ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Sinister

    ลำดับตอนที่ #3 : ความรู้สึก

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 48






        ณ ตลาดแถวชานเมืองของนครเซเบิลในยามเช้า ที่ขณะนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่านักท่องเที่ยว หรือคนในเมืองที่ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขมักเขม้น ตลาดอยู่บนถนนสายหลักที่มีคนมากมายซึ่งต่างจากโบสถ์ซึ่งอยู่ในแถบลึกแบบที่ถ้าไม่มีใครเคยเห็นก็จะไม่มีทางรู้เลยว่ามีโบสถ์อยู่ตรงนั้นด้วย แล้วมันก็เป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดสำหรับคณะเดินทางอันแสนพิสดารนี้....ที่พิสดาร.....ก็เพราะความเป็นไปได้ที่จะอยู่ด้วยกันนั้นดูเหมือนจะเป็นศูนย์....เริ่มจากเจ้าหญิงองค์น้อยผู้ที่เพิ่งจะได้ออกเดินทางอย่างนี้เป็นครั้งแรก....สองหัวขโมยที่ทำให้ปวดหัวเพราะความบ้าดีเดือด กับความซ่าที่ไม่มีใครเทียบติด.....ต่อมาก็นักบวชผู้แสนเย็นชา แต่ก็ยิ้มง่าย....เป็นบางครั้ง เพียงแต่พูดน้อย และสุดท้าย....องครักษ์หนุ่มผู้รู้สึกไม่ค่อยจะถูกชะตากับเจ้าหัวขโมยผู้น้องสักเท่าไหร่



        “อ้าว....คุณเอรีส สวัสดีค่ะ” ป้าที่ขายของคนหนึ่งทักขึ้นเมื่อเจ้าของชื่อเดินผ่านหน้าร้านของตน



        “สวัสดีค่ะ พักนี้ไม่ได้ไปที่โบสถ์เลยนะคะ”



        “อ้อ พอดีช่วงนี้มันยุ่งน่ะก็เลยไม่ได้ไป แล้วนี่คุณพ่อสบายดีรึเปล่าจ๊ะ” นัยน์ตาสีฟ้าหลุบลงต่ำ ไม่ตอบคำถามอยู่พักหนึ่ง ก่อนริมฝีปากบางได้รูปจะขยับขึ้นอีกครั้ง คำพูดที่ทำให้บรรยากาศรอบข้างเริ่มโรยตัวด้วยความเงียบงัน....



        “ท่านไปแล้วค่ะ.....ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า....อย่างไม่มีวันกลับ......”



        “...คือป้าขอโทษนะจ๊ะที่ถามไปแบบนั้น....แล้วท่าน....เอ่อ เสียตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”



        “ประมาณสามเดือนก่อนค่ะ”



        “.....แล้วนั่นใครหรือจ๊ะ หน้าตาไม่คุ้นเลยนะ” หญิงวัยกลางคนรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที



        “คือว่าพวกเขามาขอพักอยู่ที่โบสถ์ได้ซักสัปดาห์หนึ่งแล้วน่ะค่ะ....ถ้าไม่มีอะไรแล้วหนูขอตัวก่อนนะคะ” น้ำเสียงของเธอยังคงเรียบได้เสมอต้นเสมอปลาย



        “เดี๋ยวจ้ะเอรีส ปีนี้หนูจะร่วมงานประจำปีไหมจ๊ะ”



        “ค่ะ” คำตอบสั้นๆ ก่อนที่เธอจะเดินไป คนที่เหลือเลยได้แต่รีบเดินตาม.....



        “จะว่าไปแล้ว เราอยู่มาอาทิตย์นึงไม่เห็นจะมีคนเข้าโบสถ์เลยนี่นา” ฟีวิลพูลอยๆ นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองไปสองข้างทาง



        “โบสถ์ที่นี่มันอยู่ลึก แล้วก็ไม่ค่อยมีใครรู้จักด้วยค่ะ มันก็เลยเงียบๆ อย่างที่เห็น” คามิลเลียพูดขึ้นมาเหมือนกับว่าอยู่ที่โบสถ์นี้มาหลายปี “พี่เอรีสบอกมาอย่างนั้นน่ะค่ะ” รอยยิ้มน้อยๆ ฉายชัดบนใบหน้าขาวนวลของเจ้าหญิงองค์น้อย



        “แล้วงานประจำปีอะไรอ่ะ” ซีรินถามแบบไม่หวังว่าจะมีใครตอบ เพราะคนที่อยู่เมืองนี้ก็ดันเดินนำลิ่วไปโน่นแล้ว แต่ก็ยังได้คำตอบกลับมาจากองครักษ์หนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีดำคมเข้ม



        “งานเลี้ยงฉลองที่จะจัดขึ้นทุกๆ ปี เนื่องในวันสถาปนาอาณาจักรเซเบิลน่ะ.....รู้สึกว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้นะ”



        “ไปรู้มาจากไหนคะเนี่ย” นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์คู่โตมองเซเรสอย่างต้องการคำตอบ



        “ก็เคยอ่านในหนังสือ แล้วก็เห็นคนในเมืองเขาจัดอะไรกันให้วุ่นเลยเข้าไปถาม” คำตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างใจดี



        เฮ้อ.....ทำไมยิ่งอยู่ด้วยกันก็เหมือนยิ่งเข้าหน้ากันไม่ติดนะ พี่เซเรสก็รู้สึกจะไม่ค่อยชอบซีรินเท่าไหร่เลย คุยก็แทบจะไม่คุยเลยด้วยซ้ำ......จะเดินทางด้วยกันมันก็ต้องสนิทกันสิ คามิลเลียคิดอย่างอดไม่ได้ก่อนจะถอนหายใจอีกรอบอย่างกลุ้มใจ จนซีรินที่เดินอยู่ข้างๆ ต้องถามขึ้นมา คิ้วเลิกขึ้นอย่างสงสัย



        “เป็นอะไร ถอนหายใจอยู่คนเดียว”



        “อะ...เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”



        “ไม่ต้องพูดคะ ขา ก็ได้” ซีรินเอ่ยเสียงห้วนจนคามิลเลียต้องเป็นฝ่ายชักสีหน้าสงสัยบ้าง



        “ทำไมล่ะคะ หญิงก็พูดอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว.....”



        “แล้วอย่าเรียกตัวเองว่าหญิงด้วย คนธรรมดาเขาไม่พูดอย่างนี้รู้ไว้ซะ แล้วถ้าคุยกับฉันไม่ต้องพูดเพราะก็ได้.....สำหรับฉันมันไม่คุ้นหูน่ะ” ซีรินตอบอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจ แล้วก็หันหน้าไปทางอื่นโดยไม่สนคามิลเลียอีก



        อะไรของเขากันนะ.....เด็กสาวคิดในใจขณะหัวคิ้วที่มุ่นเข้าหากันอยู่แล้วยิ่งมุ่นเข้าไปอีกอย่างข้องใจ



        “ซีริน พรุ่งนี้ไปงานกันเหอะ?” ฟีวิลถามแกมบังคับ ซีรินไหวไหล่ก่อนตอบห้วนๆ



        “แล้วแต่นาย นายไปฉันก็ไป”



        “งั้นก็โอเค” เขาเอ่ยพร้อมกับดีดนิ้วเป๊าะอย่างถูกใจ นัยน์ตาสีเขียวมรกตพราวระยิบระยับอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มกว้างเป็นนิจยังคงอยู่บนใบหน้าคมคาย “คามิลเลียก็ไปด้วยกันนะ”



        “ค่ะ” เด็กสาวเอ่ยพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ แล้วหันไปถามคนข้างตัว “พี่เซเรสไปมั้ยคะ”



        “ถ้าคามิลเลียไปผมก็ไป......”







        แอ๊ด.....



        เสียงประตูโบสถ์เปิดขึ้นอีกครั้งเรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าใสต้องเบือนกลับมาด้านหน้า ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเขียว กับผมสีชาที่รวบลวกๆ ไว้ทางด้านหลัง ก่อนหญิงสาวเจ้าของโบสถ์จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสงบเดาอารมณ์ยากยิ่งนัก



        “แล้วคนอื่น....”



        “อ๋อ...คามิลเลียบอกว่าอยากซื้อของนิดหน่อยก็เลยชวนคนอื่นไปด้วย แต่ฉันขอบาย....บอกว่าจะกลับมารอที่นี่” คำพูดพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่ทำให้เอรีสรู้สึกแปลกใจ เพราะเวลาที่เขาคุยกับเธอ....ไม่ค่อยเห็นเขายิ้มเท่าไหร่ จนคิดว่าไม่มีทางคุยด้วยกันดีๆ ได้ในตลอดระยะเวลาเพียงสั้นๆ ที่ผ่านมา....เพียงอาทิตย์เดียวที่เหมือนยาวนาน.....



        เอรีสเพียงแค่พยักหน้าช้าๆ แทนการตอบรับ ฟีวิลก็รู้สึกงงไปเหมือนกันว่าทำไมวันนี้ยัยจอมโหดไม่ด่าเขาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง



        “.....ขอโทษนะถ้าเพิ่งมาพูดเอาป่านนี้น่ะ.....ทำไมไม่บอกล่ะว่าพ่อเธอเพิ่ง....”



        “ฉันเห็นว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องบอก”



        “งั้นที่เธอไปเคารพหลุมศพทุกวันนั่นก็พ่อเธอน่ะสิ” ประโยคที่ทำให้เอรีสชะงักกึก นัยน์ตาฟ้าเบือนไปสบกับนัยน์ตาสีเขียวของบุรุษตรงหน้า.....รู้ได้ไง ก็ตอนนั้นยังไม่มีใครตื่น.....หญิงสาวทำท่าจะเอ่ยต่อไปอีกแต่โดนฟีวิลขัดขึ้นมาซะก่อน



        “เสียใจด้วยนะ....แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ด่าเธอว่าเย็นชา โหด.....แต่จริงๆ เธอคงไม่เป็นอย่างนั้นสินะ.....” น้ำเสียงของเขาฟังดูนุ่มหูและอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็น แต่หญิงสาวกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นๆ



        “ฉันก็เป็นอย่างนี้ของฉันมาตั้งนานแล้ว”



        ไม่ใช่....มีอะไรบางอย่างบอกเขาอย่างนั้น จริงๆ แล้วเอรีสเป็นคนอ่อนโยนมาก มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ ......ความคิดที่คิดได้เพียงเท่านั้นเมื่อพวกของคามิลเลียกลับมาแล้ว



        “เอ่อ.....ทำไมหน้าเครียดกันจังเลยอ่ะ” ซีรินร้องทักอย่างสงสัย



        “ไม่มีอะไรหรอก” เอรีสเอ่ยตัดบทก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องทันที



        “มีไรกันหรอฟีวิล” ซีรินยังคงซักต่อ แต่ก็ได้ความเงียบกลับมาเป็นคำตอบ



        นี่เขาเป็นอะไรไปเนี่ย.....เขากำลังตั้งใจจะทำอะไรอยู่กันแน่? ความรุ้สึกแปลกๆ .....มันคืออะไร? ใครบอกได้บ้างไหม...... ฟีวิลกำลังจมอยู่ในห้วงคิดของตน คำถามเดิมๆ ลอยเขาหัววนไปวนมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ



        “ฉันขอไปเดินเล่นหน่อยนะ”



        “ไอ้นี่ก็อีกคน” ซีรินเอ่ยขณะมองตามคนทำตัวแปลกๆ คนที่สอง ที่ตอนนี้กำลังเดินออกไปจากโบสถ์.....







        ค่ำคืนที่เงียบสงัด จันทราดวงกลมโตสาดแสงสีเหลืองนวลอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่ไร้เมฆ ดวงดาวน้อยใหญ่พากันส่องแสงวิบวับราวกับรอต้อนรับงานที่จะมาถึงในเย็นของวันพรุ่งนี้....ท่ามกลางสายลมอบอุ่นที่พัดพาความหนาวเหน็บให้จับขั้วหัวใจของใครบางคน....ก็ยังคงมีคนเดินป้วนเปี๊ยนอยู่ตามท้องถนนที่มืดมิด และเงียบสนิท...



        “เฮ้ย อย่าให้คนแถวนี้รู้ตัวล่ะ” หนึ่งในชายชุดดำบอกด้วยเสียงอันแผ่วเบา ในขณะที่คนที่เหลือพยักหน้าก่อนจะหายไปราวกับสายลม



        “เจ้าหญิงนั่นมันหายไปไหน ตัวคนเดียวก็ไม่น่าจะเป็นไปได้.....มีพวก?.....หน้าอย่างนั้นมีพวกด้วยเรอะ” ชายชุดดำคนเดิมกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นประโยคเย้ยหยัน







        “มากันแล้วสินะ พวกนักฆ่า....” นัยน์ตาสีน้ำตาลมองไปยังตัวถนนหลักที่เหล่าชายชุดดำกำลังยืนอยู่ ผมสีน้ำตาลทองจากที่ยุ่งอยู่แล้วก็ยุ่งหนักเข้าไปอีกเพราะแรงลม ว่าจบก็ล้มลงนอนบนแผ่นกระเบื้องรับลมเย็นๆ ที่พัดมาเรื่อยๆ หลับตาลงอย่างสบายใจไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนเลยสักนิด



        “มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือคะ” เสียงใสๆ ที่ทำเอาคนใกล้หลับสะดุ้งสุดตัวอย่างตกใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อเจอเจ้าของเสียงเล็กๆ ที่เพิ่งปีนขึ้นมาด้วยบันไดลิง.....ในชุดนอน? นัยน์ตาสีม่วงอเมิธิสต์คู่โตมองผ่านความมืดขณะพยายามเดินบนแผ่นกระเบื้อง จนในที่สุดก็เดินมาถึงคนที่ทักได้สำเร็จ



        “ก็นอนอยู่นี่ไง บอกแล้วไงว่าไม่ต้องพูดเพราะ.....ฉันไม่ค่อยคุ้น”



        “ทำไมไม่ไปนอนที่ห้องล่ะ” เธอพูดแล้วนั่งลงข้างๆ ซีริน



        “ไม่รู้....แล้วเธอออกมาทำอะไรดึกๆ ที่นี่ เดี๋ยวไม่สบายก็ได้ยุ่งกันหมด” ซีรินว่าก่อนจะล้มตัวลงไปนอนต่ออีกรอบ



        “มันนอนไม่ค่อยหลับน่ะ” คามิลเลียเอ่ยตอยด้วยน้ำเสียงใสๆ



        “ไม่หลับยังไงก็อย่าขึ้นมาบนนี้สิ เกิดเธอตกลงไปฉันไม่รับผิดชอบนะ”



        “พูดแบบนี้เป็นห่วงหรืออยากให้ไปกันแน่.....ถ้าอย่างนั้นหยะ....ฉันไปก็ได้” ว่าจบเจ้าตัวก็ค้อนขวับลุกขึ้นยืน แล้วเดินกลับไปทางบันไดที่ปีนขึ้นมา



        โครม!? ......



        แต่มือเจ้ากรรมก็ดันไปปัดบันไดตกลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้นเสียนี่ คนกำลังจะลงเลยถอนหายใจอย่างหาทางแก้ไม่ออก จะหันไปหาคนใจร้ายนั่นก็ดูจะน่าเกลียดไปหน่อย.....ก็เพิ่งจะเดินหนีมาเองนี่นา......ความคิดที่ต้องหยุดก่อนสะดุ้งโหยงเมื่อมีมือใหญ่มาแตะที่บ่า.....



        “ก่อเรื่องอีกจนได้” น้ำคำออกห้วนๆ แต่กิริยานี่มันไม่ค่อยจะเหมือนอย่างที่พูดเท่าไหร่



        “อีก?....” เด็กสาวกล่าวทวนคำอย่างงงๆ แต่ความงงก็ต้องหยุดลงเท่านั้น เมื่อหัวขโมยไม่เจียมตัวถือวิสาสะอุ้มเจ้าหญิงแห่งเมืองใหญ่มาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะกระโดดลงไปด้วยเสียงอันเงียบกริบเหมือนครั้งแรก.....เพียงแต่ครานี้เธอไม่ได้หลับตา นัยน์ตาสีม่วงคู่สวยเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมานอกอก ดวงหน้าแดงก่ำชนิดที่มืดขนาดนี้ยังเห็นได้อย่างง่ายดาย.....แล้วมันก็ต้องไม่พลาดสายตาหัวขโมยอย่างเขาไปได้



        “เอ้า! รีบไปนอนสิ” ซีรินว่าจบก็ปล่อยคามิลเลียลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย ก่อนจะรีบหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในตัวโบสถ์อย่างรวดเร็ว.....เพื่อซ่อนใบหน้าที่เริ่มจะร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ......







        “พ่อคะ.....วันนี้เป็นวันสถาปนาเมืองแล้วนะคะ....จะต้องสนุกแน่ๆ เลยค่ะ....” พูดจบมือเรียวๆ ที่ถือดอกไม้สีขาวสะอาดก็ยื่นออกไปเพื่อจะวางดอกไม้ แต่แล้วสายตาก็ต้องสะดุดกับดอกไม้สดๆ ที่มีคนมาวางก่อนแล้ว....



        ไม่ใช่เธอแน่......ความคิดที่คิดแล้วก็งงๆ ก่อนใบหน้าสวยจะปรากฏรอยยิ้ม แล้ววางดอกไม้ลง



        “ฟีวิล....”



        ...เอ่ยถ้อยเบาหวิวให้พัดปลิวไปกับสายลม...







        จันทราดวงกลมโตเคลื่อนคล้อยตามกาลเวลาที่ไม่อาจย้อนกลับ แสงนวลสาดส่องทั่วบริเวณดั่งกับจะฉลองวันสถาปนาอาณาจักรเซเบิลแห่งนี้ไปด้วย ดวงดาราน้อยใหญ่ต่างส่องแสงเจิดจรัสสวยงาม ท้องนภายามราตรีสีครึ้มที่ไม่มีแม้แต่เศษเมฆยิ่งเสริมให้บรรยากาศคืนนี้ช่างดูครึกครื้น ลานกว้างของเมืองได้ถูกจัดเป็นที่สำหรับฉลองงานสำคัญนี้ ได้ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ผู้คนต่างทยอยกันมาทั้งคนในเมืองและคนต่างเมืองต่างมาร่วมงานกันอย่างสนุกสนาน.....หากแต่มีบางคนไม่รู้สึกสนุกไปกับงานที่ทุกคนต่างยินดีปรีดานี้ด้วย.....



        “น่าเบื่อ.....” คำพึมพำที่เรียกนัยน์ตาสีเขียวมรกตให้หันไปมองคนข้างตัวที่นั่งหน้าเซ็งอยู่



        “เบื่ออะไรของนายซีริน.....ดูสิมีแต่คนแต่งตัวสวยๆ ทั้งนั้น”



        “ก็นายมันเป็นอย่างงี้ไง ถึงได้ไม่เบื่อ”



        “อ้อ อย่างนั้นหรอกหรอ” คนถูกด่ายังคงตอบกลับอารมณ์ดี ทำให้คนว่าต้องถอนหายใจเฮือกอย่างปลงๆ



        “เอ่อ.....คุณเอรีส”



        “อะไรหรือคะคุณเซเรส” คนถูกเรียกหันมามองบุรุษที่เดินมาตรงหน้า



        “ให้เกียรติเต้นรำกับผมซักเพลงได้ไหมครับ”



        “ค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วเดินออกไป.....แต่ไอ้อีกคนเนี่ยสิที่บอกว่าไม่เบื่ออยู่เมื่อกี้ดันเป็นฝ่ายถอนหายใจเสียนี่



        “งั้นฉันขอไปเดินเล่นในงานหน่อยแล้วกัน นายกับคามิลเลียจะไปด้วยมั้ย” ว่าจบก็ยิ้มขึ้นมาอีกรอบเล่นเอาคามิลเลียปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน ในขณะที่ซีรินก็งงไม่แพ้กัน



        “ไม่อ่ะ” ซีรินตอบเสียงห้วนก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะแทบจะในทันที



        “คามิลเลียไม่ไปคงไม่ว่าอะไรนะคะ” คิ้วเข้มของชายหนุ่มเลิกขึ้นอย่างสงสัย นัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมาที่คามิลเลียอย่างข้องใจ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกประโยค



        “ทำไมไม่เรียกตัวเองว่า ‘หญิง’ แล้วล่ะ”



        “ก็....ซีรินเขาไม่ชอบนี่คะ ฉันก็เลยเปลี่ยน” ฉับพลันรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏบนดวงหน้าตมคายของหัวขโมยหนุ่ม สายตาเลื่อยจากเจ้าหญิงไปหาไอ้น้องตัวแสบที่กำลังนอนฟุบลงไปกับโต๊ะ.....มันมีอิทธิพลขนาดให้เจ้าหญิงเปลี่ยนคำเรียกตัวเองได้เลยหรือเนี่ย.....บอกไม่ชอบก็เปลี่ยน แล้วถ้าเกิดบอกอย่างอื่นคามิลเลียจะทำตามมั้ยนั่น



        “เพิ่งรู้ว่ามีคนเขายอมทำเพื่อนายด้วยนะเนี่ย” คำพูดลอยๆ ที่ทำให้คามิลเลียหน้าร้อนวูบ ส่วนคนที่ยังนอนฟุบอยู่ หน้าก็ยังคงติดกับโต๊ะเหมือนเดิม “ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่านายจะหลับจริงๆ น่ะ”



        “เออ! ไม่ได้หลับ” ซีรินพูดเสียงกระแทกพลางเงยหน้าที่ตอนนี้มันแดงซะยิ่งกว่าอะไรดีขึ้นมา พอรู้ตัวก็รีบฟุบลงไปกับโต๊ะด้วยความแรงและความเร็วจนหัวโขกเข้ากับโต๊ะดังโป๊ก.....แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมยกหัวออกห่างโต๊ะอย่างเด็ดขาด.....ไร้เดียงสาขนาดนี้จะเป็นขโมยไปได้สักกี่น้ำ เจอผู้หญิงเข้าหน่อยก็จบเห่.....ความคิดของฟีวิลที่คิดแล้วก็โคลงหัวช้าๆ ถอนหายใจเฮือกอย่างปลงอนิจจัง



        “อืมๆ ไปแล้วดีกว่า อีกสิบนาทีฉันค่อยมาใหม่” พูกจบรอยยิ้มก็ปรากฏบนดวงหน้าคมคายอย่างคนอารมณ์ดี



        “เป็นอะไรมากรึเปล่าซีริน เจ็บตรงไหนมั้ย” คามิลเลียที่เห็นหัวของซีรินเขกกับโต๊ะดังลั่นถามด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ได้คำตอบกลับมาสั้นๆ ห้วนๆ ขณะเจ้าตัวก็ยังคงฟุบกับโต๊ะอยู่อย่างนั้น



        “ไม่”



        “เฮ้อ.....”



        “เป็นไร” คนนอนลุกพรึ่บขึ้นมาถาม คิ้วเลิกขึ้นอย่างสงสัย “เบื่ออ่ะดิ ไปเดินเล่นกับไอ้ฟีวิลมันก็ได้นี่ ฉันก็นั่งรออยู่นี่” คามิลเลียยังคงเงียบ มือเล็กๆ เอื้อมมาที่หัวซีริน นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างงงๆ ก่อนร้องถาม “ทำไรอ่ะ”



        “ก็ดูสิ หัวนายมันยุ่งหมดแล้ว” เธอเอ่ยก่อนจะจัดผมของเขาด้วยมือเล็กๆ นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์มองผมสีน้ำตาลทองอย่างเดียว ไม่ได้ดูหน้าขาวๆ ของเจ้าหัวขโมยตัวแสบเลยสักนิดว่าตอนนี้มันร้อนจนไม่รู้ว่าจะร้อนได้มากกว่านี้หรือเปล่า “เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วนะ”



        “เป็นอะไรไป ไม่สบายหรอ” น้ำเสียงหวานๆ ของคามิลเลียดังขึ้นอีกรอบเมื่อเห็นหน้าของซีรินแดงๆ โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด



        “เปล่า.....ฉันสบายดี” ซีรินพูดเสียงห้วนหันหน้าหนีไปทางอื่น ไอ้เจ้าหญิงบ๊อง.....



        โต๊ะทั้งโต๊ะเริ่มโรยตัวด้วยความเงียบเป็นเวลาประมาณสักสิบนาที ก่อนที่ซีรินจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาที่ทำเอาคามิลเลียสะดุ้งเฮือก



        มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่มือของเด็กสาวที่วางเฉยๆ อยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็วบวกลืมตัว “นี่....”



        “อะ...อะ...อะไรหรอ...ซี..ริน” เสียงของคามิลเลียฟังดูตะกุกตะกักจนซีรินที่ไม่ได้สนใจมือตัวเองเลยหันมามองอย่างสงสัย แต่แล้วเมื่อเห็นดวงตาสีม่วงคู่สวยมองลงไปก็มองตามบ้าง.....เท่านั้นก็รีบชักมือกลับทันที หน้าขาวๆ แดงก่ำขึ้นมากะทันหัน....รีบพูดเข้าเรื่องทันที



        “เธอไม่รู้สึกหรอว่ามีใครมองเราอยู่” เสียงของซีรินเบาราวกับเสียงกระซิบ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองไปรอบๆ คามิลเลียจะมองตามบ้างแต่ก็โดนซีรินห้าม “อย่าทำตัวมีพิรุธนะ เดี๋ยวพวกมันรู้ตัวก่อนแล้วจะแย่” เขาเอ่ยก่อนจะกลับมานั่งในท่าปกติ



        “ฉันว่าน่าจะเป็นพวกเดียวกับคนที่ตามล่าเธออยู่นะ” เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าปกติสุดๆ



        “อย่างงั้นหรอ” คามิลเลียรับคำสีหน้าเรียบเฉย ทั้งที่จริงๆ แล้วใจเต้นไม่เป็นส่ำ....ถ้าพวกนั้นก่อเรื่องตรงนี้คนอื่นไม่พลอยเดือดร้อนไปด้วยหรอ....



        “เราไปเดินเล่นกันเหอะ” ซีรินว่าจบก็คว้าข้อมือของคนตัวเล็กกว่าให้เดินตาม



        “ฟีวิล.....” ซีรินเมื่อเดินไปหาคนเป็นพี่ก็เอ่ยทักขึ้น



        แต่....เจ้าของชื่อดันไม่หันเสียนี่



        “ไอ้คุณพี่ฟีวิล” ยังไม่หันครับท่าน คามิลเลียเกิดอาการสั่นเล็กๆ เนื่องจากขำกับการพูดของซีริน



        อะไรวะ พูดดีก็แล้ว ยังไม่หันอีก มัวแต่ม่อสาวเพลินแหง



        “คุณฟีวิล เทลเลอร์ครับ มีผู้หญิงคนนึงบอกว่าจะมาหาคุณน่ะครับ” เสียงซีรินเอ่ยเรียบๆ ที่คามิลเลียฟังแล้วคิดว่ามันดูดีกว่าปกติที่พูดห้วนๆ เยอะ.....และเพียงเท่านั้น บทสนทนาอย่างสนุกสนานของฟีวิลกับสาวงามคนเมื่อครู่ก็ชะงักกะทันหัน นัยน์ตาสีเขียวมรกตดูมีเสน่ห์เบือนมาสบกับเจ้าของเสียง



        “มีอะไร”



        “ทีงี้อ่ะรีบหัน” เขาเอ่ยเสียงกวนก่อนยักคิ้วแผล็บ



        “เออน่า แล้วที่เรียกนี่มีอะไรรึเปล่า ไม่มีจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ” ฟีวิลพูดจบก็ทำท่าจะหันไป ซีรินเลยรีบพูดรัวๆ เร็วๆ อย่างลืมตัว



        “มีดิมี ไม่งั้นไม่ยอมลุกหรอกน่า.....นายรู้สึกรึเปล่าว่ามีคนแอบสะกดรอยอยู่?” ประโยคสุดท้ายพูดแทบเป็นเสียงกระซิบ



        “รู้สิ” ฟีวิลตอบกลับมาเป็นเสียงกระซิบเหมือนกัน ซีรินยื่นหน้าเข้าไปกระซิบอะไรกับฟีวิลเล็กน้อยก่อนจะพาคามิลเลียเดินออกไปนอกงาน



        “จะไปไหนหรือ” เธอถามด้วยความงงสุดๆ น้ำเสียงสูงขึ้นอย่างสงสัย



        “ไปเดินเล่น”







        “วันนี้ผมว่าคุณดูดีเป็นพิเศษนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มหูของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี



        “อย่างนั้นหรือคะ” คนถูกชมตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามนิสัย



        “คุณอยู่เมืองนี้ตั้งแต่เด็กเลยรึเปล่าครับ”



        “ค่ะ ตั้งแต่จำความได้ฉันก็อยู่ที่โบสถ์นั่น”



        “แต่ทำไมช่วงนี้ถึงไม่มีคนไปที่โบสถ์เลย” คิ้วเข้มบนดวงหน้าคมคายเลิกขึ้นอย่างขอคำตอบ หญิงสาวนิ่งไปพักก่อนตอบ



        “ตอนเด็กๆ โบสถ์หลังนั้นก็มักจะมีคนไปเสมอๆ .....แต่ตั้งแต่คุณพ่อเริ่มป่วย ก็ต้องพักบ้าง ผู้คนก็เลยเริ่มหนีหายไป จนพักหลังๆ มานี่.....คุณพ่ออาการหนักมากจนทำหน้าที่ไม่ได้......”



        “เอ่อ.....ขอโทษนะครับที่ผมถามไปแบบนั้น” เซเรสตอบด้วยเสียงสำนึกผิดนิดๆ ไม่น่าไปถามเรื่องเก่าๆ เลยเรา......



        “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องมันก็นานมาแล้ว” ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มขึ้นมาอีกรอบ....



        “มีคนมองเราเต็มเลยนะครับ” เซเรสเอ่ย....แต่ไม่ได้หมายถึงคนทั่วไปที่ดูพวกเขาเพราะความสวยงามอะไรหรอก ซึ่งเอรีสก็น่าจะเข้าใจความหมายนั่น....ไม่งั้นเขาไม่พูดให้เสียเวลาหรอก



        “ค่ะ....แย่เหมือนกันนะคะ”



        “ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” บทสนทนาของทั้งคู่เงียบไปได้สักพักก่อนสายตาของหญิงสาวคู่เต้นจะไปสะดุดกับคนสองคน



        “ซีรินกับคามิลเลียจะไปไหน....นั่นมันทางเข้าป่า.....”



        “คงจะไปเดินเล่นละมั้งครับ”



        “แต่นั่นมันป่านะคะ ป่าที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับส่วนของงานเลยนะคะ” เอรีสหน้าเคร่งขึ้นนิดพลางเอ่ยย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ



        “ฮะ?....ถ้าอย่างนั้นผมว่าเรารีบตามไปจะดีกว่า จะเกิดเรื่องอะไรมั้ยเนี่ย” เซเรสเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากใบหน้ายิ้มแย้มก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขึ้นถนัด รีบเร่งฝีเท้าตามไปอย่างไม่ลดละ





    ----------------------------------------------------------------------------



        เฮ้อ....รู้สึกว่าตัวละครบ้าๆ บอๆ ยังไงไม่รู้แฮะ (คนแต่งบ้าไงตัวละครเลยบ้าเหมือนกัน =_=””)

        ถ้าอ่านแล้วอย่าลืมเม้นด้วยน้าจ้า ^o^”



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×