คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ร่ำเรียนพลังเวท
ร่ำเรียนพลังเวท
ชื่อ : ไป๋เตี๋ย เลเวล : 45
ค่าพลังโจมตี : 1000 ค่าพลังเวท : 30 ยอดเงิน 15870 เหรียญทอง
โอวหยางฉีเป็นบุรุษตัวใหญ่เทียบเท่าหมี ไว้หนวดเครารุงรังตั้งแต่สูญเสียภรรยาและบุตรสาวไป อาหารที่ชอบมากๆ คือหมีย่างเกลือ และผู้ที่สอนให้เขากินหมีก็คือผู้เป็นภรรยา โอวหยางฉีเป็นนักเวทไฟ เขาเป็นอาจารย์อยู่ที่สำนักขุนเขา และศิษย์สายตรงมีเพียงหนึ่ง นั่นก็คือไป๋เตี๋ย
ไป๋เตี๋ยกลายเป็นศิษย์รักของโอวหยางฉี เพราะนางสามารถเรียนรู้และเข้าใจเรื่องของวิชาเวทได้เร็วมาก และที่สำคัญที่สุดที่ทำให้โอวหยางฉีภูมิใจในตัวของไป๋เตี๋ยมาก นั่นเป็นเพราะว่าไป๋เตี๋ยสามารถหาหมีทมิฬ สัตว์ร้ายที่เป็นอันตรายมาให้เขากินได้
“น่าเสียดายที่ไม่มีหม้อต้มใบใหญ่ ไม่เช่นนั้นอาจารย์จะลองตุ๋นหมีให้เจ้ากินดู”
“ท่านยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจจะให้ข้านั้นชอบกินหมีเช่นท่านอีกหรือเจ้าคะ?” ไป๋เตี๋ยขมวดคิ้ว และมองไปที่ซากหมีทมิฬด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน สัตว์ร้ายกลิ่นสาบรุนแรงเสียยิ่งกว่าสัตว์ป่า ไม่รู้ว่าโอวหยางฉีนั้นกินเข้าไปได้อย่างไรกัน
“เหตุใดเจ้าไม่ลองดูเสียหน่อย…”
“ไม่เจ้าค่ะ” นางปฏิเสธทันควัน ไม่จำเป็นต้องคิดมากเลยด้วยซ้ำ
“เอาล่ะๆ วันนี้อาจารย์จะสอนให้เจ้าใช้วิชาเวทโจมตี” เมื่อโอวหยางฉีจะสอนสั่งวิชา ไป๋เตี๋ยจึงหันกลับมาสนใจเขาอีกครั้ง
ตั้งแต่วันที่ไป๋เตี๋ยกราบโอวหยางฉีเป็นอาจารย์เวลานี้ก็ผ่านมาสิบวันแล้ว ไป๋เตี๋ยเริ่มเรียนรู้วิชาเวทขั้นพื้นฐาน โดยตอนนี้นางสามารถเรียกใช้ดวงไฟลูกเล็กๆ ที่ใช้สำหรับก่อกองไฟเท่านั้นได้แล้ว
แต่เรื่องที่จะใช้วิชาเวทเล่นงานผู้ใด ไป๋เตี๋ยยังไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น พลังโจมตีของนางมีอยู่หนึ่งพัน ในขณะที่พลังเวทเพิ่มมาเพียงแค่สิบหลังจากที่เริ่มต้นเรียนอย่างถูกวิธี
ตอนนี้ไป๋เตี๋ยมีค่าพลังเวทแค่สามสิบเท่านั้น นี่คือแตกต่างที่ห่างชั้นอย่างชัดเจน
ที่ไป๋เตี๋ยไม่รู้คือความสามารถของนางนั้นนับว่าเป็นอัจฉริยะได้แล้ว ร่ำเรียนเพียงแค่สิบวันก็สามารถก่อกองไฟด้วยพลังเวทได้ ในขณะที่โอวอยางฉีกว่าจะทำเช่นนี้ได้ ยังต้องใช้เวลาหลายปี หรือนี่เป็นเพราะว่าตัวของเขาในวัยเยาว์นั้นไม่ตั้งใจฝึกฝนวิชากัน?
“อาวุธของนักเวทก็คือพลัง สิ่งที่สำคัญคือพลังที่ถือครอง เจ้าต้องเชื่อมั่นในพลังที่มี ไม่เช่นนั้นแล้วพลังของเจ้าก็ไม่มีทางแข็งแกร่ง” ไป๋เตี๋ยพยักหน้ารับและมองไปที่มือของตัวเองเล็กน้อย
“เอาล่ะ เจ้าเรียกใช้พลังเวทให้ข้าดู”
พรึ่บ!
เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของโอวหยางฉี ลูกไฟก็ปรากฏขึ้นมาบนมือเล็กของไป๋เตี๋ย แต่เป็นเพียงดวงไฟเล็กๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของนางไม่มากเท่านั้น
“ต้นไม้นั่น…ลองทำลายดู” โอวหยางฉีชี้ไปที่ต้นไม้หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลไปจากนางเท่าใดนัก ไป๋เตี๋ยมองต้นไม้ต้นนั้น ก่อนจะซัดพลังไฟเข้าใส่ตรงๆ เพียงแต่ว่า ลูกไฟที่ถูกส่งไปกลับดับลงแทบจะทันทีที่นางซัดพลัง
เหลือเพียงควันสีดำจางๆ เท่านั้น หากแต่ไป๋เตี๋ยก็ไม่ยอมแพ้ นางยังคงโจมตีเข้าใส่ต้นไม้ต้นนั้นอย่างต่อเนื่อง
แต่มันก็ไม่สัมฤทธิ์ผล พลังเวทของนางไม่ว่าจะทำเช่นไร ลูกไฟก็ถูกส่งไปได้เพียงแค่ไม่กี่คืบและที่สำคัญมันเป็นเพียงแค่ลูกไฟลูกเล็กๆ เท่านั้น
“พลังเวทมาจากในกายเจ้า ไม่ใช่ที่ฝ่ามือนังหนู”
ไป๋เตี๋ยหันไปมองโอวหยางฉีเมื่อเขาพูดขึ้นมา หลังจากที่ยืนนิ่งดูนางโจมตีเข้าใส่ต้นไม้อย่างทุลักทุเลอยู่นานสองนาน
…พลังเวทมาจากภายในกายนาง พลังเวทอยู่ภายในไม่ใช่ที่ฝ่ามือ ตลอดเวลาที่โจมตีเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า ไป๋เตี๋ยพยายามให้มีไฟออกมาจากมือของนาง แต่นางไม่ได้คิดไปถึงจุดกำเนิดของพลัง ไป๋เตี๋ยมีพลังได้เพราะระบบ ระบบที่อยู่ในกายของนาง พลังนี้ไม่ได้ถูกส่งมาจากฝ่ามือเท่านั้น
พอคิดได้เช่นนั้นไป๋เตี๋ยก็ตั้งใจปลดปล่อยพลังออกมาอีกครั้ง และในตอนนี้ลูกไฟในมือของนางก็ขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม นี่ทำให้ไป๋เตี๋ยยิ้มออก ก่อนที่นางจะซัดพลังเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่อย่างเต็มแรง
ฟิ้ว…ฟึบ
ลูกไฟดับลง ไป๋เตี๋ยยังไม่อาจจะทำลายต้นไม้ที่เบื้องหน้าได้ แต่พลังของนางมีขนาดที่ใหญ่และเคลื่อนที่ไปได้ไกลมากกว่าเดิมแล้ว
[พลังเวทเพิ่มขึ้น]
“ถูกต้องแล้ว ครานี้ให้เจ้าดึงพลังออกมามากกว่าเดิม แล้วเจ้าจะสามารถทำลายต้นไม้ต้นนั้นได้” …น่าจะอีกราวๆ สี่ห้าปี ไป๋เตี๋ยจึงจะทำได้สำเร็จโดยสมบูรณ์
การใช้พลังเวทโจมตีไม่ใช่เรื่องง่าย แท้จริงแล้วโอวหยางฉีสมควรจะสอนการร่ายเวทและการใช้เวทเหาะเหินหรือเวทป้องกันให้กับไป๋เตี๋ยก่อน
เพียงแต่ว่าเพราะรู้ถึงฝีมือของลูกศิษย์ตนดี หลังจากที่ได้อยู่กับนางมาสิบวัน ไป๋เตี๋ยเป็นนักล่าที่ยอดเยี่ยม โอวหยางฉีจึงเลือกที่จะสอนเวทโจมตี ที่ร่ำเรียนได้ยากมากที่สุดให้กับนาง อีกทั้งนี่เป็นวิชาที่ตัวเขานั้นถนัดมากที่สุด
ปัง!
หากแต่พูดจบไปได้เพียงแค่ไม่นาน ในตอนนั้นไป๋เตี๋ยก็ซัดพลังเข้าใส่ต้นไม้อีกครา มันเข้าใกล้ขึ้นและรุนแรงมากยิ่งขึ้น และเมื่อไป๋เตี๋ยเริ่มโจมตีซ้ำเข้าไปอีกครั้งและครานี้ลูกไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งตรงเข้าใส่ต้นไม้ตรงหน้าจนไฟโหมลุกไหม้ฉับพลัน
ดวงตาของโอวหยางฉีเบิกกว้าง นางสามารถโจมตีด้วยพลังที่นักเวทต้องร่ำเรียนกันราวสิบปีได้อย่างไร!
นี่มากกว่าที่ตนคาดการณ์ ตอนแรกโอวหยางฉีคิดเพียงว่าสี่ถึงห้าปีไป๋เตี๋ยน่าจะสำเร็จขั้นพื้นฐานของการโจมตีเท่านั้น ที่สำคัญนางโจมตีอย่างรุนแรงได้โดยไม่จำเป็นต้องร่ายเวทด้วยซ้ำ!
“เจ้า…เจ้า” โอวหยางฉีถึงกับพูดไม่ออก ไป๋เตี๋ยละสายตาจากต้นไม้ใหญ่ที่กำลังถูกเผาทำลายโดยเวทไฟของนาง ก่อนที่นางจะหันมามองหน้าอาจารย์ของตน
“ข้าทำผิดหรือ?” ไป๋เตี๋ยถามขึ้นเพราะสีหน้าของโอวหยางฉีตอนนี้ดูประหลาดมาก เขาทั้งดวงตาเบิกกว้างและอ้าปากค้าง ไป๋เตี๋ยไม่กล้าพูดตรงๆ แต่ท่านอาจารย์ของนางตอนนี้ดูน่าเกลียดยิ่งนัก
“ไม่ ไม่ใช่” โอวหยางฉีส่ายหน้า ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดี
ศิษย์ของตนมีความสามารถมากเหลือเกิน ในตอนแรกที่โอวหยางฉีต้องการรับไป๋เตี๋ยเป็นลูกศิษย์ นั่นเป็นเพราะว่านางทำให้เขานึกถึงบุตรสาวที่ลาลับอีกทั้งยังนึกถึงตนในอดีต
นอกจากนั้นเด็กสาวเช่นนางยังอยู่ในป่าเขาเพียงลำพัง โอวหยางฉีเองก็เข้ามาในป่าเพื่อจะหลบเลี่ยงผู้คน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นการที่ต้องอยู่เพียงลำพังก็ทำให้เขาฟุ้งซ่านไม่น้อย
โอวหยางฉีไม่อยากจะคิดว่าไป๋เตี๋ยจะทนได้อย่างไร นางมีจิตใจที่ดีถึงเพียงนั้น คนที่ช่วยปลอบโยนเขาด้วยความจริงใจ ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนไม่ได้รู้จักกัน ไป๋เตี๋ยทำให้โอวหยางฉีซาบซึ้งในน้ำใจ
เขาคิดจะตอบแทนนางด้วยการถ่ายทอดวิชาเวทให้ เพราะอย่างไรโอวหยางฉีก็คงจะไม่มีกะจิตกะใจไปตามหาลูกศิษย์มารับสืบทอดวิชา
โอวหยางฉีตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบและไม่ได้ไตร่ตรองความคิดตน อาศัยเพียงความรู้สึกถูกชะตาในตอนนั้นเท่านั้น ไม่คิดว่านี่จะทำให้เขาได้พบเจอกับศิษย์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยพรสวรรค์อย่างแท้จริงเช่นนี้
“การโจมตีด้วยพลังเวท แท้จริงสามารถใช้งานตรงๆ ได้ แต่นี่เป็นเรื่องที่ยาก นักเวทหลายคนไม่อาจจะทำได้ พวกเขาจำเป็นต้องร่ายเวทก่อน ข้าเองก็เช่นกัน มิเช่นนั้นแล้วร่างกายอาจจะได้รับบาดเจ็บจากการสะท้อนของพลังได้”
“….”
“ที่ข้าสอนเจ้า เป็นเพียงพื้นฐานการโจมตีด้วยพลัง การใช้ระยะทางที่มากขึ้น แต่การเพิ่มความแข็งแกร่งให้พลังเวท จำเป็นจะต้องรวบรวมพลัง แต่เจ้ากลับข้ามขั้นมาได้”
พรึ่บ! พูดจบโอวหยางฉีก็เรียกตำราเล่มสีดำที่ดูค่อนข้างเก่าแก่มากเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ ก่อนจะส่งมอบมันให้กับไป๋เตี๋ย ศิษย์เพียงคนเดียวของตน
“นี่เป็นตำราเวทที่ข้าสืบทอดมาจากอาจารย์ของข้า เจ้านำไปศึกษาดู”
แท้จริงโอวหยางฉีคิดจะมอบตำราเวทอีกเล่มให้กับไป๋เตี๋ยหลังจากสอนสั่งนางเรื่องของพลังเวทขั้นพื้นฐานแล้ว นั่นเป็นเพียงตำราเวทที่เหล่านักเวทต้องศึกษากัน แต่ไม่คิดว่าไป๋เตี๋ยจะทำได้ดียิ่งกว่านั้น นางก้าวข้ามขั้นพื้นฐานได้ตั้งแต่วันแรกที่ร่ำเรียนการใช้พลังโจมตี
นางทำได้ดีจนโอวหยางฉีรู้สึกว่าตำราธรรมดาเหล่านั้นไม่ได้เหมาะสมกับความสามารถของนาง
สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจมอบตำราวิชาเวทโบราณให้กับไป๋เตี๋ย ตำราเล่มนี้มีวิชาเวทโบราณถูกบันทึกเอาไว้มาก ที่แม้แต่ตัวของโอวหยางฉีเองก็ยังไม่อาจจะศึกษาตำราทั้งเล่มได้สำเร็จ
กระทั่งอาจารย์ของเขาเองก็เช่นกัน…มันยากเย็นถึงเพียงนั้น
“ข้าจะรีบนำมาคืนท่านเจ้าค่ะ” ไป๋เตี๋ยรับเอาตำราเวทโบราณมาและพูดขึ้น นางเพียงต้องการเวลาสักระยะในการเชื่อมต่อตำรากับระบบของนางเท่านั้น
“ไม่จำเป็น เจ้าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของข้า”
“ท่านอาจารย์ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่นี่ หากว่าครอบครัวของข้ามารับ…ตำราเล่มนี้อย่างไรข้าก็รับเอาไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เอาเถิด เช่นนั้นเจ้าก็ตั้งใจศึกษา จากนั้นค่อยนำมาคืนข้า” โอวหยางฉีตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาได้เลือกนางเป็นศิษย์แล้ว จากนี้คงไม่รับศิษย์คนใดอีก หากนางจากไปถึงอย่างไรโอวหยางฉีก็มั่นใจว่าถ้าตำราอยู่ในมือของนางแล้ว มันจะต้องเกิดประโยชน์มากอย่างแน่นอน
โอวหยางฉีเชื่อเช่นนั้น
หนึ่งปีผ่านไป
ชื่อ : ไป๋เตี๋ย (เชื้อพระวงศ์) เลเวล : 60
ค่าพลังโจมตี : 2000 ค่าพลังเวท : 1000
ตู้ม!
“จงดับ!”
เปลวไฟที่กำลังโหมไหม้ค่อยๆ มอดดับลงเมื่อสิ้นคำสั่งของนาง ไป๋เตี๋ยมองดูพื้นที่บริเวณกว้างที่เสียหายไม่น้อยแล้วขมวดคิ้ว เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กัน วันนี้วันเดียวกลับเกิดเพลิงไหม้รอบบริเวณวิหารเก่า ที่นางใช้เป็นที่อยู่อาศัยกว่าสามครั้งแล้ว
“ศิษย์รัก อาจารย์คิดว่าเราต้องออกจากป่ากันแล้วล่ะ”
คราวนี้ไป๋เตี๋ยขมวดคิ้วมากกว่าเดิมและหันไปมองโอวหยางฉี นางอยู่กับเขามาหนึ่งปี นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอาจารย์ผู้โปรดปรานการกินหมีเป็นชีวิตจิตใจ เอ่ยปากบอกให้นางออกจากป่า
“เพราะเหตุใดกันหรือเจ้าคะ” ไป๋เตี๋ยถามขึ้นทันที
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดที่นี่จึงถูกเรียกว่าป่าเก้าพิษ”
“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ” ไป๋เตี๋ยไม่อายที่จะยอมรับตรงๆ ว่านางไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ อีกทั้งโอวหยางฉีก็รู้ว่านางไม่ใช่คนของที่นี่ แม้เขาจะไม่เคยถามเรื่องราวของนางที่มากกว่านี้ แต่ท่านอาจารย์ก็เข้าใจในตัวนาง
“ป่าแห่งนี้ทุกๆ เก้าปี จะมีพิษนับร้อยนับพันชนิดปรากฏขึ้นมา นี่คงจะครบกำหนดเวลาของมันแล้ว”
“เช่นนั้นพวกสัตว์จะอยู่ได้หรือเจ้าคะ” หากว่าทุกปีป่าแห่งนี้ได้ทำการปลดปล่อยพิษออกมาจริงๆ เช่นนั้นที่นี่ก็ไม่สมควรจะมีสิ่งมีชีวิตใดๆ อาศัยอยู่ไม่ใช่หรือ
“น่าแปลกที่พวกมันอยู่ได้…หรือไม่ พวกมันก็คงจะรู้ว่าต้องกินสมุนไพรใดเพื่อแก้พิษ”
พูดมาถึงตรงนี้ไป๋เตี๋ยก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสมุนไพรและพรรณไม้ที่เติบโตในป่าแห่งนี้ ส่วนมากจึงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยถอนพิษทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกจันทราหวนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพรในตำนาน ตอนที่นางนำดอกจันทราหวนออกมาให้โอวหยางฉีได้เห็น เขากล่าวบอกนางว่า เพียงแค่ดอกเดียวก็สามารถขายได้มากถึงหนึ่งพันศิลาทองแล้ว เพราะว่ามันหายากมากจริงๆ
ไป๋เตี๋ยครุ่นคิด ในตัวของนางมีโอสถถอนพิษระดับสูงอยู่มาก เพียงแต่ว่าไป๋เตี๋ยไม่แน่ใจว่าโอสถที่นางมี จะถอนพิษได้ทุกชนิดหรือไม่ เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และที่สำคัญไป๋เตี๋ยก็ไม่เคยใช้งานโอสถถอนพิษด้วยตนเอง
คนเดียวที่ใช้โอสถถอนพิษของนางมีเพียงบุรุษอาภรณ์ขาว ที่นางเคยพบเจอเมื่อหนึ่งปีก่อนผู้นั้น และยามที่ร่างกายขับพิษออกมา เขาก็ดูทั้งเจ็บปวดและทรมาณมาก หากเลือกได้ไป๋เตี๋ยเองก็ไม่ได้ต้องการเป็นเช่นนั้น
“หากเจ้าไม่ต้องการจะออกไปจากที่นี่ อาจารย์ก็จะอยู่กับเจ้า”
เพราะไป๋เตี๋ยเงียบไม่ยอมตอบกลับ โอวหยางฉีจึงกล่าวว่าจะอยู่กับนาง หากแต่ไป๋เตี๋ยกลับส่ายหน้าปฏิเสธ นางจะทำให้ท่านอาจารย์ต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องได้อย่างไร เพียงแค่ออกจากป่าที่นางใช้อยู่อาศัยมาตั้งแต่ต้นเท่านั้น ป่าที่เป็นจุดเริ่มต้นของนาง
กว่าหนึ่งปีห้าเดือนที่นางอยู่บนดินแดนบรรพตแห่งนี้ ถึงเวลาที่นางต้องก้าวออกไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเสียที
“ข้าจะไปเจ้าค่ะ…ข้าจะออกจากป่าแห่งนี้”
###
ความคิดเห็น