ตอนที่ 4 : เฝ้ารอ
'ยาพิษนี้ช่างร้ายแรงนัก ข้าอยากจะบั่นคอไอ้คนบงการให้หนอนบ่อนไส้มาลอบวางยาข้านัก' จงไท่หยางครุ่นคิดอยู่ในใจวนเวียนแบบนี้มานานหลายปีทุกครั้งที่อาการปวดศีรษะกำเริบขึ้น
"หวางเฟยของข้า ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน หากเจ้ามีตัวตนอยู่บนโลกนี้จริงๆ ได้โปรดมาช่วยข้าทีเถอะ ข้าทรมานจะตายอยู่แล้ว" จงไท่หยางรำพึงออกมาเบาๆพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นอนไปชำระร่างกายและเปลี่ยนชุดเพื่อออกไปเดินเล่นสูดอากาศภายนอก ขณะที่กำลังจะก้าวขาออกจากตำหนักพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า
"ทูลท่านอ๋องเจ็ด มิทราบว่าทรงโปรดเสวยชายามเช้าหรือไม่พะย่ะค่ะ" เสี่ยวลู่ขันทีประจำตำหนัก ที่ฮ่องเต้จงไท่หยวนทรงพระราชทานให้คอยรับใช้ใกล้ชิดกับน้องชายของตนเอ่ยขึ้น
"ได้จิบชาปี้หลัวชุนสักจอกคงดี" จงไท่หยางเอ่ยขึ้นพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลักลายดอกโบตั๋นประดับด้วยไข่มุกอันล้ำค่า
เสี่ยวลู่รีบนำชาปี้หลัวชุนมาถวายทันที พร้อมทั้งหลบไปยืนทางด้านหลังของท่านอ๋องเจ็ดด้วยความรวดเร็ว
"เหตุใดวันนี้บรรยากาศโดยรอบจึงดูครึกครื้นนัก?" จงไท่หยางเอ่ยขึ้นหลังจากจิบชาไปได้ครึ่งจอก
"ทูลท่านอ๋องเจ็ด วันนี้เป็นวันที่ผู้ที่เกิดวันที่แปดเดือนแปดขึ้นแปดค่ำปีทู่เหนียนต้องเข้ามารายงานตัวที่วังหลวงพะยะค่ะ" เสี่ยวลู่ตอบอย่างนอบน้อม
"เช่นนั้นรึ?" จงไท่หยางเอ่ยขึ้นเพียงเท่านั้นและจิบชาปี้หลัวชุนเงียบๆอย่างใช้ความคิดต่อไปเพียงลำพัง
ณ จวนท่านราชครู ตระกูลเซี่ย
"ท่านพ่อ !! ข้าไม่อยากเข้าวังไปรายงานตัวเลยเจ้าค่ะ" เสียงหวานของเซี่ยเสี่ยวชิง ดรุณีน้อยที่มีความงามเป็นเลิศเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรดาเหล่าพี่ชายกลางห้องรับรองอันโอ่อ่าของจวน
"เข้าวังไปแล้วต้องพบเจอกับอันใดบ้างก็มิอาจจะรู้ได้ เหตุใดองค์ฮ่องเต้ถึงได้มีราชโองการเช่นนี้ออกมาได้เล่าเจ้าคะท่านพ่อ" เสียงหวานเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
"เมื่อตอนที่ข้าประชุมขุนนางไปเมื่อวันก่อน ฝ่าบาททรงตรัสว่า ได้เชิญไต้ซือรูปหนึ่งเข้ามาปรึกษาเรื่องสุขภาพของคนในวังหลวง ไต้ซือรูปนั้นได้ให้ข้อแนะนำว่า บุคคลที่เกิดวันที่แปดเดือนแปดขึ้นแปดค่ำปีทู่เหนียนจะสามารถช่วยขจัดปัดเป่าความเจ็บไข้ได้ป่วยและสิ่งชั่วร้ายที่มีในวังหลวงออกไปได้ จึงมีราชโองการให้คนที่เกิดวันเดือนปีนี้เข้าไปทำงานในวังหลวง เพื่อแก้เคล็ด" ท่านราชครูเซี่ยเหวินฉีตอบเสียงเรียบ
"ข้าไม่อยากไปเจ้าค่ะ" เสี่ยวชิงตอบเสียงสั่น
"น้องห้าเจ้าอย่าได้กังวลไปเลย พี่รองจะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ" เซี่ยเหวินเต๋อเอ่ยขึ้นอย่างให้กำลังใจ
"ขอบคุณมากเจ้าค่ะพี่รอง" เสี่ยวชิงเอ่ยขอบคุณพี่ชายคนรองของตนด้วยความซึ้งใจ
"เหวินเต๋อ ข้าให้เจ้าคอยไปติดตามรับใช้อาจารย์ของเจ้า ท่านหมอหลวงหานเพื่อศึกษาหาวิชาความรู้ มิใช่ไปคอยเฝ้าตามน้องห้าของเจ้าเสียหน่อย" บิดากล่าวขึ้นเสียงดุ
"ท่านพ่อ ข้าย่อมต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและไม่ทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวังเป็นแน่ขอรับ ท่านพ่อพึ่งจะฝากข้าให้เป็นศิษย์ท่านหมอหลวงหานได้สองวันก็ดุข้าเข้าเสียแล้วรึนี่" หยวนหมิงเต๋อแกล้งกล่าวเสียงเศร้าก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้น
"ท่านพ่ออย่าดุพี่รองนักเลยนะเจ้าคะ ข้าเชื่อว่าพี่รองต้องเป็นหมอที่ดีได้แน่นอนเจ้าค่ะ" เสี่ยวชิงกล่าวให้กำลังใจพี่ชายคนรองของตน
"เอาล่ะ !! ท่านพี่อย่ามามัวชวนลูกคุยอยู่อีกเลยเจ้าค่ะ" เสียงมารดาพูดขึ้น
"เดี๋ยวลูกจะเข้าวังไปรายงานตัวไม่ทันยามซื่อนี้นะเจ้าคะ"
"ให้พี่ใหญ่ไปส่งเจ้านะชิงเอ๋อร์" เสียงเซี่ยเหวินฝูพี่ชายคนที่สามพูดขึ้น
"ข้ากับน้องสี่มีธุระที่ต้องออกไปทำข้างนอกสักเล็กน้อย ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกขอลาก่อน" เซี่ยเหวินฝูกล่าวลาบิดามารดาพร้อมทั้งยกมือขึ้นคำนับก่อนจะเดินออกจากห้องโถงไป
"ชิงเอ๋อร์เจ้าเข้าวังไปก็ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ หากพบเจอกับปัญหาใดเข้า เจ้าสามารถมาบอกพวกพี่ได้ตลอดเวลานะ" เซี่ยเหวินจางพี่ชายคนที่สี่เอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินตามเซี่ยเหวินฝูออกไปติดๆ
"ข้าขอฝากชิงเอ๋อร์ให้เจ้าช่วยดูนะด้วยนะเหวินซาน" เสียงมารดากล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วง
"ไปเถอะชิงเอ๋อร์ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงบุตรีของท่านราชครูแห่งแคว้นลู่ ไม่มีใครกล้าข่มเหงทำร้ายเจ้าได้แน่" เสียงบิดาเอ่ยให้กำลังใจ
"เจ้าค่ะท่านพ่อ ชิงเอ๋อร์ขอลาไปก่อนนะเจ้าคะ ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะท่านพ่อ ท่านแม่" เสี่ยวชิงพูดขึ้นพร้อมทั้งย่อตัวลงคำนับบิดามารดาของตนก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พลันน้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาคู่สวย
"ไม่เอานะ อย่าร้องไห้" เสียงมารดาพูดขึ้นพร้อมทั้งโอบกอดลูบหลังบุตรสาวด้วยความนุ่มนวล
"ข้าไม่อยากเข้าวังเลยเจ้าค่ะ มันเร็วเกินไปสำหรับข้าเจ้าค่ะท่านแม่" เสี่ยวชิงพูดปนสะอื้น
"เราเป็นตระกูลขุนนาง ถือเป็นข้าราชบริพารในองค์ฮ่องเต้ ถึงแม้นเจ้าไม่เข้าวังหลวงวันนี้ วันหน้าเจ้าก็ต้องเข้าวังไปรับการคัดเลือกเป็นสนมนางในอยู่ดี ไปเสียเถอะชิงเอ๋อร์ พ่อกับพี่ชายของเจ้าก็ยังคอยดูแลเจ้าอยู่มิได้ไปไหนไกล เจ้าอย่ากังวลไปมากนักเลย" บิดากล่าวปลอบโยน
"เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกขอลาไปก่อนนะเจ้าคะ" เสี่ยวชิงพูดขึ้นพร้อมกับเดินหันหลังจากไปทั้งน้ำตา
ทางด้านจงไท่หยาง เมื่อได้ยินเสี่ยวลู่ขันทีประจำตำหนักที่ตนพักรักษาตัวอยู่กล่าวขึ้นมาเช่นนั้น จึงเดินขึ้นไปชั้นสองของหอสมุดบริเวณที่ใกล้เคียงกันกับที่ผู้ที่เกิดวันที่แปดเดือนแปดขึ้นแปดค่ำปีทู่เหนียนมารอรายงานตัวอยู่ทันที พร้อมทั้งใช้นัยน์ตาเหยี่ยวสำรวจมองดูไปรอบๆ เมื่อคาดคะเนด้วยสายตาดูแล้วก็พบว่าสตรีที่เข้ามารายงานตัวนั้นนับได้ราวๆเกือบสี่สิบคนได้ มีทั้งบรรดาลูกสาวของขุนนางและลูกสาวชาวบ้านจากข้างนอกเข้ามารวมตัวกันอยู่ ซึ่งแต่ละคนต่างก็จับกลุ่มพูดคุยกันถึงที่มาของการได้เข้าวังหลวงอย่างเซ็งแซ่
จนกระทั่งมีกูกูและขันทีเดินเข้ามาเสียงพูดคุยเหล่านั้นถึงได้เงียบลงไปเสียสนิท
จงไท่หยางไล่สายตาดูบรรดาผู้เข้ามารายงานตัวในวันนี้แล้ว ถึงแม้จะมีผู้ที่มีความสวยงามน่ารักอ่อนหวานอยู่ในตัวอยู่บ้าง แต่กลับไม่มีผู้ใดทำให้ตนหัวใจสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
"หวางเฟยของข้า หรือว่า เจ้าจะไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ เห็นทีคำพยากรณ์ของไต้ซือเมี่ยวซ่านคงจะไม่บังเกิดขึ้นกับข้าในชาตินี้เป็นแน่" จงไท่หยางคิดอย่างเศร้าใจ พร้อมทั้งเดินลงจากชั้นสองของห้องสมุดไปเดินเล่นยังอุทยานข้างล่างด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวยิ่งนัก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
