ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไป๋เตี๋ย ผีเสื้อน้อยผจญภัย

    ลำดับตอนที่ #14 : เหมือนยาจกหรือ?

    • อัปเดตล่าสุด 23 มิ.ย. 65


    เหมือนยาจกหรือ?

     

    ชื่อ : ไป๋เตี๋ย (เชื้อพระวงศ์) เลเวล : 60

    ค่าพลังโจมตี : 2000 ค่าพลังเวท : 1000

     

    คนเยอะ นั่นคือความรู้สึกของไป๋เตี๋ยเมื่อเดินผ่านเข้ามาในเมืองอู๋ แม้ก่อนจะเข้าเมืองนางจะมองเห็นจำนวนคนที่ดูมากแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าภายในเมืองจะยังมีคนมากมายถึงเพียงนี้ ไป๋เตี๋ยหันไปมองหน้าท่านอาจารย์ที่เดินอยู่ข้างกายนาง ตอนนี้ม้าสายลมได้ถูกปล่อยไปแล้ว เพราะอย่างไรโอวหยางฉีก็คงจะไม่พาม้าขึ้นไปบนเรือเหาะด้วย

    “ต้องรออันใดหรือเจ้าคะ” ก่อนหน้านี้โอวหยางฉีเข้าไปพูดคุยกับผู้เฝ้าประตูโดยให้นางยืนรอที่ตรงนี้ แต่ยามนี้เมื่อเขากลับมา ก็ยังไม่เดินทางต่อไป

    ในขณะที่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มมองมาด้วยความสนใจ คงเพราะขนาดตัวที่สูงใหญ่ยิ่งนักของท่านอาจารย์ของนาง

    “รถม้า เจ้าจะได้ไม่ต้องเดินเบียดเสียดกับผู้คน” เห็นเช่นนี้โอวหยางฉีก็ใส่ใจลูกศิษย์มาก ไป๋เตี๋ยอยู่ในป่ามานาน คงยังไม่คุ้นชินยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนจำนวนมาก เพราะเหตุนี้เขาจึงเรียกรถม้าให้มารับ

    “ปกติแล้วคนมากเช่นนี้หรือเจ้าคะ” เมื่อพยักหน้ารับแล้วนางก็ถามต่อด้วยความสงสัย

    “เมืองอู๋เป็นเมืองท่าที่มีเรือเหาะมาจอดและยังเป็นย่านการค้าไม่แปลกที่คนจะเยอะ แต่วันนี้มีคนมากเป็นพิเศษ เพราะอีกไม่นานสำนักใหญ่จะคัดเลือกศิษย์ใหม่แล้ว แม้ว่าสำนักทั้งหมดจะไม่ได้ตั้งอยู่ที่เมืองเดียวกัน แต่ทางทิศตะวันตกนี้ หากต้องการเดินทางด้วยเรือเหาะก็ต้องมาที่เมืองอู๋เท่านั้น” อธิบายแล้วก็หันไปมองในทิศทางหนึ่งแล้วพูดต่อ

    “จำได้ว่าใกล้ท่าจอดเรือมีร้านขายอาภรณ์ชั้นดีอยู่ อาจารย์จะพาเจ้าไปเลือกดูก็แล้วกัน” ตอนแรกตั้งใจจะพาไป๋เตี๋ยไปเลือกซื้ออาภรณ์ที่เมืองลู่หลิ่ง แต่ยามนี้ยังพอมีเวลาว่างอยู่

    “เจ้าค่ะ”

     

    หลังจากนั้นรถม้าที่รอคอยก็มาถึง คนขับรถม้าแสดงท่าทางนอบโน้มต่อโอวหยางฉีไม่น้อย ซึ่งอาจารย์ของนางก็เพียงพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยบอกให้รถม้าพาไปยังร้านขายอาภรณ์ชั้นดีที่เขาพูดถึง

    แน่นอนว่าไป๋เตี๋ยรู้สึกตื่นเต้นพอสมควรจนดวงตาพราวระยับอย่างเช่นเด็กสาวตัวน้อย

    แม้จะนึกสนใจแต่นางก็ไม่ได้มองไปรอบกายอย่างเสียกิริยา เพียงมองผ่านไปเล็กน้อย ท่าทางนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่านางถูกสอนสั่งการวางตัวมาจนเพียบพร้อมเหมาะสม

    โอวหยางฉีไม่เคยถามศิษย์รักของตนว่านางเป็นใครมาจากที่ใดแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าศักดิ์ฐานะของไป๋เตี๋ยจะต้องไม่ธรรมดาสามัญ

    เมืองอู๋ สมกับเป็นเมืองการค้า เพราะสินค้าแปลกตาจำนวนมากล้วนมีให้ได้เห็น ไป๋เตี๋ยมองเห็นร้านรับซื้อขายจำนวนมาก นี่ทำให้นางนึกถึงซากสัตว์ร้ายที่นางมีเก็บไว้ในช่องเก็บของ พวกหมีทมิฬนั้นนำออกมามอบให้โอวหยางฉีเกือบทั้งหมด เพราะเขาชอบกิน แต่สำหรับสัตว์ร้ายชนิดอื่นๆ ไป๋เตี๋ยยังคงเก็บพวกมันเอาไว้ไม่ได้ใช้งาน

    ความจริงระบบผลิตเองก็มีส่วนประกอบที่สามารถนำซากสัตว์เหล่านี้มาใช้งานได้ เพียงแต่ไป๋เตี๋ยไม่จำเป็นต้องใช้ของเหล่านั้น นางจึงไม่ได้ผลิตพวกมันขึ้นมา โชคดีที่ช่องจัดเก็บนั้นสามารถคงสภาพข้าวของเอาไว้ได้

    เพราะเหตุนี้ต่อให้วันเวลาผ่านมานานเพียงใด มันก็ยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะมีก็เพียงสิ่งที่มีชีวิตเท่านั้นที่ไม่อาจจะเก็บไว้ได้

    “ท่านอาจารย์ หากข้าอยากขายซากสัตว์ร้ายจะได้หรือไม่” ไป๋เตี๋ยหันมาถามโอวหยางฉี 

    “ย่อมได้ แต่เจ้าเป็นศิษย์สำนักขุนเขา หากนำไปขายที่สำนักย่อมต้องได้ราคาที่ดีกว่าขายข้างนอกเช่นนี้”

    “ตัวหนึ่งขายได้เท่าไรหรือเจ้าคะ”

    “หากเป็นหมีป่าก็สามศิลาเงิน แต่ถ้าเป็นหมีทมิฬขายได้ถึงหนึ่งศิลาทอง” เหตุใดจึงบอกแค่ราคาหมีกันเล่า ไป๋เตี๋ยทำหน้ามุ่ย

    “แล้วสัตว์อื่น…” 

    “อาจารย์ไม่รู้ เรื่องนี้ต้องถามที่เรือนซื้อขายในสำนัก”

    ไป๋เตี๋ยมองหน้าโอวหยางฉี เหตุใดนางจึงไม่รู้สึกแปลกใจกับคำตอบของท่านอาจารย์กัน

    “นอกจากท่านแล้ว ยังมีผู้อื่นชอบกินสัตว์ร้ายอีกหรือเจ้าคะ” นางถามต่อ เพราะอยากรู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงรับซื้อซากสัตว์เหล่านี้

    “มีไม่น้อย แต่ส่วนมากก็รับซื้อแล้วนำไปขายต่อ เก็บไว้ใช้งานเพียงไม่มาก สำนักที่มีนักหลอมและนักปรุงยาต้องการใช้ซากสัตว์เหล่านี้มากกว่า นอกจากนั้นขนของพวกมันก็ยังเลาะมาทำเป็นเครื่องห่มกายและอาภรณ์ได้” โอวหยางฉีอธิบาย เขาเข้าใจในความสงสัยของไป๋เตี๋ย

    “แต่ขนของพวกสัตว์ร้ายหนามาก นี่ไม่เหมาะกับอากาศของที่นี่” แดนบรรพตไม่เคยมีหิมะตกทั้งยังอากาศร้อนชื้นพอสมควร อาภรณ์หนาๆ ล้วนไม่จำเป็นสำหรับที่แห่งนี้

    “ยังทำชุดเกราะหนังสัตว์ได้ อีกส่วนก็ยังส่งขายได้ แม้ที่ดินแดนนี้จะไม่ต้องการ แต่ที่อื่นของเหล่านี้เป็นที่ต้องการมาก โดยเฉพาะดินแดนทางเหนือ” ดินแดนทางเหนือเป็นที่ที่อากาศเย็นตลอดทั้งปีและมีหิมะตกเกือบตลอดทั้งปีเช่นกัน คราวนี้ไป๋เตี๋ยเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดขนสัตว์หนาๆ พวกนี้จึงเป็นที่ต้องการ

    “ว่าแต่เจ้ายังมีหมีทมิฬเก็บไว้อยู่รึ” โอวหยางฉีถามขึ้นมาบ้าง ไป๋เตี๋ยจึงหรี่ตามองท่านอาจารย์ของนางด้วยสายตารู้ทัน

    “หมีทมิฬไม่มีแล้ว ตัวสุดท้ายก็อยู่ในท้องของท่านอย่างไรเล่า” 

    “เอาเถอะๆ” 

    ไม่นานหลังจากนั้นรถม้าก็เคลื่อนที่มาจนถึงหน้าร้านขายอาภรณ์ชั้นดี โอวหยางฉีนำพาไป๋เตี๋ยเดินเข้ามาในร้าน มีผู้ดูแลร้านจำนวนหนึ่งมองมาที่พวกนางด้วยสายตาดูแคลน แต่แววตาของคนเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงไปโดยพลันเมื่อโอวหยางฉีแสดงตราสัญลักษณ์ออกมา

    ตราสัญลักษณ์เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันฐานะของเหล่าจอมยุทธ์ที่ได้รับการรับรองจากสมาพันธ์กลาง ที่ไม่มีทางปลอมแปลงได้ สมาพันธ์กลางคือหน่วยงานที่ควบคุมดูแลกฎเกณฑ์ทั้งหมดของจอมยุทธ์ เพื่อป้องกันจอมยุทธ์ที่อาจจะใช้พลังในทางที่ผิดและเพื่อป้องกันปัญหาการขัดแย้งกันจนก่อให้เกิดสงคราม

    ไป๋เตี๋ยยังไม่มีตราสัญลักษณ์ เพราะหากต้องการตราสัญลักษณ์จะต้องเข้ารับการทดสอบ ซึ่งไป๋เตี๋ยยังไม่เคยทำเช่นนั้น และที่สำคัญก็มีจอมยุทธ์เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะผ่านการทดสอบและได้ครอบครองตราสัญลักษณ์ ซึ่งโอวหยางฉีเป็นหนึ่งในนั้น

    ไม่น่าเชื่อว่าอาจารย์ที่หมกมุ่นอยู่กับการกินหมีและเหาะเหินชนต้นไม้จนศีรษะปูดบวม จะเป็นคนที่เก่งกาจถึงเพียงนี้

    “ท่านจอมยุทธ์ใหญ่ต้องการสิ่งใดหรือขอรับ” ไม่นานนักก็มีคนเดินมาต้อนรับโอวหยางฉีด้วยท่าทางน้อมนอบ ซึ่งโอวหยางฉีก็ไม่ได้พูดพร่ำนัก เขาเพียงมองมาที่ไป๋เตี๋ยและตอบกลับไป

    “ข้ามาซื้ออาภรณ์ที่ดีที่สุดให้ศิษย์ของข้า” 

    “เช่นนั้นเชิญขึ้นด้านบนก่อนขอรับ”

    โอวหยางฉีกับไป๋เตี๋ยถูกเชิญขึ้นมาชั้นบนซึ่งไป๋เตี๋ยคิดว่านี่คงเป็นชั้นสำหรับรองรับคนใหญ่คนโต

    เพราะเมื่อขึ้นมาด้านบนแล้วนางก็รับรู้ได้ถึงความหรูหราที่มีมากกว่าชั้นแรก ทั้งสองถูกเชิญให้เข้ามารอในห้องหมายเลขสาม และไม่นานก็มีกลุ่มสตรีจำนวนหนึ่งเดินถืออาภรณ์ราวสิบชุดเข้ามาในห้องเพื่อให้ไป๋เตี๋ยได้เลือกสรร

    “นี่เป็นอาภรณ์ที่ตัดเย็บมาจากผ้าไหมเหมันต์ทั้งชุดขอรับ แน่นอนว่าเหมาะกับอากาศที่ร้อนยิ่งของแดนบรรพตเป็นอย่างมาก” ผู้ดูแลร้านอธิบาย ไป๋เตี๋ยจึงลองสัมผัสเนื้อผ้าดูและพบว่าอาภรณ์นี้ค่อนข้างเย็นจริงๆ น่าจะช่วยคลายร้อนได้พอสมควร ถึงแม้ว่านางจะเป็นนักเวทธาตุไฟ แต่ความเย็นสบายนางก็ชมชอบเช่นกัน

    “เป็นอย่างไร ชอบหรือไม่?” 

    “เจ้าค่ะ” ไป๋เตี๋ยหันไปพยักหน้าให้โอวหยางฉีทันที นางชอบทั้งเนื้อผ้าและการตัดเย็บ ชุดนี้ใส่แล้วจะต้องเบาสบายมากเป็นแน่

    “มีสิบชุดรึ”

    “ขอรับ มีเพียงสิบชุดเท่านั้น” เมื่อโอวหยางฉีเอ่ยถาม ผู้ดูแลร้านก็รีบตอบกลับทันที

    “เช่นนั้นก็เอาทั้งสิบชุด”

    “ท่านอาจารย์นี่มันมากไป” นางท้วง เพราะรู้สึกว่าหากซื้ออาภรณ์ทั้งสิบชุด นี่ค่อนข้างมากเกินไปหรือไม่

    “ไม่มาก แดนบรรพตเราไม่มีไหมเหมันต์ นี่ถูกส่งมาจากแดนทางเหนือ ไม่ใช่ว่าทุกร้านจะมีขาย อีกทั้งนี่ก็ต่างสีกันทั้งหมดอย่างไรเจ้าก็ได้ใช้”

    “เป็นเช่นนั้นขอรับ อีกทั้งปีนี้ไหมเหมันต์ยังถูกส่งมาน้อยมาก ที่เมืองอู๋นี้นอกจากร้านของเราแล้วก็ไม่มีร้านใดขายอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมเหมันต์อีกแล้วขอรับ” เมื่อโอวหยางฉีอธิบายให้นางได้เข้าใจ ผู้ดูแลร้านจึงเอ่ยสำทับ สุดท้ายไป๋เตี๋ยก็ไม่ได้แย้งคำใดอีก เพราะอย่างไรท่านอาจารย์ก็เป็นผู้เสียหินศิลาไม่ใช่นาง

    นางเพียงต้องรับของที่ผู้ใหญ่ให้มาด้วยความรู้สึกที่ยินดีเท่านั้น

    “อาภรณ์จากผ้าไหมเหมันต์ ขายชุดละสองศิลาทองขอรับ รวมทั้งสิ้นแล้วก็ยี่สิบศิลาทอง…” ผู้ดูแลร้านยังพูดไม่จบประโยค ตอนนั้นก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังแทรกขึ้นมา

    ก่อนที่จู่ๆ ประตูห้องหมายเลขสามที่พวกนางอยู่จะถูกเปิดออกอย่างถือวิสาสะ

    “นี่อย่างไรอาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าไหมเหมันต์ แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงบอกว่าไม่มีเหลือแล้ว!” คนที่ทำตัวเสียมารยาทเป็นสตรีกลุ่มหนึ่ง ส่วนผู้ที่เอ่ยพูดอยู่ในตอนนี้ก็เป็นสตรีที่มีใบหน้าที่ค่อนข้างจะขาวมาก…ไป๋เตี๋ยไม่แน่ใจว่านี่เป็นเพราะนางใช้แป้งผัดหน้ามากเกินไปหรือไม่

    “คุณหนูท่านนี้ยามนี้อาภรณ์ทั้งหมดถูกขายแล้วขอรับ”

    “ขายให้ผู้ใดกัน ยาจกนี่น่ะรึ?”

    …หืม? ยาจกหรือ

    คำพูดนี้ทำให้ไป๋เตี๋ยขมวดคิ้ว ก่อนที่นางจะก้มหน้ามองตนเองและหันไปมองโอวหยางฉี อืม…รู้สึกไม่แปลกใจที่สตรีหน้าขาวผู้นี้จะเข้าใจผิด

    อาจเพราะพวกนางอยู่แต่ในป่า เลยไม่ได้ดูแลตนเองนัก คิดมาถึงตรงนี้ไป๋เตี๋ยก็รู้สึกอับอาย นางเป็นถึงองค์หญิงผู้หนึ่ง แต่กลับปล่อยตัวฝึกฝนพลังจนความงามเลือนราง โอสถบำรุงมีไม่น้อยแต่ไป๋เตี๋ยกลับไม่เคยสนใจ มีเพียงแค่เคยบำรุงมือให้กลับมานุ่มนิ่มเท่านั้น

    หลังจากนี้นางต้องบำรุงตนเองยกใหญ่แล้ว

    ด้านโอวหยางฉีก็ไม่ต่างกัน หนวดเคราของท่านอาจารย์นั้นยาวจนแทบจะไปรวมกับเส้นผมอยู่แล้ว ในขณะที่ไป๋เตี๋ยกำลังครุ่นคิด ผู้ดูแลร้านที่รู้ดีว่าโอวหยางฉีเป็นผู้ใดถึงขั้นพูดไม่ออก

    เขาเป็นกังวลว่าท่านจอมยุทธ์ใหญ่จะบันดาลโทสะ มิรู้ว่าสตรีผู้นี้ไม่มีตาหรืออย่างไร คนธรรมดาสามัญหรือจะขึ้นมาบนชั้นสองได้!

    “ยี่สิบศิลาทอง” หินศิลาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของผู้ดูแลพร้อมกับเสียงที่ฟังดูเย็นชามาก ผู้ดูแลร้านตัวสั่นงันงกแต่ก็รีบรับเอาหินศิลาไป และส่งมอบชุดทั้งหมดให้กับโอวหยางฉี

    “เชิญขอรับ” 

    เพียงเท่านี้การซื้อขายก็เสร็จสิ้น กลุ่มคุณหนูที่ไร้มารยาทยังไม่ทันได้เอ่ยคำพูดที่ไม่น่าฟัง ตอนนั้นโอวหยางฉีก็หันไปมองสตรีหน้าขาวผู้นั้นด้วยแววตาที่เรียบนิ่งดุจน้ำขัง

    เป็นครั้งแรกที่ไป๋เตี๋ยได้เห็นท่านอาจารย์ของนางแสดงท่าทางที่หยิ่งผยองเช่นนี้ออกมา

    “นังหนูระวังปากเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นมันจะนำพาหายนะมาสู่เจ้า”

    “นี่เจ้า!” เสียงหวีดแหลมของสตรีหน้าขาวขาดห้วงไป นางตัวแข็งทื่อเพราะสายตาที่เรียบนิ่งของโอวหยางฉีที่บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นดุดันน่าเกรงขาม กลิ่นอายรอบกายช่วยเตือนให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ได้รู้ว่า โอวหยางฉีไม่ใช่คนธรรมดาที่ผู้ใดจะมาดูถูกเหยียดหยามได้

    สตรีผู้นั้นยืนนิ่งงันก่อนที่โอวหยางฉีจะเดินผ่านหน้านางไป พร้อมด้วยไป๋เตี๋ยที่เดินตามด้วยท่าทางสงบ ราวกับว่ากลิ่นอายความน่ากลัวนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดต่อนาง

    “เจ้า…ข้าจะให้พี่ชายของข้าจัดการกับเจ้า!”

    เมื่อทั้งสองเดินผ่านมาแล้ว เสียงของสตรีผู้นั้นก็ดังหลังตามมา โอวหยางฉีไม่หันหน้ากลับไปมองให้เสียเวลา เขาเพียงทิ้งคำพูดหนึ่งที่ทำให้สตรีผู้นั้นแทบสิ้นสติไปทันทีที่ได้ยิน

    “เช่นนั้นก็ให้พี่ชายเจ้าไปพบข้าที่สำนักขุนเขาเมืองลู่หลิ่งก็แล้วกัน…”

    “!!!”

    “แล้วข้าจะรอ”

     

     

    ###

    นิยายของไรท์ มันจะขาดฉากตัวประกอบที่หนึ่งไปได้ยังไง!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×