สำนึกอันตราย
  ฉันคิดเสมอว่าโลกนี้แบ่งเป็นตัวฉันกับพวกเขาหรือเธอ  ใช่  ตัวฉัน  กับพวกเขาหรือเธอ  และเพราะไม่มีใครเป็นพวกของฉัน  ดังนั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกของใคร  ฉันรู้ว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นๆในสังคมและแปลกแยกออกไปอย่างสิ้นเชิง  เป็นอย่างนี้ตั้งแต่วัยแรกรุ่นมัธยมศึกษาตอนต้นจนเติบใหญ่โดยที่แรกๆไม่รู้สาเหตุ  ฉันไม่เคยอยากไว้ใจใคร  ไม่แม้แต่คิดที่จะเชื่อใจใครอื่น  ฉันจึงไม่มีความต้องการที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคม  แต่เพราะตัวฉันที่แตกต่างยังต้องดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับใครๆทำให้ฉันต้องทำเป็นว่ามีชีวิตจิตใจ  อารมณ์ความรู้สึก  และนึกคิดเหมือนพวกเขา  มันอึดอัดนะที่ต้องพยายามเป็นมิตรกับผู้คนทั้งที่เกิดความขัดแย้งภายในตัวฉัน  และทำให้รู้สึกเหนื่อย  เหนื่อยมากทีเดียว  ซ้ำยังคิดว่าต้องกำจัดคนร่วมสังคมเพราะพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกับฉัน  เป็นสิ่งที่สมควรต้องทำลายทิ้ง  และฉันไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรกับการล้มหายตายจากของพวกเขา  นอกจากความปรีดาปราโมทย์ที่พึงก่อเกิด  ถึงจะเห็นพวกเขาทนทรมานกับการกระทำของฉัน  ฉันก็จะไม่มีความสงสารหรือเวทนาให้แม้สักนิด  เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ฉันพร้อม  ฉันก็จะกำจัดพวกเขา
  บัดนี้เมื่ออายุมากขึ้นและล่วงเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น  ฉันก็สามารถที่จะสืบสาวย้อนเหตุถึงที่มาของปมในใจ  และหากให้ฉันคาดเดาถึงสิ่งที่พอจะเป็นไปได้ที่ส่งผลให้ฉันเป็นอย่างนั้นทั้งหมดทั้งปวงและเท่าที่ฉันค้นคว้าหาหนังสือมาอ่านเพื่อลองวิเคราะห์ตัวเอง  เบื้องแรกอาจมีสาเหตุตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาของอีโก้ของนักจิตวิทยานามอีริคสัน (Erik  Homburger  Erikson)  จากหนังสือทฤษฎีบุคลิกภาพและการปรับตัว  ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3  ปรับปรุงใหม่  เขียนโดยรศ.นพมาศ  อุ้งพระ (ธีรเวคิน)  สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  2546  หัวข้อ \'พัฒนาการทางบุคลิกภาพ\'  ในส่วนของขั้นตอนในการพัฒนาของ Ego ลำดับขั้นที่ 1  ขั้น Oral - Sensory  อันเป็นพื้นฐานของความไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ  เนื้อหาบางส่วนกล่าวว่า
  ขั้นนี้คล้าย Oral  stage ของฟรอยด์และเกิดในขวบแรกของชีวิต  ความสุขอยู่ที่ปากและกิจกรรมหลักคือการให้อาหาร  ทารกจะอยู่และมีความรักทางปาก  ตัวแม่คือคนที่ดูแลความต้องการของเด็ก  และพัฒนาการที่ดีของเด็กขึ้นอยู่กับคุณภาพของการดูแล  เจตคติต่อการเลี้ยงลูกของแม่นั้นขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคมที่เธออาศัยอยู่  ตามความคิดของอีริคสัน  ถ้าแม่รักลูกและมีความคงเส้นคงวาในการเลี้ยงลูก  เด็กก็จะมีแนวโน้มที่จะพัฒนาการความไว้วางใจพื้นฐาน  ความสำเร็จขั้นแรกของทารกก็คือการที่เขายอมปล่อยให้คนเลี้ยงคลาดสายตา  ทั้งนี้เพราะเขามีความมั่นคงทางใจ  เพราะรู้ว่าเธอจะกลับมาหา  เขาจะไม่ร้อนรนใจอย่างไม่มีเหตุผล  ความมั่นคงทางใจดังกล่าวจะเริ่มสร้างเอกลักษณ์ของ ego  เพราะเด็กเริ่มรู้สึกว่าคนอื่นนั้นไว้ใจได้  หรือความไว้วางใจขั้นพื้นฐานนั้นมิได้เกิดจากความรู้สึกด้านเดียว  แต่มันเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก  มิเพียงแต่ความน่าไว้วางใจของแม่จะทำให้เด็กไว้ใจ  แต่ตัวเด็กก็มีพฤติกรรมที่แสดงความไว้วางใจ
  ในทางตรงกันข้าม  ความรู้สึกไม่ไว้วางใจเกิดจากตัวแม่มีอาการที่พึ่งไม่ได้  เหินห่างและปฏิเสธลูก  แม่ขาดคุณสมบัติที่จะให้ลูกพึ่งไม่ดูแลลูก  ทำให้เด็กคับแค้น  โกรธเคือง  ทำให้เด็กยิ่งเรียกร้องและยิ่งไม่มีเหตุผล  ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งจะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งความรู้สึกอันนี้จะมีผลต่อพัฒนาการในขั้นต่อๆไป 
  ถ้าความสัมพันธ์โดยทั่วไปกับแม่เป็นไปในเชิงบวกมากกว่าลบ  เด็กก็จะมีเจตคติต่อผู้อื่นที่ไว้ใจมากกว่าไม่ไว้ใจ  ซึ่งจะทำให้เด็กมีความเชื่อมั่นและมีความหวัง  การเริ่มต้นของความหวังอาจจะถูกความกดดันและความขัดแย้งมากระทบ  จนทำให้เสียหายหรืออาจจะได้รับการเสริมแรง  จนทำให้มีความเข้มแข็งเพราะมีประสบการณ์เชิงบวก
  ส่วนในหนังสือการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช  ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2  ปรับปรุงใหม่เพิ่มเติม  โดยรศ.อรพรรณ  ลือบุญธวัชชัย  สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  บทที่ 3  แนวคิดและทฤษฎีที่เลือกสรรทางการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช  หัวข้อ \'ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคม (Psychosocial  Development)\'  เนื้อหากล่าวถึงทฤษฎีของอีริคสันเช่นเดียวกัน  และเนื้อหาบางส่วนมีดังนี้
  อีริคสันได้พัฒนาทฤษฎีพัฒนาการทางสังคมโดยอธิบายพัฒนาการของบุคลิกภาพเป็น 8 ขั้นตอน  แต่ละขั้นตอนจะมีช่วงวิกฤติที่จะพัฒนาส่วนของบุคลิกภาพโดยเฉพาะตลอดชีวิต  ถ้าตลอดช่วงพัฒนาการเป็นไปด้วยดีก็จะมีการพัฒนาบุคลิกภาพในทางดี  บุคคลจะมีสุขภาพจิตดี  สามารถปรับตัวได้
  ในขั้นแรกคือขั้นความไว้วางใจและไม่ไว้วางใจ  อายุ 0 - 1 ปี  วัยนี้เด็กต้องพึ่งพาผู้อื่นโดยเฉพาะบิดามารดา  ในขั้นนี้เด็กจะพัฒนาความมั่นใจและความไว้วางใจทั้งต่อตนเองและผู้อื่น  ความรู้สึกนี้จะพัฒนามาจากความคงเส้นคงวาของบิดามารดาในการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของเด็ก  สัมพันธภาพที่อบอุ่นระหว่างบิดามารดาและบุตรเป็นสิ่งสำคัญมาก  และสำคัญยิ่งกว่าอาหารหรือการแสดงความรักใคร่อย่างผิวเผิน  ในช่วงนี้ถ้าเด็กได้รับการตอบสนองอย่างเหมาะสมด้วยความผูกพันรักใคร่ที่แสดงออกอย่างจริงใจ  และสัมผัสที่อบอุ่นของบิดามารดาจะทำให้เด็กรู้สึกว่าโลกนี้ปลอดภัย  น่าอยู่  น่าไว้วางใจ  ในทางตรงข้ามถ้าเด็กได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม  ไม่มีความคงเส้นคงวา  เด็กจะคิดว่าโลกนี้เต็มไปด้วยอันตรายไม่น่าอยู่  มีความหวาดระแวง  เด็กจะพัฒนาความไม่ไว้วางใจทั้งต่อตนเองและผู้อื่นต่อไป  อีริคสันกล่าวว่า  พัฒนาการของความไว้วางใจจะเป็นรากฐานของความเป็นเอกลักษณ์ของการรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้มีความสามารถ  เป็นตัวของตัวเอง  พึ่งตนเองและนำตนเองได้ในวัยต่อไป
  จริงอยู่ที่ฉันเป็นลูกโทนที่พ่อแม่สมควรต้องทุ่มเทความรัก  แต่ฉันเป็นเด็กที่เหมือนเอาแต่ใจตั้งแต่เป็นทารก  เวลาน้ำนมไหลน้อยหรือไม่ทันใจ  ฉันที่หิวจัดก็จะงอแง  ถ้าไหลมากก็ทำให้สำลัก  แม่เป็นคนขี้รำคาญและหงุดหงิดง่ายเป็นทุน  ท่านเลยเลิกให้ฉันดูดนม  แต่ดื่มจากขวดนมแทน  แม่ของฉันยังเคยเป็นโรคโปลิโอเมื่อวัยเยาว์ทำให้แขนและขาอย่างละข้างลีบเล็กไร้เรี่ยวแรง  แม่ไม่สามารถอุ้มฉันได้นานๆจึงต้องจ้างพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือ  การแตะต้องสัมผัสและความใกล้ชิดระหว่างแม่กับลูกอย่างที่พยายามโยงเข้ากับทฤษฎีข้างต้นก็น้อยลง  ฉันคิดว่าคงเข้าข่ายกรณีกระมัง 
  ขณะเดียวกันตลอดระยะที่ฉันเติบโตขึ้นตามวันเวลา  ยามพวกท่านทะเลาะกันก็มักจะหาพวก  อย่างพ่อโกรธแม่  ท่านจะไม่ยอมพูดกับแม่สักคำ  แต่จะพูดและเอาใจฉันมาก  แล้วแม่ก็จะพยายามเข้ามาหาฉันมากด้วยเหมือนกัน  ฉันกลายเป็นตัวกลางที่ไม่เข้าใจอะไรเลย  พอพวกท่านคืนดีกันและฉันทำผิด  พวกท่านก็จะเหมือนรุมต่อว่าและโกรธเคืองฉัน  โดยเฉพาะพ่อเป็นใหญ่ในบ้าน  แม่ก็จำต้องคล้อยตาม  หากแม่โกรธฉันและพ่ออารมณ์ดี  พ่อก็จะเข้าข้างแม่  นั่นทำให้ฉันเกิดความรู้สึกสับสนและไม่แน่ใจต่อความสัมพันธ์ภายในครอบครัว  ทั้งพวกท่านยังชอบใช้อารมณ์กับฉันมากกว่าที่จะใช้เหตุผลอธิบาย  ฉันคิดว่ามันหมายถึงความไม่คงเส้นคงวาของการเลี้ยงดูที่ฉันต้องประสบอย่างยาวนานจนมีผลต่อพัฒนาการขั้นต่อๆไปของฉัน  และจิตใจของฉันก็มีความรู้สึกคับข้องใจคอยกัดกร่อนเรื่อยมา
  พอโตขึ้นมาหน่อยพวกท่านส่งฉันเข้าสถานเลี้ยงเด็ก  ที่นั่นมีเด็กๆหลายคน  ฉันเป็นคนเดียวที่เข้าใหม่  ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่วันแรกฉันจะเอาแต่ร้องไห้  โอ้  คนเลี้ยงเด็กก็รำคาญเลยละ  เขาใช้การหลอกล่อและขังฉันในห้องน้ำอยู่นาน  ฉันยังร้องไห้ไม่ยอมหยุดและขอให้เขาปล่อยฉันออกไป  ดูเหมือนเขาจงใจละเลยต่อคำร้องขอของเด็กเล็กๆ  ฉันร้องเสียจนเสียงแหบแห้ง  เจ็บคอ  และหยุดไปเอง  ข้าวปลาก็ไม่ได้ทาน  เขาไม่สนใจว่าฉันหิวแสบไส้ขนาดไหน  หนำซ้ำน้ำก็ไม่ได้ดื่มสักหยด  ฉันมองก๊อกน้ำแล้วจินตนาการ  คุณรู้สึกได้ไหมว่าฉันต้องทรมานมากสักเพียงใด  แต่ฉันก็ไม่ดื่มน้ำก๊อกนะ  คนเลี้ยงเด็กปล่อยให้ฉันอยู่กับความหวาดกลัวสุดขีดและหิวกระหายอย่างหนัก  ที่สำคัญคือฉันกลัวว่าเขาจะขังลืม  แต่เขาไม่ยักลืม  ตอนเย็นก็ยอมปล่อยฉันออกมา  และพ่อเป็นคนมารับโดยที่คนเลี้ยงเด็กไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ทำอะไรไว้กับฉันสักคำ
  ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของลูก  เสียงของฉันแหบมากและมีไข้ขึ้นสูง  พอถูกถามก็แน่นอนว่าฉันที่ยังเด็กต้องบอกความจริง  จากนั้นพ่อแม่ตัดสินใจส่งฉันให้สถานเลี้ยงเด็กอื่นที่ไว้ใจได้  แต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่คิดอยากจะไว้ใจใคร  ค่อนข้างพูดน้อยและเงียบขรึมเก็บตัวเป็นนิสัย  พออายุถึงเกณฑ์ต้องเข้าโรงเรียน  ฉันก็ต้องอยู่ชั้นอนุบาล  แต่มีเหตุให้ฉันต้องขาดเรียนไปนานพอสมควร  เรื่องนี้ฉันไม่ยักจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่ใส่ใจจะถามอย่างทบทวนเอากับพ่อแม่
  กลับเข้าระบบโรงเรียนอีกครั้ง  เพื่อนๆของฉันก็เลื่อนชั้นกันหมด  พวกเขาเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1  แต่ฉันจะต้องอยู่ชั้นอนุบาล  ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะไม่มีคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา  มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆและไม่ยอมอย่างเด็ดขาด  ฉันอยากเลื่อนชั้น  พ่อแม่เลยต้องดิ้นรนให้ฉันได้สมใจ  ตอนนั้นดูเหมือนฉันจะเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ด้วยซ้ำ  พัฒนาการตามวัยยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร  เด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1  อ่านไม่ออก  เขียนไม่ได้  ครูบาอาจารย์ต้องเคี่ยวเข็ญกันน่าดู  แต่ฉันก็ตามเพื่อนๆจนทัน  ถึงอย่างนั้นในใจลึกๆยังบังเกิดความรู้สึกอ้างว้างขึ้นกับเด็กโดดเดี่ยวอย่างฉัน  ฉันเข้ากับใครไม่ได้และโดยมากต้องอยู่ลำพัง  สายตาเฝ้ามองเด็กอื่นๆเล่นด้วยกัน  ฉันไม่อาจเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร  และฉันเอาแต่เฝ้ามองทุกๆคน
  วันเวลาผ่านไปกับสถานศึกษาเดิมฉันก็ยังเป็นเด็กไร้เพื่อน  แต่พอเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในสถาบันแห่งใหม่  ฉันพยายามทำตัวให้เหมือนเด็กทั่วๆไป  ต้องใช้คำว่า \'พยายาม\' อย่างหนักที่จะมีเพื่อนกับเขาบ้าง  ต้องทำตัวหัวอ่อนกับคนที่แข็งแกร่งกว่า  ต้องหัดปรับตัวกับสภาพแวดล้อม  แล้วฉันก็มีเพื่อนสนิทเพียงสองหรือสามคนเท่านั้น  ฉันเข้ากับใครๆได้ยากจวบจนเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาเพราะเวลาที่อยู่กับคนอื่นๆซึ่งฉันพยายามพูดคุยให้ได้กับทุกคนๆ  ฉันจะรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว  พวกเขาไม่ใช่เพื่อนที่แท้จริง  ไม่ได้อยู่ในโลกที่เป็นของฉัน  ไม่มีใครเข้าถึงหรือสัมผัสถึงตัวฉัน 
ไม่มีเลย  ฉันเป็นคนที่ใครๆอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอึดอัดลำบากใจ  ฉันแทบไม่ให้ความสนใจกับอะไรจนเกินไปนัก  และในโรงเรียนสตรีล้วนก็มีการกลั่นแกล้งเวลาไม่ชอบหน้ากัน  ฉันเป็นคนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้และอยู่ให้เฉยๆนิ่งๆที่สุด  วัยนี้ฉันมีเพื่อนมากขึ้นกว่าวัยก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย  และฉันต้องแยกจากเพื่อนที่มีอยู่น้อยคนของฉันเมื่อต้องขึ้นชั้นเรียนมัธยมปลาย
  ความรู้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยกนั้นหยั่งรากฝังลึกและไม่มีทางลบเลือนไปได้  แต่ทางเลือกสำหรับการเข้ากลุ่มก็มีมากขึ้น  มนุษย์เป็นสัตว์สังคม  ฉันต้องสังคมเพื่อทำตัวให้กลมกลืน  นั่นล่ะเรื่องหลักที่จะทำให้เกิดการยอมรับติดตามมา
  \"แกเป็นคนพูดน้อยจนน่ากลัว\"  เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยระหว่างที่พวกเรา 4 คนล้อมวงพูดคุยที่โรงอาหาร
  \"เหรอ\"  ฉันพูดคำเดียว
  \"แกเนี่ยทำให้คนอื่นเกร็งเวลาเข้าใกล้\"  อีกคนวิจารณ์
  \"ฉันแค่ไม่รู้จะพูดอะไรก็เลยฟังอย่างเดียว\"  ฉันพูดตามตรง
  \"รู้ไหม  มีคนพูดถึงแกลับหลังว่าแกหยิ่ง\"  คนสุดท้ายบอก
  \"เปล่าหยิ่งซักหน่อย\"  ฉันไหวไหล่
  \"พวกเรารู้ว่าเพราะแกขรึม  คนอื่นเลยคิดว่าแกหยิ่ง  หน้าตาแกก็ไม่ค่อยยิ้มแย้ม  ถึงยังมีคนที่นินทาเข้าหู\"  เพื่อนคนเดิมบอกอย่างหวังดี
  \"ฉันเป็นพวกเคร่งล่ะมั้ง\"  ฉันหัวเราะน้อยๆ
  \"ใช่\"  สามเสียงประสาน  แต่มีรอยยิ้มบนใบหน้า
  การนินทาเป็นเรื่องปกติอย่างธรรมดาและฉันก็เคยได้ยินคนรอบข้างพูดถึงคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อย  ที่ฉันทำก็แค่นั่งฟังและไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ  มันทำให้ฉันรู้สึกอยากแยกตัวมากขึ้นเพราะไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเรา  จะเป็นบุคคลที่ไว้วางใจได้มากหรือน้อย  หรือไม่ได้เลย  และเพื่อนที่ฉันมีก็ไม่อาจทำให้สิ่งที่หยั่งลึกลบเลือนได้
  แล้ววัยใสชั้นมัธยมศึกษาก็กลายเป็นความหลังเมื่อเรียนระดับอุดมศึกษา  ฉันไม่เคยเปลี่ยนนิสัยหรือความรู้สึกนึกคิดจนเรียนจบและทำงานก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง  ที่มีเพิ่มขึ้นเห็นจะเป็นความรู้สึกนึกคิดที่ฝังแน่นชนิดไม่อาจสั่นคลอนได้  และฉันกำลังเฝ้ารอเวลาที่เหมาะสมสำหรับดำเนินการบางอย่างโดยไม่มีใครเคยสังเกตเห็นความผิดปกติในการลอกเลียนแบบความปกติเพื่อใช้ชีวิตในสังคมของฉัน
  ฉันทำงานเป็นอาจารย์ในโรงเรียนมัธยมในตัวจังหวัด  การเป็นอาจารย์ช่วยปกปิดความแตกต่างในตัวฉันอย่างมิดชิด  มีความน่าเชื่อถือที่ไม่ก่อให้เกิดความน่าสงสัยแต่ประการใด  และฉันยังแสดงสีหน้าท่าทางเหมือนคนอื่นๆอย่างแนบเนียน  กลางวันเป็นอาจารย์สาวผู้สอนวิชาเคมีผู้ใจดี
  \"ใครสอบได้คะแนนปลายภาคสูงสุด  ครูจะมีรางวัลให้\"  ฉันบอกท้ายชั่วโมงการสอนชั้นเรียนมัธยมปลายด้วยรอยยิ้มละไม
  เสียงเด็กนักเรียนเริ่มเซ็งแซ่
  \"จริงๆเหรอคะ\"  เด็กสาวแรกรุ่นคนหนึ่งหลุดปากถาม
  \"จริงจ้ะ\"
  \"ให้รางวัลอะไรคะ\"  คนที่นั่งอยู่หน้าสุดเอ่ย
  \"อืม  ไม่บอกนะ  เอาไว้ให้แปลกใจเล่น\"
  \"อาจารย์ก็ออกข้อสอบง่ายๆสิคะ\"  อีกเสียงบอกยิ้มๆ
  \"ข้อสอบของครูไม่ยากหรอก\"
  เสียงโอดครวญดังขึ้นเกือบทันที
  \"อะไรกัน  นี่คิดว่าข้อสอบของครูยากเหรอ\"
  \"ยากค่ะ\"  เด็กนักเรียนตอบอย่างพร้อมเพรียง
  \"เอาน่า  รับรองรางวัลคุ้มค่าแน่\"  ฉันเปิดยิ้มกว้าง
  ชีวิตกลางวันเป็นปกติและเป็นเรื่องที่เรียบง่าย  ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการเป็นอาจารย์ผู้สอนที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ร่วมกับใครต่อใคร  หากกลางคืนฉันเป็นนักวางเพลิงต่อเนื่อง  แรงกระตุ้นวัยเยาว์ที่ผลักดันให้ฉันเกิดความต้องการทำลายล้างผู้อื่นยังคงอยู่  มันไม่เคยจางหายไปไหน  ก็เพียงแต่เร้นตัวรอคอยช่วงจังหวะ 
  ทุกครั้งในการทำงานฉันจะกำหนดบ้านเป้าหมายด้วยการตระเวนสำรวจบ้านเรือนผู้คน  อ้างว่าเยี่ยมนักเรียน  เป็นข้ออ้างที่ง่ายและไม่มีใครติดใจ  ฉันมองหาไปเรื่อยๆ  ถ้าเจอหลังไหนสะดวกต่อการลงมือก็จะหมายตาไว้  พยายามบันทึกสิ่งที่เห็นไว้ในสมอง  สังเกตสภาพแวดล้อมรอบด้าน  คิดวางแผนคร่าวๆ  และใช้วิธีการแวะเวียนยามดึกสงัดด้วยรถจักรยานยนต์อีกคันที่ไม่เคยขี่ให้ใครพบเห็นอย่างคันของช่วงกลางวัน  พร้อมถอดแผ่นป้ายทะเบียนออก  ฉันเฝ้ามองบ้านหลังเดียวอยู่หลายคืนกว่าจะมั่นใจ  ขั้นต่อมาเป็นการกำหนดวันเวลาลงมือและวิธีการที่ใช้ 
  ที่ฉันวางเพลิงเพราะเพลิงเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจและเป็นเหตุให้ฉันชอบจุดไฟเล่นแต่เล็กแต่น้อย  มันเป็นการทำลายล้างที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวและทรงอานุภาพอย่างมาก  มันยังสามารถลุกลามเหมือนเชื้อโรคร้าย  ฉันชอบเห็นตอนมันลุกโชติช่วงให้ความสว่างและความร้อนแรงอย่างร้ายเหลือ
  การเผาทำลายบ้านเรือนที่ฉันกระทำจะทำให้ทั่วบริเวณสว่างจ้า  ใครๆจะมาเป็นไทยมุงด้วยความสมัครใจ  จับกลุ่มและส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างประหวั่น  และไม่อาจหาทางช่วยเหลือเหยื่อ  ไม่ว่าใครก็ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงมาดับไฟ  ไม่มีใครมานั่งจับตาหาตัวผู้ต้องสงสัย  ทุกคนล้วนมุ่งความสนใจไปที่เหตุที่กำลังเกิด  ระหว่างนั้นครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายต้องหาทางเอาตัวรอด  เมื่อเข้าตาจนก็อาจโผล่ทางหน้าต่างหรือหาทางหนีทีไล่อย่างทุลักทุเล  เขาจะร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างคนสิ้นหวังเพราะฉันก่อเหตุยามดึกสงัด  ทั้งผู้คนหลับสนิททำให้ไม่ทันตั้งตัว 
  ในกองเพลิงที่โชนแสงฉันสามารถรับรู้ได้ถึงเสียงกรีดร้องโหยหวน  ภาพของเหยื่อที่สำลักควันไฟ  และถูกย่างสดที่ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส  เป็นการตายและการทำลายล้างที่โหดร้ายทารุณ  แต่ทำให้ฉันรู้สึกปลื้มปีติอย่างยิ่งที่ได้กำจัดพวกเขา  ฉันจะอยู่ดูจนแน่ใจว่าไม่มีผู้รอดชีวิต  หรือความเสียหายที่ฉันเป็นผู้ก่อได้ลามถึงไหนต่อไหน  จากนั้นจะหาทางหลบเล็ดลอดออกไป
  การย้อนมาดูผลงานของตนกับตาเช่นนี้ถือเป็นการเสี่ยง  ฉันรู้ดีว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งล่ะที่ตำรวจจะต้องจับได้  แต่กว่าจะถึงวันนั้นฉันขอลงมือทำงานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกัน  เท่าที่ลงมือไปและนับรวมการลุกลามก็เพียงเกือบ 20 กว่าหลังคาเรือน  ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไร
  และตอนนี้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายอยู่กันพร้อมหน้า  กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตผู้คนและรักษาทรัพย์สิน  แต่มันสายไปเสียแล้ว  และเปลวไฟก็ลามเลียบ้านหลังติดกัน  คิดว่าคืนนี้พวกเขาคงต้องทำงานหนักเหมือนเคย  ช่างน่าเห็นใจเสียจริง
ฉันนึกสมเพชพวกเขา  และนั่น
  นายตำรวจนายหนึ่งซึ่งเป็นพ่อของลูกศิษย์จับจ้องมาที่ฉัน  และท่าทางก็เหมือนจะมุ่งมาหาฉันด้วย  เขาเดินมาจริงๆ
  \"สวัสดีครับคุณครูอ้อย\"  เขายิ้มขรึม  สายตาอย่างตำรวจเพ่งมองใบหน้าของฉันรวมทั้งกิริยาที่แสดงออก
  \"สวัสดีค่ะ\"  ฉันบอกเสียงเรียบ
  ไทยมุงบางคนเหลียวมองเราทั้งคู่เพียงครู่เดียวแล้วเลิกสนใจ
  \"มาทำอะไรดึกๆดื่นๆครับ\"  เป็นคำถามของตำรวจด้วยการตั้งข้อสังเกตเพราะบ้านที่ฉันเช่าอยู่ค่อนข้างห่างจากถิ่นนี้
  ฉันใช้ความคิดอย่างรวดเร็วและตระหนักว่าจะอย่างไรก็ไม่ควรเตร็ดเตร่ในที่เกิดเหตุในเวลาที่ไม่สมควร  กระนั้นฉันยังกล้าเอ่ยปากให้คำตอบกึ่งเท็จกึ่งจริง
  \"ฉันเพิ่งออกจากเธค  คือผ่านทางแวะส่งคนรู้จักน่ะค่ะ  คุณคงไม่ว่านะคะถ้าคุณครูจะเที่ยวกลางคืนบ้าง\"
  เขาหัวเราะเบาๆอย่างเข้าใจ
  \"ครับ  เกือบจะย่างเข้าวันเสาร์พอดี  และคุณครูไม่ต้องตื่นเช้าไปสอนด้วย\"
  \"มีใครรอดไหมคะ\"  ฉันเสเปลี่ยนเรื่อง
  \"ไม่น่าจะมีนะครับ\"  เป็นการคาดการณ์
  \"น่าเศร้าจัง\"  ฉันพูดเสียงสลดและตีสีหน้าให้สอดคล้องกับถ้อยคำ
  \"น่าเศร้ามากครับ  หลายครอบครัวเจอไฟไหม้  คนตายก็หลายศพ  แถมโดนเหมือนกันหลายท้องที่อีกต่างหาก  ทั้งที่กลางคืนมีสายตรวจแท้ๆ\"  บอกคล้ายปรารภด้วยความหนักใจกับเรื่องน่าปวดเศียรเวียนเกล้า
  \"จัดเป็นการฆาตกรรมแบบต่อเนื่องหรือเปล่าคะ\"
  \"คิดว่าเป็นงั้นครับ  เอ่อ  ผมว่านี่ก็ดึกมากละ  คุณครูกลับไปพักผ่อนดีกว่าครับ  เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ  เรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเราเถอะครับ\"
  \"ยังไงก็ขอให้จับคนร้ายได้เร็วๆนะคะ  ลาล่ะค่ะ\"
  \"ครับคุณครู\"
  ฉันแยกตัวออกจากกลุ่มคนพลางหันไปมองนายตำรวจคนนั้น  เขากลับไปทำงานของเขา  และฉันรอดตัวอย่างนึกกระหยิ่มใจ.
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น