ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทราพีเซีย มหานครแห่งมนตรา

    ลำดับตอนที่ #2 : โรงเรียนมหาเวทย์ทราพีเซเรีย

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 57




              ถ้าพูดถึงโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในทราพีเซียก็คงจะหนีไม่พ้นโรงเรียนมหาเวทย์ทราพีเซเรีย ซึ่งเป็นแหล่งรวมหัวกะทิ และคนที่มีฝีมือเข้าไว้ด้วยกัน เด็กที่จบมาจากโรงเรียนแห่งนี้ไปแล้วนั้นก็จะมีหน้าที่การงานที่ดี มีคนนับหน้าถือตา และเป็นเกียรติยศของวงศ์ตระกูล เพราะว่าโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการสอบเข้าที่ยากมาก การสอบจะสอบแต่ภาคปฏิบัติ ไม่มีสอบข้อเขียน เนื่องจากทางโรงเรียนมีนโยบายที่ว่า การที่จะปฏิบัติได้ดีนั้นทฤษฎีจะต้องแน่นเสียก่อน

              ปีหนึ่งๆ จะมีเด็กมาสมัครเรียนที่นี่ไม่ต่ำกว่าพันคน แต่จะมีคนที่ได้รับเกียรติในการเข้าเรียนในโรงเรียนนี้เพียงแค่ 70 คนเท่านั้นซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เข้าร่วมทดสอบ แต่พ่อแม่ก็ยังคงส่งลูกๆ ของตนมาลองสอบเข้าโรงเรียนแห่งนี้อีก ถึงแม้ว่าคนที่จะสามารถเข้าได้จะมีเพียงแค่หยิบมือเดียวก็ตาม เพราะฉะนั้นคนที่สอบเข้าที่นี่ได้จึงถือว่าตัวเองถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เลยก็ว่าได้ และอีกอย่างที่มีคนประสงค์เข้าเรียนที่นี่นั่นก็คือค่าเทอมจะถูกอุดหนุนโดยรัฐบาลของรัฐทั้ง 7 ทำให้นักเรียนได้เรียนฟรีกันนั่นเอง

              อารีอา คาร์โวเดียสเป็นเด็กสาววัย 15 ปีที่คนส่วนใหญ่มักจะให้คำจำกัดความว่า ‘สวยแต่ติดจะบ๊องไม่เต็มเต็ง’ มีความคิดเห็นไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านชาวช่องสักเท่าไร นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายมองไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ เส้นผมสีเดียวกันยาวดัดเป็นลอนเล็กๆ ถึงกลางหลัง ขนตายาวนั้นช่วยขับให้ดวงตากลมโตมากขึ้น จมูกโด่งเป็นสัน ผิวมีสีขาวอมชมพูอย่างคนสุขภาพดี ริมฝีปากได้รูปนั้นมีสีชมพูอ่อนๆ กำลังแย้มยิ้มอย่างยินดี เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด กับกางเกงขายาวสีดำ และคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวยาวอีกครั้งหนึ่ง กระเป๋าสัมภาระใบใหญ่สะพายอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อเทียบกับคนรอบๆ ข้างของเธอแล้วกระเป๋าใบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเล็กลงไปถนัดตาเลยทีเดียว

              อารีอาก็มีเหตุผลที่จะต้องเข้าไปเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ให้ได้อยู่ 2 ข้อด้วยกันคือ หนึ่งต้องการเข้าเองอยู่แล้ว และสองคือถ้าขืนเข้าไม่ได้กลับไปบ้านต้องโดนไล่ตะเพิดออกมาจากบ้านแน่ๆ ก็ลุงของเธอนะพูดแล้วพูดอีกว่าต้องทำให้ได้ เพราะว่าลุงก็เคยเรียนที่นี่เหมือนกัน คิดไปแล้วก็เศร้าใจจริงๆ

              ในความคิดของอารีอาตอนนี้เมื่อมองไปข้างหน้าของตนเองคือ “ตรงหน้านี้ใช่โรงเรียนแน่เหรอ” เด็กสาวมองปราสาทตรงหน้าอย่างชื่นชมปนอึ้ง บรรยากาศรอบๆ ปราสาทนั่นดูร่มรื่นแวดล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ เพื่อให้ร่มเงาแก่บุคคลที่อยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ สนามฟุตบอลมีขนาดใหญ่มากในสายตาของอารีอานั้น แต่ตอนนี้มันแน่นขนัดไปด้วยเด็กจำนวนมากที่มารอเข้ารับการทดสอบ ซึ่งแทบจะไม่มีที่ให้เธอยืนเลยก็ว่าได้

              อารีอาเดินเลี่ยงตัวออกมาจากสนามฟุตบอลที่แน่นขนัดไปด้วยเด็กจำนวนมาก มายืนหายใจหอบที่ด้านข้างของสนามที่มีต้นไม้ให้ร่มเงาอยู่ กว่าจะเดินฝ่าฝูงคนออกมาได้ทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก และเกือบจะโดนเหยียบตาย เมื่อเธอออกมาจากชุมชนแออัดได้ เธอจึงรีบหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดในทันที การที่โดนเบียดนานๆ จึงทำให้เธอใบหน้าแดงกร่ำ และมีเหงื่อออกตามไรผมเป็นจำนวนมาก

              “เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” เด็กสาวใบหน้าอ่อนหวานถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ พร้อมกับมองอารีอาด้วยความเป็นห่วง เพราะว่าหน้าเธอแดง ปากซีด และมีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก

              “ไม่เป็นอะไรหรอก ก็แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง กว่าจะฝ่าด่านเจ้าพวกนั้นมาได้เล่นเอาเสียพลังงานน่าดู” อารีอาว่าพลางเอามือชี้ไปที่กลุ่มเด็กที่ออตัวกันอยู่กลางสนามฟุตบอล

              “เหรอ…อืม…ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ" เด็กสาวพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมฉีกยิ้มหวานให้อารีอา อารีอาเลยยิ้มอย่างสดใสให้กับคนตรงหน้าที่ดูว่าเธอน่าจะถูกชะตาด้วยอย่างมีไมตรีจิต พลางชวนคุยเรื่องสัพเพเหระกับเธอคนนั้นอย่างถูกปากถูกคอตามประสาของคนช่างพูดที่ชอบพูด

              “เออ…คุยกันตั้งนานลืมแนะนำตัวเลยเรา” อารีอาพูดขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้พร้อมกับเอามือเสยผมสีนิลที่ยาวถึงกลางหลังที่ขณะนี้รวบเป็นหางม้าแก้เขิน พร้อมแนะนำตัวขึ้นว่า "ฉันชื่ออารีอา คาร์โวเดียส ขอโทษทีนะที่แนะนำตัวช้าไปหน่อย" เจ้าตัวยิ้มแหยๆ ส่งไปให้ทันทีที่แนะนำตัวของเธอเสร็จแล้ว ทำให้สาวน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ เธออดไม่ได้ที่จะอมยิ้มนิดๆ กับท่าทีที่ตลกๆ ของอารีอา ขณะที่อารีอาไม่รู้ว่าจะทำอะไรนั้น หญิงสาวข้างกายของเธอก็พูดขัดขึ้นมาแนะนำตัวของเธอเอง

              “ไม่เป็นไรจ๊ะ ฉันก็ลืมเหมือนกัน ฉันชื่อเซเรน่า แฟร์เรียสซ่า" เด็กสาวแนะนำตัวแล้วก็ยิ้มแย้มให้กับอารีอาทันที พร้อมทั้งนึกขึ้นในใจว่า ‘ถ้าได้เรียนที่นี่ด้วยกันก็คงจะดี’ และจับมือกับอารีอาเป็นการสิ้นสุดคำทักทาย เสียงนักหวีดดังขึ้นหลายสิบนาที ทำให้การพูดคุยของหญิงสาวทั้ง 2 คนต้องหยุดชะงักลงทันที พร้อมกับเงยหน้ามองไปยังผู้ที่มาปรากฏตัวใหม่ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน

              “เอาล่ะเด็กๆ ฟังทางนี้หน่อยจ้ะ” เสียงหญิงวัยกลางคนดังขึ้นมาเรียกให้ทั้งสนามเงียบกริบ เตรียมตัวฟังคำอธิบายเกี่ยวกับการเข้ารับการทดสอบของโรงเรียนแห่งนี้ อารีอา และเซเรน่าจึงต้องเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับนักเรียนที่แน่นขนัดเต็มสนามฟุตบอลอีกครั้งหนึ่ง

              “ฉันเซซิลล่า คอสมอส เป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองของโรงเรียนนี้” หญิงสาววัยกลางคนแนะนำตัวเอง พร้อมทั้งบอกว่า "เอาล่ะนักเรียนทุกคนฟังทางนี้หน่อยใครก็ตามที่เข้ามาทดสอบในวันนี้ให้มาเซ็นใบยินยอมด้วยนะ เพราะว่าข้างในนั้นมีแต่อันตรายเต็มไปหมดอาจจะตายได้ทุกเมื่อ ถ้าใครจะสละสิทธิ์ตรงนี้ก็ได้นะ เพราะว่าปีหนึ่งมีคนตายตามด่านทดสอบของทางเราไปประมาณไม่ต่ำกว่า 10 ราย การที่จะรับการทดสอบจึงต้องคิดทบทวนดูให้ดีๆ”

              เมื่อผู้เป็นอาจารย์พูดเสร็จก็มีบางกลุ่มที่ดูเหมือนจะลังเลที่จะร่วมเข้ารับการทดสอบ พร้อมทั้งเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างอื้ออึ้ง ด้วยเสียงที่ถามไปในทางเดียวกันว่า ‘มีการตายด้วยเหรอ’

              “การที่จะเลือกไม่ร่วมเข้ารับการทดสอบก็เป็นความกล้าอย่างหนึ่งนะ เพราะเราต้องอาศัยความกล้าเป็นอย่างมากที่จะเดินหันหลังออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ลองคิดดูดีๆ ก็แล้วกัน” อาจารย์เซซิลล่ากล่าวขึ้นเมื่อเห็นเด็กๆ มีท่าทีลังเลอะไรบางอย่าง เมื่ออาจารย์พูดจบก็มีเด็กที่มาเข้าร่วมทำการทดสอบไม่ต่ำกว่าครึ่งเดินออกจากสนามพร้อมสัมภาระของตัวเองไป อาจารย์เซซิลล่าหันมาดูคนที่เข้ารับการทดสอบที่ตอนนี้เหลืออยู่ประมาณ 200 กว่าคนด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม และเรียกพวกเขาเหล่านั้นไปรับใบยินยอมมากรอกด้วย และหนึ่งในนั้นก็มีอารีอา กับเซเรน่ารวมอยู่ด้วย

              “นี่อารีอาไม่กลัวบ้างเหรอจ๊ะ เห็นสบายใจจังเลย" เซเรน่าถามขึ้นมาอย่างสงสัยทั้งๆ ที่ตัวเธอกลัวแทบตาย แต่หญิงสาวตรงหน้าเธอกลับยืนหน้าชื่นตาบานรับใบเซ็นยินยอมจากอาจารย์ซะอย่างนั้น แม้กระทั่งอาจารย์เซซิลล่ายังทำหน้าสงสัยในความไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอารีอาเลย

              "จะกลัวไปทำไม เราก็ทำของเราให้ดีที่สุด ถ้าเราไม่ผ่านอย่างน้อยก็ได้ขึ้นชื่อว่าสู้แล้วไม่หนี เราต้องทำให้ดีที่สุดก่อนที่เราจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปแล้วมานั่งคิดเสียใจภายหลัง และโทษตัวเองว่า รู้อย่างนี้น่าจะทำให้ดีที่สุดตั้งแต่แรก แล้วก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาซึ่งฉันทนไม่ได้ถ้าจะให้มันเป็นเช่นนั้น สู้ๆ ให้มันจบลงไปเลยดีกว่า ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าจะหมู่ หรือจ่า ถ้ามัวแต่งอมืองอเท้าต้องขอบอกเลยว่านั่นไม่ใช่ฉัน" อารีอาพูดขึ้นด้วยความคิดของตัวเอง และเธอก็ถูกลุงที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กสั่งสอนมาด้วยว่า 'อย่าถอยหลังหนีทั้งที่ยังไม่ได้เริ่ม และถ้าล้มแล้วก็ต้องลุกขึ้นด้วยตัวเองไม่ใช่รอแต่คนอื่นมาช่วย เราต้องสู้ด้วยตัวเองก่อนถ้าไม่ไหวจึงขอให้คนอื่นช่วย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มก่อนถึงจะรู้ คนที่เคยทำผิดพลาดก็ยังดีกว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย และเมื่อรู้อย่างนี้ไม่ใช่ก็ไม่ควรที่จะดันทุรังที่จะทำต่อ ต้องหัดพลิกแพลงสถาการณ์ต่างๆ ให้เป็น และเรามีหน้าที่อะไรเราก็ต้องทำให้ดีที่สุดก่อนคนอื่นจึงจะไม่สามารถว่าเราได้ว่าเรางอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลย' เธอจำคำสอนที่ลุงของเธอเคยบอกเอาไว้ได้ขึ้นใจเลยทีเดียว เพราะว่าตอนเด็กๆ ลุงของเธอได้พูดกรอกหูเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนทำให้เธอมีนิสัยไม่ยอมท้อถอยให้กับอะไรง่ายๆ ถ้าไม่ได้ทำเสียก่อน

              “ก็ใช่นะ…ถูกของเธอ" เซเรน่าพูดออกมาเบาๆ กับตัวเอง แต่คนหูดีดันได้ยินเข้าจึงยิ้มเป็นกำลังใจส่งไปให้ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เซเรน่าเดินไปหาอาจารย์เพื่อรับใบยินยอมมาเซ็น เซซิลล่ามองตามหญิงสาวผมดำสนิทดังราตรีกาลที่กำลังคุยกับเพื่อนสนิทคนแรกที่หาได้จากที่นี่ไปอย่างเลื่อนลอยราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ต่อมาสักครู่ก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ และพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า "เด็กคนนั้น...หรือว่า...คงไม่ใช่มั้งเราคงแค่คิดมากเกินไป" เมื่อหาข้อสรุปให้กับตัวเองได้แล้วแววตาของเธอที่ฉายแววสับสน ตกใจก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครในที่นี้สังเกตุเห็น

              “เอาล่ะมีใครยังไม่ได้ส่งใบยินยอมมั่ง” อาจารย์เซซิลล่าถามพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ เผื่อมีเด็กที่ยังตัดสินใจไม่ได้ “ถ้าไม่มีแล้วทุกคนตามครูมา” อาจารย์เซซิลล่าว่าพร้อมทั้งออกเดินนำเข้าไปในปราสาทสีรุ้ง ซึ่งเป็นปราสาทหลักที่ทำการเรียนการสอนของโรงเรียนทราพีเซเรีย

              ภายในตัวปราสาทนั้นมีรูปปั้นนางฟ้าตัวน้อยๆ ประดับเต็มไปหมดดูแล้วเหมือนกับว่าหลุดออกมาอยู่ในโลกเทพนิยายยังไงก็ไม่รู้ ห้องโถงภายในนั้นใช้เป็นสถานที่รับประทานอาหารสำหรับนักเรียน ตรงกลางห้องโถงประดับด้วยน้ำพุซึ่งทำเหมือนสวนหย่อมเล็กๆ เอาไว้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ บนเพดานประดับไปด้วยโคมไฟระย้า เพื่อให้แสงสว่างในตอนกลางคืนทุกอย่างในสถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะดูดีไปหมดซะทุกอย่างจนอารีอา กับเซเรน่าอดทึ่งไม่ได้

              เท่าที่เดินผ่านมาในตัวปราสาทแห่งนี้มีจำนวนห้องเรียนค่อนข้างที่จะเยอะมาก ซึ่งบางห้องเอาไว้สำหรับปฏิบัติ และบางห้องเอาไว้บรรยาย ผ่านมาห้องแล้วห้องเล่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงห้องสอบสักทีทำเอาอารีอาซึ่งเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ เริ่มที่จะเบื่อแล้วเหมือนกัน และคิดกับตัวเองว่าจะต้องเดินไปอีกนานเท่าไรกันนะ

              ในที่สุดเวลาที่อารีอารอคอยก็มาถึงเมื่ออาจารย์เซซิลล่าเปิดประตูห้องๆ หนึ่งให้นักเรียนทั้งหมดเข้าไป ห้องๆ นี้ดูเหมือนว่าจะมีบันไดลงไปในห้องใต้ดินอีกครั้ง แต่ตอนนี้อารีอาก็ไม่เบื่อเหมือนกับเดินอยู่ข้างนอกแล้ว เพราะรู้ว่าอีกไม่นานการทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น ใบหน้าของอารีอาแย้มยิ้มขึ้นมาทันที หลังจากทำหน้าเบื่อหน่ายมานาน

              “เอาล่ะเด็กๆ ที่นี่คือสถานที่ๆ เราจะทำการทดสอบกันนะ ก่อนอื่นก็ขอให้พวกเธอมาจับหมายเลขเข้าการทดสอบก่อน” อาจารย์เซซิลล่าเอ่ยขึ้นทันที พร้อมกับมีชายหนุ่มวัยประมาณ 20 ปีเอากล่องใบหนึ่งมาให้เธอ เด็กๆ เดินเข้าไปจับฉลากด้วยท่าทีที่กล้าๆ กลัวๆ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีใครอยากได้ที่ต้นๆ หรอก คนเราต้องอาศัยเวลาทำใจกันสักพัก อารีอาเอามือล้วงเข้าไปในกล่องอย่างสบายใจเมื่อหมายเลขที่ 1-5 มีคนเหมาไปแล้ว และก็ยังมีเลขท้ายๆ อีกตั้งหลายหมายเลขเธอคิดว่าเธอคงไม่ดวงจู๋จับเอาเลข 6 ขึ้นมาหรอกนะ

              เมื่อจับหมายเลขขึ้นมาได้ เธอก็รีบคลี่กระดาษขึ้นดูทันที และหมายเลขที่ปรากฏออกมานั้นก็ทำให้เธอแทบจะช็อก ก็หมายเลขนั้นเป็นหมายเลขที่เธอหวังว่าจะไม่ได้นี่น่า เธอเดินกลับไปยืนทีเดิมด้วยใบหน้าที่จ๋อยลงกว่าเดิมเล็กน้อย จนเซเรน่าอดที่จะถามไม่ได้ว่า "เป็นอะไรไปหรือเปล่าจ๊ะ ทำไมทำหน้าตาเหมือนคนบอกบุญไม่รับเลยล่ะ" อารีอาได้แต่ส่ายหน้า และเอาหมายเลขในมือให้อีกคนดู จึงทำให้เซเรน่ารู้แล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุของการทำหน้าแบบนั้นของอารีอา

              “เอาเถอะจ๊ะตัวฉันก็ตามเธอไปติดๆ เหมือนกัน” เซเรน่าปลอบเพื่อนที่รู้จักกันไม่นานมานี้ขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน อารีอาเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นมาทันทีตามประสาคนที่ปลงกับอะไรได้ง่ายๆ ซึ่งเป็นข้อดีในไม่กี่ข้อของเธอ ส่วนคนปลอบก็ได้แต่ทำหน้าสงสัยว่าเพื่อนคนนี้ของเธอสติยังอยู่กับร่องกับลอยหรือเปล่า เพราะรู้สึกอารมณ์ของคุณเธอจะเปลี่ยนง่ายยิ่งกว่าตุ๊กแกเปลี่ยนสีซะอีก

              'สงสัยคงกลัวจนเพี้ยนไปแล้วมั้ง' เซเรน่าคิดอย่างตลกๆ จนทำให้เธอเผลอยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี

              “เอาล่ะทุกคน” อาจารย์เซซิลล่าเอ่ยขึ้นพลางปรบมือดังๆ เพื่อเรียกความสนใจให้กลับมาที่ตนเองก่อนจะพูดขึ้นว่า “ให้ทุกคนเอากระเป๋าสัมภาระที่แบกมาไปฝากไว้กับอาจารย์นิโคลัสนะ เขาจะดูแลกระเป๋าพวกเธอให้ และพวกเธอก็มายืนเรียงลำดับจากหมายเลขที่จับได้ตรงนี้ แล้วเมื่อฉันเรียกหมายเลขก็ให้คนเข้าไปที่บานประตูนี้ทีล่ะคนนะ” มีเหตุการณ์จราจรขนาดย่อมเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งเมื่อเด็กๆ เกือบ 200 ชีวิตต่างเอากระเป๋าของตนมาฝากไว้ที่อาจารย์หนุ่มรูปหล่อที่นำกล่องมาให้อาจารย์เซซิลล่า ไม่นานนักจากการจราจรก็มาเป็นระเบียบอีกครั้งเมื่อเด็กๆ ต่อแถวตอนเรียง 1 เพื่อรอให้ผู้เป็นอาจารย์ประกาศเรียกหมายเลขของตน

              “หมายเลยที่ 1” เมื่ออาจารย์พูดจบคนที่มีสีหน้าตายด้านก็เดินออกไปข้างหน้าประตูเพื่อรอให้อาจารย์เปิดประตูให้ เมื่อคนที่ 1 เข้าไปแล้วไม่นานนักเสียงประกาศหมายเลขต่อไปก็ดังขึ้นมาเรื่อยๆ แต่อารีอาที่กำลังตั้งสมาธิกับตัวเองอยู่นั้นกลับไม่ได้สังเกตอะไรเลยจนเวลาล่วงเลยมาได้สักพักหนึ่งเสียงอาจารย์ที่เรียกหมายเลขตัวเองนั้นก็ดังเข้ามาสู่โสตประสาทหูของเธอ

              “หมายเลขที่ 6” อารีอาสะดุ้งเฮือกเมื่ออาจารย์เรียกหมายเลขตัวเองขึ้นมา อารีอาหันหน้ามามองเซเรน่า พร้อมทั้งทำหน้าแบบว่าฉันต้องตายแน่ส่งมาให้เซเรน่า และเดินเข้าไปหลังบานประตูดังกล่าว เซเรน่าที่เห็นอย่างนั้นก็อดส่ายหัวไปมาไม่ได้ พร้อมคิดว่า 'ถ้าเธอตาย ฉันก็คงไม่รอดแล้วล่ะ' แต่ไม่นานนักเสียงเรียกหมายเลขของเธอก็ดังขึ้นมาขัดความคิดอย่างขำๆ ของเธอ และเซเรน่าก็ก้าวเท้าเข้าบานประตูไปอย่างมาดมั่น อาจารย์เซซิลล่าอวยพรให้เธอเหมือนกับทุกๆ คนที่จะเข้าไป เธอยิ้มรับพรนั้นด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความมุ่งมั่น ซึ่งไม่แพ้คนก่อนหน้าที่เข้าไปก่อนเธอ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×