต่นั่งร้องไห้อย่างนี้ ท่านแม่ของเจ้าหญิงก็คงจะเสียใจแย่ที่ลูกตัวเองเอาแต่ร้องไห้ ไม่เป็นอันทำอะไร ดีไม่ดีได้ตายตามไปอีกคน” ฟีวิลเอ่ยขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนคามิลเลียสะดุ้งเฮือกหันกลับไปมองอย่างตกใจ
    “อย่าพูดอะไรไม่เป็นมงคลอย่างนั้นได้มั้ย ฟีวิล” บุรุษที่เดินเข้ามาพร้อมกันเอ่ยด้วยน้ำเสียงขัดใจนิดๆ
    “เอ้าๆ ไม่แช่งก็ไม่แช่ง แต่หยุดร้องไห้แบบเอาเป็นเอาตายซักทีได้มั้ยครับ....ผมยิ่งเป็นโรคไม่ค่อยอยากเห็นน้ำตาของผู้หญิงซะด้วยสิ” น้ำเสียงของชายหนุ่มยังคงอารมณ์ดีอย่างหาที่เปรียบมิได้
    “เฮ้ ไอ้ซีรินมันหายไปครึ่งวันแล้วนะ ยังไม่กลับมาอีกหรอ”
    “ก็เห็นมั้ยละครับ” คำตอบกวนอวัยวะเบื้องล่างของเซเรสด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ที่ทำให้ฟีวิลหันขวับไปมองแต่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะโกรธเลยแม้แต่น้อย
    “งั้นผมขอไปตามหน่อยดีกว่า อาจจะหลงไปไหนแล้วก็ได้ละมั้งเนี่ย” เจ้าตัวเอ่ยพลางจะเดินออกไปจากกระท่อมแต่ก็ต้องหยุดกึกเมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวที่น่าจะหลับอยู่ในห้อง
    “ซีรินน่ะ.....เขาเข้ามาอยู่ในห้องที่ฉันนอนตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว”
    “ลุกขึ้นมาทำไม เดี๋ยวเป็นลมล้มพับไปก็อย่าหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน” ยังไม่ทันจบประโยคดีเอรีสที่เกาะขอบประตูอยู่ก็ทำท่าจะเดินเข้ามากลางห้อง แต่ด้วยร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่นักในตอนนี้.....
    “ระวังล้ม!.....” เซเรสร้องพร้อมกับจะเข้าไปประคอง
    โครม!....
    แต่สรุปว่าตัวเองก็เสียหลักด้วยเหมือนกัน เลยทำได้อย่างดีก็แค่เป็นเบาะรองกันคนป่วยเจ็บเท่านั้น
    ดวงหน้าของเซเรสขึ้นสีเรื่อๆ ในขณะที่เอรีสที่ดูจะทำหน้าเฉยตลอดหน้าก็แดงไม่แพ้กันสักเท่าไหร่นัก ฟีวิลจึงเอ่ยขึ้นเหมือนแกล้งไม่รู้
    “เห็นมั้ยผมบอกแล้วนะ ว่าเดี๋ยวจะเป็นลม....แล้วนี่ไข้ขึ้นอีกรึเปล่าเนี่ย” มือใหญ่ยื่นไปหาหญิงสาวหวังช่วยให้ยืนง่ายขึ้น
    “ไม่ต้อง....ฉันลุกเองได้” เอรีสพยายามที่จะลุกขึ้นมาทั้งๆ ที่แรงก็ไม่ได้มีมากมาย ลุกขึ้นมาได้นิดก็เกือบจะร่วงลงไปทับเซเรสอีกรอบ แต่ด้วยความไวกว่าของฟีวิลที่คว้าร่างบางของเธอไว้อย่างทันท่วงที ทำให้เซเรสไม่ต้องเจ็บฟรีอีกครั้ง
    “เนี่ยน่ะหรือครับ ที่เขาเรียกว่าลุกเองได้?” คำถามแกล้งซื่อของฟีวิลที่ทำให้เอรีสที่กะจะกล่าวขอบคุณเสียหน่อยกลืนคำพูดลงคอไปจนหมด ก่อนเอ่ยเสียงเย็น
    “เรื่องของฉัน”
    เซเรสที่ลงไปนอนกับพื้นอยู่นานลุกขึ้นมาพร้อมกับปัดเสื้อที่เลอะฝุ่น
    “เป็นไงมั่ง ได้ลงไปนอนเล่นกับพื้น” นัยน์ตาสีเขียวมรกตพราวระยับอย่างนึกสนุกจะกวนอารมณ์คนตรงหน้า ซึ่งมันก็ไม่ได้ผลถึงขีดสุด
    “สนุกดีมั้ง” คำตอบห้วนสั้นแต่ก็กวนคนตรงหน้ากลับ ทำให้เด็กสาวหัวเราะขึ้นมาอย่างร่าเริง
    “ฮิฮิ....เล่นอะไรกันแปลกจังเลยนะพวกพี่ๆ เนี่ย” แม้ตายังคงบวมแต่เจ้าตัวก็ยังยิ้มระรื่นได้ ซึ่งก็ทำให้เซเรสยิ้มออกมาอย่างดีใจ
    มุขฝืดขนาดนี้ยังหัวเราะได้อีกหรอเนี่ย? ฟีวิลคิดพลางยิ้มแหยๆ ดีใจครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็ยังงงอยู่ว่ามันน่าขำตรงไหน?
    “เป็นปกติได้ก็ดีแล้วนะครับ งั้น.....คามิลเลียก็พักไปก่อนก็แล้วกันนะ เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืนเลยนี่” บุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีดำขลับว่าพลางดันร่างของเธอให้นอนลง
    “งั้นเธอก็ต้องนอนบ้างนะ คุณนักบวช” ฟีวิลไม่รอคำตอบแต่พยุงร่างบางๆ ของเจ้าหล่อนเข้าไปเลย “นายหายไปไหนมาตั้งนาน” คำถามแรกถูกส่งขึ้นเมื่อดวงตาสีเขียวมรกตสบเข้ากับเด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาล
    “เดินเล่นแถวนี้” คำตอบทั้งห้วนทั้งสั้นตามแบบฉบับเจ้าตัว “แล้วเจ้าหญิงนั่นร้องไห้จนตายไปยัง?” คำถามสุดแสนจะเป็นมงคลของซีรินเรียกให้รอยยิ้มขันฉายบนดวงหน้าคมคายของชายหนุ่มผู้เป็นพี่ และเมื่อนำร่างของเอรีสถึงเตียงก็เอ่ยตอบ
    “นายห่วงด้วยหรอ....” คำถามที่อีกฝ่ายเลือกที่จะเงียบ ดวงหน้าร้อนวูบขึ้นมานิด “ยังอยู่ดี แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว”
    “จริงอ่ะ?” ซีรินเบิกนัยน์ตาสีน้ำตาลกว้างอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่นัก ก็ก่อนที่เขาจะออกไปยังร้องไห้แทบเป็นแทบตายอยู่เลย
    “จริง.....แล้วท่าทางจะร่าเริงกว่าคามิลเลียคนเก่าซะอีกนะ” ดวงตาของซีรินที่กว้างอยู่แล้วยิ่งกว้างกว่าเก่า และก่อนที่จะได้ถามอะไรเพิ่มขึ้นไปอีกฟีวิลก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “อืม....ดูจากอาการแล้วอีกซักสองสามวันก็น่าจะออกเดินทางต่อได้”
    “นายรักษาฉัน?” ดวงตาสีฟ้าฉายแววสงสัยอย่างไม่เคยมี “กับเซเรส?” เอรีสถามขึ้นเพราะเห็นว่ามีผ้าพันแผลบนข้อมือจองเซเรสและของตัวเองที่มีอยู่เล็กน้อย เพราะว่ามันโดนจากข้างในเสียมากกว่าตอนที่โดนพลังสะท้อนกลับของใครบางคน....ที่มีพลังร้ายกาจมาก มากขนาดที่ทำลายข่ายเวทของเธอได้
    “ครับ”
    “แล้วไม่รักษาตัวเองล่ะ” ฟีวิลนิ่งคิดก่อนตอบเสียงร่าเริง
    “อย่างผมไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า แผลแค่นี้”
    ‘แค่นี้’ รอยบาดบางๆ ทั่วตัวเนี่ยนะแค่นี้ ความคิดที่หญิงสาวนึกอยากจะลองแกล้งคนตรงหน้าดูบ้าง มือบางถึงได้ยกขึ้นมาจับแผลสักแผลที่ใหญ่พอประมาณก่อนบีบลงไปแรงๆ
    “โอ๊ย! ทำอะไรของเธอเนี่ย” ฟีวิลร้องเสียงดัง สะดุ้งเกือบสุดตัว ถึงกับทำให้ซีรินที่นั่งดูอยู่ขอบหน้าต่างเกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่
    “ไหนบอกแค่นี้” ว่าจบก็ยันกายขึ้นนั่งจากท่านอน “ฉันช่วยทำแผลให้....ถือว่าตอบแทนที่นายช่วยฉัน” น้ำเสียงยังคงฟังดูเรียบไม่มีเปลี่ยน
    “ไม่ต้องหรอกน่า....แล้วอีกอย่างเธอจะทำไหวเรอะ เจ็บขนาดนั้นน่ะ”
    “ฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร” น้ำเสียงของหล่อนยิ่งฟังเย็นเยียบขึ้นไปอีกจนฟีวิลไม่คิดจะขัดความตั้งใจของเธอ “ช่วยหยิบกล่องยาให้หน่อยซีริน”
    “ฮะ” ซีรินตอบรับอย่างว่าง่าย อาการขำของเขาที่ทำให้ฟีวิลหน้าเบ้อย่างไม่พอใจขึนมานิด ก่อนจะเดินไปหยิบกล่องยามาตามคำขอ
    “แรงจะเปิดกล่องยังไม่มีเลยมั้งนั่นน่ะ” คำเยาะของฟีวิลที่มันตรงข้ามโดยสิ้นเชิง หญิงสาวเปิดกล่องยาได้อย่างสบายๆ ก่อนจะหยิบอุปกรณ์ทำแผลขึ้นมา
    “โอ๊ย! เบากว่านี้ไม่ได้หรอ”
    “นายบอกเองนี่ ว่าแผลแค่นี้ไม่ตายง่ายๆ หรอก งั้นก็แปลว่าเจ็บไม่มากด้วย?” น้ำเสียงราบเรียบเสมอต้นเสมอปลายหากแต่ย้อนได้เจ็บแสบมาก แบบที่ฟีวิลคิดว่าไม่น่าพูดประโยคนั้นออกไปเลย และทำให้คนนั่งอยู่ขอบหน้าต่างกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถจนเกือบตกขอบหน้าต่างไปหลายต่อหลายรอบ
    “แล้วทีนี้เราจะเดินทางไปไหนกันต่อคะ....พี่เซเรส?” หญิงสาวร้องถามขึ้น และเมื่อหันไปมองคนข้างตัวที่ไม่ยอมตอบคำถาม “ยิ้มอะไรอยู่ได้?”
    “อ๋อ เปล่าครับเปล่า....แค่ดีใจที่คามิลเลียกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วก็เท่านั้นเอง” ว่าจบก็ยิ้มกว้างกว่าเดิมอีก “เราจะไปไหนกันต่อเหรอ....เมืองไอออสน่ะ มันใกล้ที่สุดแล้วถ้าออกเดินทางจากจุดนี้ แล้วฟีวิลบอกว่าเรื่องรวบรวมกำลังชิงบัลลังก์คืนน่ะ เขาจะจัดการเอง....คามิลเลียก็นอนพักได้แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก เดี๋ยวก็ไม่มีแรงเดินทางหรอกนะ”
    “แล้วไม่ต้องกลับไปเอาสัมภาระหรอ”
    “เออ! ลืมสนิทเลย เงินที่จะใช้จ่ายก็ยังอยู่ที่นั่นหมดเลยด้วยสิ” เซเรสถึงกับเบิกตากว้างอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
    “ตาโตเท่าไขห่านแล้ว พี่เซเรส” คามิลเลียขำกิ๊กอยู่บนเตียงพร้อมกับพูดแหย่คนตรงหน้าอย่างสนุกสนาน
    “เดี๋ยวนี้หัดย้อนแล้วหรอเจ้าหญิง เมื่อก่อนไม่ยักกะเป็นอย่างงี้เลยนะ” เซเรสพูดพลางขยี้หัวเด็กสาวเล่นอย่างเอ็นดู
    “ตอนนี้คามิลเลียจะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ไม่ให้ใครมาว่าได้ง่ายๆ ว่าอ่อนแอเด็ดขาด” คำพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ทำให้ชายหนุ่มระบายรอยยิ้มขึ้นอย่างขำๆ
    “คามิลเลียพูดจริงนะ ไม่เชื่อเหรอ” เธอกล่าวพร้อมกับพลิกตัวไปทางอื่นแบบที่ใครดูก็รู้ว่างอนเข้าให้ซะแล้ว
    “เชื่อก็เชื่อจ้า....แต่ตอนนี้นอนได้แล้วนะ” คามิลเลียได้ยินก็ยอมนอนลงแต่โดยง่าย อดีตองครักษ์ถอนใจเฮือกอย่างเหนื่อยๆ ก่อนจะลุกเดินไปอีกห้อง
    “โอ๊ย! เบาๆ หน่อยสิ” เสียงของฟีวิลดังออกมาตลอดทางระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าไป ทำให้คิ้วเข้มมุ่นขึ้นอย่างสงสัย แต่เมื่อเดินเข้าไปแล้วก็ต้องร้องอ๋อ ยืนอมยิ้มกับภาพตรงหน้า เกือบลืมเรื่องสำคัญที่จะต้องถาม
    “อาการเป็นยังไงบ้างเอรีส”
    “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
    “หายดีเลยละสิไม่ว่ามือหนักขนาดเนี้ยะ” ฟีวิลเสริมคำพลางทำท่าจะดีดตัวออกจากตรงนั้นได้ ถ้าไม่ติดที่ว่ามือของซีรินกำลังช่วยเอรีสจับให้เขานั่งอยู่กับที่ ดีไม่ดีอาจใช้ฟิคสตาร์มัดเขาไว้เลยก็ได้ถ้าทำได้
    “งั้นพรุ่งนี้คงเดินทางได้แล้วสินะ” เซเรสเอ่ยสรุปแกมถามคนรักษาที่ตอนนี้ถูกรักษาซะเอง ฟีวิลไหวไหล่ก่อนตอบ
    “ก็น่าจะเดินทางได้....ถ้าไม่ต้องสู้อีกรอบน่ะนะ โอ๊ย! ยัยมือหนัก เบากว่านี้ไม่เป็นแล้วหรือไง แล้วนายจะจับฉันไปถึงไหนฮะ?” ฟีวิลโวยลั่นแต่ก็ยังไม่หลุดจากการเกาะกุม เซเรสถึงกลับโคลงหัวไปมาอย่างขำๆ กับภาพตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยกลั้วหัวเราะ
    “นายก็อยู่นิ่งๆ ให้เอรีสเขารักษาซะ พรุ่งนี้จะได้หายดี”
    “พรุ่งนี้จะไปไหนหรอ” ซีรินโพล่งขึ้นมาเนื่องจากตอนที่คุยกันเรื่องเดินทางเขาอยู่ด้วยเสียเมื่อไหร่ แต่ก็ได้เพียงรอยยิ้มบางๆ เป็นคำตอบยิ่งเพิ่มความสงสัยหนักเข้าไปอีก....
    “ตกลงจะไปไหนกันแน่เนี่ย” ซีรินถามขึ้นมาอีกรอบระหว่างทางเดินที่เต็มไปด้วยต้นไม้ในเช้าวันใหม่
    “กลับเซเบิล” เซเรสตอบเพียงสั้นก่อนจะเดินข้างๆ เอรีสที่เป็นคนนำทาง เพราะเธอเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่เมืองนี้....ส่วนเรื่องที่ทำไมเธอถึงรู้โดยที่ไม่ต้องบอกอะไรสักคำ ก็เพราะว่า...ของของเธอทั้งหมดก็อยู่ที่นั่น
    “จะกลับไปตายหรือไงเล่า!” คำพูดที่ทำให้เซเรสเบือนดวงหน้ามามองหนุ่มน้อยอย่างสงสัย คิ้วเลิกขึ้นแทนคำถาม
    “ทำไมถึงคิดว่าไปตายล่ะ ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าอันตราย?”
    “ก็ดูที่พื้นก่อนสิ รอยเท้าของคนจำนวนมาก หญ้าที่ถูกย้ำจนตายไปบ้าง แล้วยังกองไฟนี่อีก....แสดงว่าพวกนั้นมันจะต้องกลับเข้าเมืองแน่ๆ แล้วอย่างงี้ก็เท่ากับว่าพาตัวเองไปส่งให้มันถึงที่ แล้วไอ้ที่เราอุตส่าห์หนีมานี่ก็เสียเปล่าหมดสิ” คำอธิบายยาวเหยียดจากหนุ่มน้อยนาม ซีริน เทลเลอร์ ที่เล่นเอาเซเรสสรรหาคำพูดอยู่เพียงอึดใจก่อนตอบกลับแบบที่ทำให้ซีรินเถียงไม่ออก
    “ฉันมีข้อสันนิษฐานสามข้อ หนึ่ง ที่พวกมันเดินทางกลับเพราะอาจจะกลับไปวางแผนการใหม่....สอง นายแน่ใจหรอว่าพวกมันแค่กลับไปเมืองเซเบิล ไม่ได้เป็นแค่ทางผ่านเพื่อไปเมืองอินดิส สาม...พวกมันอาจจะหาแหล่งกบดานสำหรับพักรักษาตัวระยะยาวเพราะฝีมือนายคนเดียวเลยนะ....ซีริน” รอยยิ้มบางระบายบนใบหน้าของชายหนุ่ม นัยน์ตาสีดำขลับพราวระริกอย่างนึกสนุก ในขณะที่คนถูกกล่าวทำหน้ายู่อย่างไม่พอใจ...ส่วนคนที่เหลือ ก็ยืนยิ้มขำๆ กับคำพูดที่ท่าจะจงใจเสียดสีซะเหลือเกิน
    “แล้วไม่รีบไปเอาของล่ะ ยืนยิ้มหาพระแสงอยู่ได้” พูดจบก็เดินไปโดยไม่คิดจะรอคนที่เหลือเลยสักนิด
    “แล้วนายไปเอากล่องยามาจากไหน ทั้งๆ ที่ไม่ได้กลับเมือง?” เอรีสเบือนนัยน์ตาสีฟ้าแสนสงบไปมองคนข้างตัว ฟีวิลหันมายิ้มร่าก่อนตอบ
    “เรียกมาน่ะ”
    “แล้วทำไมไม่เรียกของมาแทนที่จะไปเอาล่ะ”
    “แล้วเธอรู้หรอว่าของมีกี่อย่าง?” คำถามที่ทำให้หญิงสาวเลือกที่จะเงียบเป็นคำตอบมากกว่า เล่นเอาชายหนุ่มยิ้มในชัยชนะที่ถึงแม้มันจะไม่มากมายอะไรก็เถอะ นัยน์ตาสีเขียวมรกตพราวระริกอยู่บนใบหน้าคมคาย
    “พี่ฟีวิลดีใจอะไรเหรอ” สาวน้อยที่เดินดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ โพล่งขึ้นเล่นเอาคนยืนยิ้มเผล่ดีใจอยู่สะดุ้งเฮือกหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มแหย
    “ไม่มีอะไรหรอกคร้าบเจ้าหญิง”
    “ห้ามเรียกคามิลเลียว่าเจ้าหญิงอีกนะ เพราะมันก็เป็นแค่อดีต พ่อของคามิลเลียก็ไม่ได้เป็นคิงแล้วด้วย” น้ำคำเด็ดเดี่ยวของเด็กสาวเล่นเอาคนฟังงุนงงอยู่ชั่วครู่ นิสัยแบบเดิมมันหายไปไหนหมด?
    “อ่ะ ก็ได้ๆ คามิลเลียก็คามิลเลีย โอเค๊?” เสียงสูงที่ท้ายประโยคอย่างส่งคำถาม นัยน์ตาสีเขียวมรกตสบเข้ากับดวงตาสีม่วงอเมธิสต์คู่สวยอย่างขอคำตอบ และเด็กสาวพยักหน้าหงึกๆ ก่อนแย้มรอยยิ้มบาง
    “ค่ะ”
    “เธอไม่สบายหรือ” เมื่อเงียบไปได้สักพักฟีวิลที่ชักงงกับนิสัยที่เปลี่ยนแปลงก็ถามขึ้นมาแบบไม่แน่ใจเท่าไหร่
    “ก็เปล่านี่คะ....ทำไมคิดงั้นล่ะ” ดวงตาสีม่วงอเมธิสต์คู่โตของคามิลเลียมองตอบกลับมาอย่างสงสัย ฟีวิลเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้งไปให้ก่อนเอ่ย
    “แหะๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ” หรือว่าโดนกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงเลยกลายเป็นคนละคนกันเลย?....ไม่น่าจะใช่น่า ไม่งั้นยัยนักบวชสาวนั่นก็คงต้องเปลี่ยนไปบ้างละนะ....เอ...ว่าแต่ยัยนั่นไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไงกัน แม่โดนจับไปทั้งคน? หรือว่าจะไม่รู้สึกจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างล่ะ....แต่คงไม่อยากแสดงออกมาน่ะหรอ ความคิดเรื่อยเปื่อยที่ทำให้จิตเริ่มเลื่อนลอยไปโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวตื่นจากห้วงคิดที่ไม่มีคำตอบด้วยเสียงเรียกของน้องชายตัวป่วน
    “ใจลอยไปไหนแล้วล่ะ”
    “ก็ลอยไปเรื่อย” คำตอบที่ทำให้คิ้วเข้มของหัวขโมยผู้น้องมุ่นเข้าหากันก่อนคำถามอีกประโยคจะตามมา
    “มีเรื่องอะไรให้คิดนักหนา หน้านายถึงได้เครียดขนาดนั้น”
    ประโยคที่ทำให้คิ้วเข้มของผู้เป็นพี่ขมวดเข้าหากันบ้างก่อนเอ่ย “หืม? หน้าฉันเครียดขนาดนั้นเลยหรอ ฉันไม่ได้คิดอะไรมากมายซักหน่อย” ฟีวิลเริ่มคลายความสงสัยก่อนจะนึกอยากแกล้งคนตรงหน้ามาเสียเฉยๆ จึงได้เอ่ยประโยคที่ทำให้หน้าขาวๆ พลันขึ้นสีด้วยไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์โกรธหรืออายกันแน่
    “จริงสิ หลังจากที่นายไปเดินเล่นมาก็ไม่เห็นจะคุยกับคามิลเลียเหมือนเดิมเลยนะ” น้ำเสียงยังคงกลั้วหัวเราะเหมือนไม่เคยมีเรื่องให้ทุกข์ใจอย่างไรอย่างนั้น
    “ปกติฉันก็ไม่ได้คุยอยู่แล้วนี่” ซีรินตอบเสียงห้วนอย่างเริ่มหมดอารมณ์ ดวงหน้าแดงก่ำด้วยแรงโมโหและความอาย ไม่ได้คุยกับไอ้เจ้าหญิงนั่นมันผิดปกติตรงไหน? หรือจะต้องให้คุยกันยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยงั้นสิ? ส่วนประโยคถัดมาของชายหนุ่มก็ยิ่งทำให้หน้าขึ้นสีหนักเข้าไปอีกโข
    “เดี๋ยวเจ้าหญิงเขาจะงอนเอาน้า....ไม่ยอมไปคุยกับเขาน่ะ”
    ฟิ้ว.....
    “เฮ้ย! เล่นแรงไปหน่อยแล้วมั้ง คุณน้องซีริน เทลเลอร์?” ...ให้ตายสิ มีน้องอารมณ์อย่างนี้ใครเขาจะปรับตัวตามทันได้ แม้แต่กิ้งก่าเขาก็คงรับประกันได้ว่ายังปรับตัวตามมันได้ไม่ทัน ก็ไอ้เสียงเหมือนสิ่งของอะไรสักอย่างแหวกอากาศเมื่อกี้จะเป็นอะไรไปซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ฟิคสตาร์ของเจ้าน้องตัวแสบที่มันเอามารัดเขาไว้เรียบร้อยแล้ว “ใจร้อนทั้งชาติเลยนายเนี่ย หัดใจเย็นให้มันมากกว่านี้อีกนิดไม่ได้หรอ” พูดแล้วก็ถอนหายใจเฮือก ไม่ได้มีท่าทีร้อนรนเลยสักนิด ซ้ำยังโคลงหัวไปมาด้วยความเบื่อหน่ายอย่างเห็นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
    ในขณะที่ผู้ร่วมเดินทางหรือผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ ที่เดินทางมาด้วยกันนั้นต่างก็อยู่ในอาการค้างแข็งไปตามๆ กัน และองครักษ์หนุ่มที่ดึงสติกลับมาได้ก่อนนั้นก็ร้องห้ามอย่างใจเย็น?
    “อย่าเพิ่งมาฆ่ากันเองตอนนี้จะดีกว่านะครับ เราก็ใช่ว่ามีกำลังคนเยอะ แล้วศัตรูก็อยู่ในที่มืด เราอยู่ในที่สว่าง พวกมันจะมาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้.....ทางที่ดีน่าจะเก็บแรงเอาไว้จะดีที่สุดนะ” คำพูดที่ทำให้ซีรินชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ยอมเก็บอาวุธกลับโดยดี ฟีวิลถึงได้ถอนใจอย่างโล่งอกปนระอา
    “ยืนมองอะไรกันหรือ?” ชายหนุ่มผู้มีส่วนที่ทำให้คนอื่นๆ ค้างนิ่งอยู่กับที่ถามขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ได้บ่งบอกว่าผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาเลยสักนิด บุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีดำขลับเลยตอบกลับอารมณ์ดี
    “มองอะไรซักอย่างกัดกันน่ะ” ตามมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่ระบายบนใบหน้าคมคาย
    “ทะเลาะกันอย่างนี้บ่อยรึเปล่าคะ” เอรีสที่นิ่งเงียบมานานถามเสียงเรียบ ฟีวิลยิ้มแทนคำตอบ หากแต่ดวงตาสีฟ้าคู่สวยยังคงจ้องเขานิ่งจนเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ บอกไม่ถูก เลยจำต้องเลือกที่จะตอบ ทั้งๆ ที่มันไม่เห็นจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรเสียหน่อย
    “อืม....จะเรียกว่าบ่อยก็ไม่เชิงนะ น่าจะประจำมากกว่า” ดวงตาสีม่วงคู่สวยของเด็กสาวเบิกกว้างก่อนทวนคำสั้น
    “ประจำ?” ทำไมถึงเล่นอะไรกันแปลกอย่างนี้นี่ คำถามที่คามิลเลียคิดเอาไว้ในใจ เล่นอะไรไม่เล่น เล่นจะฆ่ากันเอง มันเกินไปหน่อยแล้วมั้งอย่างนี้....
    “อื้ม....หรือว่ามันแปลกมากนักหรือไง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดอย่างขอคำตอบ คามิลเลียเพียงแค่ยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยขึ้น
    “ไม่แปลกก็ไม่แปลกค่ะ”
    “ถ้าแปลกก็บอกมาตรงๆ ก็ได้นะ” รอยยิ้มฉายชัดบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างอยากแกล้งเจ้าหญิงเบื้องหน้า เจ้าหญิงที่ดูจะเปลี่ยนไปตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อไม่กี่วันมาก่อนนี้เอง คามิลเลียเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะไม่อยากจะให้บนสนทนามันยาวกว่านี้จนเธอเองรู้สึกเวียนหัว เลยส่งรอยยิ้มบางไปให้ก่อนหันไปเดินในท่าทางที่เป็นปกติ
    เฮ้อ....ขืนอยู่อย่างนี้ไปนานมีหวังได้ช็อกตายสักวันละมั้งเนี่ย หรือไม่ก็คงจะชินจนชาไปเลยแฮะ ถ้าไม่ถึงกับฆ่ากันเองเพราะเรื่องไร้สาระไม่เข้าท่าน่ะนะ....เอ...ว่าแต่ที่ซีรินกับพี่ฟีวิลทะเลาะกันนี่มันเรื่องอะไรล่ะถึงได้ทำเป็นเรื่องใหญ่โตไปได้? ห้วงคิดที่คิดแล้วก็ไม่มีทางเข้าใจได้ถ้าไม่ถามเจ้าตัวเอง แต่ดูท่าจะไม่มีใครให้คำตอบกับเธอได้ ระหว่างฟีวิลที่ดูจะอารมณ์เย็นจนเห็นเป็นเรื่องเล็ก แล้วก็.....ซีริน ที่เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปโน่นแล้ว จะให้ถามใครดีล่ะ?
----------------------------------------------------------------------------
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น