จิตสั่งตาย - นิยาย จิตสั่งตาย : Dek-D.com - Writer
×

    จิตสั่งตาย

    ชีวิตของเธอจากคนธรรมดากลายเป็นอปกติและมีความเหนือธรรมชาติอันเกี่ยวข้องกับความซับซ้อนทางจิต แล้วเธอจะเดินไปทางใด

    ผู้เข้าชมรวม

    208

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    208

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  1 ก.ย. 66 / 17:57 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ชี้แจง

       เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น  จึงไม่มีส่วนของความเป็นจริงหรือเป็นไปได้แต่อย่างใด  รวมทั้งบุคคลและสถานที่ไม่มีอยู่จริง

    บทนำ

       ชีวิตที่ปกติของเธอกลายเป็นชีวิตที่ขมขื่น  ความเป็นปกติของเธอกลายเป็นความอปกติและความธรรมดาของเธอก็กลายเป็นความพิเศษ  จิตใจที่เคยดีงามแปรผันไปอย่างสิ้นเชิง  แล้วมันจะกลับมาเป็นตัวตนดั้งเดิมของเธออย่างที่เคยเป็นได้หรือไม่  หรือเธอจะใช้ความอปกตินั้นไปในทางที่ชั่วร้ายต่อไป  ไม่มีใครตัดสินเธอได้นอกจากตัวเธอเอง

    ตอนที่๑

       มัทนารีหญิงสาววัย 30 ปีเจ้าของเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มผู้ที่เคยมีชีวิตที่ดีงาม  สว่าง  สดใส  มีความสุขทั้งกายทั้งใจ  นั่นเป็นชีวิตก่อนหน้านี้  แต่เดี๋ยวนี้  มันไม่ใช่เลย  ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง  มันมืดมน  หม่นหมอง  ไร้แสงสว่าง  ทำไมชีวิตของคนเราถึงได้เปลี่ยนแปลงได้ก็ไม่รู้  ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆแล้วสวรรค์ก็กลั่นแกล้งหรอกหรือ  บางทีอาจเพราะตัวเองทำตัวเองก็เป็นได้  หล่อนหวังเสมอว่าจะมีชีวิตที่ดี  มีความสุข  ทว่าในยามทุกข์ก็ไม่มีใครเหลียวแล  ไม่เลยสักคน  หญิงสาวพยายามค้นหาคำตอบของความสุขในชีวิต  แต่ก็ไม่เคยพบพานสักครั้ง  ทำไมถึงเป็นเช่นนี้  ไม่มีคำตอบที่สามารถจะหาให้กับตนเองได้  หล่อนจึงไม่มีความสุขอีกเลยนับแต่ชีวิตตกต่ำ  ล้มเหลว  หล่อนถูกเบียดให้อยู่ในมุมมืดของตัวเอง  อยู่ในมุมที่อับเฉา  ไร้ซึ่งรอยยิ้มที่เคยเป็นมาตลอดระยะเวลาหลายปีนับแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยและได้ทำงานอยู่ระยะหนึ่งอันเป็นงานระยะสั้นไม่ถึงปี  จากนั้นก็กลายเป็นนักวิจัยฝุ่น  มัทนารีพยายามแล้วที่จะหางานทำ  แต่ช่างเป็นไปได้ยากเหลือเกินสำหรับคนหัวสมองระดับปานกลางที่จบมาด้วยเกรดเฉียดเกียรตินิยมอันดับสอง  คู่แข่งเยอะมากโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย  คนตกงานสะสมขึ้นเรื่อยๆ  และหล่อนก็รู้สึกสิ้นหวังทีละน้อย  ความหวังเป็นเหมือนดั่งคำอธิษฐานให้ได้มา  มันเป็นไปได้ยากยิ่ง  ต้องช่วยตัวเองก่อนจะพึ่งพาอาศัยใคร  รวมทั้งสวรรค์ด้วยกระมัง

     ชีวิตอันไร้ซึ่งแสงสาดส่องมีแต่ความมืดมิดในชีวิตนี้ผลักดันหญิงสาวให้กลายเป็นอะไรที่บรรยายได้ยาก  ความมืดมิดนี้เปลี่ยนแปลงอะไรๆในตัวหล่อนอย่างมากหลาย  เข้าใจยาก  โดยเฉพาะจิตใจ  ใช่สิ  จิตใจนี่แหละตัวดี  มันเป็นอะไรที่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วจะหยั่งรากฝังลึก  กว่าจะปรับเปลี่ยนมันได้ก็หลายปีดีดัก  หล่อนไม่ต้องเหนื่อยกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจมากนักเพราะผลกระทบและหลากหลายปัจจัยนำจิตใจของมัทนารีไปสู่อะไรบางอย่างที่แหวกแปลกออกไป  ไม่คุ้นเคย  ไม่มีอะไรที่สมดุล  มันเป็นอะไรที่เหนือคำบรรยาย  ถ้าไม่ได้ร่ำเรียนมาก็ไม่อาจเข้าใจได้  หล่อนไม่เข้าใจเรื่องจิตใจสักเท่าไร  ใช้แต่ตรรกะแบบอปกติจะดีกว่า  แต่เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า  ตอนนี้หล่อนได้ทำงานอยู่ในองค์กรสหประชาชาติ  หล่อนจะไม่บอกคุณว่าหญิงสาวทำด้านใดหรือช่วยใคร  แต่หล่อนช่วยจริงๆ  ปรับเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่  มุมมองใหม่ๆ  และทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้น  แต่ก่อนจะเกิดเรื่องนี้  มันต้องมีต้นเรื่อง  สาเหตุของเรื่อง  ฉะนั้น  เรื่องก็มีอยู่ว่า...

      มัทนารีอยู่ในสภาวะตกงานมันเป็นเวลานานมากเหลือเกินแล้ว  แต่หล่อนก็ใช้ธรรมะเข้าข่ม  ปลงเท่าที่จะปลงได้  พยายามหาอะไรทำ  สิ่งที่หล่อนรักจะทำ  และหล่อนมีเพื่อน  เพื่อนน้อยคนเสียด้วยเพราะหญิงสาวเป็นพวกเก็บตัว  แต่ครอบครัวยังไม่เข้าใจหล่อนสักเท่าไรในเรื่องการว่างงานและสิ่งที่หล่อนถนัดจะทำ  หล่อนค้นพบว่าชอบเขียนนิยายลงอินเตอร์เนต  มันเป็นสิ่งที่สนุก  ทำให้พบเพื่อนใหม่ๆ  แม้แรกๆจะไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร  แต่มัทนารีก็ทำไปเรื่อยๆ  มันต้องมีวันของคุณ  ว่าไหม  ครอบครัวไม่มีส่วนช่วยผลักดันเลยแม้แต่น้อย  มันน่าน้อยใจจริงๆนะ  พวกเขาอยากให้หล่อนเป็นที่พึ่งที่เชิดหน้าชูตาครอบครัวได้  ไม่ต้องขายหน้ากับการว่างงานของหล่อน  ใครถามว่าหญิงสาวทำงานอะไร  พ่อแม่จะอ้อมแอ้มตอบ  เป็นคำถามที่พวกเขาอยากหลีกเลี่ยงเป็นที่สุด  ลูกคุณทำงานอะไร  ถ้าว่างงานอย่างหล่อน  คุณจะอ้ำอึ้งเลยละ

      ความหวังเป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงชีวิตของมัทนารีให้คงอยู่  เพื่อนที่ยังไม่มีงานทำของหล่อนสองคนก็เป็นเหมือนกำลังใจให้แก่กัน  คนหนึ่งชื่อจิรตา  อีกคนชื่อสุนิสา  จิรตา  อายุ 39 ปี  ดวงตาและเรือนผมสีดำสนิท  รูปร่างท้วมขาว  ส่วนสูงไม่น่าจะเกินหนึ่งร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตร  ส่วนสุนิสา  อายุ 31 ปี  ดวงตาและเรือนผมสีดำสนิทเช่นกัน  รูปร่างท้วมขาวอีกเหมือนกัน  หล่อนสูงร้อยหกสิบเซนติเมตรขึ้น  มัทนารีคนเดียวที่ผอมบาง  แต่ทั้งสองคนอยู่บ้านใกล้กัน  ทำให้ไปเที่ยวหากันได้สะดวก  พวกเราจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน  คนละคณะ  แต่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา  แรกๆก็ไม่ได้สนิทกันเท่าที่ควร  มาสนิทกันก็ตอนที่กลายเป็นนักวิจัยฝุ่นเหมือนกันนั่นแหละ  เราคุยกันบ่อยขึ้น  แลกเปลี่ยนความคิดของคนตกงาน  ที่ไหนมีรับสมัครงานราชการ  เราจะแบ่งปันข้อมูลแก่กัน  การสอบแข่งขันเป็นเรื่องปกติสำหรับเราสามคน  ดีที่เราจบคนละคณะ  จึงไม่ต้องแข่งกันเอง  แต่เด็กสมัยใหม่ก็หัวดี  ยุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยีโอกาสทองเป็นของผู้ที่ไวกว่า

       มัทนารีเริ่มสนใจการเขียนนิยายมากขึ้น  ขณะเดียวกันก็สนใจงานราชการน้อยลงต่างจากเพื่อนสนิททั้งสองของหล่อน  แน่นอนว่าเพื่อนสนิทอย่างจิรตาและสุนิสาย่อมไม่เข้าใจในตัวหล่อนเอาเสียเลย  นอกจากพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจแล้ว  หล่อนยังมีเพื่อนที่คิดแบบนั้นเพิ่มขึ้นอีกตั้งสองคน  ช่างน่าภูมิใจเสียนี่กระไร  หล่อนมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายไม่เป็นเวล่ำเวลา  ควบคุมไม่ได้  ทำให้คิดได้ว่า  ขณะทำงานแล้วหล่อนเกิดปวดหนักขึ้นมา  หล่อนต้องผละจากงานชั่วคราวเพื่อขับถ่าย  มันจะทำให้เสียงานหรือเปล่านะ  คำตอบคือใช่  เสียแน่ถ้าไม่เป็นเวลา  หญิงสาวยังถ่ายบ่อยอีกต่างหาก  นี่เป็นปัญหาสำคัญส่วนตัวเลยทีเดียว  อาชีพอิสระจะช่วยให้หล่อนมีโอกาสขับถ่ายได้อย่างเสรี  บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ  ไม่ต้องเกรงใจใครเสียด้วย  สบายๆเหมือนเพลงพี่เบิร์ดเลยละ

       ความเครียดเป็นปัญหาของหญิงสาว  มันสะสมมาเรื่อยๆตั้งแต่เมื่อไรนะ  เอาเป็นว่ามันส่งผลต่อหล่อนในช่วงที่หล่อนกำลังเขียนนิยายเรื่องหนึ่ง  เป็นแนวรักใสๆ  อ้อ  ไม่สิ  ยังมีอีกแนวที่ส่อเค้าว่าหล่อนเริ่มป่วยทางจิต  มันเป็นแนวสยองขวัญ  ฆาตกรรมแบบโรคจิตของฆาตกรต่อเนื่อง  แต่ก็มีคนอ่านงานของหล่อนแล้วกัน  หล่อนเริ่มเขียนไปเรื่อยๆ  และสังเกตตัวเอง  แหม  อุตส่าห์สังเกตตัวเองได้อีกนะเนี่ย  ขนาดมัทนารีเริ่มจะป่วยนิดๆ  หล่อนก็ยังรู้ตัว  หญิงสาวค้นหาเว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิตเมื่อเห็นว่าตัวเองเริ่มป่วย  ผลของแบบทดสอบแนะนำให้หล่อนพบจิตแพทย์  แล้วหล่อนก็ไปโรงพยาบาล  ไปที่แผนกจิตเวช  บอกความประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่  เจ้าหน้าที่ที่ดูว่าจะอายุน้อยกว่ามัทนารีก็ให้หล่อนทำแบบทดสอบที่คล้ายคลึงกับแบบทดสอบของกรมสุขภาพจิตที่หล่อนได้ทำด้วยระบบออนไลน์  เพียงแต่แบบทดสอบของทางโรงพยาบาลมีน้อยข้อกว่า  แล้วผลการทดสอบก็เหมือนกันกับของกรมสุขภาพจิต  หล่อนตอบตามความเป็นจริงและรู้สึกด้วยความสัตย์ซื่อทั้งสองแบบทดสอบ  เจ้าหน้าที่ให้หล่อนพบจิตแพทย์ทันที

      เขาเป็นชายร่างสูง  รูปร่างแบบนักกีฬา  ผิวสองสี  เครื่องหน้าคมเข้ม  ดวงตาและเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม  อายุราวๆสามสิบกว่าๆ  เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อ ศรัณ  จิตแพทย์ศรัณหน้าตาหล่อเหลาเอาการมาก  พูดถึงเรื่องนี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่า  มัทนารียังโสด  แปลว่าไม่มีคนรัก  ชัดเจนไหม  ทราบแล้วเปลี่ยน...  หล่อนอกหักตั้งแต่ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ที่ศาลากลางจังหวัด  แปลได้อีกว่า  ไม่มีใครคอยให้กำลังใจแบบพิเศษๆแก่หล่อนเลย  เงียบเหงา  อ้างว้าง  วังเวงมาก  ขอบอก  เศร้า  สลดหดหู่  สุดหัวใจด้วย  กลับมาที่จิตแพทย์ศรัณซึ่งอยู่ในห้องตรวจอีกครั้ง...

      ชื่ออะไรครับ  จิตแพทย์ศรัณถามด้วยรอยยิ้มกระชากใจสาว

       มัทนารีค่ะ  หล่อนตอบเสียงเรียบเหมือนไม่รู้สึกรู้สากับความหล่อของเขา

      คุณมาที่นี่เพราะต้องการความช่วยเหลือหรือครับ  เขาถามขรึมๆ

      ค่ะ  เอ  นี่ฉันต้องการความช่วยเหลือจริงๆหรือ  ...ไม่สิ  ฉันอยากได้ข้อมูลไปเขียนนิยายเชิงโรคจิตของตัวเองมากกว่า  อยากจะบ้าตาย

      สภาวะความเครียดของคุณเกินระดับมากนะครับ  เขานิ่วหน้า

      หมอคิดว่าฉันควรทำไงล่ะคะ  หญิงสาวแกล้งถาม

      คงต้องคุยกับนักจิตวิยาของเราด้วยครับ

       หมอไม่มีคำแนะนำบ้างหรือคะ  หล่อนถามแหย่

      หึๆ  ผมกับนักจิตวิทยาก็คงต้องแนะนำคุณเหมือนกันแหละครับ  เขายิ้มละไม

     หรือคะ  มัทนารีย่นหัวคิ้ว

     ครับ  เดี๋ยวผมจะให้คุณพบเธอเลยละกัน  แล้วเราค่อยคุยกันอีกที

       ก็ได้ค่ะ  หญิงสาวทำหน้าสลด

       นักจิตวิทยาสาวพามัทนารีไปยังห้องปรึกษา  คุยกันไปเรื่อยๆ  นักจิตวิทยาสาวก็คอยสังเกตท่าทีของมัทนารีด้วย  ตัวมัทนารีเองก็สังเกตอีกฝ่ายเหมือนกัน  ตามประสาที่หล่อนว่าจะมาหาข้อมูลจากแผนกจิตเวชทั้งที่ตัวเองป่วยทางจิตในระยะเริ่มแรกโดยที่เกือบจะไม่รู้ตัว(เสียเมื่อไร) 

       เดี๋ยวพี่ฟังเทปนี้แล้วทำตามนะคะ  จากนั้นก็จะเป็นเพลง  ให้พี่หลับตานึกภาพตาม  นักจิตวิทยาสาวบอกง่ายๆ

      ใช้เวลาไม่นานมัทนารีก็ปฏิบัติตามจนครบ

      รู้สึกอย่างไรบ้างครับ  จิตแพทย์ศรัณเอ่ยถามแทบจะทันทีที่พบหน้าหล่อนอีกครั้ง

      ดีขึ้นค่ะ  หล่อนรู้สึกสบายใจจริงๆ

      ผ่อนคลายบ้างไหมครับ

      ค่ะ  หล่อนยิ้มให้แบบจริงใจ

     ผมจะสั่งยาให้คุณ  ลองตัวนี้ก่อน  ถ้าไม่ไหวจริงๆกลับมาหาผมก่อนนัดนะครับ  แล้วคุณต้องออกกำลังกาย  ไม่ก็หากิจกรรมทำคลายเครียด  พยายามผ่อนคลายให้มาก  จะดีต่อตัวคุณเอง

      ค่ะหมอ

      มัทนารีกลับถึงบ้านก็ไม่ได้บอกใครว่าหล่อนหายไปไหนมา  หล่อนคิดว่าพ่อแม่คงรับไม่ได้ที่หล่อนป่วยทางจิต  พอเข้าห้องนอนได้หล่อนก็หย่อนซองยาลงถังขยะ  และใบนัดที่พยาบาลบันทึกไว้  หล่อนก็มองผ่านๆแล้วแกล้งลืมซะว่าจิตแพทย์ศรัณนัดพบหล่อนวันไหน  หล่อนยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ  ซ้ำๆกัน  โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ทุกอย่างกลายเป็นกิจวัตรประจำวันโดยอัตโนมัติไปเสียแล้ว  แต่คนที่ลืมนัดจิตแพทย์คงเป็นหล่อนผู้เดียวเพราะบุรุษไปรษณีย์นำใบเรียกตัวตามนัดจากโรงพยาบาลแผนกจิตเวชมาส่งถึงที่บ้าน  หล่อนจนปัญญา  นี่ขนาดแกล้งลืมแล้วนะ  ทางโรงพยาบาลยังอุตส่าห์ตามตัวจนได้  หล่อนจะทำอย่างไรนอกเสียจากไปตามนัดครั้งใหม่  แล้วคงไม่มีทางที่จะปกปิดพ่อแม่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับลูกสาวคนเดียวได้หรอกนะ

      นั่นอะไรน่ะยัยมัท  แม่ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้  ขณะพวกเรานั่งดูรายการโทรทัศน์ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

      ใบนัดจากโรงพยาบาลค่ะ

        ไหนดูซิ  แม่ยื่นมือรอรับ

       หญิงสาวก็ยื่นใบนัดส่งให้

      อะไรกันเนี่ย  นั่นเป็นคำพูดของแม่เมื่ออ่านจบ  แม่ดูสนเท่ห์และแปลกใจระคนกัน

      พ่อดูสิ  แม่ยื่นส่งใบนัดใหม่ให้พ่อ

     มัท  พ่อนิ่วหน้าอย่างมีคำถาม

      คืองี้ค่ะ  มัทนารีก็อธิบาย

      หญิงสาวบอกอาการที่เป็นอยู่ให้พ่อแม่รับฟังอย่างละเอียดเหมือนที่คุยกับพยาบาลก่อนพบหน้าจิตแพทย์ศรัณ  หล่อนจะรู้สึกเหมือนเบลอๆลอยๆ  ไปไหนก็เหมือนครึ่งรู้สึกตัวครึ่งเบาๆในสมอง  ดูหนังฆาตกรรมก็รู้สึกเหมือนมีแรงกระตุ้นอยู่ภายในให้อยากเลียนแบบ  ความสนใจเปลี่ยนไป  กลายเป็นสนใจเรื่องของฆาตกรต่อเนื่องโรคจิต  ค้นหาข้อมูลอันหลากหลายเกี่ยวกับฆาตกรกลุ่มนี้  เห็นเลือดก็ใจเต้น  บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง  บางทีทำอะไรลงไปแล้วจำไม่ค่อยได้  ความทรงจำขาดหาย  เป็นต้น

      แกเป็นบ้าอะไรของแก  พ่อพูดเสียงดัง

      จะบอกว่าแกป่วยงั้นหรือยัยมัท  เป็นประโยคคำถามเสียงเครียดของแม่

      หนูยอมรับว่าป่วย

       แต่เราไม่คิดว่าแกจะป่วยนะ  แกคิดไปเองหรือเปล่า  พ่อไม่ยอมรับความจริงข้อนี้

      แบบทดสอบไม่หลอกเราหรอกค่ะ

        แกอาจหลอกแบบทดสอบ

       แม่คะ  มัทนารีเริ่มอ่อนใจ

       หมอวินิจฉัยไม่ผิดหรอกค่ะ  หล่อนพูดต่อ

      ไม่ต้องไปหาหมอหรอก  แกไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย  พ่อยืนกราน

       ถ้าแกเป็นอะไรมากกว่านี้  เราจะพาแกไปเอง  แม่เห็นพ้องกับพ่อ

      เวลาผ่านไประยะหนึ่ง  อาการของมัทนารีก็เริ่มหนักขึ้น  หล่อนมีอาการหูแว่วอันเป็นปรากฏการณ์ทางอาการป่วยทางจิต  เริ่มเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเพียงคนเดียวโดยที่คนอื่นๆไม่ได้ยิน  ทำอะไรแปลกๆบ้าง  กระทั่งถึงจุดวิกฤต  หล่อนพูดโต้ตอบกับเสียงเหล่านั้น  และแล้วพ่อแม่ก็หันมาปรึกษากันอย่างเป็นทางการว่ามัทนารีไปซะแล้ว  ถึงเวลาต้องพาไปพบจิตแพทย์เสียที

      เกือบช้าไปนะครับ  จิตแพทย์ศรัณพูดกับพ่อแม่ของมัทนารี

      ไม่น่าปล่อยให้นานขนาดนี้เลย  เขาพูดต่อ

      แล้วเราต้องทำยังไงบ้างคะหมอ  แม่เป็นผู้ถาม

      ดูแลอย่างใกล้ชิด  ให้ทานยาเป็นเวลาตามสั่ง  ต้องให้ความเข้าใจ  ความรักมากเลยครับ  จิตแพทย์ศรัณบอกเสียงขรึม

      แกจะหายไหมครับ  พ่อแสดงความกังขาระคนหวาดวิตก

      ต้องใช้เวลาครับ  มันไม่ใช่โรคที่จะหายได้ง่ายๆ  จิตแพทย์บอกเสียงนุ่ม

       ขอผมคุยกับคุณมัทนารีนะครับ  จิตแพทย์หนุ่มเอ่ย

      จำหมอได้ไหมครับ

       ได้ค่ะ

       หมอชื่ออะไรครับ

      ศรัณค่ะ

      ดีมากครับ  แล้วเสียงที่คุณได้ยินนั้น  มาจากการหลั่งของสารในสมอง  มันเป็นเรื่องที่คุณคิดไปเอง  ไม่มีตัวตนหรอกครับ  คุณต้องตั้งสติมากกว่านี้  จิตแพทย์บอกง่ายๆ

      เหรอคะ  หญิงสาวทำหน้าฉงน

      ครับ  คุณต้องวิเคราะห์  แต่ตอนนี้คุณป่วยอยู่  คงจะวิเคราะห์อะไรไม่ได้เต็มที่นัก  ต้องตั้งสติหน่อยนะครับ  ผมว่าคุณน่าจะทำได้บ้างเพราะยังรู้ตัวอยู่  ไม่ถึงกับจิตหลุดไปเลย

       จะพยายามค่ะ  มัทนารีพยักหน้าประกอบคำพูด

      ทนรำคาญเสียงที่ได้ยินสักพักนะครับ  มันจะค่อยๆหายไป  ห้ามขาดยาเด็ดขาด

      เข้าใจค่ะ

        เห็นภาพหลอนหรือยังครับ

       ยังค่ะ

       คงได้ยินแค่เสียงแว่ว  ถ้างั้นก็ถือว่ายังไม่แย่จนเกินไป  น้องสาวผมก็ป่วย  เขายิ้มน้อยๆ

      แต่คนฟังเบิ่งตาเชียวละเพราะเขาเป็นจิตแพทย์  แต่น้องสาวเขาป่วยเนี่ยนะ  โอ้  มันจะเป็นอย่างไรกันล่ะเนี่ย

      หมอรักษาเธอแบบไหนคะ  มัทนารีอยากได้ข้อมูล

      เคสเดียวกับคุณเลย  เขาไม่อธิบายให้ยืดเยื้อ

      มันเกิดจากความเครียดหรือคะ

       ครับ  เครียดสะสม  ล้มเหลว  น้องผมเธอเปรียบเทียบผมกับตัวเอง  เลยรู้สึกว่าตัวเองตกต่ำ  ไม่เหมือนผม  พ่อแม่ก็ไม่รักเธอเท่าไหร่  รักแต่ผม  เขายิ้มเศร้าๆ

      แย่จังนะคะ  หญิงสาวพูดได้เพียงเท่านี้

      แต่ตอนนี้อาการดีขึ้นมากครับ  พ่อแม่ก็เข้าใจเธอด้วย  ครอบครัวเราเลยแฮปปี้ขึ้นเยอะ  รอยยิ้มเศร้าเปลี่ยนเป็นอบอุ่น

      มัทนารีสังเกตกิริยาอาการของจิตแพทย์ศรัณแทบทุกอิริยาบถ  หล่อนบันทึกไว้ในสมอง

      เสียงไม่ได้รบกวนคุณตลอดเวลาใช่ไหมครับ  เขาเบี่ยงเบนประเด็น

      ค่ะ  บางครั้งก็ถี่  บางครั้งก็ห่าง  บางครั้งก็ทำจนหัวหมุน  บางครั้งก็สงบดี  แค่บางครั้งเท่านั้นค่ะ  หล่อนตอบตามจริง

      ฉันต้องเผชิญกับภาวะแบบนี้นานมากไหมคะหมอ

      ก็นานล่ะครับ  น้องผมเนี่ย  เกือบสิบปีกว่าจะเข้าขั้นที่เกือบปรกติ  ตอนนี้ยังหูแว่วเล็กน้อย  มันยังไม่หายไปจนหมด  แต่อีกไม่นานหรอกครับ  เธอจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างปรกติเสียที

      คนฟังทอดถอนใจด้วยใบหน้าสลด  หล่อนเป็นแล้วในระดับหนึ่ง  นี่ต้องทนทุกข์อีกนานแค่ไหนหนอ

      ทุกคนต้องร่วมมือกันครับ  แค่คุณคนเดียวไม่ได้  และคุณต้องให้ความร่วมมือด้วย  อย่าคิดอะไรมากในช่วงนี้  ยิ่งเครียดจะยิ่งแย่นะครับ

      ฉันต้องเขียนนิยายเสียด้วยสิคะ  ไม่คิดคงไม่ได้  มันเครียดบ้างน่ะค่ะ

      จิตแพทย์ศรัณมองหน้ามัทนารีตรงๆอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนเอ่ยถาม

      เขียนนิยายด้วยหรือครับ

      ค่ะ  เป็นงานเพียงอย่างเดียวที่ช่วยให้ฉันไม่เป็นบ้าไปกว่านี้  หล่อนมองหน้าเขาตรงๆเช่นกัน

        คุณเขียนนิยายแนวไหนครับ  ชายหนุ่มประสานมือบนโต๊ะ

      ตอนนี้ที่สนใจมากคือแนวฆาตกรรมค่ะ  ดวงตาของคนพูดแลดูว่างเปล่าและไร้ประกายอย่างสิ้นเชิง

      อย่าเขียนแนวนี้สิครับ  คุณกำลังป่วยอยู่นะครับ  เขาไม่ตกใจกับคำตอบของหล่อน  แต่ท่าทีของหล่อนต่างหากที่ทำให้เขานึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก

    <>  แล้วน้องสาวของหมอทำอะไรล่ะคะ  หล่อนเปลี่ยนเรื่อง

      วาดรูปครับ  เธอชอบและเรียนด้านนี้โดยตรง  ศิลปากรน่ะครับ

      ผมแนะนำให้คุณเขียนแนวสร้างสรรค์  ประเภทแฟนตาซี  รักโรแมนติค  หรือรักกุ๊กกิ๊ก  ที่มันไม่เครียดไปกว่าแนวที่คุณเขียนอยู่  และไม่ทำให้จิตใจของคุณไปสู่ด้านมืดที่จะยิ่งซ้ำเติมอาการป่วยของคุณ

         หญิงสาวมองจิตแพทย์หนุ่มผู้หวังดีเหมือนเห็นเขาเป็นมนุษย์ต่างดาวกระนั้น

      ฉันชอบของฉันนี่นา  มัทนารีบอกอย่างดื้อดึง

      พ่อเห็นด้วยกับหมอ  พ่อของหล่อนพยักหน้าประกอบถ้อยความ

      แม่ก็ด้วย

      แบบนี้ฉันก็แย่สิ  หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงขัดเคืองใจ

       ลองเอาคำแนะนำของผมไปพิจารณาดีๆนะครับ

       มัทนารีกลับบ้านด้วยความหงุดหงิดหัวใจที่งานที่หล่อนรักก็ยังมีผู้คัดค้านเพียงเพราะมันไม่ใช่แนวงานที่หล่อนสมควรเขียน  หล่อนไม่ได้ชอบภาพยนตร์ฆาตกรรมเลือดสาดเละเทะหรืองานเขียนที่ไม่มีศิลป์  หล่อนเรียกภาพยนตร์แนวฆาตกรรมต่อเนื่องที่ไม่ชวนอ้วกว่างานศิลป์  หล่อนไม่ได้ชมภาพยนตร์ฆาตกรรมเลือดสาดเละเทะ  หล่อนเลือกเสพภาพยนตร์ชวนสะพรึงเหมือนกันนะ  ใช่ว่าจะเสพงานที่ไม่มีศิลป์เสียเมื่อไร  จะอธิบายอย่างไรให้คนรอบข้างเข้าใจได้นะ  หล่อนล่ะปวดเศียรจริงๆ  สงสัยต้องแอบเขียนงานแนวชวนสะพรึงเสียล่ะมัง

      และแล้วการที่พ่อแม่ของมัทนารีพาหล่อนไปโรงพยาบาลก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ  ความอาย  ชื่อเสียง  ยังคงอยู่ในความคิดคำนึงของทั้งสอง  การไปโรงพยาบาลนั้นต้องปกปิดเพื่อนบ้าน  ใครถามว่าไปไหนก็ตอบได้เพียงว่าไปทำธุระ  ไม่สามารถตอบอะไรได้มากไปกว่านี้  ทำให้มัทนารีรู้สึกเหนื่อยใจอยู่บ้าง  เธอรู้และเข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่  ฮั่นแน่  เธอเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นด้วยหรือ  นี่เธอป่วยจิตอยู่นะ  ถ้าเป็นปกติก็ยังพอว่า  แต่คนป่วยจิตนั้นไม่อาจทำความเข้าใจกับความรู้สึกของคนอื่นได้เป็นแน่  ทว่าหล่อนเข้าใจ  แล้วมันแปลว่าอะไร  แปลว่าหล่อนป่วยจริงในขั้นที่ยังไม่หนักหนาสาหัสอย่างนั้นหรือ  หรือหล่อนไม่ได้ป่วยกันแน่  เอาเถอะ  จะอย่างไรก็ตามหล่อนก็ยังไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครต่อใคร  หรือยังไม่มีทีท่าว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น  หล่อนมีกิจกรรมที่ชอบทำ  ก็ทำต่อไปจนกว่ามันจะเป็นผลสำเร็จอย่างที่คาดหวัง  โห  ป่วยจิตแต่มีความคาดหวัง  จิตแพทย์ศรัณคงภูมิใจในผู้ป่วยคนนี้น่าดูเนอะ

      ยัยมัท  ถ้าเจอใครที่เรารู้จักโดยบังเอิญที่โรงพยาบาลหรือบังเอิญเห็นเรามาที่โรงพยาบาลก็ก็ตอบว่าไม่สบาย  ไม่ต้องบอกอะไรให้ละเอียดทั้งนั้นนะ  เข้าใจไหม  พ่อพูดขรึมๆ

      อย่าบอกว่าแกป่วยเป็นโรคจิตล่ะ  แม่ระบุลงไป

      หญิงสาวทำหน้าซื่อตาใสก่อนพยักหน้าแทนคำตอบ

      แล้วบอกเดียร์กับนุ้ยได้หรือเปล่าคะ

       ถ้าแกไว้ใจ  แต่เราไม่อยากให้แกบอกเลยพับผ่าสิ  พ่อบอกเครียดๆ

      ค่ะ  หล่อนรับปากคำเดียว

      หลายวันต่อมาเพื่อนของมัทนารีก็มาหาที่บ้าน  ทั้งสองมีผลไม้ติดมือมาฝากและพ่อแม่ของหล่อนก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี

      ไม่ได้เจอกันพักใหญ่  สบายดีไหมมัท  จิรตาเป็นฝ่ายถาม

      ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

      เป็นอะไรล่ะ  สุนิสาถามบ้าง

      โรคเครียดถามหา

      ฮะ  โรคเครียดเนี่ยนะ  สองเพื่อนสนิทประสานเสียง

      ก็ไหนว่าธรรมะธัมโม  ทำไมเครียดได้ล่ะ  จิรตาถามด้วยความฉงน

      ทำไมจะเครียดไม่ได้  ฮึ  มัทนารีทำหน้าบูดบึ้ง

      คนอ่านไม่ค่อยมีหรือไง  สุนิสาคาดเดา

      ไม่เชิง  แต่ฉันคงหวังมากไปหน่อย

      เราสองคนเอาใจช่วยนะมัท  จิรตาให้กำลังใจ

      มันต้องมีสักวันแหละมัท  สุนิสาปลอบบ้าง

      เธอสองคนล่ะเป็นไง  มัทนารีถาม

      ก็เรื่อยๆ  กำลังเตรียมตัวสอบแข่งขันราชการอยู่  สุนิสาพูดยิ้มๆ

      แต่วันนี้กะมาหามัทโดยเฉพาะ  กลัวมัทเหงา  จิรตาดื่มน้ำหลังจบประโยค

      ขอบใจมากที่ยังคิดถึงกัน

      แล้วอาการเครียดของมัทเป็นไง  จิรตาใคร่รู้จึงวกเข้าเรื่องเดิม

      มัทนารีก็จำต้องอธิบายให้เพื่อนสนิททั้งสองฟัง

      แย่เลยเนอะ  ดันหูแว่ว  แล้วนี่มัทเขียนนิยายได้เหรอ  จิรตาสงสัย

       ได้อยู่นะ  แต่ค่อยๆเขียน  ถ้าไม่คิดเรื่องเสียงที่มันกวนอยู่  หรือพยายามไม่ฟังมัน  ก็พอจะเขียนได้  คิดได้บ้าง

      ที่แว่วเนี่ยมันเรื่องอะไรบ้างล่ะ  สุนิสาสนเท่ห์

      ก็ไม่กี่เรื่องหรอก  อย่าไปสนใจมันเลย

      ตอนนี้มันแว่วอยู่หรือเปล่า  จิรตาซักถาม

      แว่วนะ  แต่พยายามสนใจแต่เธอสองคน

      ยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยเหรอ  หรือว่าไง  สุนิสาสลับกันถามกับจิรตา

       ยังไม่หนักขนาดนั้น

      ยังดีที่มีเวลาให้หายใจหายคอ  ไม่งั้นมัทคงแย่  จิรตาบอกเสียงเรียบ

      หลังจากนั้นถ้าจิรตากับสุนิสาไม่มีเวลามาเยี่ยมเยียนมัทนารีด้วยตัวเอง  ทั้งสองก็จะโทรศัพท์ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเพื่อนผู้อ่อนวัยที่สุดผู้นี้  และยังดีที่ทั้งคู่ไม่ได้รังเกียจรังงอนมัทนารีที่ป่วยจิต  ไม่เช่นนั้นเจ้าหล่อนก็คงจะเหงาสุดใจขึ้นมาอีกทีไม่มีเพื่อนคุย  ถึงอย่างไรเพื่อนๆในโลกไซเบอร์ก็พอจะแก้เหงาได้บ้าง  และคำวิพากษ์วิจารณ์หรือข้อความในกระทู้ก็ช่วยให้กำลังใจแก่มัทนารีทำให้หล่อนมีแรงใจที่จะเขียนนิยายต่อไปในแนวถนัดของตนเอง

      บางคนก็บอกว่าอ่านแล้วเห็นภาพที่น่ากลัว  บางคนทานอาหารไม่ลงกับฉากฆาตกรรมสุดสยอง  บางคนก็หวาดผวาเกรงจะมีภยันตรายให้ต้องเผชิญเหมือนอย่างในนิยายที่อ่าน  เป็นต้น  มัทนารีเริ่มสงสัยแล้วว่าถ้าหล่อนเอานิยายให้จิตแพทย์ศรัณอ่าน  เขาจะรู้สึกและคิดเห็นเช่นไรกับตัวของหล่อน  คิดแล้วให้ขนลุกและหวั่นวิตกแทนจิตแพทย์ศรัณจริงๆ  หล่อนคงกลายเป็นคนไข้อันดับต้นๆที่เขาต้องให้ความใส่ใจเป็นแน่  แต่ไม่เอาดีกว่า  หล่อนอยากมีอิสระในแบบที่เป็นอยู่นี้  ถ้าจิตแพทย์ศรัณจับได้ว่าหล่อนมีจิตใจด้านมืดที่น่าหวาดหวั่น  เขาคงไม่ปล่อยให้หล่อนได้มีอิสระดังใจ  และท่าทางน่าจะนำตัวหล่อนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกลายเป็นผู้ป่วยในกระมัง  หล่อนไม่ชอบความคิดนี้เอาเสียเลย  ฉะนั้นหล่อนจะต้องปิดบังพ่อแม่ด้วยในเรื่องการเขียนนิยายแนวสะพรึง  หรือแนวสยองขวัญ  หรือแนวระทึกขวัญ 

       จะว่าไปนักเขียนสมัครเล่นบางคนก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า  หล่อนจึงไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ตนเองก็ป่วยจิตเหมือนกัน  เพียงแต่เป็นคนละประเภทกับคนอื่นๆ  และพวกนั้นก็เปิดเผย  ทำไมหล่อนจะไม่เปิดเผยบ้างเล่า  เพียงแต่หล่อนมีที่เฉพาะที่จะเปิดเผย  มัทนารีไม่เปิดเผยอาการป่วยจิตในวงกว้าง  แต่จำเพาะบางเว็บไซต์และบางกระทู้เท่านั้น  เพราะคนที่รับไม่ได้และหวาดกลัวยังคงมีอยู่  ยิ่งหล่อนเขียนนิยายแนวสะพรึงเลือดสาด  หล่อนก็จะถูกวิเคราะห์ได้ง่ายเท่านั้น  เพราะฉะนั้นแล้ว  มีแค่ไม่กี่คนในเว็บไซต์หรอกที่จะรู้ว่าหล่อนป่วยจิตแล้วรับได้  ยังดีที่เจ้าของเว็บไซต์เป็นเพื่อนที่เริ่มสนิทกับหล่อนแล้ว  เพื่อนคนนี้จึงไม่ว่ากระไรที่มัทนารีป่วยจิตและเผยแพร่นิยายแนวสะพรึงเขย่าขวัญ  หญิงสาวเขียนมานานหลายเดือนแล้ว  และใกล้จบเรื่องเต็มที  หล่อนกลายเป็นคนติดอินเตอร์เน็ตโดยปริยาย  วันไหนไม่ได้เข้าเล่นก็จะเหมือนขาดอะไรบางอย่าง  แต่หล่อนก็ไม่ได้ติดอะไรมากนักจนกลายเป็นอีกโรค

      >มัทเป็นไงมั่งช่วงนี้<  เจ้าของเว็บไซต์ที่เธอโพสต์นิยายแนวสะพรึงเขย่าขวัญถามผ่านทางmsnของHotmail

      >เรื่อยๆแหละ  เธอล่ะ< 

       >สบายดี  มีสำนักพิมพ์ติดต่อแล้ว<

       >ยินดีด้วยจ้ะ<

       >เรื่องนั้นที่มัทแปะก็น่าสนนะ  แนวเขย่าขวัญนั่นน่ะ  ถ้าจบคิดว่าน่าจะมีคนสนใจติดต่อ<

       >ก็ดีสิ  แต่ไม่รู้ว่าเขาจะรับได้ไหม  มันออกจะโหดไปหน่อย<

       >แต่คนอ่านก็เยอะไม่ใช่เหรอ  แล้วมัทแปะไว้กี่เว็บล่ะ<

       >สามเว็บมั้ง  มีของเธอ  Bloggang  สมุดบันทึกฝัน<

      >ดีแล้ว  ต้องมีสักเว็บแหละที่มีคนสนใจติดต่อมัทน่ะ<

       ในใจลึกๆของมัทนารี  หล่อนอิจฉาเพื่อนคนนี้เหมือนกันที่มีสำนักพิมพ์ติดต่อเข้ามา  หล่อนมีความหวัง  และหวังจะให้เป็นจริงสมดังปรารถนา  จึงกลายเป็นความกดดันและเครียดมากขึ้น  อาการป่วยจิตก็หนักเป็นลำดับ

     >ขอบใจนะสำหรับกำลังใจ<

       >เออ  เราจะจัดมีทติ้งวันหนังสือแห่งชาติ  มัทมาได้ไหม<

      >ที่กรุงเทพฯคงไปไม่ได้  ไม่สะดวก  แต่อยากไปนะ<

       >ว้า  มีใครๆอยากเจอมัทนะ  เสียดายจัง<

      >เจอคนโรคจิตเนี่ยนะ<  มัทนารีหัวเราะเบาๆกับตัวเอง

      >บ้า  พูดเข้า  มัทยังไม่อันตรายสักหน่อย<

      >มันก็ไม่แน่<

     >ถ้ามัทยังมีสติได้แบบนี้  เราว่า  มัทก็ไม่ได้โรคจิตอะไรมากนักหรอก<

     >ขอบใจที่เข้าใจเรามาตลอดนะ  หาเพื่อนแบบนี้ได้ยากจริงๆ  โดยเฉพาะในโลกไซเบอร์เนี่ย<

      >เราก็ไม่ได้ดีเด่อะไร  แค่เข้าใจบ้างเท่านั้นเอง  แล้วมัทก็ดีกับเราด้วย  ไม่ใช่เราดีกับมัทแค่ฝ่ายเดียว<

     >ยังดีที่มีน้ำใจอยู่ในโลกไซเบอร์เนาะ  แล้วก็ไม่ได้เจอตัวเป็นๆเสียด้วยสิ<

     >อยากเจอตัวเป็นๆต้องมามีทติ้ง<  เจ้าหล่อนวกเข้าเรื่องเดิม

      >บอกแล้ว  ไม่สะดวกจ้ะ<

      มัทนารีเสียดายโอกาสพบหน้าตานักเขียนและนักอ่านหลายคนเพราะไม่สามารถไปร่วมงานมีทติ้งในวันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติได้  หล่อนอยากพบและพูดคุยกับคนอื่นๆ  แสวงหาเพื่อนใหม่บ้าง  แต่ไม่มีโอกาสนั้นเพราะพ่อไม่เอาญาติพี่น้องเลย  หล่อนจึงไม่มักคุ้นกับญาติๆสักเท่าไร  ญาติฝ่ายแม่เสียอีกที่หล่อนพอจะมักคุ้นบ้าง  แต่ก็ไม่สนิทกันนัก  ถ้าไปร่วมงานมีทติ้ง  หล่อนต้องอาศัยพักที่บ้านญาติๆฝ่ายพ่อที่อยู่กรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่

      >ถ้าได้เป็นนักเขียนของสำนักพิมพ์  บางทีเราอาจได้ไป  แต่ฝันไปเถอะ<

     >มันไม่ใช่แค่ฝันหรอกมัท  ถ้างานมัทมีคนอ่าน  มีคุณภาพ  น่าสนใจจริงๆ  ฝันก็เป็นจริงได้<  เพื่อนผู้นี้ให้กำลังใจอีกครั้ง

     มัทนารีพูดคุยอยู่อีกสักพักก็ขอตัวออกจากระบบmsn  หล่อนสนิทกับเพื่อนผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์นี้พอควรแล้ว  ในเว็บไซต์นี้มีมือใหม่เขียนนวนิยายหลายแนว  รวมทั้งแนวชายรักชายและหญิงรักหญิง  เป็นการเปิดกว้างสำหรับวงการน้ำหมึก  ยังมีอีกหลายเว็บไซต์ที่เปิดโอกาสแบบนี้ให้แก่นักเขียนหน้าใหม่ที่รักการสรรค์สร้างจินตนาการให้กลายเป็นตัวอักษร  หลายคนประสบความสำเร็จ  หลายคนยังคงล่าฝันต่อไปเหมือนมัทนารี  และหล่อนจะไม่มีวันท้อถอยเป็นอันขาด  สักวันความหวังของหล่อนจะเป็นจริง  หล่อนเชื่อเช่นนั้น

       หญิงสาวใช้เวลาเขียนนวนิยายแนวสะพรึงเขย่าขวัญทั้งหมดร่วมสามเดือนก็จบเรื่องลงได้  ด้วยความที่มีผู้อ่านในระดับหนึ่งและปัจจัยใดๆที่หล่อนไม่อาจรู้ได้ก็ทำให้มีสำนักพิมพ์ติดต่อด้วยความสนใจผ่านทางอีเมลที่หล่อนใช้เป็นประจำ  มัทนารีดีใจมากกับความสำเร็จครั้งแรกหล่อนอยากบอกให้พ่อแม่ได้รู้  แต่ก็ยังกังวลว่าแนวเรื่องที่เขียนนั้นพวกท่านไม่สนับสนุน  กระนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะบอกกล่าวให้พ่อแม่รับรู้

      พ่อแม่  งานของหนูมีสำนักพิมพ์ติดต่อมาค่ะ  หล่อนเริ่มประโยคบนโต๊ะอาหารมื้อกลางวัน

      ตายละ  ที่ไหนเหรอมัท  แม่ยิ้มกว้าง

      สำนักพิมพ์...  หล่อนเอ่ยชื่อสำนักพิมพ์ที่ติดต่อเข้ามา

      เขาสนใจแนวไหนล่ะ  พ่อถามด้วยรอยยิ้มยินดี

      แนวระทึกขวัญค่ะ  มัทนารียิ้มไม่ออก

      ยังเขียนอยู่อีกนะ  พ่อติงน้ำเสียงเคร่งขรึม

      ก็ยังดีที่มีสำนักพิมพ์สนใจ  แม่แทบจะหุบยิ้ม

      จะแนวไหน  ถ้าเขียนดีก็มีคนสนใจล่ะค่ะ  หญิงสาวเริ่มเครียด

      เอาเถอะ  ถึงไงเขาก็ติดต่อมาแล้วนี่นะ  พ่อพูดเหมือนเลยตามเลย

      แต่เขาต้องพิจารณาอีกสามเดือนค่ะ  กว่าจะรู้ผลว่าผ่านหรือเปล่า  จะได้ตีพิมพ์ไหม

      นึกว่าจะได้ตีพิมพ์เลย  แม่บอกอย่างเสียดาย

      สามเดือนเชียว  พ่อมองหน้าลูกสาว

      ที่ไหนๆก็ราวๆนี้ทั้งนั้น  มัทนารีบอกง่ายๆ

      แกมั่นใจแค่ไหน  แม่เอ่ยถามเสียงเครียด

      ไม่ทราบค่ะ  แค่สำนักพิมพ์ติดต่อเข้ามาก็ดีแล้วล่ะค่ะ

      ขอให้ผ่านการพิจารณาก็แล้วกัน  แม่ให้กำลังใจ

      ทีหลังก็เปลี่ยนแนวบ้างนะยัยมัท  ขืนแกเขียนแนวนี้บ่อยๆ  จิตใจแกอาจมืดดำยิ่งขึ้น  แล้วก็อาจหายป่วยช้า  พ่อบอกอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้

       หนูจะพยายามค่ะ  แต่ในใจนั้นหญิงสาวไม่คิดจะเปลี่ยนแนวง่ายๆ  หล่อนคิดจะเพิ่มแนวอื่นต่างหาก

      พักนี้อาการเป็นไงบ้าง  แม่เปลี่ยนเรื่องคุย

      ยังไม่ทุเลาค่ะ  หูยังแว่วอยู่เลย

      กินยาสม่ำเสมอ  อีกไม่นานอาการก็น่าจะดีขึ้นบ้างหรอก  พ่อบอก

      ได้เวลาหมอนัดอีกแล้วไม่ใช่เหรอยัยมัท  แม่เตือน

      ค่ะ

      มัทนารีป่วยในระยะหนึ่งแล้ว  จิตแพทย์จึงนัดทุกอาทิตย์  แล้วห่างเป็นสองอาทิตย์พบครั้ง  ห่างไปอีกเป็นหนึ่งเดือน  ตอนนี้อยู่ในระยะหนึ่งเดือนพบจิตแพทย์ครั้ง  พ่อแม่ก็ต้องไปส่งเพราะอาการของหญิงสาวยังน่าเป็นห่วงอยู่นั่นเอง  อีกทั้งยาที่รับประทานก็ส่งผลข้างเคียงหลายอย่าง  บางทีทำให้มึนงง  บางทีทำให้สูญเสียการทรงตัว  บางทีทำให้ตาแข็งลิ้นแข็ง  เป็นต้น

      หล่อนต้องพูดคุยกับพยาบาลก่อนพบจิตแพทย์ตามลำดับ  ซึ่งพยาบาลก็จะซักถามอาการ  ความผิดปกติบางอย่าง  เป็นต้น

       น้ำหนักเท่าไหร่คะ

       ห้าสิบกิโลกรัมค่ะ

       วัดความดันนะคะ

      พอเสร็จจากวัดความดัน  พยาบาลก็เริ่มถามคำถามอันเป็นการประเมินผู้ป่วยพร้อมทั้งจดบันทึกเพื่อให้จิตแพทย์เป็นผู้พิจารณา

      นอนหลับไหมคะ

      ค่ะ  ยังนอนหลับได้อยู่

      มีเรื่องไม่สบายใจไหมคะ

      มีบ้างค่ะ

      เรื่องอะไรคะ

      กังวลเรื่องงานนิดหน่อยค่ะ

     จะให้จำของสามอย่างนะคะ  มี  ดินสอ  สมุด  ไม้บรรทัด  แล้วเดี๋ยวจะกลับมาถามค่ะ

      เครียดอยู่ไหมคะ  พยาบาลซักถามต่อ

      ค่ะ

      เครียดเรื่องอะไรคะ

      เรื่องงานอีกนั่นแหละค่ะ

      ยังได้ยินเสียงที่ไม่มีที่มาอีกไหมคะ

      ยังได้ยินอยู่ค่ะ

       เป็นเสียงแบบไหนคะ

      เป็นเสียงกลุ่มคนคุยกันค่ะ

      เกี่ยวกับเรื่องอะไรคะ

      เกี่ยวกับเรื่องของฉันค่ะ

    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น