ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Sinister

    ลำดับตอนที่ #2 : ณ โบสถ์แห่งหนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 48






        เมื่อตะวันจับขอบฟ้า เหล่าผู้คนก็ออกเดินตามถนนกันให้พลุกพล่าน บ้างก็รีบตั้งร้านขายของ บ้างก็รีบออกไปทำงาน ประสานกับเสียงนกร้องเป็นบทเพลงเสนาะหูที่เกือบจะไม่เป็นที่สนใจสำหรับคนส่วนใหญ่ ลมเย็นๆ พัดเรื่อยๆ ช่วยคลายความร้อนของบรรยากาศเร่งรีบเช่นนี้ลงได้บ้าง....



        “เราจะเดินทางไปถึงเมื่อไหร่กันหรือคะ” เสียงใสๆ ถามขึ้นขณะเปิดผ้าม่านออกมาหน้าเกวียนเล่มเก่า ที่เดินหน้าไปด้วยความเอื่อยเฉื่อย



        “จนกว่าจะข้ามเมืองนี้ไปน่ะครับ” แล้วก็ได้เสียงตอบกลับมาจากฟีวิลที่กำลังคุมเกวียนอยู่ด้านนอก



        เมื่อเด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์คู่สวยกลับเข้ามาในเกวียนแล้วก็เห็นเด็กหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลทองกำลังนั่งหลับอย่างสบายอารมณ์อยู่ คามิลเลียยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างนึกสนุกแล้วพูดออกมาเบาๆ “เวลาหลับนี่ก็น่ารักเหมือนกันแฮะ” รอยยิ้มบางฉายชัดบนใบหน้า ก่อนจะต้องหุบลงเกือบจะทันทีเมื่อคนหลับลืมตาโพลงขึ้นมาเฉยๆ ทำเอาคามิลเลียสะดุ้งโหยงถอยแทบไม่ทัน แล้วก็ได้คำถามที่ไม่รู้จะตอบยังไงดี



        “ไม่เคยเห็นคนหลับหรือไงจ้องอยู่ได้” นี่เขารู้หรอว่าเราจ้องน่ะ นัยน์ตาสีม่วงเบิกกว้างอย่างตกใจ....แล้วเขาจะรู้มั้ยเนี่ยว่าเราพูดอะไรออกไป พลันใบหน้าสวยๆ ก็ขึ้นสีเรื่อจนซีรินที่มองอยู่คิ้วมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย “เป็นอะไรไปอีกล่ะ”



        “เปล่า....เปล่า ไม่ได้เป็น...อะไร.......นายได้ยินที่ฉันพูดด้วยงั้นซิ” คำถามที่ทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลยิ่งฉายแววฉงนหนักเข้าไปอีก คิ้วเข้มเกือบจะผูกเป็นโบว์ได้



        “ได้ยินอะไร?” ......งั้นเขาก็ไม่ได้ยินน่ะสิ แล้วรู้ได้ไงว่าเรามอง?



        “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร แล้วรู้ได้ยังไงว่าเราจ้องนายอยู่”



        “ไม่รู้เหมือนกัน....มันรู้สึกเองน่ะ รู้ว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ แล้วก็จ้องฉันอยู่”



        ประสาทสัมผัสร้ายไม่เบาเลยแฮะ ขนาดหลับยังรู้ได้....







        “พักกันก่อนมั้ย” ฟีวิลเอ่ยขึ้นก่นจะยื่นหน้าที่มีผมสีชากับตาสีเขียวมรกตเข้ามาในเกวียน



        “พักดิ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”



        “นายเหนื่อยยังไงฮะ นั่งอยู่เฉยๆ เนี่ย” ฟีวิลถามผู้เป็นน้องอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจ



        “ก็นั่งจนเมื่อยไงเล่า” พูดจบก็กระโดดลงจากเกวียนอย่างไม่รีรอ.....พอคามิลเลียจะลงบ้าง ฟีวิลก็ยื่นมือมารับเพื่อให้ลงได้ง่ายๆ



        “เป็นคนขับรถโดยสมบูรณ์แบบตั้งแต่เมื่อไหร่” ซีรินพูดด้วยเสียงกวนประสาท คิ้วแสร้งเลิกขึ้นอย่างเหมือนจะขอคำตอบ



        “เมื่อนั้นแหละ” แต่ฟีวิลก็ยังตอบอารมณ์ดีไม่มีเปลี่ยน ยั่วมันไม่เคยได้....



        “นี่ก็เริ่มค่ำแล้วเราจะค้างที่ไหนหรือคะ”



        “อืม....แถวนี้จำได้ว่ามีโบสถ์เก่าๆ อยู่ที่หนึ่งนะ เราไปพักที่นั่นกันมั้ย ถ้าไม่มีคนก็โอเค หรือถ้ามีก็ขอบาทหลวงเอา เขาคงให้ล่ะ” ความคิดที่คามิลเลียอยากจะให้มีคนอยู่ในโบสถ์เพราะไม่อยากนอนในโบสถ์ร้าง.....







        ก๊อก ก๊อก ก๊อก.....



        “ขอโทษนะครับ มีใครอยู่มั้ย” ฟีวิลเอ่ยถามขณะเคาะประตูโบสถ์ที่ทั้งตัวโบสถ์และประตูนี่มันเก่าได้ใจจริงๆ



        “มีคนบ้านไหนเขาเคาะประตูโบสถ์กันมั่งเนี่ย”



        “แล้วจะให้ทำไงเล่าซีริน” พอฟีวิลพูดจบคำซีรินก็เดินไปผลักประตูบานใหญ่โดยไม่กลัวว่ามีคนอยู่แล้วเขาจะด่า



        แอ๊ด.....



        ภายในโบสถ์นั้น....ไม่ได้เก่าเหมือนข้างนอกเลยแม้แต่น้อย เก้าอี้ที่วางสองฝั่งไม่มีแม้แต่รอยฝุ่น พรมสีแดงที่ปูลาดเป็นทางเดินยาวยังคงใหม่เอี่ยมอ่อง โคมไฟระย้าสวยงามยังคงใช้การได้อย่างดีไม่มีบิดพลิ้ว หน้าต่างกระจกนับสิบบานที่สลักเป็นรูปสวยงามยังใหม่ไม่มีแม้แต่รอยร้าวให้เห็น แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับหญิงสาวในชุดนักบวชที่ดูแปลกตากำลังยืนอยู่ในที่ของบาทหลวงเขายืนกัน ท่าทีของเธอดูสง่างามราวกับนางฟ้า นัยน์ตาสีฟ้าใสดูสงบยิ่งนัก เรือนผมสีเงินสลวยถูกรวบไว้ด้านหลัง ชุดสีขาวโพลนแต่ออกแบบได้สวยไม่เหมือนนักบวชที่เธอเคยเห็นทั่วไป แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับชายหนุ่มผมสีชาที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่ข้างๆ แต่ตอนนี้ได้เดินเข้าไปจนจะถึงตัวหญิงสาวคนนั้นแล้ว



        “คุณชื่ออะไรหรือครับ อายุเท่าไหร่ เป็นนักบวชมานานหรือยัง ตอนนี้ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงอยู่ในโบสถ์นี่คนเดียว.....” ฟีวิลพูดเป็นเซ็ตแบบไม่พักหายใจ แต่ก่อนที่จะได้พูดไปมากกว่านี้ก็เจอไม้กางเขนมาจ่อที่คอเลยชะงักไปนิด ก่อนจะพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ



        “อะไรกัน ผมไม่ใช่ผีนะครับ เอาไม้กางเขนมาเล่นงี้เลยหรือครับ” นักบวชสาวมาดขรึมยังคงนิ่ง



        กริ๊ก....



        พลันไม้กางเขนสีเงินแสนธรรมดาก็ยืดออกกลายเป็นดาบแบบที่ถือได้อย่างถนัดมือเลยทีเดียว ฟีวิลรีบกระโดดหลบแบบเฉียดฉิวมาก ถ้าเขาหลบช้ากว่านี้คงไม่รอดแหง



        “เล่นแรงไปหน่อยนะครับ....คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะ”



        “ฉันชื่อเอรีส วิลซันน์ อายุเท่านาย เป็นนักบวชมาปีกว่าที่อยู่นี่คนเดียวก็เพราะว่าฉันอยู่คนเดียวตั้งแต่ต้นแล้ว” คิ้วของฟีวิลเลิกขึ้นอย่างสงสัย



        “แล้วคุณรู้หรอว่าผมอายุเท่าไหร”



        “สิบหก?”



        “เก่ง....”



        “พวกคุณมาที่นี่ทำไม” เอรีสถามขณะเก็บดาบ? หรือจะเรียกว่าไม้กางเขนดี?



        “พวกเราจะขอค้างที่นี่ซักคืนจะได้ไหมคะ แล้วพรุ่งนี้เราก็จะไปแล้ว” คามิลเลียเอ่ยขึ้น



        “ใช่ฮะ เราอยู่ไม่นานหรอก” ซีรินพูดสนับสนุน



        “เอางั้นก็ได้ แต่ที่นี่มันออกจะเก่าไปหน่อยนะ” นัยน์ตาสีฟ้ายังคงสงบนิ่งยามเอ่ยเสียงเรียบ



        “ขอบคุณมากค่ะ” คามิลเลียได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง



        “เธอเป็นเจ้าหญิงหรือ” เอรีสเอ่ยขึ้นขณะก้าวเข้ามาหาคามิลเลีย เธอหุบยิ้มฉับลงทันที คราวนี้รู้ได้ไงล่ะ



        “ระ รู้ได้ไงคะ”



        “ก็ดูเธอแต่งตัวสิ ดูไม่ออกว่าเป็นพวกเชื้อพระวงศ์จากไหนก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้พวกเธอที่กำลังยืนอยู่หน้าโบสถ์ “ว่าแต่เจ้าหญิงอย่างเธอทำไมมาอยู่กับสองคนนี้ได้ องครักษ์ก็ไม่น่าจะใช่ด้วย”



        “อืม....เราไม่ใช่องครักษ์หรอก เราเป็นขโมย” ซีรินตอบหน้าตาเฉย



        “ลักพาตัวเจ้าหญิง?” เมื่อซีรินได้ยินที่เอรีสพูดก็ถึงกับร้องเสียงเกือบหลง



        “เฮ้ย! อย่ามากล่าวหากันสิ”



        “คือ...ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ เรื่องมันมีอยู่ว่า.....” แล้วคามิลเลียก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง







        “อื้ม...โชคดีนะที่ยังเป็นขโมยดี” เอรีสเอ่ยขึ้นพร้อมกับวางมือไว้ที่บ่าของซีรินพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ดูแล้วเป็นมิตรมากกว่าอย่างอื่น ซีรินก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนไปหมด “แล้วจะเดินทางไปไหนกันต่อ”



        “ยังไม่รู้เลยน่ะครับ” ฟีวิลตอบแทนซีรินที่ถูกถาม



        “งั้นฉันขอเดินทางไปด้วยได้มั้ย ดูท่าแค่ขโมยเด็กกับขโมยบ้าคงไม่พอหรอก” คำที่ว่า ‘ขโมยบ้า’ ที่เจ้าหล่อนตั้งใจจะยั่วด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่มันกลับไร้ผล นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่สวยยังคงพราวระริก บนดวงหน้าคมคายยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่



        แอ๊ด....



        เสียงของผู้มาเยือนรายใหม่ที่ทำให้คนทั้งหมดหันไปมองด้วยความสงสัยปนระวัง แต่เมื่อเห็นชัดแล้วก็พบชายหนุ่มในชุดทหารผมสีดำซอยสั้นกับนัยน์ตาสีเดียวกันดูลึกลับ แต่ก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ



        “พี่เซเรส! มาถูกได้ยังไงคะเนี่ย” คามิลเลียร้องอย่างดีใจพร้อมกับวิ่งไปกอดเซเรส เรียกให้คิ้วของหัวขโมยกับนักบวชมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย



        “ใครอ่ะ?” ซีรินหลุดปากถามขึ้นมาคนแรก



        “สวัสดีครับ ผมเซเรส เมเดนเป็นองครักษ์ของเจ้าหญิง”



        “ใครบอก พี่ชายต่างหาก” คำพูดของเจ้าหญิงองค์น้อยเรียกรอยยิ้มขององครักษ์ให้ฉายบนใบหน้า



        “แล้วพวกคุณชื่ออะไรกันมั่งครับ”



        “ผมฟีวิล เทลเลอร์ครับ ส่วนหมอนี่น้องผม ซีริน เทลเลอร์” ฟีวิลพูดพร้อมกับชี้ไปที่ซีรินขณะกล่าว



        “เอรีส วิลซันน์ค่ะ” เอรีสเอ่ยขึ้นบ้างพร้อมกับแย้มรอยยิ้มบางๆ จนฟีวิลอดงึมงำไม่ได้ว่า



        “ทำไมพูดกับเราไม่เห็นจะใจดีงี้เลยวะ”



        “ก็ช่วยไม่ได้ นายอยากหน้าม่อก่อนเองนี่หว่า” ซีรินที่บังเอิญได้ยินเข้าพอดีสวนกลับแบบที่คิดว่ามันต้องเดือดแน่



        “ไอ้ซีริน! ใครหน้าม่อวะ!” และแล้ว....การทะเลาะวิวาทของสองพี่น้องตระกูลเทลเลอร์ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เริ่มจากฟีวิลที่เอาดาบออกมาไล่ฟันไอ้น้องตัวแสบ แล้วก็ซีรินที่วิ่งหนีให้วุ่นไปหมด



        แต่แล้วก็ต้องค้างนิ่งอยู่กับที่ด้วยข่ายมนตร์ของเอรีสที่กางได้ขนาดพอๆ กับโบสถ์เลย นัยน์ตาสีฟ้าใสยังคงไม่ส่อแววใดๆ ทั้งสิ้น เธอยังคงยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ทำอะไร ทั้งๆ ที่ตอนนี้เขากลายเป็นรูปปั้นชั่วคราวไปแล้ว.....พลังร้ายกาจใช่ย่อยแฮะยัยนี่ ฟีวิลคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น



        “ฉันเลิกทะเลาะกับมันก็ได้ แต่เอาข่ายเวทออกได้มั้ยคุณเอรีส” จบประโยคข่ายเวทที่ตรึงเขาให้อยู่กับที่ก็หายไป



        “นายรู้ได้ไงว่าเป็นฉัน” น้ำเสียงของเจ้าหล่อนยังคงฟังดูเรียบเฉย



        “ก็ไอมนตร์มันบอก” ฟีวิลตอบหน้าตาเฉยเหมือนเห็นเป็นเรื่องง่าย ทั้งๆ ที่จริงๆ คนปกติทั่วไปจะไม่มีทางรับรู้ประสาทสัมผัสนี้ได้ง่ายๆ แล้วยิ่งเธอสะกดไอมนตร์ไม่ให้กระจายแล้วด้วย....



        “ยังไงก็เอาเถอะครับ พวกคุณจะเดินทางไปหมดเลยหรือเปล่า” เซเรสถามอย่างเป็นทางการ รวมทั้งเพื่อตัดบทสนทนาที่ดูท่าจะยาวจนยืดเยื้อด้วยแล้ว



        “ใช่” ซีรินตอบเสียงห้วนเรียกให้องครักษ์หนุ่มหันไปมอง



        “เป็นเด็กพูดให้มันเพราะๆ หน่อยสิ”



        “ใครเด็ก”



        “แล้วนายอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?” เซเรสเอ่ยอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก ซึ่งคามิลเลียเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเซเรสอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเป็นครั้งแรก



        “สิบสาม”



        “เด็ก”



        “แล้วนายจะอายุซักเท่าไหร่กัน?”



        “ยี่สิบ” เอิ๊ก ห่างกันกี่ปีวะ....เจ็ด....เหอะ หน้าของซีรินเริ่มเปลี่ยนไปทันทีก่อนจะพูดเสียงอ่อนลงนิด



        “งั้นต้องเรียกว่า ‘น้า’ มั้ยฮะ” คนกำลังจะได้เป็นน้าตวัดนัยน์ตาสีดำมาสบก่อนจะพูดเสียงเข้ม



        “ไม่ต้องหรอกครับ....อ้อ แล้วต่อจากนี้ไปจะไม่มีองครักษ์ ไม่มีเจ้าหญิง เรียกได้แค่ชื่อเท่านั้น....ส่วนพวกนาย....ไม่มีชุดอื่นแล้วหรอ” คนขี้เกียจเถียงกับเด็กตัดบทเข้าเรื่องสำคัญทันทีจนซีรินทำหน้าเซ่อแบบปรับตัวไม่ค่อยจะทัน คามิลเลียที่นั่งอยู่เห็นดังนั้นก็เลยกลั้นหัวเราะเอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว



        “ไม่มีครับ” ฟีวิลตอบเสียงเข้มกลับบ้าง เพื่อจะได้ดูเป็นการเป็นงานขึ้นมานิด เพราะนี่มันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ แล้วละมั้ง เจ้าหญิงทั้งคนเลยนะนั่น.....



        “งั้นพวกนายไปซื้อชุดมาซะ แบบนี้มันไม่สมควรที่จะใส่ต่อหน้าองค์หญิง”



        “เรื่องมาก....”



        “อะไรนะซีริน....”



        “เปล่าฮะ ไม่มีอะไร” ซีรินหน้าเจื่อนไปสนิท ขนาดพูดเบาๆ แล้วมันยังอุตส่าห์ถามอีก



        “พวกเราไม่ได้รวยขนาดหาซื้อชุดใหม่ได้นะครับ” ฟีวิลเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบที่เพิ่งเงียบไปได้ไม่นาน



        “งั้นใช้เงินผมก็ได้...คุณเอรีสช่วยนำทางสองคนนี้ไปได้ไหมครับ...อ้อ แล้วช่วยพาเจ้าหญิง.....เอ่อ คามิลเลียไปเลือกชุดด้วย เพราะชุดอย่างนี้มันอาจจะสะดุดตาเกินไป” เจ้าของชื่อเพียงแค่พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเดินออกไปโดยมีชายสอง หญิงอีกหนึ่งเดินตามมาด้านหลัง







        “ทำไมต้องซื้อชุดใหม่ด้วยอ่ะ แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว” ซีรินพูดอย่างหน่ายๆ ขณะมองชุดที่อยู่ในร้าน แล้วเอรีสก็มองไปที่ชุดของซีริน ที่เจ้าของบอกว่ามัน ‘ดีอยู่แล้ว’ ชุดเก่าๆ มอซออย่างนี้เนี่ยนะ....ดีอยู่แล้ว?



        “ใช้ได้มั้ยคะพี่เอรีส” เสียงใสๆ ของคามิลเลียที่เพิ่งออกมาจากห้องลองชุด เรือนผมสีทองสวยถูกปล่อยสยาย เสื้อแขนกุดสีขาวมีระบายตรงชายเสื้อ กระโปรงเป็นจีบเล็กๆ รอบตัวยาวเกินเข่ามานิดสีฟ้าอ่อน ดูแล้วเหมาะกับวัย นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์คู่สวยมองเอรีสอย่างขอความเห็น



        “ใช้ได้จ๊ะ น่ารักมากๆ เลย” คำพูดที่ค่อนข้างเรียบแต่ทำให้คนถามม้วนตัวนิดๆ อย่างอายๆ ตามที่หญิงทั่วไปเขาทำกัน แล้วหันมาพูดกับซีรินต่อ “ซีรินก็เข้าไปลองมั่งสิ เดี๋ยวฉันช่วยเลือกชุดให้”



        “เดี๋ยวผมเลือกให้ท่าจะดีกว่านะครับ” ฟีวิลเอ่ยพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร หากแต่สาวเจ้ากลับไม่ยิ้มตอบเนี่ยสิ นัยน์ตาสีเขียวมรกตเลยเบือนกลับไปมองชุดเพื่อเลือกให้น้องสุดรักอย่างเก่า “เอ้า....อันนี้น่าจะเหมาะกับนายนะ” เขาพูดพร้อมกับยื่นชุดมาให้ซีรินหนึ่งชุด ซีรินเลยยอมรับมา นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววไม่ค่อยจะพอใจอยู่หน่อยๆ แต่ก็ยอมไปเปลี่ยนแต่โดยดี







        “โอเคยัง?” ซีรินพูดอย่างหัวเสียนิดๆ ขณะเดินออกมาจากห้องลองชุด จากชุดมอซอตัวเก่า กลายเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาว กับกางเกงสีดำยาว ดูแล้วต่างจากเมื่อกี้มาก....หัวขโมยกลายเป็นผู้ดีได้โดยพริบตาเลยหรือเนี่ย คามิลเลียอุทานในใจอย่างทึ่งๆ ไม่คิดว่าแต่งอย่างนี้ก็ดูดีขึ้นมาได้เหมือนกัน ความคิดที่ทำให้คนคิดเผลอยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว



        “ยิ้มอะไร” คำถามที่ทำเอาเจ้าหญิงเพียงคนเดียวสะดุ้งโหยง ยิ้มแห้งๆ แล้วตอบ



        “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”



        “นายใส่ให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง เสื้อมันก็ดูดีอยู่หรอก แต่นายเอามาใส่ซะไม่มีดีเล้ย” ฟีวิลว่ามือก็จับกระดุมตรงแขนเสื้อติดเรียบร้อย บอกให้เจ้าตัวเอาชายเสื้อเข้าไปในกางเกงพร้อมกับรัดเข็มขัดก็เป็นอันเรียบร้อย ตามมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะน้อยๆ อย่างล้อเลียน “จะติดตรงคอด้วยมั้ยกระดุมน่ะ”



        “ไม่ต้องอ่ะ แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว”



        “ดูดีขึ้นเยอะเลยนะซีริน” คามิลเลียเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่ทำให้ซีรินหน้าร้อนวูบอย่างไม่มีสาเหตุ



        “นายนี่ถ้าจะไม่ถูกกับคำชมแฮะ โดยเฉพะผู้หญิงชมนี่ยิ่งอาการหนักเลยนะเนี่ย” นัยน์ตาสีเขียวมรกตแพรวพราวอย่างเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มพรายฉายชัดบนดวงหน้าคมคาย ที่ทำเอาหน้าของซีรินยิ่งแดงเข้าไปอีกด้วยความโกรธ แต่ก่อนที่ซีรินจะได้พูดอะไรอีกฟีวิลก็ตัดบทด้วยการเข้าไปลองชุดบ้าง.....







        “เจ้าเด็กนั่นเป็นคนช่วยเจ้าหญิงออกมา....” คำพูดลอยๆ ของชายหนุ่มที่อยู่ในชุดไปรเวทธรรมดาทั่วไปจากที่ส่วนใหญ่เคยอยู่แต่ในชุดของทหารยศสูง นัยน์ตาสีดำชลับทอดมองไปเรื่อยๆ ภายในตัวโบสถ์ที่ใหม่เอี่ยม ไม่เหมือนภายนอกที่ดูโทรมเอาการ ความคิดที่คิดแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกอยู่คนเดียว “เดินทางไปกับพวกนี้จะปลอดภัยหรืออันตรายกว่าเดิมกันแน่” เซเรสพูดยังไม่ทันที่จะจบประโยคดีเสียงประตูโบสถ์บานใหญ่ก็เปิดออก เผยให้เห็นคนสี่คน ที่ดูหัวขโมยสองคนจะไม่เหลือคราบหัวขโมยเลยแม้แต่นิด....นิดเดียวก็ไม่มี เหมือนพวกเจ้าชายหรือไม่ก็ลูกผู้ดีมีเงินเสียมากกว่า...



        “พี่เซเรสแต่งอย่างนี้ก็ดูดีนะคะ” คามิลเลียร้องทักขึ้นทันทีเมื่อเห็นเซเรสอยู่ในชุดที่ไม่คุ้นตา องครักษ์หนุ่มได้ยินดังนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกล่าว



        “ขอบคุณครับ”



        “ตกลงพวกคุณจะพักกันอยู่ที่เมืองเซเบิลนี่ก่อนมั้ย....หรือจะไปพรุ่งนี้เลย” เอรีสเอ่ยเสียงเรื่อยๆ อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ นัยน์ตาสีฟ้าสบกับนัยน์ตาสีดำขลับกับสีเขียวมรกตอย่างขอความเห็น



        “อยู่ที่นี่ไปก่อนดีกว่ามั้ง ยังไงพวกมันก็คงไม่ตามมาจนถึงโบสถ์เก่าๆ ตอนนี้หรอกครับ.....แล้วก็คงไม่คิดด้วยว่าคนอย่างเจ้าหญิงเมืองใหญ่แห่งอินดิสจะมาพักในโบสถ์ร้าง...” ฟีวิลตอบเสียงกลั้วหัวเราะน้อยๆ แต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงที่เริ่มจะเย็นหนักเข้าไปอีกของเอรีส หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าอันสงบ



        “คำก็โบสถ์เก่า สองคำก็โบสถ์ร้าง....ถ้าไม่อยากอยู่นักก็รีบๆ เดินทางไปซะ”



        “ใจเย็นๆ สิครับ ผมยังไม่ได้บอกเลยนะ...ว่าโบสถ์เก่านี่มันก็ดูสวยดี แถมข้างในยังใหม่เอี่ยมอีกต่างหาก”



        “หาข้อแก้ตัว” เอรีสงึมงำอยู่คนเดียวอย่างหน่ายๆ ก่อนเซเรสจะเอ่ยสรุป



        “ตกลงเราพักที่นี่ไปก่อนสักพักก็แล้วกันนะครับ แล้วเดี๋ยวค่อยเดินทางก็ได้....ถ้ามันจะไม่รบกวนคุณเอรีสมากเกินไปนะครับ” พูดจบก็หันไปสบกับนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยแล้วรอยยิ้มบางๆ อย่างใจดีก็ปรากฏบนใบหน้าดูดีของชายหนุ่ม



        “ไม่รบกวนหรอกค่ะ.....ที่นี่มีห้องอยู่สองห้องพอดี ให้เจ้าหญิงมานอนกับฉันก็ได้ค่ะ” นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบไปทางประตูด้านในโบสถ์ประมาณว่า ห้องที่ว่านั่นอยู่ในนั้น



        “ผมบอกแล้วไงครับ ว่าไม่มีเจ้าหญิงมีแต่คามิลเลีย” เซเรสเอ่ยอารมณ์ดี



        “งั้นเดี๋ยวฉันจะพาไปดูห้องพักนะคะคุณเซเรส” เอรีสเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนจะเดินนำเข้าไปในประตูด้านในของโบสถ์หลังเก่า



        เมื่อเปิดเข้าไปก็พบกับห้องสารภาพบาป แล้วเมื่อเดินลึกเข้าไปอีกก็พบกับบันไดที่ขึ้นไปชั้นบน



        “ห้องของผู้ชายทางนั้นนะคะ ส่วนเจ้าหญิง....เอ่อ...หมายถึงคามิลเลียก็มาทางนี้กับฉัน” เอรีสกล่าวพร้อมกับชี้ไปทางซ้ายที่เป็นห้องของผู้ชาย ก่อนจะชี้ไปที่ห้องของตนซึ่งอยู่ทางขวา



        “ห้องพี่เอรีสน่ารักจังเลยนะคะ” คามิลเลียเอ่ยขึ้นนัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์คู่โตมองไปรอบๆ ห้องอย่างตื่นเต้น ภายในห้องใช้วิธีตกแต่งแบบง่ายๆ พื้นห้องเป็นพื้นไม้สีสวย กำแพงทาสีเป็นรูปท้องฟ้ายามราตรี มีดวงดาวนับร้อยกับพระจัทร์ดวงกลมโต ถึงจะมืดไปหน่อยแล้วอาจจะทำให้ร้อน แต่มันกลับไม่ร้อนอย่างที่ควรจะเป็น เพราะลมเย็นๆ ถูกพัดผ่านมาจากหน้าต่างบานใหญ่หลายบานที่มีผ้าม่านสีครีมพลิ้วไปมาติดอยู่ มุมซ้ายบนของห้องมีเตียงเดี่ยวหนึ่งเตียงแต่ขนาดของมันน่าจะนอนได้มากกว่านั้นอีก ผ้าคลุมเตียงสีฟ้าอ่อนดูสบายตาถัดมาจากเตียงก็เป็นโต๊ะทำงานทำมาจากไม้เนื้อดี ด้านขวาของห้องถูกแทนที่ด้วยตู้เสื้อผ้าไม้ใบใหญ่ ส่วนด้านที่ตรงข้ามกับเตียงก็มีตู้หนังสือกับโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆ ดูแล้วก็น่าอยู่ดี



        “ขอบคุณจ้า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะแกะที่มัดผมสีดำออกแล้วหยิบหวีขึ้นมาหวีเรือนผมสีเงินที่ดูจะยาวถึงกลางหลัง อันที่จริงมันเกือบจะถึงเอวมากกว่า



        “จะนอนแล้วหรือคะ”



        “เปล่าหรอกจ้ะ แต่นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว ก็เลยคิดว่าจะเปลี่ยนชุดซะหน่อย”



        “ทำไมเวลาอยู่กับหญิงพี่ใจดีจังเลยคะ” คามิลเลียถามขึ้นมาขณะนั่งลงบนเตียง



        “แล้วตอนอื่นฉันไม่เป็นอย่างนี้หรือ” นัยน์ตาสีฟ้าใสหันมาสบกับนัยน์ตาสีม่วงอเมิธิสต์อย่างงงๆ



        “ไม่ค่ะ ตอนแรกพี่ดูเย็นชามากๆ เลยค่ะ”



        “คงเป็นเพราะฉันไม่อยากให้ใครมาเห็นความอ่อนแอของฉันก็ได้มั้ง”



        “ความอ่อนแอที่เรียกว่าอ่อนโยนหรือเปล่าคะ” คำถามที่ทำให้หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ความเงียบกลับกลายเป็นคำตอบ แล้วโรยตัวช้าๆ ด้วยบรรยากาศวังเวง



        “ฉันไปดูพวกซีรินก่อนนะ” แล้วเธอก็เดินออกไปด้วยคำพูดของคามิลเลียที่วนไปมาอยู่ในหัว.....







        “ว้า...มีแค่เตียงเดียวเองอ่ะ” ซีรินพูดอย่างหน่ายๆ ขณะมองไปยังเตียงเดี่ยว คิดว่าจะได้นอนเตียงนุ่มๆ ก็คราวนี้ล่ะ.....แต่ที่ไหนได้....เอ...จะว่าไปเตียงมันก็ใหญ่เหมือนกันแฮะ



        “งั้นคุณเซเรสก็นอนเตียงไปเถอะครับ เดี๋ยวพวกเรานอนพื้นเอง” ฟีวิลพูดเสียงเย็นๆ แบบที่ฟังแล้วดูเรื่อยๆ สบายๆ ขณะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเผื่อจะมีหมอนเพิ่ม



        “ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวไปเอาเตียงมาเพิ่มอีกหนึ่งก็เรียบร้อยแล้ว” เอรีสก้าวเข้ามาในห้อง และมันก็ทำให้ฟีวิลแทบไม่เชื่อสายตา ว่านี่คือยัยนักบวชสาวจอมโหดเพราะชุดที่มันเปลี่ยนไป จากชุดนักบวชแปลกตาสีขาวกลายมาเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กระโปรงคล้ายๆ คามิลเลียแต่เป็นสีครีม เรือนผมสีเงินสวยจากที่รวบไว้ก็ถูกปล่อยให้ยาวสยาย.....สรุปได้คำเดียวว่า....สวย แต่ก็ไม่ได้มีเวลาทึ่งไปได้นานกว่านั้นเท่าไหร่เพราะเสียงของเจ้าน้องตัวแสบดังขึ้นเสียก่อน



        “เฮ้ย! ไอ้ฟีวิล ใจลอยไปไหนแล้ว” ซีรินร้องทักขึ้นเมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลของตนเหลือบไปเห็นผู้เป็นพี่ที่เริ่มมีอาการเพ้อ นัยน์ตาสีเขียวมรกตเหมือนกำลังจะล่องลอยไปไหน “เฮ้ย!....”



        “เฮ้ย! เรียกซะเสียงดังกลัวคนไม่ได้ยินหรือไง” ฟีวิลที่สะดุ้งสุดตัวร้องเสียงดังจนเซเรสต้องโคลงหัวไปมาอย่างระอาน้อยๆ กับพี่น้องคู่นี้



        “ก็เรียกแล้วแต่นายอยากไม่รู้สึกตัวเองนี่หว่า”



        “งั้นมาช่วยยกเตียงออกจากห้องเก็บของดีกว่านะคะ” เอรีสเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนจะเดินนำไปหยิบเตียง





    ----------------------------------------------------------------------------



        ถ้ายังสนุกอยู่ (มีใครบอกรึยังว่าตอนแรกสนุก - -\") ก็ติดตามอ่านเรื่อยๆ นะคะ

        ถ้าไม่ดี (หรือดี?) ก็คอมเม้นกันมาได้ค่า...แหะๆ





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×