ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกป่วนดาต้าฤทธาเจ้าแฮกเกอร์

    ลำดับตอนที่ #5 : เหตุเกิด ณ วันหยุดปีใหม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 82
      0
      2 ก.ค. 48

    ศึกป่วนดาต้าฤทธาเจ้าแฮกเกอร์



    ตอนที่ 5 เหตุเกิด ณ วันหยุดปีใหม่



                    







                    สองนายบ่าว หนึ่งเด็กหนุ่ม หนึ่งหญิงสาว เดินเคียงคู่กันมาตามชายหาดอันสวยงามอันเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี



                    วารีเป็นอีกผู้หนึ่งที่สนับสนุนให้นายน้อยของหล่อนพาครอบครัวมาพักผ่อนที่โรงแรมแห่งนี้บ่อยครั้ง  เนื่องจากว่าหล่อนเองหวังว่าบรรยากาศที่งดงามของธรรมชาติที่รัฐบาลไทยทุ่มเทงบไปหลายล้านบาทฟื้นฟูชายทะเลทั้งแทบนี้ที่กำลังย่ำแย่เพราะสภาพผิดปกติอันเกิดจากน้ำมือมนุษย์เมื่อหลายปีก่อนให้กลับคืนสู่ความสวยงามดังเดิมจะช่วยให้สภาพจิตใจและร่างกายของนายน้อยของหล่อนที่ทรุดลงเรื่อยๆด้วยโรคร้ายดีขึ้นได้บ้าง  



                    สุดท้ายเหตุการณ์เมื่อวานก็จบลงด้วยดี  เพียงแต่แผนการพักผ่อนของครอบครัว



    “เพชรเทวา” ต้องคลาดเคลื่อนไปบ้างบางอย่าง  เนื่องจาก  “ผู้การ วาที  เพชรเทวา”   พี่ชายของ  “วายุ  เพชรเทวา”  นายน้อยของหล่อนต้องกลับไปทำรายงานด่วนคดียึดรถไฟฟ้าเมื่อวานให้แก่ท่านผู้ใหญ่อันมีต่ำแหน่งสูงขึ้นไปอีกตั้งแต่เช้า  หล่อนและนายน้อยร่วมทั้ง   “คุณวารินี เพชรเทวา”  มารดาของคุณชายตระกูลที่ขึ้นต้นชื่อด้วยวาทั้งสองกับบริวารคนสนิทในครอบครัวจึงต้องเดินทางมาก่อน คาดว่าคุณวาทีจะตามมาภายหลังในเย็นวันนี้



                    ในขณะที่สองนายบ่าวกำลังเดินเข้าสู่สวนดอกไม้ด้านหลังโรงแรมที่ติดกับชายหาดนั้นเองก็มีเหตุให้ทั้งสองต้องรำคาญใจอีกจนได้







    “น้องสาวคนสวยนั้นนะ  จะรีบเดินไปไหนจ๊ะ”







    เสียงของชายหนุ่มหนึ่งใน สามคนที่นั่งอยู่แถวนั้นดังขึ้นตามแบบฉบับการจีบผู้หญิงที่มีผู้ชายบางคนที่ถือตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเคยวางขั้นตอนไว้คือ



    1.แซว



    2.ให้ของขวัญ



    3.พาออกเดท







    แต่ในขณะเดียวกันก็มีกฎเหล็กโดยทั่วไปที่เป็นข้อห้ามในการจีบผู้หญิงในขั้นตอนแรกสุดที่ควรคำนึกถึงมากที่สุดก็คือ







    1.อย่าไปแซวหญิงสาวที่มากับชายหนุ่มเพราะอาจถูกฝ่ายชายเล่นงานเอาได้



    2.อย่าจีบผู้หญิงที่ท่าทางเคร่งขรึมและไม่เล่นด้วย







    ฝ่ายชายผู้ไม่ได้ดูกฏข้อบังคับข้างต้นหรืออย่างไรก็ไม่ทราบเข้ามาวุ่นวายกับวารีโดยไม่ได้ตรวจดวงชะตาตัวเองว่าวันนี้อาจเจอดีเข้าได้  ได้ทำการละเมิดกฏข้อบังคับทั้ง 2 อย่าง







    เฮ่ย ทำไมนะหมู่นี้ไม่ว่าจะที่ไหนก็มีแต่พวกสมองบ้องตื้นไม่พัฒนาเลยสิเนี้ย







    วายุคิดอยู่ในใจก่อนที่ชายหนุ่มหน้าตาท่าทางเจ้าชู้ผู้ที่นำทีมแซวสาวจะก้าวมาดักหน้าวารีไว้แล้วยื่นมือมาจับไหล่หญิงสาวโดยไม่สนใจชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างผอมแต่หน้าตาดีจนแทบจะเรียกว่าสวยกว่าหญิงสาวทั่วไปด้วยซ้ำ  บางทีอาจเป็นเพราะรูปร่างที่ดูอ่อนวัยกว่าที่ควรจะเป็นมากก็ได้ กลุ่มหนุ่มนักแซวเหล่านี้จึงมองนายน้อยของวารีเป็นน้องชายน่าละอ่อนของหญิงสาวมากกว่าจะเป็นคู่รักกันได้นั้นเองจึงกล้าเข้ามาหาหญิงสาว







    “พาน้องชายมาเดินเล่นเหรอจ๊ะน้องสาว  อย่ามัวแต่โอ้น้องมากนักสิ มาเดินเล่นกับพี่ดีกว่านะ”







    เจ้าคนปากเปราะกล่าวออกมาในขณะที่อีกสองคนพากันเบ่งกล้ามโชว์ความเข้มแข็งของตัวเองด้วยมาดที่เท่ที่สุดในชีวิตในความคิดของพวกเขาทั้งสอง







    “เฮ่ย”







    นายน้อยของวารีถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ด้วยความรำคาญและคิดเสียใจแทนพวกผู้ชายจอมบื้อทั้งสามด้วยที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังซวยขนานแท้ที่ดันมาเจอกับวารีเข้า  จากนั้นชายหนุ่มผิวขาวผ่องก็หันไปกล่าวกับหญิงสาวที่มาด้วยกันว่า







    “ เอาแค่เบาะๆคางเหลืองเท่านั้นก็พอนะวารีอย่างให้ถึงตายหรือแข้งขาหักละ ฉันไม่อยากต้องลำบากพาพวกนี้ไปส่งโรงพยาบาลอีก”







    หญิงสาวร่างสูงเพรียวที่ยืนนิ่งให้เจ้าหนุ่มนักกล้ามจอมหลีสาวใช่มือยึดไหล่ของตนอยู่นั้น  เมื่อได้ยินคำพูดของนายน้อยที่บ่งบอกว่าอนุญาตให้จัดการพวกนี้ได้  พลันสายตาของเจ้าหล่อนก็เปร่งประกายเย็นยะเยือกไปให้เจ้าหนุ่มทั้งสามจากนั้น







    โอย







    เสียงร้องดังลั่นของเจ้าหนุ่มหน้ามนผมแดงหัวหน้าทีม ดังออกมาด้วยความเจ็บปวดอันเกิดจากอุ้มมือเรียวงามแต่ว่าแข็งแกร่งและทรงพลังของหญิงสาวที่ตะปบลงมือที่จับไหล่ตนอยู่จากนั้นใช้มือบิดด้วยความชำนาญและรวดเร็วกระชากร่างชายหนุ่มผมแดงให้ล้มหัวทิ่มลงกอหญ้าข้างทางจากนั้นพลิกมือข้างเดียวกันนั้นเข้าหาใบหน้าของพ่อลูกน้องเบอร์1ที่วิ่งเข้ามาหลังจากเห็นหัวหน้าทีมล้มอย่างไม่เป็นท่า







    บึก!ๆ







    เจ้าลูกน้องเบอร์1ที่วิ่งเข้ามาเมื่อเห็นหญิงสาวพลิกฝามือสะบัดหลังมือเข้าหาตนเองที่วิ่งเข้าใส่เจ้าหล่อนทางด้านหลังจึงรีบยกมือขึ้งตั้งการ์ดรับทันใด ฝ่ามือแรกมือที่เจ้าเบอร์1รับได้หวุดหวิดจากนั้นรีบยกมืออีกข้างรับฝ่ามือเดิมที่พลิกกลับมาจากหลังมือเป็นหน้ามือเข้าหามันอีกครั้ง  เจ้าลูกน้องเบอร์1รับได้หวุดหวิดอีกครั้งจากนั้นยิ้มที่ใบหน้าทำนองว่า “ฉันเองก็มีฝีมือ”หากแต่ว่า







    บึก!







    ในขณะที่รอยยิ้มของชายหนุ่มยังไม่ทันหุบดีฝ่ามือเดิมที่ตนรับได้กลับถูกสะบัดออกแล้วแขนข้างเดิมของหญิงสาวก็ส่งศอกอันแหลมคมและรุนแรงพุ่งเข้าสู่ท้องชายหนุ่มส่งร่างที่ดูกำยำด้วยมัดกล้ามกระเด็นเข้าสู่กอหญ้าตามหัวหน้าทีมไปอีกคนจากนั้นหญิงสาวสะบัดขาอันเรียวงามได้รูปเข้าสู่ลำคอของเจ้าคนสุดท้ายที่เข้ามาหลังเพื่อนหนึ่งทีและตามด้วยลูกถีบเข้าสู่กลางอกของชายหนุ่มผู้ถูกหวยคนสุดท้ายส่งร่างลอยละลิ่วเข้าสู่กอหญ้าไปอีกคน







    “ทีหลังจะเข้าไปแซวหญิงที่ไหนก็ระวังหน่อยละ”







    กล่าวจบนายน้อยของวารีก็เดินนำหญิงสาวเข้าไปสู่โรงแรมระดับ 5 ดาวที่เห็นตรงหน้าทันใด







    .............................







    “พี่มาอิๆ”







    เสียงเรียกสดใสของน้องสาวดังมาเข้าสู่โสตประสาทก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะถูกกึ่งดึงกึ่งลากให้ลุกออกมาจากเตียงนอนอันแสนสุข มองไปที่นาฬิกาบอกเวลาตี 5 ตรงพอดี







    “พี่มาอิตื่นเร็วซิ  นี้มันวันหยุดนะอย่ามามัวนอนอยู่ซิเดียวคุณพ่อจะพาเราไปเที่ยวกันไงละลืมแล้ว  เหรอ”







    หลังจากที่ต้องยอมแพ้ต่อความกระตือรือล้นที่จะได้ไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวของน้องสาว  พี่สาวแสนสวยของมาเอะจึงจำต้องเร่งรีบแต่งตัวให้เสร็จเร็วไวเพื่อจะลงไปรับประทานอาหารเช้าก่อนออกเดินทางพร้อมครอบครัว







    “ว่าไงมาอิไหวไหมท่าทางยังเหนื่อยๆอยู่เลย  เดียวค่อยไปนอนบนเครื่องเอาแล้วกันนะ”







    บิดาที่นั่งรออยู่ที่ห้องทานอาหารกล่าวขึ้นหลังจากเห็นหน้าลูกสาวคนโตเดินเข้ามาได้







    “มาอิก็ว่าจะไปหลับต่อบนเครื่องเหมือนกันละค่ะ  นี่มาอิยังนอนไม่ค่อยได้เต็มที่ดีเลยนะคะ  เจ้าจอมซนนี้ก็ไปลากลงมาจากเตียงนอนแล้ว”















    หญิงสาวกล่าวหลังจากนั่งลงบนโต๊ะทานอาหารของครอบครัว  วันนี้เป็นวันที่ครอบครัว ยามางิ จะได้ไปพักผ่อนที่ต่างประเทศกันทั้งครอบครัวหลังจากต้องมัวยุ่งอยู่กับการทำงานตามหน้าที่ของกันทั้งปี  นำโดยผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว “ยามางิ  โกโบริ” ผู้พ่อ  ที่คุณนายมาลีเคยบอกว่าชื่อเหมือนพระเอกละครไทยที่เคยโด่งดังมาแต่อดีตเรื่องหนึ่งของประเทศไทยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ   สำหรับคุณนายมาลีแล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ยังคงสำนึกอยู่เสมอว่าตนคือชาวไทยและยังสอนลูกๆทั้งสองอีกว่าเลือดในตัวพวกเขาอีกครึ่งหนึ่งเป็นของคนไทย  



                    สำหรับวันนี้นอกจากจะเป็นวันสำคัญที่จะได้ไปเที่ยวพักผ่อนทั้งครอบครัวแล้วยังเป็นวันสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับคุณนายมาลีด้วย  เนื่องจากคุณโกโบริหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นเจ้าของและประธานบริษัทยามางิกรุ๊ป  บริษัทขนาดกลางผู้ผลิตโปรแกรมสำหรับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์  คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กสำหรับพกพาในยุคปัจจุบัน  แม้จะไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่โตมากมายเหมือนบริษัทอื่นแต่ก็มีความมั่นคงและสามารถเจริญเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอในแต่ละปีและแผนงานในช่วงปีใหม่นี้คือการขยายงานด้านการขายเข้าสู่ต่างประเทศโดยได้ทำการติดต่อเซ็นสัญญาร่วมมือกันกับบริษัทผู้ผลิตซอฟแวรและเทคโนโลยีแห่งหนึ่งของเมืองไทย   ได้ยินผู้พ่อเล่าว่าตลอดมาทางตัวพ่อเองและคนของบริษัทยามางิกรุ๊ปได้ติดต่อบริษัทนี้ผ่านทางผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทนี้เท่านั้นยังไม่เคยได้มีโอกาสได้ติดต่อเจรจาโดยตรงกับผู้อำนวยการบริษัทแห่งนี้เลย  สำหรับตัวคุณโกโบริเองนั้นชอบที่จะติดต่อกับผู้ร่วมธุรกิจของตนด้วยตัวเองโดยเฉพาะกับผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจเด็จขาดของบริษัทนั้นๆเพื่อความสะดวกในการติดต่อธุระกิจและการเพิ่มความพึ่งพาอาศัยกันต่อไป   ส่วนตัวคุณ “วิเชียร  ทองเที่ยง”ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทดังกล่าวนั้นก็รู้จักเป็นเพื่อนคบหากันมาตั้งแต่ก่อนได้ติดต่อ การค้ากันนั้น ก็ให้ความสนิทสนมเป็นอย่างดีด้วยความถูกอัธยาศัยกัน  เมื่อรู้ว่าโกโบริต้องการพบท่านผู้อำนวยการของตนอย่างมากและรู้อีกว่าครอบครัวยามางิมีแผนการท่องเที่ยวพักผ่อนในช่วงนี้แต่ยังไม่ทราบว่าจะไปที่ไหน  คุณวิเชียรจึงรับปากว่าจะหาทางให้ได้พบกับตัวผู้อำนวยการ  จากนั้นก่อนหน้าวันเดินทาง 1 อาทิตย์คุณวิเชียรได้ติดต่อมาจากเมืองไทยว่าท่านผู้อำนวยการจะไปพักผ่อนช่วงวันหยุดปีใหม่นี้ที่  “โรงแรมสายชลรอยัล” โรงแรมชายหาดแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรีในประเทศไทย อันเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วเอเชีย  แต่กลับมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าโรงแรมแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของธุระกิจย่อยของบริษัทในเครือ “เพรชเทวากรุ๊ป” บริษัทที่ถือครองโดยเจ้าของเพียงรายเดียว  เพราะฉะนั้นหลังจากที่คุณวิเชียรได้ขอติดต่อกับผู้อำนวยการแล้วจึงได้ความว่าท่านผู้อำนวยการ “เพชรเทวากรุ๊ป”  จะสามารถให้เข้าพบได้ในวันนี้และขอเชิญคุณยามางิ  โกโบริพร้อมทั้งครอบครัวพักผ่อนในวันหยุดปีใหม่นี้ได้ที่โรงแรมดังกล่าวนี้  โดยเจ้านายของคุณวิเชียรจะรอพบอยู่ที่โรงแรม



                    ด้วยเหตุนี้วันนี้จึงกลายเป็นวันสำคัญที่คุณนายมาลีจะได้เดินทางกลับบ้านเกิดหลังจากที่ไม่ได้กลับไปนานถึง5-6ปี



    ...................................







    “นายน้อยรอใครอยู่หรือเปล่าคะ”







    วารีเอ่ยขึ้นหลังจากที่เฝ้ามองนายน้อยของหล่อนอยู่นาน







    “หึ ทำไมถึงคิดอย่างนั้นละ”







    นายน้อยของวารีถามกลับมาพร้อมกับลอยยิ้มที่มุมปาก







    “ก็ฉันเห็นนายน้อยนั่งมองทะเลไป อ่านหนังสือไป  สักพักก็ยกนาฟิกาขึ้นมาดูสลับกันไปมาอยู่อย่างนี้มาสักพักใหญ่แล้วนะคะ”







    วารีตอบนายน้อยอย่างคนที่รู้ใจกันดีถึงแม้ว่าบางครั้งหล่อนจะอ่านใจนายน้อยไม่ออกเลยก็ตาม แต่โดยปกติแล้วเป็นที่รู้ดีในหมู่คนที่สนิทกับนายน้อยของหล่อนว่า  คนที่ค่อยติดตามอยู่ข้างกายนายน้อยของหล่อนและเป็นคนที่สนิทกับนายน้อยของหล่อนมากที่สุดก็มีแต่วารีคนนี้เท่านั้น







    “แหมเบื่อคนชังสงสัยจังเลย  คืออย่างนี้  คุณลุงวิเชียรเขามาขอให้ฉันช่วยพบกับเจ้าของบริษัทของประเทศญี่ปุ่นคนหนึ่งที่กำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทำธุระกิจกับบริษัทของเราอย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้หน่อยนะ  นัยว่าเคยเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาในวงการธุระกิจตั้งแต่สมัยที่ลุงวิเชียรเขาไปสัมมนาเรื่องธุระกิจเทคโนโลยียุคใหม่เมื่อสัก4-5ปีก่อนนั้นละ  เห็นว่าทางนั้นอยากพบตัวฉันมากนี้  แล้วลุงวิเชียรเขาก็ดันไปตบปากรับคำเขามาแล้ว ไม่อยากเสียผู้ใหญ่ก็เลยมาขอร้องแกมบังคับให้ฉันช่วยพบเขาหน่อยสัก2-3ชั่วโมงก็ยังดี”







    วายุตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางแบบว่าตัวเองไม่มีทางเลือกเท่าใดนักและจำเป็นต้องทำเพราะถูกบังคับ







    “แหมนายน้อยคะ  อย่างนายน้อยนะเหรอคะจะมีใครมาบังคับได้   ลองท่านนายน้อยของฉันจะไม่ยอมซะอย่างละก็จะมีใครมากล้าขัดได้”







    วารีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นนิดๆ  เพราะว่าที่หล่อนพยายามสนับสนุนให้นายน้อยมาพักที่นี่ก็เพื่อจะให้นายน้อยของหล่อนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่  แต่ที่ไหนได้นายน้อยของหล่อนยังอุตส่าห์จะหอบเอางานและธุระกิจมาด้วยอีกจนได้  ขณะที่นายน้อยของหล่อนก็แย้มยิ้มที่มุมปากตามเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยความรู้เท่าทันในน้ำเสียงนั้นจึงต้องกล่าวว่า







    “ไม่ต้องห่วงน่าวารี  ฉันก็แค่ให้เขาพบแค่สักชั่วโมงสองชั่วโมงเท่านั้นละเห็นว่าทางนั้นจะเอาครอบครัวมาพักผ่อนที่นี้ด้วยเขาก็คงอยากอยู่กับครอบครัวเขาเหมือนกันละ   แต่พูดก็พูดเถอะนะตอนแรกฉันก็ว่าจะปฏิเสธไปแล้วละ”







    นายน้อยของวารีกล่าวออกมาเอาใจหญิงสาวได้สักพักก็ถูกถามอีกว่า







    “งั้นนายน้อยไปตกลงให้เขามาพบทำไมคะ”







    “ไม่รู้สิ  เพียงแต่สัมผัสพิเศษของฉันบอกว่าน่าจะพบกับคนๆนี้เพราะไม่แน่บางทีฉันอาจจะมีอะไรมาทำแก้เบื่อก็ได้”







    กล่าวจบก็ก้มลงอ่านหนังสือต่ออย่างใจเย็น    



      



    ...............................







    “นั้นแหละครับมันสองคนที่อัดพวกผมจนสะบักสะบอมอย่างนี้ละ”







    เสียงเจ้าหัวหน้าหน่วยจีบดะจอมซวยดังขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มและหญิงสาวคู่กรณีพิพาทกับพวกมันนั่งอยู่ที่คอฟฟี่ชอปของโรงแรม







    “พวกคุณแน่ใจนะ”







    ผู้จัดการฝ่ายบริการหนุ่มผู้พึ่งเขามารับตำแหน่งใหม่ไม่ถึงเดือนกล่าวถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง  เพราะจากที่เขามองเห็นนั้นไม่มีลักษณะอะไรบอกให้รู้เลยว่าเด็กหนุ่มผิวขาวตัวผอมๆแต่หล่อเหลายังกับผู้หญิงกับอีกหนึ่งสาวสวยร่างระหงส์เหมือนนักกีฬาจะสามารถทำอย่างที่พวกชายหนุ่มนี้กล่าวมาได้   ความจริงเขาเองเมื่อเห็นลักษณะท่าทางที่ดูภูมิฐานบ่งบอกว่าเป็นผู้ดีที่เขาคิดว่าทั้งสองคนนั้นน่าจะเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโตมีฐานะและชาติสกุลก็ไม่อยากที่จะไปคล้องเกี่ยวด้วยหรอก  หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ  แต่ครั้นจะปฏิเสธไม่ยุ่งเกี่ยวก็ไม่ได้เนื่องด้วยชายหนุ่มปากไวหัวหน้ากลุ่มที่เข้ามาขอให้เขาช่วยเอาเรื่องสองคนนั้นเป็นถึงลูกชายผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแห่งนี้  ถึงแม้ว่าเขาจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้จัดการเหมือนกัน แต่โดยฐานะและตำแหน่งอำนาจหน้าที่แล้วยังถือว่าห่างไกลกันนัก  ด้วยโรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมขนาดใหญ่โตมากมีงานภายในแต่ละฝ่ายมากมายหลายอย่าง  แทนที่ฝ่ายต่างๆจะควบคุมโดยหัวหน้าฝ่ายต่างๆเหมือนโรงแรมทั่วไปจึงต้องยกระดับเป็นผู้จัดการตามสายงานที่ใหญ่มากไปด้วย   เพราะงั้นถึงต้องมาตามคำขอของชายหนุ่มเจ้าปัญหานี้







    “แน่ใจสิครับคุณชัย  ผู้หญิงคนนั้นละอย่าไปดูถูกเชียว  เห็นอย่างนั้นแม่หมัดหนักนักละลูกน้องผมว่าเป็นแชมป์เทควันโด้เก่งแล้ว  ยังเจออัดคางเหลืองคากอหญ้าเลย”







    “แพ้ผู้หญิงแล้วยังไม่รู้จักอายอีกนะพวกนี้”







    “ชัย  วันชนะ”ผู้จัดการฝ่ายขายคิดในใจก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปหาคู่นายบ่าวทั้งสองอย่างไม่เต็มใจนัก







    “ขอโทษครับ  ผมอยากขอเวลาพวกคุณสักครู่ได้ไหมครับ”







    ผู้จัดการใหม่ผู้ถูกลูกชายผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมลากมาซวยด้วยกัน  กล่าวขึ้นด้วยประโยคที่ฟังแล้วดูนอบน้อมแต่ข่มอยู่ในที  







    “ได้สิครับ  ไม่ทราบว่าพวกคุณมีอะไรจะให้ผมรับใช้ไม่ทราบครับ”







    วายุเอ่ยตอบ   หลังจากละสายตาจากการอ่านหนังสือและมองเห็นผู้จัดการหนุ่มพร้อมชายหนุ่มนักแซวสาวเดินตามมาข้างหลัง   ด้วยสมองอันชาญฉลาดของเขาแค่มองแค่นี้ก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ออกแล้วว่าคนพวกนี้คงมาร้ายมากกว่ามาดีแน่  







    “ก็เอาซิฉันจะเล่นด้วย  กำลังเบื่อๆอยู่พอดี” วายุเอ่ยในใจ







    “ผมชื่อชัย  วันชนะ  ผู้จัดการฝ่ายบริการของโรงแรมนี้ครับ  พอดีคุณเคลวินคนนี้ไปแจ้งกับผมว่าถูกพวกคุณทำร้ายเอาในโรงแรมของเรา   ผมจึงมาเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงจากคุณครับ”







    ขณะที่ผู้จัดการหนุ่มกล่าว  ชายหนุ่มนามเคลวินก็แอบยิ้มและส่งสายตามาให้ว่า  ยังไงวันนี้พวกแกเสร็จแน่  มาให้แก่วายุ  ในใจก็คิดว่าอย่างน้อยงานนี้ต้องบังคับให้สองคนนี้ยอมขอโทษพร้อมจ่ายค่ารักษาและอย่างสุดท้ายที่เขาออกจะสะใจมากที่สุดถ้าทำสำเร็จก็คือการไล่พวกเขาออกจากโรงแรมได้







    “ถ้าผมยอมรับว่าเป็นความจริงละ  พวกคุณจะทำยังไง”







    ผู้จัดการหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะกล่าวว่า







    “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงละก็  ผมคงต้องขอให้คุณจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับคุณเคลวินคนนี้  พร้อมทั้งขอโทษและเชิญออกจากโรงแรมเราด้วยครับ”







    นายน้อยของวารียิ้มที่มุมปากพรางคิดในใจว่าหน่อยแหนะ  แค่จ่ายค่ารักษากับขอโทษก็เกินพอแล้วนะแต่นี้ถึงกับคิดจะไล่พวกเขาออกจากโรงแรม  พวกนี้ไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร







    “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถจะทำตามที่พวกคุณขอได้”







    ชายหนุ่มนามเคลวินได้ยินดังนั้นก็หลุดปากออกมาดังลั่นว่า







    “ก็ไหนแกรับแล้วไง  ว่าทำร้ายพวกฉัน  เรื่องเงินกับคำขอโทษไม่ต้องก็ได้นะเพราะเงินนะพ่อฉันมีให้มากพออยู่แล้ว  ส่วนคำขอโทษนะฉันว่าคนอย่างแกคงขอโทษใครไม่เป็นหรอกมั้ง  เพราะงั้นมีอย่างเดียวที่แกต้องทำคือออกไปจากโรงแรมของฉันซะ”







    วายุได้ยินคำพูดนั้นก็แอบยิ้มอยู่ในใจอีกครั้ง  พรางหันหน้าไปสบตากับวารีเพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่าให้เงียบๆไว้ก่อนอย่าพึ่งพูดอะไรให้ผู้จัดการมือใหม่ไฟแรงกับเจ้าหนุ่มขี้โม้รู้ตัวซะก่อน







    “ว่ายังไงนะครับ  ผมว่าผมคงได้ยินผิดไปว่าโรงแรมนี้เป็นของคุณ  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงที่คุณว่าคุณพ่อของคุณรวยมาก  ก็แสดงว่าคุณพ่อของคุณคงเป็นเจ้าของโรงแรมนี้  ส่วนคุณก็เป็นลูกชายเลยถือว่าเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ด้วยสินะ”







    วายุเริ่มถามคำถามเปิดเกมต่อไป







    “แกได้ยินไม่ผิดหรอก  พ่อฉันเป็นผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมนี้  มีอำนาจตัดสินใจเต็มที่ภายในโรงแรมนี้  เพราะงั้นแกคงรู้ตัวแล้วสินะว่ามามีเรื่องกับฉันละก็พ่อฉันคงไม่มีถทางให้พวกแกอยู่เป็นสุขในโรงแรมนี้แน่”







    ชายหนุ่มนักกล้ามกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ







    “อ้อ....เป็นอย่างนี้เอง  แต่ว่าถ้าเป็นผู้จัดการใหญ่ละก็แสดงว่ายังเป็นลูกจ้างเขาอยู่ไม่ใช่เจ้าของโรงแรมจริงๆนะสิ”







    ชายหนุ่มนักกล้ามได้ยินดังนั้นก็รู้สึกทั้งโกรธทั้งอับอายหน้าแดงขึ้นทันตา   ในขณะที่วายุหันไปสบตากับวารีอีกครั้ง   ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงเลศนัยเหลือร้ายเตรียมแกล้งคนเต็มที่  ในขณะที่หญิงสาวคนสนิทส่งสายตาที่บอกว่าจวนเจียนจะหัวเราะออกมาเต็มที่แล้ว   แต่จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารผู้จัดการหน้าใหม่นั้นเหมือนกัน  ที่ดันซวยไปด้วย   เพราะเหตุที่พึ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นาน  คาดว่าน่าจะได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารสักคนในบริษัทถึงก้าวเข้ามาสู่ตัวแหน่งนี้ได้เมื่ออายุยังน้อย  จึงทำให้ยังไม่มีโอกาสจะได้รู้จักและได้พบกับเขา   อย่าว่าแต่ผู้จัดการใหม่คนนี้เลย  ขนาดบางคนที่อยู่ในโรงแรมมานานยังไม่รู้จักเลย  เพราะเหตุที่เขาไม่ค่อยแข็งแรงนักบวกกับเป็นคนไม่ชอบออกงานเท่าไหร่และบริษัทรวมทั้งกิจการต่างๆในเครือ  “เพชรเทวากรุ๊ป”ก็มีอยู่มากมายและกำลังขยายตัวไปเรื่อยๆ   ส่วนใหญ่เขาก็จะมีนักบริหารที่ไว้ใจได้สำหรับกิจการนั้นๆคอยทำงานตามแผนการและความประสงค์ของเขาอยู่แล้ว    ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีพนักงานบางคนที่ไม่รู้จักเขา  ตรงกันข้ามกับพี่ชายของเขา  “ผู้การวาที  เพชรเทวา”ที่ผู้คนทั่วเมืองไทยรู้จักดีว่าเป็นหัวหน้าหน่วยพิเศษรักษาความสงบแห่งประเทศไทย  หลายคนอาจจะคิดว่า  “เพรชเทวากรุ๊ป” เป็นบริษัทเก่าแก่ที่ได้ดำเนินงานมาแล้วหลายปีแต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า   แท้ที่จริงแล้วเพชรเทวากรุ๊ปเติมใหญ่มาได้เพราะสองมือ  และมันสมองอันชาญฉลาดของ  “วายุ  เพชรเทวา”  ผู้ที่เริ่มต้นฟื้นฟูเพชรเทวาที่เพิ่งเจอกับหายนะมาเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ศูนย์







    “แก..”  ชายหนุ่มนักกล้ามที่อยากควบตำแหน่งนักจีบสาวเอ่ยออกมาอย่างโกรธจัด แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อมานายน้อยของวารีก็ชิงเอ่ยกับผู้จัดการหน้าใหม่ก่อนว่า







    “ขอโทษนะครับที่ผมทำตามที่พวกคุณขอไม่ได้  เพราะว่าเราไม่ผิดนะครับลูกชายเจ้านายคุณเขาเข้ามาทำท่าทางจะลวนลามคนของผมเอง  คนของผมก็ต้องป้องกันตัวเป็นธรรมดา  ถ้าคุณไม่เชื่อละก็  บริเวณนั้นมีกล้องวงจรปิดที่เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของโรงแรมที่มีให้กับนักท่องเที่ยวและแขกที่มาพักติดตั้งอยู่   คุณสามารถไปเปิดดูได้ว่าจริงหรือไม่    อ้อ..แล้วอย่ามาอ้างนะครับว่าไม่มี  หรือเป็นความลับของโรงแรมให้ดูไม่ได้   หรือไม่ก็เทปบันทึกของกล้องหลายตัวบริเวณนั้นหายไป  เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็หมายความว่ามีคนใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบนอกเหนือจากการแอบอ้างชื่อว่าเป็นเจ้าของโรงแรมนี้แล้ว”  







    ชายหนุ่มผิวขาวหน้าละอ่อนแต่วาจายอดเยี่ยมในสายตาของผู้จัดการหนุ่มกล่าวออกมายาวเหยียดชนิดที่ปิดหนทางตอบโต้ของฝ่ายตนจนหมด







    “ไม่รู้ละว่าจะถูกผิด   ในเมื่อโรงแรมนี้พ่อฉันใหญ่สุดตอนนี้  ใครจะมามีปัญหากับฉันไม่ได้  แกนะรีบออกไปซะเดียวนี้”







    ชายหนุ่มนักกล้ามกล่าวยังไม่จบดีก็ถูกโต้กลับว่า







    “ก็แล้วถ้าผมจะไม่ไปซะอย่างล่ะใครจะมาไล่ผมได้”







    “แก...ดีๆในเมื่อแกปากดีอย่างนี้ ก็แสดงว่าแกเองก็คงมีดีอยู่บ้างสินะ   เอาละฉันจะเรียกพ่อฉันมาจัดการแก  ดูสิว่าคราวนี้ใครจะแน่กว่ากัน”







    ชายหนุ่มกล่าวหลังจากที่เริ่มได้คิดแล้วว่า  ท่าทางผู้จัดการหน้าใหม่ที่เอามาเป็นพวกด้วยนี้คงจะจัดการอะไรไม่ได้แน่  เพราะจากที่เจ้าหนุ่มหน้าละอ่อนนั้นพูดแสดงว่าทางเขาเองก็คงมีฐานะใหญ่โตไม่ใช่เล่นเหมือนกัน  บางทีอาจเป็นลูกหลานข้าราชการ  หรือนักธุระกิจใหญ่ที่ไหนก็ได้   ถึงจะเริ่มกลัวๆว่าคราวนี้อาจไปเจอตอเข้าก็ได้   แต่จะถอยตอนนี้ก็คงไม่ได้แล้ว  ขายหน้าลูกน้องแย่  เอาไงก็เอากันสิ  อย่างไรซะพ่อฉันก็ใหญ่ที่สุดในโรงแรมนี้อยู่แล้ว  ถ้าเกิดเป็นแค่ลูกค้ากระจอกๆแต่ทำคุยใหญ่โตละก็  จะให้พ่อตามตำรวจมาลากออกไปเลย  



                    



                    วายุกับวารีต้องกลั้นหัวเราะแบบสุดๆเมื่อได้ยินดังนั้น  พรางมองดูนายนักกล้ามหนุ่มโทรศัพท์หาพ่อวุ่นวายกันใหญ่  แถมอกกท่าทางบอกสถานการณ์ดุเด็ดเผ็ดมันส์   ยังกะไม่ใช่โดยผู้หญิงอัดแต่เป็นโดนมาเฟียรุมกระทืบไปเลย







    “ว่าไงละ  ฉันตามพ่อมาแล้ว  อีกเดียวก็มาถึง    ทางแกล่ะคิดจะตามใครมาช่วยตอนนี้ก็ยังทันนะ”







    คุยโวแบบมั่นใจเต็มที่







    “อืม ตอนแรกก็ว่าจะไม่ตามแล้ว  แต่ตอนนี้คิดว่าตามมาสักหน่อยก็ดี”







    “โธ่..กลัวก็บอกมาสิ”







    นายน้อยของวารีเอาแต่ยิ้มที่มุมปากไม่กล่าวตอบอะไร หันเดินออกไปใช้โทรศัพท์ที่ข้อมือกดหาเบอร์ที่ต้องการ  ที่ระเบียงห่างออกไป  ได้ยินเพียงคำพูดว่า







    “ครับๆผมเอง  ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงแรมแล้ว  ว่าไงนะครับคุณเองก็กำลังรีบมาทีนี้เหรอครับ  หาที่โรงแรมลูกคุณเกิดเรื่องเหรอครับ  ครับงั้นเดียวค่อยเจอกันครับ”







    ...........................







    อีก 10 นาทีต่อมา    วายุกับวารีพากันนั่งจิบน้ำชากาแฟรออย่างใจเย็น  ในขณะที่อีกฝ่ายกลับนั่งอย่างไม่เป็นสุขรอคอยการมาของท่านผู้จัดการใหญ่







    “สวัสดีครับท่านผู้จัดการใหญ่”







    เสียงผุ้จัดการหน้าใหม่ดังขึ้น  ก่อนที่อีกเสียงจะตามมาว่า







    “พ่อมาแล้วเหรอครับ”







    “ว่าไงลูกเป็นยังไงบ้าง  เจ็บมากไหม”







    ชายร่างท้วมเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นหน้าลูก







    “ไม่เป็นไรครับพ่อ”







    “เอาละเกิดเรื่องอะไรกันแน่  บอกมาสิ  คุยทางโทรศัพท์เหมือนกับแกถูกมาเฟียรุมกระทืบ  แต่พอมาถึงก็เห็นแค่เจ็บนิด  ตาเขียวหน่อยไม่มากมาย  ตกลงมันเป็นยังไงกันแน่  อย่าบอกนะว่าแกไปมีเรื่องกับแขกที่มาพักอีก”







    ผู้เป็นพ่อเอ่ยด้วยประโยชน์ที่เปลี่ยนลักษณะไป  จากห่วงใย  เป็นเริ่มระแวงเนื่องจากดูจากอาการแล้วก็ไม่น่าจะหนักหนาอย่างที่พูด  ที่สำคัญก็ไม่ไช่ว่าเขาจะไม่รู้จักนิสัยลูกชายคนนี้ที่ชอบไปมีเรื่องให้เขาคอยไปช่วยอยู่บ่อยๆ







    “โธ่พ่อคราวนี้พวกผมถูกอัดเละทั้งสามคนเลยนะ  ขนาดผมให้คุณชัยไปช่วยพูดให้เขายอมขอโทษและจ่ายค่ารักษาพยาบาลเราดีๆตามสมควรเขาก็ไม่ยอม  ผมบอกอีกว่าถ้าทำนิสัยไม่ดีอย่างนี้ทางโรงแรมอาจต้องเชิญเขาออกเขาก็ไม่สน  เขายังบอกอีกว่าเขาจะอยู่ซะอย่างใครจะทำไม  ต่อให้ผู้จัดการใหญ่มาไล่เขาก็ไม่ไป  พ่อช่วยจัดการให้เขาออกไปหน่อยสิ  ผมกลัวว่าเขาจะไปหาเรื่องกับแขกที่มาพักคนอื่นอีก”







    คนเป็นพ่อยืนฟังเสียงลูกชายใส่ไฟอย่างเต็มที่  แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อยากจะเชื่อที่เจ้าลูกชายตัวดีพูดสักเท่าไหร่   เพราะตลอดมานั้นมีแต่มันที่ไปหาเรื่องเขา  พึงจะเจอคราวนี้ที่มาบอกมาถูกคนเล่นงานกลับมา  แต่จะว่าไปแล้วลองถ้าเป็นคนที่สามารถเล่นงานพวกลูกชายตัวดี ที่ลูกน้องแต่ละคนก็มีฝีมืออยู่ไม่น้อย  ให้หน้าเขียว  ตาปูดอย่างนี้ได้  ก็คงไม่ใช่แขกที่มาพักธรรมดาๆซะแล้ว  อาจเป็นมาเฟีย



    อย่างที่บอกก็ได้



                    



                    แต่แล้วพอเดินไปหาคู่กรณีของลูกชายตัวดีที่นั่งรอในร้านคอฟฟี่ชอปอยู่  เขาก็ต้องพบว่า



    “สวัสดีครับคุณสมชาย  มาแล้วเหรอครับผมนั่งรอคุณตั้งนานนะรู้ไหม”



    ทันทีที่เห็นหน้าชายหนุ่มผิวขาวกับหญิงสาวสวยคนสนิท  ท่านผู้จัดการใหญ่แห่งโรงแรมสายชลรอยัลก็รอตัวทันทีว่าถูกลูกชายหลอกเข้าให้แล้วแม้จะยังไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงมันเป็นมาอย่างไรก็เถอะ  พรางหลุดปากออกมาอย่างตกใจ







    “คุณวายุ.....”







    “ครับผมเอง  ลูกชายคุณนะบอกให้ผมรอพบกับคุณที่นี้ห้ามไปไหน”







    ชายหนุ่มผิวขาวตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มขณะที่ผู้จัดการใหญ่แห่งโรงแรมใช้มือคว้าเอาที่ต้นคอลูกชายที่ยืนอยู่ข้างๆ







    “นี้  เมื่อกี่แกบอกว่าถูกคนรุมอัด  ท่าทางว่าจะเป็นนักเลงหรือพวกมาเฟียใช่ไหม”







    ลูกชายจอมกวนยังไม่ได้กล่าวอะไรตอบ  ผู้จัดการใหญ่กลับชิงหันไปพูดกับชายหนุ่มต่อว่า







    “ขอโทษนะครับ  ผมขอตัวสักครู่  แล้วผมจะกลับมาครับ”







    กล่าวจบรีบลากคอลูกชายตัวดีออกจากที่เกิดเหตุทันใด  ในขณะที่เจ้าผู้จัดการหน้าใหม่  ยืนหนาวๆร้อนๆเสียวสันหลังวาบๆอยู่  เพราะท่าทางที่เจ้านายของตนแสดงต่อชายหนุ่มคนนั้น  บอกถึงความเคารพและเกรงใจจนออกจะกลัวๆด้วยซ้ำ







    “หรือว่าจะซวยฉลองเทศกาลซะแล้วมั่งเรา”







    คิดได้ดังนั้น  จากนั้นกลั้นใจถามออกไปว่า







    “ขอโทษนะครับ  ไม่ทราบว่าคุณรู้จักกับคุณสมชาย  ผู้จัดการใหญ่ของเรามาก่อนเหรอครับ”







    นายน้อยของวารียิ้มที่มุมปากอีกครั้งก่อนที่จะกล่าวประโยคที่แถบจะหยุดหัวใจผู้จัดการหน้าใหม่คนนี้ว่า







    “อ้อครับรู้จักกันมานานแล้ว  ขอโทษนะครับที่ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเอง  ผมวายุ  เพชรเทวา  ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทเพชรเทวากรุ๊ป!”



    คนกล่าว กล่าวออกมาด้วยหน้าตาท่าทางยิ้มแย้ม  แต่ทางฝ่ายคนฟังกลับหน้าขาวซีดแถบเป็นลม คิดในใจว่า  “โธ่  มีเรื่องกับใครอื่นไม่มี  ดันไปมีเรื่องกับเจ้าของโรงแรมซะแบบนี้  หากไม่ซวยตอนนี้ จะไปซวยตอนไหนอีกละ”







    …………………………







    ติดตามตอนต่อไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×