ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไป๋เตี๋ย ผีเสื้อน้อยผจญภัย

    ลำดับตอนที่ #15 : ถึงแล้วเมืองลู่หลิ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 24 มิ.ย. 65


    ถึงแล้วเมืองลู่หลิ่ง

     

    เมื่อออกมาจากร้านขายอาภรณ์แล้ว รถม้าก็พาไป๋เตี๋ยกับโอวหยางฉีมาส่งที่ท่าเรือเหาะทันทีโดยไม่แวะไปที่ใดอีก เพราะอีกไม่นานเรือเหาะก็จะมาถึงแล้ว สีหน้าของโอวหยางฉีหลังจากที่เดินผ่านสตรีผู้นั้นมาแล้วไม่ได้ย่ำแย่ เขาไม่สนใจคนไร้มารยาทเช่นนั้น เมื่อผ่านมาแล้วก็ปล่อยไป ไม่ได้เก็บมาเป็นอารมณ์แต่อย่างใด

    ซึ่งไป๋เตี๋ยก็นับถือท่านอาจารย์ไม่น้อยเลย

    “เราไม่ต้องซื้อป้ายผ่านทางหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามเมื่อมองเห็นคนจำนวนหนึ่งที่กำลังยืนรอซื้อป้ายผ่านทาง ที่ใช้สำหรับขึ้นเรือเหาะอยู่ไม่ไกล

    “นี่สำหรับคนที่จะขึ้นชั้นหนึ่ง ของพวกเราอยู่ชั้นสี่” ได้ฟังเช่นนี้ไป๋เตี๋ยก็ไม่ได้ถามต่อ เพราะนางเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ละชั้นคงจะแบ่งแยกผู้มีฐานะและอำนาจออกจากกันอย่างชัดเจน นางพยักหน้ารับและเดินตามหลังท่านอาจารย์มาที่เส้นทางหนึ่ง ที่มีแท่นเคลื่อนย้ายจอดรออยู่

    โอวหยางฉีเดินนำขึ้นไปก่อนตามด้วยไป๋เตี๋ย รอไม่นานนักแท่นเคลื่อนย้ายก็เคลื่อนที่ขึ้นสูง เป้าหมายคือบนเนินที่เป็นจุดสูงสุด ซึ่งเป็นท่าจอดเรือเหาะ ระหว่างทางไป๋เตี๋ยได้มองไปรอบกาย ยามนี้นางมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองอู๋อย่างชัดเจน

    เมืองอู๋สมกับเป็นเมืองแห่งการค้าอย่างแท้จริง ไป๋เตี๋ยรู้สึกว่านี่คงนับเป็นเมืองที่เจริญมากที่สุดในแดนบรรพตเมืองหนึ่ง

    ผู้คนคับคั่งแต่ก็ล้วนมีฐานะ ระหว่างเดินทางมาที่ท่าเรือเหาะ ไป๋เตี๋ยไม่ได้พบเจอกับขอทานหรือคนยากไร้เลยสักคน นี่ทำให้รู้ว่าเจ้าเมืองอู๋นั้นสามารถบริหารจัดการเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี

    “ยินดีต้อนรับท่านจอมยุทธ์ใหญ่ขอรับ” ขึ้นมาจนสุดทางก็พบเจอกับบุรุษผู้หนึ่งที่มายืนรอรับ เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อพบกับโอวหยางฉีก่อนที่จะหลุบสายตาลงต่ำและพูดต่อ

    “ท่านเจ้าเมืองมารอพบท่านจอมยุทธ์ใหญ่…”

    “ไม่ต้อง ข้าเพียงผ่านทางมา”

    “ท่านเจ้าเมืองกล่าวว่ามีเนื้อหมีขาวมาให้ขอรับ” ไป๋เตี๋ยมองไปที่โอวหยางฉี และไม่ผิดไปจากที่คิด นางเห็นท่านอาจารย์ชะงักไป ก่อนจะยอมไปพบเจ้าเมืองอู๋แต่โดยดี

    คนผู้นั้นฉลาดที่รู้ว่าควรจะติดสินบนอาจารย์ของนางด้วยของสิ่งใดจึงจะได้พบหน้า นับว่าเจ้าเล่ห์ไม่น้อย ไม่คิดว่าท่านอาจารย์จะหลงกลง่ายๆ เช่นนี้ หรือเพราะว่าเป็นคนรู้จักกัน?

     

    บุรุษนำทาง เดินนำไป๋เตี๋ยกับโอวหยางฉีมาที่โรงน้ำชาหนึ่ง ที่มีไว้สำหรับรับรองคนที่มานั่งรอเรือเหาะ และเมื่อทั้งสองปรากฏกายแน่นอนว่าต้องตกอยู่ในความสนใจ เพราะด้วยลักษณะภายนอกแล้วไป๋เตี๋ยกับโอวหยางฉีไม่น่าจะสามารถขึ้นมาบนนี้ได้

    แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าทั้งสองเดินผ่านขึ้นไปบนชั้นสองของโรงน้ำชา นี่จึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าสอดปากขึ้นมา

    “ผู้ใดกัน จอมยุทธ์ที่เร้นกายรึ” ไป๋เตี๋ยกับโอวหยางฉีเดินผ่านไปแล้วจึงมีผู้กล้าส่งเสียงถาม

    “ร่างกายสูงใหญ่ ลักษณะคล้ายหมี ที่แดนบรรพตนี้เห็นจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น”

    “คล้ายหมี…ท่านโอวหยางฉีรึ”

    ดวงตาของพวกเขาต่างเบิกกว้าง ชื่อเสียงของโอวหยางฉีมีไม่น้อย อีกทั้งยังมีคำบอกเล่าว่าท่านจอมยุทธ์ใหญ่ผู้นี้มีลักษณะที่คล้ายกับหมี เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ต่างไม่มีผู้ใดคาดคิด ไม่คิดว่าท่านโอวหยางฉีจะเป็นดังเช่นคำเล่าลือจริงๆ

    …ช่างไม่น่าเชื่อ

    “ท่านโอวหยางฉีเร้นกายมานานเพราะเหตุการณ์เมืองเยว่ซิน มาครั้งนี้กลับปรากฏกาย มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด” บุรุษผู้หนึ่งพึมพำพลางเลื่อนสายตามองไปที่ชั้นสอง

    “เยียนฮ่าว นักเวทไฟผู้นั้นไม่ใช่ว่าจะไปทดสอบเข้าสำนักขุนเขาหรือ…ท่านโอวหยางฉีอาจจะสนใจในตัวของเขาก็ได้” พูดมาถึงตรงนี้ แววตาของจอมยุทธ์รุ่นเยาว์หลายคนก็แปรเปลี่ยนเป็นอิจฉา

    เยียนฮ่าวผู้นั้นอายุยังน้อยแต่กลับมีชื่อเสียงมาก ที่สำคัญเขายังเป็นนักเวทไฟ นี่ไม่แปลกที่จะทำให้โอวหยางฉีสนใจได้

    แต่ความจริงโอวหยางฉีไม่รู้เรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย…เข้าอยู่ในป่ามาตลอด จะไปรับรู้เรื่องราวภายนอกได้อย่างไร

    “เจ้าว่างมากรึอู๋เหล่ย” 

    อืม คงจะรู้จักกันจริงๆ

    คำทักทายของโอวหยางฉีที่เอ่ยกับท่านเจ้าเมืองอู๋ทำให้ไป๋เตี๋ยคิดว่าสิ่งที่นางคาดเดาก่อนหน้านี้นั้นถูกต้องแล้ว ท่านอาจารย์ของนางไม่ได้ถูกล่อลวงด้วยเนื้อหมีขาวเท่านั้น แต่ที่มาพบเพราะว่าทั้งสองคนนั้นรู้จักกันอยู่ก่อนแล้วจริงๆ 

    “เจ้าหายหน้าไปถึงสี่ปี ข้าก็ต้องมาพบเสียหน่อย มิคิดว่าจะยังคงกินดีอยู่ดี” อู๋เหล่ยตอบกลับก่อนจะหันมองมาที่ไป๋เตี๋ยและถามต่อ

    “แล้วนั่นผู้ใดกัน”

    “ลูกศิษย์ข้า…ไป๋เตี๋ย” โอวหยางฉียืดกายขึ้นและแนะนำไป๋เตี๋ยให้อู๋เหล่ยได้รู้จักด้วยสีหน้าแววตาที่ภาคภูมิใจ

    ซึ่งท่าทางของเขาก็ช่วยให้อู๋เหล่ยคลายความกังวลใจที่มีไปได้ อย่างน้อยตอนนี้โอวหยางฉีก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น ไม่ได้จมดิ่งอยู่กับการสูญเสียที่เจ็บปวดแล้ว

    “นังหนูเจ้าคิดผิดแล้ว” อู๋เหล่ยพูดกับไป๋เตี๋ย

    “เพ้ย! คิดหาเรื่องกันหรือคนแซ่อู๋”

    “ข้าเพียงอยากเตือนนางเท่านั้น” เจ้าเมืองอู๋ไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะสั่งให้คนนำเนื้อหมีขาวที่ผ่านการปรุงรสอย่างดีเข้ามาด้านในเพื่อให้โอวหยางฉีได้กินตามที่ปรารถนา

    โอวหยางฉีที่กำลังโวยวายเมื่อเห็นเนื้อหมีย่างก็สงบลงได้ ไป๋เตี๋ยเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหน้าไปมา แต่หลังจากนั้นนางก็ได้กินน้ำชาและขนมหวานเลิศรสเช่นกัน ไป๋เตี๋ยพึงพอใจมาก เพราะไม่ได้กินขนมหวานเช่นนี้มานานมากแล้ว

    ตั้งแต่อยู่ที่ดวงดาวนิรันดร์กาล ไป๋เตี๋ยก็ไม่ได้ชมชอบขนมหวานเท่าใด แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ตลอดเวลาหนึ่งปีห้าเดือนกินแต่ผลไม้ทิพย์ แม้มันจะช่วยให้อิ่ม แต่นางก็รู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย

    ครั้นจะให้กินหมีย่างกับท่านอาจารย์ ไป๋เตี๋ยก็ไม่มีความคิดที่จะทำเช่นนั้น

    กินจนอิ่มหนำรอไม่นานนักเรือเหาะก็มาถึง อู๋เหล่ยเดินมาส่งโอวหยางฉีกับไป๋เตี๋ยที่เรือ ท่ามกลางสายตาของคนจำนวนไม่น้อยที่มองมา

    ส่วนไป๋เตี๋ยไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นเพราะตอนนี้นางกำลังมองสำรวจเรือเหาะลำใหญ่เบื้องหน้าอยู่ เรือเหาะนี้สร้างมาจากไม้ที่ได้มาจากต้นพฤกษาร้อยปี แน่นอนว่ามันแข็งแรงมาก

    ตัวเรือรับรู้ได้ถึงพลังเวทที่ห่อหุ้ม เป็นวิชาเวทเหาะเหินและเวทเคลื่อนที่

    จะต้องเป็นนักเวทที่เก่งกาจด้านวิชาเวททั้งสองมากเพียงใดกันจึงสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ อย่างน้อยๆ จะต้องเก่งมากกว่าอาจารย์ของนางเป็นแน่…เมื่อคิดได้เช่นนั้นไป๋เตี๋ยก็หันไปมองหน้าโอวหยางฉี

    “อันใดของเจ้า?” โอวหยางฉีรับรู้ได้ถึงสายตาของไป๋เตี๋ยที่มองมาและเขาก็รู้ด้วยว่านางกำลังมีความคิดเช่นไรอยู่

    “เย่หงอิงแห่งสำนักวายุเป็นนักเวทลม ไม่แปลกที่นางจะชำนาญเวทเหาะเหินมากกว่าข้า”

    “อาจารย์ ข้าคิดว่าทุกคนล้วนชำนาญเวทเหาะเหินมากกว่าท่าน”

    คำพูดของโอวหยางฉี ไป๋เตี๋ยอดไม่ได้ที่จะกล่าวแย้ง ซึ่งมันทำให้นางได้รับสายตาที่ไม่พอใจมาจากท่านอาจารย์ทันที ประจวบเหมาะกับเรือเหาะมาเทียบท่าพอดี โอวหยางฉีจึงเดินนำนางขึ้นไปที่ชั้นสี่ของเรือเหาะ ซึ่งเป็นชั้นบนสุดหรือชั้นดาดฟ้าเรือนั่นเอง

    ในระหว่างที่กำลังขึ้นไปบนเรือเหาะ ไป๋เตี๋ยก็หันไปเห็นกลุ่มคุณหนูที่กล่าวหาว่าโอวหยางฉีเป็นยาจกเข้า

    แน่นอนว่าเมื่อนางมองไป สตรีเหล่านั้นต่างก็เร่งรีบหลบสายตา ไป๋เตี๋ยไม่รู้ว่าสตรีกลุ่มนั้นจะขึ้นไปที่ชั้นใด นางไม่ได้สนใจและเดินตามโอวหยางฉีขึ้นไปบนเรือทันที

    “สามารถขึ้นไปบนชั้นสี่ของเรือเหาะได้ แสดงว่าต้องเป็นศิษย์สำนักขุนเขาจริงๆ แล้วเช่นนี้จะทำอย่างไรกันดี” สตรีที่กล่าวว่าโอวหยางฉีเป็นยาจกมีสีหน้าที่เคร่งเครียด

    ตอนแรกนางยังไม่เชื่อนักว่าคนที่มีท่าทางยากจนเช่นนั้นจะเป็นศิษย์สำนักใหญ่ได้ ไม่คิดว่าจะมาเจอทั้งสองคนที่เรือเหาะอีกครั้ง และที่สำคัญทั้งสองยังขึ้นไปบนเรือเหาะชั้นสี่ที่ถ้าไม่ใช่คนที่ร่ำรวยมาก ก็ต้องมีอำนาจบารมีเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปได้

    “นี่ไม่เกี่ยวกับข้า เป็นเจ้าที่ทำตัวเสียมารยาทเอง” สหายที่มาด้วยกันตอบกลับไป นางพยายามที่จะหนีรอดจากความผิดนี้โดยเร็ว

    “ไม่เกี่ยวได้อย่างไร ไม่ใช่เจ้าหรือที่บอกข้าว่าอาภรณ์ทั้งหมดถูกขนเข้าไปในห้องหมายเลขสาม ข้าจึงตามเข้าไป”

    “ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าตามเข้าไป เป็นเจ้าที่ใจร้อนเข้าไปเอง”

    “นี่เจ้า!” สตรีที่เอ่ยต่อว่าโอวหยางฉีรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก นางไม่คิดว่าจะถูกหักหลังเช่นนี้ แม้นางจะทำผิดที่ใจร้อน แต่นี่ไม่ใช่เพราะถูกสหายยุยงหรือ!

    “…เรื่องนี้จะบอกผู้อาวุโสหรือไม่” คุณหนูที่เงียบมาตลอดถามแทรกด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลไม่น้อย นี่ทำให้สตรีที่กำลังทะเลาะกันหยุดชะงักโดยพลัน

    “ไม่ต้องบอก”

    “จะดีหรือ?” นางไม่กล้าปิดบัง รู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในภายภาคหน้าก็เป็นไปได้

    “เจ้าไม่พูดข้าไม่พูด คงไม่มีผู้ใดรู้แน่ อีกทั้งเราก็ไม่ได้จะเดินทางไปที่สำนักขุนเขา อย่างไรก็คงจะไม่ได้พบเจอกับคนทั้งสองอีก”

    คุณหนูผู้ต่อว่าโอวหยางฉีเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้ และสตรีอีกสองคนก็ไม่โต้แย้ง เพราะพวกนางกลัวว่าหากเล่าเรื่องนี้ไป พวกนางจะต้องถูกลงทัณฑ์จากเหล่าผู้อาวุโส ครั้งนี้ที่ได้ติดตามมาด้วยก็เพื่อมาดูพี่ชายสอบคัดเลือกเข้าสำนักใหญ่ หากว่าพวกนางก่อเรื่องเข้า อย่างไรก็ไม่มีวันรอดพ้นจากบทลงโทษแน่

    สุดท้ายแล้วสตรีทั้งสามก็ตัดสินใจเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านขายอาภรณ์ไว้เป็นความลับ ไม่คิดที่จะบอกเล่าให้ผู้ใดฟัง

     

    การเดินทางด้วยเรือเหาะใช้เวลาช้ากว่าการเดินทางด้วยเวทเหาะเหิน นี่เป็นเพราะว่าเรือลำนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่เดิมที่คิดว่าจะต้องใช้เวลาครึ่งเดือนในการเดินทางไปที่เมืองลู่หลิ่ง กลับกลายเป็นว่าต้องเดินทางเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแทน แต่ถึงอย่างนั้นไป๋เตี๋ยก็มองว่านี่รวดเร็วแล้ว

    ดีกว่าให้ท่านอาจารย์ของนางเดินทางด้วยตนเอง

    ตลอดเวลาเกือบสามสิบวันที่อยู่บนเรือเหาะ ไป๋เตี๋ยใช้เวลาหมดไปกับการฝึกฝนกระบี่นิรันดรทุกเช้าและเริ่มฝึกวิชาเวทยามอู่ นางมีห้องพักส่วนตัวไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็เป็นอิสระทั้งสิ้น ไป๋เตี๋ยไม่ยอมหยุดนิ่ง เพราะนางกังวลว่าระบบเกมอาจจะมอบภารกิจที่ไม่สามารถทำบนเรือเหาะได้ให้กับนาง

    โชคยังดีที่ระบบเกมยังมีความยุติธรรมอยู่บ้าง

    ส่วนอาจารย์ของนางก็เพลิดเพลินกับอาหารการกินและการเสี่ยงทายโชคลาง บนเรือเหาะมีเรื่องให้ทำไม่น้อยเลย ไป๋เตี๋ยเองก็ได้ลองทำทั้งหมดเช่นกัน

    นางชอบการเสี่ยงทายหินวิเศษมากที่สุด เพราะลงทุนไม่มากก็ได้หินศิลากลับคืน อีกทั้งนางก็ดวงดีมาก ด้วยเหตุนี้ช่วงเวลาสามสิบวันบนเรือเหาะจึงไม่เบื่อหน่ายเลย

    “นังหนูไป๋ หากเบื่อสำนักขุนเขาก็มาที่สำนักวายุของข้าได้”

    “เพ้ยตาเฒ่าเกา คิดจะแย่งชิงศิษย์ของข้ารึ!”

    “ข้าพูดกับนังหนูไป๋ ไม่ได้พูดกับเจ้า”

    “ไร้ยางอายยิ่ง ศิษย์รักเจ้ารีบไป” ว่าแล้วไป๋เตี๋ยก็ถูกลากตัวไปโดยไม่ทันได้ร่ำลาผู้อาวุโสเกาหรือเกาซ่าง ท่านอาจารย์แห่งสำนักวายุหนึ่งในสิบสำนักใหญ่

    ผู้อาวุโสเกากำลังเดินทางกลับไปที่สำนักวายุเพราะการสอบคัดเลือก ซึ่งสำนักวายุนั้นยังต้องเดินทางต่อไป ทำให้ทั้งสามต้องแยกทางกันตรงนี้ เพราะยามนี้เรือเหาะได้มาถึงที่เมืองลู่หลิ่งแล้ว

    มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลงที่ท่าเรือเมืองลู่หลิ่ง เมืองที่เป็นที่ตั้งของสำนักขุนเขา ไป๋เตี๋ยเองก็พึ่งรู้ว่าตอนนี้สิบสำนักใหญ่กำลังจะรับศิษย์ใหม่ รวมทั้งสำนักขุนเขาด้วย เรียกได้ว่าโอวหยางฉีพานางกลับมาที่สำนักได้อย่างประจวบเหมาะพอดี

    หัวใจของไป๋เตี๋ยสั่นไหวไม่น้อย เพราะที่แห่งนี้จะเป็นที่ที่นางต้องอยู่อาศัยต่อไปจากนี้…สำนักขุนเขา นางมาถึงแล้ว

    [เข้าสู่เมืองลู่หลิ่ง]

     

     

    ###

    ขออภัยรี้ดที่น่ารักของคุณไรท์ที่ไม่อาจจะลงสองตอนทุกวันได้ เนื่องจากคุณไรท์กลัวว่าของจะหมดสต็อก!

    เจอคำผิดแล้วแจ้งได้นะคะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×