ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ผู้ก่อการกบฏ
    “นี่มันป่าไม่ใชหรอซีริน” เสียงใสๆ ดังขึ้นเมื่อทางที่เดินมามันชักเงียบลงเรื่อยๆ เพราะพวกเธอเดินออกมาไกลจากงานมากขึ้นทุกที
    “ก็ใช่ไง” เสียงทุ้มตอบกลับมาสั้นๆ องค์หญิงตัวน้อยทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะเบิกตากว้าง
    “หรือว่า! ....” ยังไม่ทันที่เธอจะได้ร้องจบประโยคเสียงของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นอยู่ข้างหลังเรียกให้ทั้งคู่หันขวับกลับไปมอง
    “กระหม่อมจะขอรับตัวองค์หญิงคามิลเลียแห่งอินดิสกลับไปได้ไหม....” นัยน์ตาสีม่วงของคนถูกขานชื่อเบิกกว้างอย่างตกใจก่อนร้องเสียงหลง
    “ท่านเครัส!”
    “ถวายบังคมพะยะค่ะ” ชายผู้นั้นกล่าวพร้อมกับค้อมตัวลงต่ำด้วยอาการเคารพ นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลดูแพรวพราวอย่างคนมากเล่ห์
    “ท่านมาทำอะไรที่นี่” คามิลเลียยังคงซักต่ออย่างไม่ลดละ
    “ก็อย่างที่กระหม่อมได้กล่าวไปเมื่อครู่ รับตัวองค์หญิงกลับไปที่พระราชวังอินดิส” น้ำเสียงยังคงกล่าวอย่างเนิบๆ แต่ซีรินก็ยังคงทำท่าไม่ไว้ใจอยู่ดี “เจ้าหนูที่อยู่ข้างๆ นี่ใครหรือกระหม่อม”
    “หมอนี่ไม่ใช่คนดี” ซีรินเอ่ยเสียงห้วนเรียกให้คิ้วของเครัสมุ่นขึ้นอย่างสงสัย
    “เจ้าจะรู้ได้อย่างไร เราเป็นขุนนางคนสนิทของคิงเทริฟมีเหตุผลอะไรที่จะต้องคิดร้ายกับพระธิดา?”
    “แล้วตาลุงนั่นน่ะอยู่กับท่านหรือไง”
    “ตาลุง?” คามิลเลียพูดทวนคำอย่างงงๆ
    “ก็พ่อเธอนั่นแหละ” เด็กหนุ่มหันไปพูดกับเด็กสาวแล้วมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง
    “ตอนนี้ท่านพ่อของท่านปลอดภัยดี พระธิดา... พระองค์ยังรับสั่งเสียดิบดีว่าต้องนำตัวเจ้าหญิงกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้....พระองค์ทรงเป็นห่วงพระธิดามากนะพะยะค่ะ”
    “แล้วท่านไม่มีทหารติดตามเลยหรือไง มาตามหาคนนะ?” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มยังคงห้วนสั้น
    “ข้าให้พวกเขารออยู่ข้างนอกกระหม่อม”
    “งั้นเรารีบไปกันเถอะค่ะ” นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ของเจ้าหญิงฉายแววระริกด้วยความยินดี ขณะเท้าก็ก้าวเข้าไปหาเครัส แต่ยังไม่ทันที่จะเดินได้กี่ก้าว มือใหญ่ของเด็กหนุ่มก็คว้าเอวบางเอาไว้อย่างลืมตัวก่อนจะพูดเบาๆ กัดฟันกรอด
    “อยากตายมากนักใช่มั้ย?”
    “ทำไมล่ะซีริน ท่านเครัสเขาก็จะมาช่วยเรา...”
    “...ในเมื่อคนของท่านไม่ยอม ก็อย่าหาว่ากระหม่อมใจร้ายล่ะพะย่ะค่ะ” รอยยิ้มเหยียดฉายบนดวงหน้าของชายวัยกลางคนก่อนจะดีดนิ้วเปาะ เหล่าชายชุดดำกลุ่มใหญ่ก็มายืนล้อมทั้งคู่ไว้เป็นที่เรียบร้อย
    “ท่านเครัส...นี่ไม่ใช่ทหาร...ทำไม...ท่านเป็นขุนนางคนสนิทของท่านพ่อ....” เครัสจุ๊ปากตัวเองพลางโคลงหัวไปมาช้าๆ ก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ในขณะที่สมองของคามิลเลียเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ มารับตัว แล้วคนพวกนี้เป็นใคร? ชุดก็บอกว่ามาไม่ได้แน่ๆ ....
    “นั่นมันแค่อดีตเจ้าหญิง....ตอนนี้กระหม่อมไม่ใช่แค่ขุนนางแล้ว....กระหม่อมเป็นคิงแห่งอินดิส” นัยน์ตาสีม่วงเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งกับประโยคของเครัส
    “แล้วท่านพ่อกับท่านแม่....”
    “ท่านเทริฟน่ะยังไม่สิ้นพระชนม์หรอกกระหม่อม....แต่ท่านเฟเรียของท่านน่ะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว....ตั้งแต่วันแรกที่พระธิดาทรงหนีออกมา...วันเกิดมาตรงกับวันตายเสียนี่” เครัสเอ่ยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ไม่มีวี่แววของความเสียใจเลยแม้แต่น้อย พร้อมทั้งแสยะรอยยิ้มเหยีดยออกมา และคำพูดนั่นที่ทำให้คามิลเลียค้างนิ่งอยู่กับที่ ลืมวิธีการหายใจไปชั่วครู่ก่อนเรี่ยวแรงที่มีพาลจะหายไปหมดจนต้องทรุดฮวบลงกับพื้น เมื่อมือใหญ่ที่คว้าเอวเอาไว้ปล่อยเธอออก ดวงตาใสๆ เริ่มเอ่อล้นด้วยน้ำตาที่พร่างพรูออกมาอย่างสุดจะห้ามได้...ทำไม...ทำไมท่านแม่ถึงได้ต้องมีจุดจบอย่างนี้?
    ....พลันความทรงจำเก่าๆ ก็ถูกย้อนเข้ามาในหัว ท่านแม่ที่เธอรัก ท่านแม่ที่ไม่เคยห่างจากกายจากเธอไปไหน โอบอ้อมอารีจนบางครั้งเธอยังนึกน้อยใจที่ท่านแม่ใจดีกับทุกๆ คน ถึงขั้นบางครั้งมันดูจะใจดีกว่าที่ทำกับเธอด้วยซ้ำ ท่านแม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครหรือก็เปล่า ซ้ำยังสนับสนุนทุกสิ่งทุกอย่างอีกเครัส แล้วเพราะอะไรทำไมต้องมาคิดก่อการกบฏ? ต้องฆ่าล้างทั้งตระกูลเลยหรือ?...ความคิดที่เป็นเพียงได้แค่คำถามที่คั่งค้างในใจ ทั้งโศกเศร้าและเจ็บแค้น แต่เธอจะไปทำอะไรได้ แม้แต่จับดาบก็ยังจับไม่เป็น....
    “ตอนนี้ทหารเกือบจะทั้งหมดก็มาสวามิภักดิ์กับกระหม่อมแล้วซะด้วย มีเพียงกลุ่มที่เห็นในงานเท่านั้นแหละ ที่ยังอยู่กับไอ้คิง....ไม่ใช่สิ อดีตคิงนั่น” น้ำเสียงของบุรุษตรงหน้ายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ
    “ที่แท้ก็พวกกบฏต่ำทราม” น้ำเสียงของเด็กสาวสั่นคลอนแต่น้ำเย็นชายิ่งนัก ประโยคที่ออกมาจากริมฝีปากบางที่สั่นระริก ทำให้เครัสรู้สึกเดือดดาลขึ้นมากับคำสบประมาทที่ออกมาจากปากของคนที่เป็นแค่เด็ก “แล้วท่านคิดหรือว่าประชาชนของเมืองจะยอมรับท่าน....คิงเครัสที่ได้บัลลังก์มาก็เพราะว่าชิงมาจากคนอื่น....ไม่ได้มาเพราะประชาชน!” รอยยิ้มเหยียดฉายชัดบนใบหน้าของเธอทั้งๆ ที่น้ำตายังคงอาบสองข้างแก้ม ท่านแม่ที่เธอรัก....ท่านแม่ที่เข้าข้างเธอเสมอ อยู่เคียงข้างเธอตลอดมา.....แต่บัดนี้....คงไม่มีวันที่เรื่องอย่างนั้นจะวกกลับมาในชีวิตแล้ว.....
    “เป็นแค่เด็กอย่าริอ่านมาสั่งสอนผู้ใหญ่หน่อยเลย....” ก่อนที่เขาจะได้สั่งไปมากกว่านั้น.....
    ซีรินก็ยื่นแขนข้างขวาออกมาข้างหน้าพร้อมกับของบางสิ่งพุ่งออกมาจากเสื้อแขนยาว สิ่งนั้นคือของที่คล้ายๆ เชือกเส้นยาวๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด หัวทำมาจากหินสีขาวติดจะใสนั้นถูกทำให้แหลมราวจะเชือดเฉือนเนื้อที่เข้ามาให้ตัดได้อย่างง่ายดาย
    ฟิ้ว....
    ภายในเวลาไม่กี่วินาที อาวุธของซีรินก็ล้อมรอบพวกเธอเป็นวงกลม
    เครัสเบิกตาสีเข้มกว้างก่อนเอ่ยเสียงเครียด
    “เจ้าไปเอาอาวุธนั่นมาจากไหน”
    “ได้มา” คำตอบสั้นๆ พร้อมกับรอยยิ้มเยาะบวกยักคิ้วแบบลองดีไปให้ ก่อนเจ้าตัวจะพึมพำอะไรสองสามคำ พลันกระแสไฟฟ้าก็วิ่งวนอยู่บนเชือก.....แต่มันก็ไม่น่าจะใช่เชือกซะทีเดียวนั่นจนล้อมรอบตัวพวกเธอจนกลายเป็นเกราะชั้นเยี่ยม
    “นั่นมัน....ฟิคสตาร์!” หนึ่งในชายชุดดำพูดเสียงสั่น ก็ไม่ให้สั่นได้ไง อาวุธนั่นเป็นหนึ่งในของร้ายกาจในตำนาน ที่มีไม่กี่คนเท่านั้นในรอบหลายร้อยปีที่สามารถบังคับมันได้อย่างใจนึก แล้วก็ไม่โดนมันฆ่าด้วยฝีมือของตัวเองที่ไม่สามารถบังคับมันได้ “หมอนั่น.....มันเป็นใคร”
    “มันจะเป็นใครก็ช่างมันเถอะน่า จัดการ!” สิ้นเสียงของเครัสชายชุดดำก็พุ่งเข้าใส่เกราะที่ซีรินสร้างขึ้น แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงของผู้มาเยือนอีกสาม
    “จะรนหาที่ตายกันหรือไง นั่นมันกระแสไฟฟ้าไม่น่าจะต่ำกว่าแสนโวลต์นะ” นัยน์ตาสีเขียวมรกตพราวระยับอย่างคนใจเย็นเสมอ รอยยิ้มเย็นยังคงประดับอยู่บนใบหน้าไม่ได้หนีหายไปไหน
    “พวกกบฏ.....ประเทศถึงได้ไม่เจริญซักที” เอรีสพูดเสียงเรียบแต่ดัง อย่างหวังว่าเครัสมันจะสติแตก แต่มันกลับผิดความคิดหมาย กลายเป็นว่าเขากลับยิ้มขึ้นมาได้อีกครั้ง...อย่างพอใจ
    “พรีสหรือเนี่ย หวังว่าเธอคงจะรู้จักนักบวชแสนสวยคนนี้นะ” ว่าจบเขาก็ดีดนิ้วอีกรอบ ร่างหญิงสาวในชุดนักบวชสีขาวกำลังอยู่ในสภาพหมดสติคนหนึ่งที่มีชายชุดดำสองคนประคองให้ไม่ล้มพับลงไปก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า
    พลันสมองของหญิงสาวก็ประมวลภาพตรงหน้า บุคคลที่เธอไม่ได้เห็นเลยมาตลอดสิบกว่าปี....จะเปลี่ยนไปแค่ไหนแต่เธอก็ยังจำได้แม่นยำและติดตา....
    “ท่านแม่!” ดวงตาสีฟ้าใสเบิกกว้างอย่างตกตะลึงระคนสงสัย...ก็ท่านแม่หายสาบสูญไปเมื่อสิบสองปีแล้วนี่....แล้วทำไมล่ะ....ทำไม!?
    “เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ.....ถ้าเจ้าอยากได้ผู้หญิงคนนี้ละก็....คลายผนึกที่แม่ของเจ้าสะกดเอาไว้...หรือไม่ก็ส่งตัวเจ้าหญิงมา แล้วที่เหลือข้าจะจัดการเอง” ถึงแม้เอรีสจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายเท่าไหร่นัก แต่ก็พูดคำสบถอย่างไม่เคยเป็นออกมา
    “ต่ำช้า....หวังเอาคนแลกกับของ อย่างนี้มันไม่ใช่ลูกผู้ชายนี่หว่า”
    “เฮ้ยๆ ใจเย็นๆ ก่อนสิเอรีส” ฟีวิลเห็นว่าสถานการณ์มันชักจะไม่ค่อยเข้าท่าแล้ว ก็เลยกระซิบให้เอรีสที่เริ่มฉุนใจเย็นไว้ก่อน
    “แล้วพลังที่ว่านั่นมันคืออะไร” ฟีวิลที่เห็นเอรีสจะตะคอกกลับแย่งโอกาสพูดขึ้นก่อนรวมกับอยากรู้เรื่องที่เขาไม่รู้ว่าที่เครัสพูดนั่นมันหมายถึงอะไร
    “ก็พลังที่อยู่ในตัวของเจ้าหญิงนั่นยังไงล่ะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนดวงหน้าของเครัสก่อนจะสาธยายต่ออย่างผู้เหนือกว่า “พลังที่สักร้อยปีจะมีคน พลังที่คนคนเดียวจะสามารถทำสิ่งหนึ่งได้เท่ากับคนจำนวนมากช่วยกันทำ.....เพียงแค่มันถูกผนึกเอาไว้ ด้วยฝีมือของเซนต์ราเวน นักบวชผู้มีปีกสีดำ....นักบวชชื่อดังที่เก่งเรื่องเวทมนตร์ คาถาอาคม และฉันก็ได้หล่อนมา.....จะเหลือก็แต่ท่านละนะ คามิลเลีย ซานทรีโอ”
    “เสียดายจริงๆ เลยนะครับ” เซเรสเอ่ยขึ้นบ้างด้วยท่าทีสุภาพ
    “เสียดายอะไรของท่าน...เซเรส?” เครัสเอ่ยอย่างอารมณ์ดี เลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย บุรุษหนุ่มที่เขาเห็นอยู่เกือบจะทุกวัน แต่ประโยคถัดมาของเซเรสเนี่ยสิ เล่นเอาคนอารมณ์ดียิ้มไม่ออก
    “เสียดายที่ท่านเทริฟอุตส่าห์ไว้ใจ ถึงขนาดยกให้เป็นเสนาธิการฝ่ายขวา.....แต่ท่านกลับทรยศหักหลัก หวังจะปลงพระชนม์คิงที่ไว้ใจท่านออกอย่างนั้น.....หนำซ้ำยังฆ่าราชินีผู้แสนโอบอ้อมอารีได้ลงคอ แถมยังจะเอาสิ่งสุดท้ายที่พระองค์ท่านรักนักรักหนาไปทำอะไรก็ไม่รู้อีก” น้ำเสียงของเซเรสยังคงราบเรียบ แต่ไม่ฉายแววปราณีแม้แต่น้อย เตรียมพร้อมจะลงมือทุกเมื่อถ้าพวกมันเริ่มก่อน
    เอรีสกัดฟันกรอดอย่างอดรนทนไม่ไหว บรรยากาศรอบๆ เริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ จนในที่สุด.....
    “จับเจ้าหญิงนั่นมาอย่าเพิ่งฆ่า ส่วนที่เหลือ...ฆ่ามันให้หมด!” สิ้นเสียง สงครามย่อยๆ ก็เกิดขึ้นจนได้
    เคร้ง!....
    เสียงดาบเรียวบางของฟีวิลฟันดาบของอีกฝ่ายกระเด็นขึ้นสูงก่อนลงมาปักกับพื้นดิน ดาบเรียวที่มีคมดาบสีเงินสว่างไสวท่ามกลางความมืด เป็นแบบคนสองข้างด้ามจับเป็นแบบจับถนัดมือของเขาพอดี ก่อนเจ้าของดาบจะยกดาบของตนขึ้นสูงแล้วปักลงสู่พื้นดินซะเฉยๆ
    “มันทำอะไรของมันวะ” หนึ่งในชายชุดดำคนหนึ่งเอ่ยกลั้วหัวเราะ และนั่นก็กำลังจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พูด
    อ๊ากกกกกก!
    ที่เขาปักลงไปที่พื้นก็เพราะว่าเมื่อเขาปักลงไปก็ร่ายเวท ก่อนจะมีน้ำแข็งนับร้อยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งที่เรียงรายกันอย่างสวยงาม หากแต่มันคร่าชีวิตของคนนับไม่ถ้วน.....
    “นั่นมัน....มิสเทอร์รี” เซเรสเอ่ยขึ้นพลางมองไปยังดาบเล่มสวย นั่นก็ของในตำนานอีกนั่นแหละ ของหายากซะด้วย....แล้วอีกอย่าง ดาบเล่มนี้มันจะเลือกผู้ที่คู่ควรจะใช้มันเท่านั้น ไม่อย่างงั้นอย่าหวังแม้แต่จะขยับดาบได้....ความคิดที่หยุดลงเพราะแรงดาบจากคนข้างหน้าตัวเองกำลังลงมาด้วยความเร็ว ดาบใหญ่สีเงินของเซเรสถูกยกขึ้นรับอย่างคล่องแคล่วสมกับที่เป็นองครักษ์ ดาบคู่ใจของเขา อินเดเวอร์
    “ดาบดีนี่คุณเซเรส” ฟีวิลทักขึ้นอย่างอารมณ์ดีไม่มีเปลี่ยน ก็มันดีจริงๆ ดาบที่มีความแข็งแกร่งตัดได้แม้กระทั้งเพชร ดาบที่ถ้าไม่ฝึกอย่างดีก็คงไม่มีทางจะใช้มันได้อย่างใจ
    เอรีสเรียกคลูซิฟิกส์ อาวุธประจำกายที่ได้มาจากแม่ของเธอ ก่อนจะร่ายมนตร์ยาว พลันไม้กางเขนสีเงินก็ไปลอยค้างกลางอากาศอยู่ตรงหน้าเธอ อักขระโบราณที่ไม่มีใครอ่านออกสีทองสว่างก็ปรากฏบนพื้นสีเข้ม
    .....เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจเนื่องจากเอรีสร่ายเวทที่ทำให้ตัวแข็ง ก่อนเจ้าหล่อนจะต้องทรุดฮวบเพราะมีคนทำลายอาคมของเธอได้อย่างง่ายดาย
    “อึก....” พลังสะท้อนกลับ....พลันน้ำสีแดงก็ไหลออกจากปาก แต่ก็ยังไม่สลบ เอรีสเหยียดกายยืนขึ้นอีกครั้งเตรียมสู้เต็มกำลัง
    การต่อสู้ที่ยังไม่มีทำท่าว่าจะจบก็ยังคงดำเนินต่อไป
    ทำไมมันมีเยอะอย่างงี้วะ....ฟีวิลคิดพลางกัดฟันกรอด มือก็ถือดาบกระชับแน่นขึ้น เหงื่อเย็นเริ่มซึมชื้นด้วยความเหนื่อยหอบ
    “เฮ้ย! อย่าเพิ่งหมดแรงดิ” ซีรินสบถเสียงเบา เริ่มเหนื่อยที่ต้องมากันไอ้เจ้าหญิงนี่ ก่อนจะเอ่ยอย่างเริ่มหมดความอดทน “ดูแลตัวเองไปก่อนแล้วกันนะเจ้าหญิง” ว่าจบก็เก็บอาวุธกลับเข้าไป ชายชุดดำเห็นดังนั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายจากสามคนเมื่อครู่เป็นตัวต้นเรื่องที่ต้องทำให้สู้นานขนาดนี้ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าใกล้ไปมากกว่านี้ ฟิคสตาร์ของซีรินก็เริ่มออกฤทธิ์อีกรอบ ด้วยการมัดชายชุดดำเกือบจะทั้งหมดเอาไว้ก่อนจะปล่อยกระแสไฟอ่อนให้หมดสติไปตามๆ กัน....
    “แค่นี้ก็เรียบร้อย” ว่าเสร็จก็เก็บอาวุธก่อนจะมองไปยังผู้ร่วมชะตากรรมที่อยู่ในสภาพสะบักซะบอมไปตามๆ กัน
    “พวกแก...เป็นใคร?” เครัสเบิกตากว้าง แต่ไม่ได้แสดงอาการอย่างอื่นออกมาอีก ซีรินยิ้มเหยียดอย่างไม่มีใครเคยเห็น แล้วตอบกลับเรียบๆ
    “ก็แค่ขโมยธรรมดาๆ กับนักบวช...”
    “กลับ!” เครัสเอ่ยสั้นบอกถึงความโกรธก่อนจะหันหลังกลับ
    พิจารณาพวกนั้นต่ำเกินไป...ความคิดผุดพรายขึ้นมาในสมองเครัส
    ค่ำสั่งที่เรียกให้พวกที่ยังพอมีสติอยู่แบกคนที่หลับไม่รู้เรื่องกลับไปในความมืด...
    “แฮ่ก แฮ่ก.....” พอพวกนั้นเดินลับไปแล้วซีรินก็ทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับหอบแฮ่กอย่างเหนื่อยหอบ ส่วนคามิลเลียที่ช็อกค้างก็ยังคงนั่งเงียบอยู่กับที่แบบไม่มีวี่แววว่าจะขยับตัวไปไหน
    “เป็นไรมากเปล่าซีริน” ฟีวิลผู้เป็นพี่เดินเข้ามาถามอย่างเป็นห่วงน้องชายของตัวเอง
    “ไม่เป็นไรแค่ใช้พลังมากไปหน่อย ว่าแต่นายเหอะจะตายรึยัง” คำพูดย้อนแสนกวนส้นที่ซีรินรู้ว่ามันคงไม่มีผลสำหรับคนอย่างฟีวิลที่ยังไม่มีท่าทีโกรธเคืองใดๆ อย่างที่คาดไว้
    “ฉันน่ะหนังเหนียวจะตาย ไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า” ฟีวิลเอ่ยอารมณ์ดีทั้งๆ ที่มีบาดแผลบางๆ ทั่วไปทั้งตัว
    “ทำเป็นปากดีไปเหอะ” ซีรินว่าเสียงห้วน
    “ท่านแม่.....” เอรีสหน้าเครียดขึ้นทันทีที่เอ่ยถึงท่านแม่ของตน
    “คุณแม่ของคุณจะต้องปลอดภัยครับ ผมสัญญา” เซเรสเอ่ยขึ้นอีกครั้งหลักจากเก็บดาบที่ชุ่มไปด้วยหยาดโลหิต ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยกมือใหญ่ขึ้นเช็ดคราบเลือดบนใบหน้างามๆ ของหญิงสาวตรงหน้าที่ไม่มีน้ำตาสักหยด ไม่เหมือนเจ้าหญิงผู้แสนสูงศักดิ์ที่นั่งนิ่งอยู่กับพื้นดิน
    “แน่....นะ” เอรีสเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะโผเข้ากอดบุรุษตรงหน้าอย่างลืมตัว เล่นเอาดวงหน้าคมคายของชายหนุ่มขึ้นสี ดวงตาสีดำขลับเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ ก่อนจะรวบรวมสติให้กลับมาแล้วตอบกลับอย่างอ่อนโยน
    “ครับ” พลันทำนบน้ำตาที่หญิงสาวสร้างขึ้นอย่างยากลำบากก็พังทลายลงอย่างง่ายดาย ไม่สามารถจะกลั้นเอาไว้ได้อีกแล้ว น้ำตาแห่งความโศกเศร้า ความทุกข์ทรมานที่เก็บไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียวมานานแสนนาน.....ปล่อยเจ้าหญิงให้อยู่คนเดียวไปสักพักก็แล้วกัน เซเรสคิด เพราะตอนแรกเขาคิดว่ากะจะเข้าไปปลอบคามิลเลียสักหน่อย แต่อย่างว่า
    ...ยิ่งปลอบก็เหมือนยิ่งตอกย้ำ...
    “โว้ย! จะร้องอีกนานมั้ย” เสียงของซีรินที่เริ่มรู้สึกอดรนทนไม่ไหวที่จะต้องมานั่งฟังเสียงสะอึกสะอื้นของเด็กสาว ที่ดวงตาคู่สวยช้ำเสียไม่มีดีแล้วตอนนี้ แล้วยิ่งต้องมานั่งอุดอู้อยู่ในกระท่อมร้างหลังเล็กกระจิ๋วหลิวตั้งแต่พระจันทร์ยังอยู่บนท้องฟ้า จนพระอาทิตย์เริ่มขึ้นมาแล้ว อย่างว่าละนะ ในป่ามีกระท่อมร้างอยู่ก็บุญแล้ว
    “ถ้ารำคาญนักก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉันก็ได้ จะไปไหนก็เชิญตามสบาย!” คำพูดแกมตะคอกบวกประชดประชันที่ทำให้ซีรินตาค้าง นั่งอึ้งกับคำพูดที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกจากปากของเจ้าหญิงที่เขาคิดว่าเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้ ก่อนจะตั้งสติได้แล้วเอ่ยออกไป
    “เออ ไปก็ได้วะ” ว่าจบก็เดินออกไปจากกระท่อมทันที
    “เจ้าหญิงใจเย็นๆ ไว้ก่อนสิครับ” เซเรสเอ่ยปลอบเด็กสาวด้วยเสียงอ่อน เพราะเขารู้นิสัยของเธอดีว่าจริงๆ แล้วบางครั้งก็อาจไม่ได้เรียบร้อยอย่างผ้าพับไว้เสมอไป
    “ทำไมล่ะ ยังต้องใจเย็นอะไรอีก คนตายก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว.....แล้วนี่ก็ไม่ใช่แค่คิดชิงบัลลังก์อย่างเดียว ยังมีไอ้พลังบ้าบอคอแตกอะไรอีกก็ไม่รู้....บ้าที่สุดเลย!” คำกึ่งสบถอันยาวเหยียดของคามิลเลียเล่นเอาเซเรสนิ่งไม่พูดกลับแต่อย่างใดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
    “เจ้าหญิงคิดหรือว่าผมไม่เสียใจ ผมยังใจเย็นนั่งอยู่เฉยๆ ได้....แต่ถ้าเราบุ่มบ่ามทำอะไรโดยไม่คิดไปตอนนี้ อาจจะต้องมีคนตายเพิ่มขึ้นก็ได้นะครับ” นัยน์ตาสีดำขลับมองออกไปนอกหน้าต่างบานเก่าที่มีทิวทัศน์เป็นต้นไม้ใหญ่ “แล้วอีกอย่างถ้าเราไปตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่ละคนบาดเจ็บพอตัว เอรีสก็สลบไม่รู้เรื่อง” พูดจบก็ยันกายให้ลุกขึ้นยืน เอ่ยประโยคทิ้งท้ายก่อนจะเข้าไปหาคนที่นอนหลับอยู่ “เจ้าหญิงก็คิดให้ดีก็แล้วกันนะ ใจเย็นไว้ก่อน รับรองว่าพวกเราต้องมีวิธีอย่างแน่นอน” แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อเสียงหวานๆ ดังขึ้นอีก
    “ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกคามิลเลียว่าเจ้าหญิงอีกได้มั้ย เรียกคามิลเลียก็พอแล้ว” ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นลูกกษัตริย์ผู้สูงศักดิ์อีกต่อไปแล้ว รอยยิ้มบางอย่างเอ็นดูและเข้าใจความหมายของประโยคปรากฏบนใบหน้าดูดีของชายหนุ่ม เอ่ยตอบรับแต่โดยดี
    “ครับ....คามิลเลีย”
    “เอรีสเป็นยังไงบ้าง” คำถามแรกถูกส่งมาทันทีที่เดินเข้าในห้องเล็กๆ
    “ยังไม่ตื่นเลย” บุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่สวยเอ่ยตอบ พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ “งั้นผมออกไปก่อนนะ จะได้ดูแลกันตามสะดวก” ฟีวิลพูดพร้อมกับลุกจากเตียงทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่ถูกเซเรสดึงแขนไว้เสียก่อน
    “นายพูดอะไรของนาย” ดวงตาสีเข้มมองฟีวิลอย่างงงๆ คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ “แล้วนั่นนายจะไปไหน เรื่องดูแลคนป่วยผมไม่ค่อย...ถนัด....” ตามมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “โดยเฉพาะพยาบาลคนป่วยที่เป็นผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่”
    ไอ้องครักษ์อ่อนหัด! คำปรามาสของฟีวิลในใจ ก่อนจะเลือกส่งรอยยิ้มบางๆ ไปให้ก่อนเอ่ยเสียงใส “ไม่มีอะไรหรอกครับ” จบคำก็เดินหันหลังกลับไปนั่งที่เดิม
    “แล้วทำไมคุณเอรีสถึงสลบไปได้” เซเรสที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการแพทย์มองไปยังคนรักษาอย่างขอคำตอบขณะเดินไปนั่งที่ขอบหน้าต่างห้อง
    “ร่างกายบอบช้ำภายใน แล้วก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ บวกกันก็เลยหนักเข้าไปใหญ่” ฟีวิลว่าเหมือนเป็นเรื่องปกติ เซเรสพยักหน้าอย่างเข้าใจ เรื่องรักษาน่ะทำไม่เป็น แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องอาการของผู้ป่วย “ตกลงจะเอาไงกันต่อล่ะ” ฟีวิลเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเล่นเอาอดีตองครักษ์หนุ่มปรับตัวตามแทบไม่ทัน นัยน์ตาสีดำฉายแววครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนกล่าวขึ้นอย่างขอความเห็น
    “แถวๆ นี้ที่ใกล้กับเมืองที่สุดก็น่าจะเป็นเมืองไอออสละมั้ง”
    “เมืองที่ติดทะเลใช่มั้ย” นัยน์ตาสีเขียวมรกตพราวระริก อย่างจะออกนอกเรื่อง
    “ก็ใช่....เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมามากที่สุดเลยก็ว่าได้” เซเรสที่เริ่มจะคล้อยตามไปนึกขึ้นได้รีบพูดกลับเข้าเรื่อง “ตกลงจะไปเมืองนี้ก่อนรึเปล่า”
    “ไปสิ....ติดทะเลก็ต้องมีสาวๆ เต็มเลย” ฟีวิลคิดพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ไม่ควรมีอยู่ในสถานการณ์เครียดอย่างนี้ เล่นเอาเซเรสโคลงหัวช้าๆ อย่างระอา เวลาอย่างนี้ยังมาคิดเรื่องพวกนี้ได้อีกหรือ
    “เราก็ไปพักที่นั่นสักพักก็แล้วกัน พวกมันคงใช้เวลานานกว่าจะหาตัวเราเจอ”
    “แล้วเป้าหมายของเราตอนนี้คืออะไร” คำถามที่เซเรสไม่คิดว่าจะหลุดออกมาจากปากของฟีวิลที่เมื่อกี้ยังนั่งยิ้มเผล่อยู่นั่น
    “ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ” นัยน์ตาสีเขียวมรกตของคนฟังฉายแววครุ่นคิด เส้นผมสีชาที่ถูกรวบเอาไว้พัดไปตามแรงลมที่ผ่านเข้ามาในตัวบ้านน้อยๆ นำกลิ่นหอมๆ ให้คลายเครียดลงบ้างเข้ามาภายในกระท่อม
    “ตามหาคิงนั่นกับรวบรวมกองกำลังไปชิงบัลลังก์คืน?” ความคิดที่นึกไม่ถึงทำให้เซเรสจ้องหน้าฟีวิลนิ่ง หมอนี่ไม่น่าจะเป็นแค่ขโมยธรรมดาๆ แน่ หน้าตาก็ติดจะดูดีด้วยซ้ำ ความสามารถก็ใช่ย่อย แล้วไหนจะของในตำนานนั่นอีก “เรื่องรวบรวมกองกำลังผมมีวิธีนะ...แต่ตามหาคิงนั่น....จะหายังไงผมเองก็ยังไม่มีวิธี”
    “เมื่อเรารวบรวมกำลังได้แล้วก็แบ่งบางส่วนไปตามหาท่านเทริฟอย่างนี้ดีกว่ามั้ย”
    “เข้าท่า....” ฟีวิลร้องพร้อมกับดีดนิ้วเป๊าะอย่างถูกใจตามนิสัย
    นี่เขาเห็นดีเห็นงามกับข้อเสนอของหัวขโมยแปลกๆ คนนี้หรือ? ......ความคิดที่คิดแล้วยังงงตัวเองไม่หาย ตอนแรกที่เจอกับหัวขโมยสองคนนี่เขาก็รู้สึกไม่ถูกชะตาขึ้นมา....แต่ตอนนี้ความรู้สึกพวกนั้นมันพาลจะหายไปหมด อาจจะเป็นเพราะการกระทำของพี่น้องคู่นี้ก็ได้มั้ง ที่มันมีทั้งเข้าท่าแล้วก็ไม่เข้าท่าอยู่ด้วย....
    “แล้วพลังนั่นคืออะไร?” ฟีวิลพูดลอยๆ ออกมา
    “ขนาดผมอยู่ในวังมาตั้งนาน...แต่ไม่เคยมีใครบอกเรื่องนี้” เซเรสเองที่งงไม่แพ้กันเท่าไหร่ว่า ก่อนจะกล่าวต่อไปเนิบๆ “แต่ตามที่ได้ยินมาเมื่อกี้....เห็นว่ามันร้ายแรงมาก...”
    “ท่านแม่....” เสียงหวานๆ ที่ติดจะแหบพร่าของเอรีสดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางความเงียบ เรียกให้สองหนุ่มหันไปมอง แต่นั่นก็เป็นแค่คำพูดที่เธอละเมอออกมาเท่านั้น
    “สงสัยจะอาการหนักเข้าขั้นเลยนะเนี่ย” คำพูดที่ไม่รู้ว่าพูดเล่นๆ หรือเพราะว่าสงสารของฟีวิลดังขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวที่หลับไม่ได้สติแต่ยังอุตส่าห์เพ้อออกมาได้ “เอ้อ....แล้วเจ้าหญิงนั่นน่ะเป็นไงบ้าง ร้องไห้จนตาหายไปรึยัง” คำพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงที่ทำให้เซเรสเริ่มไม่พอใจขึ้นมาอีกรอบ ความคิดเมื่อครู่ถูกลบออกไปจากหัวสมองทีละนิด ก่อนจะตอบด้วน้ำเสียงที่เริ่มหมดความเรียบเรื่อย
    “คิดว่าอีกซักพักก็คงจะดีขึ้น”
    “นายไปพูดอีท่าไหนคามิลเลียถึงยอมหยุดร้องไห้ได้....ว่าแต่ซีรินมันยังอยู่ข้างนอกมั้ย” บุรุษเจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตคู่คมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่เจือความสงสัยเลยสักนิด
    “ซีรินยังอยู่ข้างนอก แต่เป็นข้างนอกกระท่อม” คิ้วเข้มของคนฟังเลิกขึ้นอย่างสงสัยก่อนถามขึ้นอีกรอบ
    “ทำไมล่ะ”
    “รำคาญที่คามิลเลียเอาแต่ร้องไห้” คำตอบยังคงเรียบง่ายและห้วนสั้นเหมือนเก่า
    “ซีรินนี่มันอ่อนหัดเรื่องผู้หญิงซะจริงเลยนะ” ฟีวิลว่าพลางส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ทันมารยาหญิงเสียทีสิน่า....แต่มันก็คงไม่แพ้ท่านเซเรสผู้แสนเก่งกล้าสามารถนั่นสักเท่าไหร่หรอก อย่างอื่นเก่งหมดแต่ไอ้เรื่องรักๆ ใคร่ๆ นี่มันก็คงจะไม่เข้าใครออกใครเสมอไปอย่างว่า....
    เซเรสกระตุกรอยยิ้มขึ้นมาอย่างขำๆ ก่อนเอ่ย “อ่อนหัดยังไงหรือ?”
    “....ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่คามิลเลียกับเอรีสนี่แหละที่เป็นผู้หญิงสองคนแรกที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของหมอนั่น” ประโยคที่ทำเอาเซเรสกระพริบตาปริบๆ เป็นขโมยแต่ไม่เคยเข้าใกล้ผู้หญิง พูดอย่างกับไม่เคยออกไปไหนเลยอย่างงั้น “ถ้ามันยังจะไม่ทันมารยาหญิงหรือจะหน้าแดงเอาง่ายๆ เหมือนพวกไม่มีประสบการณ์ก็ไม่เป็นเรื่องแปลกอะไร”
    “แล้วพวกเราต้องออกเดินทางกันวันไหน...คุณเซเรส” นัยน์ตาสีดำขลับของคนฟังฉายแววครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยตอบ
    “ไว้ให้เอรีสอาการดีขึ้นกว่านี้แล้วค่อยว่ากัน”
----------------------------------------------------------------------------
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น