คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บุรุษที่มาพร้อมหมี
บุรุษที่มาพร้อมหมี
ชื่อ : ไป๋เตี๋ย เลเวล : 45
ค่าพลังโจมตี : 1000 ค่าพลังเวท : 20 ยอดเงิน 15870 เหรียญทอง
นางดวงไม่ดี
[ได้รับ ปิ่นหยกทอแสง]
ไป๋เตี๋ยถอนหายใจ พื้นที่ตั้งกว้างใหญ่แต่ที่เจอมีเพียงปิ่นหยกเท่านั้น แม้ไป๋เตี๋ยจะชื่นชอบของที่สวยงาม แต่ยามนี้นางก็ไม่ได้พบเจอผู้ใด ไป๋เตี๋ยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องประดับ ถึงอย่างนั้นไป๋เตี๋ยก็ยังเก็บปิ่นหยกเอาไว้ เพราะไม่แน่มันอาจจะนำไปใช้กับระบบผลิตหรือระบบซ่อมแซมได้
ตอนนี้บรรดาข้าวของในช่องจัดเก็บของนาง สิ่งที่ไป๋เตี๋ยมองว่ามีค่ามากที่สุดก็คือหินศิลาสีทองหนึ่งพันก้อน นางยังไม่ได้แลกเปลี่ยนหินศิลาที่ได้รับมาเป็นเหรียญทอง สาเหตุเป็นเพราะว่านางกังวลเรื่องของภารกิจช่วยเหลือ ไป๋เตี๋ยกลัวว่านางจะได้รับภารกิจประจำวันเช่นนั้นอีก แล้วถ้านางทำภารกิจไม่สำเร็จไป๋เตี๋ยจะถูกระบบยึดเหรียญไปครึ่งหนึ่ง
เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องที่อยุติธรรมเช่นนั้นเกิดขึ้นกับนางอีก ไป๋เตี๋ยจึงตัดสินใจเก็บศิลาสีทองเอาไว้ก่อน รอเมื่อต้องใช้แล้วค่อยแลกเปลี่ยนก็ยังไม่สาย
รัตติกาลมาเยือน ไป๋เตี๋ยตามหาสมบัติจนมืดค่ำ นางจึงหาที่พัก แน่นอนว่าคงเป็นต้นไม้ใหญ่สักต้นแต่นางต้องดูก่อนว่ายามค่ำคืนของป่าชั้นในนี้แตกต่างจากป่าต้องห้ามมากเพียงใด ที่แห่งนั้นทันที่ดวงตะวันลาลับนางก็เริ่มได้ยินเสียงร้องของสัตว์ร้ายและมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว
แต่ที่นี่ทุกอย่างยังคงสงบอยู่ พื้นที่สีเขียวที่ปลอดภัยนั้นมีมากกว่าในป่าต้องห้าม ในป่าแห่งนั้นพวกมันคงวิ่งพล่านทั่วทั้งป่าเพื่อล่าเหยื่อแต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน และหากสิ่งที่นางคิดนั้นถูกต้อง วันนี้นางก็คงจะได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่
ใช่หรือไม่?
โฮกกก!
อ่า…คงไม่ใช่
ไป๋เตี๋ยมองลงไปเห็นหมีป่าตัวใหญ่กำลังวิ่งตรงมาในทิศทางที่นางอยู่ พร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งที่รูปร่างสูงใหญ่และมีหนวดเครารุงรังไม่ต่างจากเจ้าหมีที่วิ่งไล่ เกิดมาพึ่งเคยเห็นคนตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ ระบบไม่แจ้งเตือนถึงอันตรายเพียงแจ้งเตือนการเข้าใกล้ของสัตว์ป่ากับมนุษย์
ไม่รู้ว่ามนุษย์ผู้นี้ไปก่อเรื่องอันใดไว้ หมีป่าตัวนี้จึงโกรธจัดถึงเพียงนี้
ตุบๆ
ถึงจะตัวใหญ่แต่ชายผู้นั้นกลับคล่องแคล่วว่องไวมาก เพียงไม่นานเขาก็วิ่งมาจนถึงต้นไม้ที่นางใช้เป็นที่พัก ก่อนที่เขาจะรีบปีนขึ้นมา ไป๋เตี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ขับไล่คนผู้นี้ไป และทำแค่เพียงมองเขาปีนขึ้นมาบนกิ่งไม้ใหญ่ก่อนที่เขาจะพบเจอกับนาง
“ขอข้าอยู่ด้วย” เขาไม่ตื่นตระหนกที่เห็นนาง คงจะรู้อยู่แล้วว่านางอยู่บนต้นไม้ต้นนี้ ไป๋เตี๋ยไม่ได้ตอบนางเพียงมองลงไปที่เจ้าหมีซึ่งวิ่งตามมาจนถึงต้นไม้ต้นนี้แล้วเช่นกันเพียงแต่ว่ามันไม่อาจจะปีนขึ้นมาได้
“ท่านไปทำอันใดให้มันโกรธหรือ” ปกติหมีป่ามักมีอาณาเขตที่ชัดเจน ไป๋เตี๋ยแน่ใจว่าบริเวณนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของหมี การที่ทำให้หมีวิ่งไล่ได้ไกลถึงเพียงนี้ แสดงว่าจะต้องไปยั่วยุให้มันมีโทสะที่มากล้นอย่างแน่นอน
“เพียงจับมันมาย่างเท่านั้น”
“?”
“ข้าค่อนข้างชอบกินหมีย่างเกลือ ไม่คิดว่ามันจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน” ไป๋เตี๋ยขมวดคิ้ว หมีนั้นมีกลิ่นสาบที่แรงมาก นางไม่อยากจะคาดเดารสชาติ เพียงแต่นางรู้สึกได้ว่ามันจะต้องทั้งเหนียวและเหม็นเป็นแน่…เหตุใดจึงกล้ากิน?
“ถึงขั้นจับหมีได้แล้วเมื่อมันฟื้นขึ้นมา เหตุใดท่านไม่จัดการกับมันเล่า เหตุใดจึงวิ่งหนี?” ไป๋เตี๋ยยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวนัก นางจึงถามต่อ
“ยาสลบของข้าหมดแล้ว”
ไป๋เตี๋ยรู้สึกว่าคนผู้นี้แข็งแรงและแข็งแกร่ง หากต้องสู้กันจริงๆ เขาต้องจัดการกับหมีตนนี้ได้ เพียงแต่เขานั้นไม่ยอมลงมือ หรือไม่นี่ก็อาจจะเป็นความชอบส่วนตัว…เขาอาจจะชอบให้หมีวิ่งไล่? ไป๋เตี๋ยรู้สึกว่านางเริ่มคิดไร้สาระ คนเช่นไรกันจะชอบให้หมีวิ่งไล่
ไม่แน่เขาอาจจะมีเหตุผลที่ไม่ยอมสู้ก็ได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ไป๋เตี๋ยก็ไม่คิดจะตั้งคำถามใดๆ อีก นางเงียบลงและมองลงไปที่หมีป่า ที่ดูท่าแล้วคงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่
“เจ้าจัดการมันให้ข้าได้หรือไม่…ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่าจะทำได้” เมื่อนางเงียบลงบุรุษผู้นั้นก็พูดขึ้นมาแทน ไป๋เตี๋ยหันไปมองเขา คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ความสามารถของนางยังไม่ได้แสดงออก แต่เขากลับรู้ได้
“มีสิ่งใดตอบแทนหรือไม่” นางถามตรงๆ รู้สึกว่าปิดบังความสามารถไปก็เท่านั้น ในเมื่อเขารู้ว่านางมีฝีมือ ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง
“เจ้าอยากได้สิ่งใดเล่า?”
“ข้าต้องการศิลาทอง” สิ่งเดียวที่ดูจะใช้ประโยชน์ได้คือหินศิลาสีทอง แม้ว่านางจะได้มาแล้วหนึ่งพันก้อนจากบุรุษชุดขาว แต่ไป๋เตี๋ยก็ยังอยากได้เพิ่ม
“ข้าให้เจ้าหนึ่งก้อน จัดการหมีตัวนั้นให้ข้าที” ไป๋เตี๋ยยู่หน้า หนึ่งก้อนสำหรับนางแล้วน้อยเป็นอย่างมาก
“อันใด? น้อยไปรึ หมีป่าตัวหนึ่งหากนำไปขาย สามารถขายได้หนึ่งศิลาเงินเท่านั้น ข้าให้เจ้าหนึ่งศิลาทอง นี่นับว่ามากแล้ว”
“…หนึ่งก้อนก็หนึ่งก้อน” เรื่องค่าเงินของชาวดินแดนนี้ไป๋เตี๋ยพอจะรู้อยู่บ้างจากตำราที่ค้นพบ เรื่องที่คนผู้นี้พูดคงจะไม่ได้หลอกลวงกัน และเมื่อตอบรับแล้วไป๋เตี๋ยก็ดึงมีดสั้นคู่ใจของนางออกมาก่อนจะกระโดดลงไปเผชิญหน้ากับเจ้าหมีโชคร้ายโดยเร็ว
ฉับ!
แม้ว่าจะเป็นมีดสั้นแต่ด้วยความชำนาญของนางหลังจากที่เผชิญหน้ากับหมีทมิฬสัตว์ร้ายในป่าต้องห้ามมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ไป๋เตี๋ยนั้นรู้ว่าหากต้องการปลิดชีพพวกมัน นางต้องโจมตีที่บริเวณใดและไป๋เตี๋ยก็ไม่พลาด ใช้เวลาเพียงไม่นานหมีป่าก็ล้มลงพร้อมกับโลหิตที่ไหลริน
“เรียบร้อยแล้ว” ไป๋เตี๋ยเงยหน้ามองไปบนต้นไม้และพูดขึ้น ชายร่างใหญ่เทียบเท่าหมีผู้นั้นจึงกระโดดตามลงมา
“เจ้าฝีมือดีจริงๆ ทุกการโจมตีเล่นงานที่จุดตาย หมีตัวนี้ยังไม่ทันได้รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ” เขากล่าวชม ส่วนไป๋เตี๋ยก็เพียงเช็ดทำความสะอาดมีดเงียบๆ
“กินด้วยกันหรือไม่”
“เชิญท่านเถิด” ให้กินหมีรึ…ไม่มีทาง ไป๋เตี๋ยปฏิเสธและปีนกลับขึ้นไปบนต้นไม้ ส่วนชายผู้นั้นไม่ได้ตามขึ้นมา เขาเดินออกไปไม่ไกลและกลับมาพอฟืนก่อนจะเริ่มจุดไฟ
พรึ่บ!
ไป๋เตี๋ยมองมือของคนผู้นั้นที่มีลูกไฟปรากฏขึ้นมาแล้วขมวดคิ้ว นั่น…พลังเวทเช่นนั้นหรือ?
แม้ว่านางจะนึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามคำใดออกมา จนกระทั่งบุรุษตัวใหญ่ผู้นั้นก่อกองไฟและเริ่มชำแหละหมี กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไม่น้อย ไป๋เตี๋ยจึงกระโดดลงจากต้นไม้อีกครั้งและเดินไปโรยผงเลือนรางในบริเวณโดยรอบ
ผงเรือนลางนี้ได้มาจากระบบผลิต เป็นผงที่ช่วยกลบกลิ่นของเลือดได้เป็นอย่างดี ไป๋เตี๋ยมักใช้ในยามราตรี เพื่อไม่ให้สัตว์ร้ายหรือมนุษย์กลายพันธุ์ตามกลิ่นของเลือดมา และเมื่อเสร็จสิ้นแล้ว นางก็กลับขึ้นไปบนต้นไม้ตามเดิม
“เจ้าอยู่ในป่าเพียงลำพังรึ”
ภายใต้ความเงียบ ในระหว่างที่บุรุษร่างใหญ่กำลังเริ่มกินหมีย่าง เขาก็เอ่ยถามนาง ไป๋เตี๋ยมองลงไป ไม่ได้ตอบคำถามในทันทีจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดต่อไป
“เจ้าคล้ายกับบุตรสาวของข้าไม่น้อย นางเก่งกาจและรอบคอบเสมอ”
“….” ไป๋เตี๋ยเงียบไม่ได้พูด แต่นางก็รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของชายคนนั้นค่อนข้างจะสั่นเครือพอสมควร…เขากำลังจะร้องไห้เช่นนั้นหรือ แม้ไป๋เตี๋ยจะไม่ได้รับรู้เรื่องราว แต่นางก็รู้สึกได้ว่าคนผู้นี้กำลังเศร้า
“ฮ่าๆ ข้าอยู่ในป่ามานาน พอเจอกับเจ้าแล้วกลับนึกถึงบุตรสาวเสียได้ ขออภัยๆ” บุรุษร่างใหญ่พูดพลางหัวเราะ แต่ไป๋เตี๋ยกลับส่ายหน้าไปมา
“ข้าไม่รู้จักท่าน คงเอาเรื่องของท่านไปเล่าให้ผู้ใดฟังไม่ได้…หากเศร้า ก็ร้องไห้ออกมาเถิด”
“….” สิ้นคำของนาง เสียงหัวเราะก็เงียบลง ไม่นานนักมันก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงร่ำไห้ที่ทั้งทนทุกข์และเจ็บปวด ไป๋เตี๋ยไม่รู้ว่าคนผู้นี้ไปประสบพบเจอเรื่องใดมา แต่มันคงจะหนักหนามากสำหรับเขา
“เจ้ารู้เรื่องเมืองเยว่ซินหรือไม่” หลังจากร้องไห้อยู่นาน ชายร่างใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นมามองนางและเอ่ยถาม
“ข้าอยู่ในป่า ไม่รู้เรื่องราวภายนอก”
“เช่นนั้นข้าจะเล่าให้ฟัง…” ไป๋เตี๋ยเงียบเสียง นางรู้ว่าคนผู้นี้ต้องการระบายสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจให้นางฟังเท่านั้น
“สามปีก่อน อสุรกายพันกว่าตนโจมตีที่เมืองเยว่ซินในช่วงรัตติกาลครอบงำ รัตติกาลครอบงำ เป็นช่วงเวลาที่ดินแดนแห่งนั้นจะตกอยู่ในความมืดมิดนานเพียงใดไม่มีผู้ใดรู้…ข้าสูญเสียภรรยาและบุตรสาวเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น ในขณะที่ข้าต้องคอยปกป้องคุ้มครองผู้อื่น แต่ครอบครัวของข้ากลับไร้คนปกป้อง”
“….”
“ก่อนที่ภรรยาของข้าจะสิ้นลม นางได้บอกให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป…”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็เงียบลงไปอีกครั้ง รอบด้านเงียบงันทั้งหมด แม้บุรุษผู้นี้จะไม่พูดแต่ไป๋เตี๋ยก็รู้ว่าเขาทั้งเจ็บปวด และอ้างว้าง ในความรู้สึกของเขา ตอนนี้เขาไม่หลงเหลือผู้ใดแล้ว แต่แม้ว่าจะอยากตาย คำพูดสุดท้ายของภรรยาก็คงจะรั้งเขาเอาไว้ ให้ต้องทุกข์ทนอยู่เช่นนี้
“เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดกัน”
“นางเป็นภรรยาของท่าน ความประสงค์ของนาง ข้าคิดว่าท่านรู้ดีที่สุด”
“….”
“สำหรับข้าแล้ว ภรรยาและบุตรสาวของท่านนั้นไม่ได้จากไปที่ใด แต่พวกนางยังคงอยู่ อยู่ในใจของท่าน…อยู่มาเสมอและจะคงอยู่ตลอดไป”
และแล้วบุรุษร่างใหญ่ก็ไม่อาจจะฝืนทนได้อีกต่อไป เขาทิ้งกายลงนอนร้องไห้พร้อมทั้งร้องตะโกนราวกับคนบ้าที่เสียสติ ไป๋เตี๋ยไม่ได้พูดคำใดออกมาอีก เพราะนางสามารถพูดได้เพียงเท่านี้ แผลใจของเขา อย่างไรก็ต้องใช้เวลาเยียวยารักษา ที่นางทำคืออยู่เป็นเพื่อนเขาในช่วงเวลานี้ก็เท่านั้น
อย่างน้อยๆ ก็แน่ใจได้ว่าช่วงเวลาที่เขากำลังอ่อนแอ จะไม่มีสัตว์ร้ายหรืออสุรกายใดเข้ามาทำร้ายเขาได้อย่างแน่นอน
“นังหนู…ขอบใจเจ้ามาก”
ไป๋เตี๋ยหันไปมองบุรุษผู้นั้นอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านพ้นไปราวหนึ่งชั่วยาม จนกองไฟเริ่มมอดดับ นางมองเขาและพยักหน้ารับเบาๆ
“ก่อนหน้านี้ที่เจ้าจัดการกับหมีป่าตัวนี้ ที่อาวุธของเจ้ามีประกายไฟปรากฏขึ้นมา…เจ้ามีพลังเวทใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้น” ไป๋เตี๋ยยอมรับตรงๆ เพราะคนผู้นี้มีพลังเวทเช่นกัน นางคงไม่อาจจะปิดบังเขาได้
“เจ้าอยากเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่”
“?”
“เจ้าคงจะไม่มีอาจารย์คอยสอนสั่ง หากว่าได้ข้าช่วยสอน พลังเวทของเจ้าจะต้องแข็งแกร่งมากเป็นแน่”
ไป๋เตี๋ยได้ฟังเช่นนั้นก็เงียบลง นางไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้กำลังคิดการณ์สิ่งใดอยู่จึงอยากจะรับนางเป็นศิษย์ทั้งๆ ที่แม้เพียงชื่อของนางเขาก็ยังไม่รู้
“ขอปฏิเสธ” สำหรับไป๋เตี๋ยแล้ว แม้ว่านางจะอยากรู้ว่าพลังเวทที่นางมีนั้นต้องใช้การเช่นไรจึงจำสัมฤทธิ์ผล แต่ถ้าต้องกราบคนผู้หนึ่งเป็นอาจารย์ แล้วถ้าวันหนึ่งที่นางต้องจากไปเล่า? อย่างไรนางก็ไม่ใช่คนดินแดนนี้ นางมีสถานที่ที่ต้องกลับไป
“เพราะเหตุใด” อีกฝ่ายไม่ได้ไม่พอใจที่ถูกนางปฏิเสธ เขาเพียงถามถึงเหตุผลเท่านั้น
“ข้ากำลังรอให้คนในครอบครัวมารับ”
“เมื่อใดกัน?”
…นางไม่รู้
“หากว่าต้องรออีกนาน ไม่สู้เจ้าใช้ช่วงเวลาที่กำลังรอคอยให้เป็นประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ…หากว่าวันที่พวกเขามารับเจ้าแล้วเจ้าแข็งแกร่งขึ้น ครอบครัวเจ้าคงจะภูมิใจในตัวของเจ้ามาก ที่สำคัญมันดีกว่าที่เจ้าจะต้องอยู่รอคอยเพียงลำพังในป่าแห่งนี้”
“….”
“เจ้าไม่เหงาหรือ”
เหงาหรือ…ไป๋เตี๋ยไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้ เพราะนางมัวแต่เอาชีวิตรอดในเส้นทางที่อันตราย แต่เมื่อกลางวันที่นางได้พบเจอกับบุรุษทั้งสามคนก่อนหน้านี้ เมื่อนางได้พูดคุยกับพวกเขา ไป๋เตี๋ยถึงได้รู้สึกตัวว่าตลอดระยะเวลาห้าเดือน ตัวของนางนั้นโดดเดี่ยวและใช้ชีวิตไปวันๆ มากเพียงใด
ไป๋เตี๋ยพยายามไม่คิดมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางเป็นกังวล ถ้านางไม่อาจจะกลับบ้านได้ นางจะทำเช่นไร…จะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปเช่นนั้นหรือ
เหงาหรือ…แน่นอนว่ามันจะต้องเหงามากเป็นแน่
ในสถานที่ที่ไม่มีผู้ใดรู้จักนางสักคน ดินแดนที่กว้างใหญ่แห่งนี้
“ข้าให้เวลาเจ้าคิด ถึงอย่างไรข้าก็ไม่รีบร้อนออกจากป่าในตอนนี้ นามของข้าคือโอวหยางฉี แต่หากเมื่อใดที่เจ้ายอมรับ ก็ให้เรียกขานข้าว่าท่านอาจารย์เมื่อนั้นก็แล้วกันนังหนู”
“เพราะเหตุใด…”
“อันใดรึ”
“เพราะเหตุใด ท่านจึงอยากรับข้าเป็นศิษย์” นางถาม
“เพราะข้ารู้สึกว่าเจ้านั้นไม่ได้เหมือนกับบุตรสาวของข้า หากแต่เจ้าเหมือนกับข้าโอวหยางฉีผู้นี้ต่างหาก”
“ข้าไม่ได้ชอบกินหมี” ไป๋เตี๋ยตอบกลับไปสั้นๆ และมันก็ทำให้โอวหยางฉีหัวเราะออกมาได้
“ยังไม่เคยกิน ก็รู้แล้วรึว่าไม่ชอบ”
“แน่นอน เพราะข้าฉลาดมาก”
“ข้ารู้ เพราะเหตุนี้ ข้าถึงได้เลือกเจ้ามาสืบทอดวิชาเวทของข้า”
ไป๋เตี๋ยเงียบลงไปอีกครั้ง นางมองหน้าโอวหยางฉีที่บัดนี้ไม่มีร่องรอยแห่งความโศกเศร้าปรากฏอยู่ ในความรู้สึกของไป๋เตี๋ย แม้ว่าคนผู้นี้จะชอบกินหมี แต่เขาก็ไม่ได้มีนิสัยย่ำแย่ อย่างน้อยๆ หากว่าอยู่กับคนเช่นนี้ ชีวิตของนางก็คงจะไม่เงียบเหงาและน่าเบื่ออย่างแน่นอน
มันถึงเวลาที่นางจะต้องออกจากป่าแล้วใช่หรือไม่
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
“….”
“ท่านอาจารย์”
###
สองตอนนะคะ
ความคิดเห็น