ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกป่วนดาต้าฤทธาเจ้าแฮกเกอร์

    ลำดับตอนที่ #3 : อัจฉริยะแดนสยาม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 107
      0
      28 มิ.ย. 47

    ศึกป่วนดาต้าฤทธาเจ้าแฮกเกอร์

    ตอนที่3 อัจฉริยแดนสยาม



    วันที่ 1  มกราคม ค.ศ.2060

    กรุงเทพมหานครฯ

    ประเทศไทย   สถานีรถไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์  หาดบางแสน



        “สถานีต่อไป  สถานีหาดบางแสนๆ” เสียงเจ้าหน้าที่ประจำรถไฟฟ้าขบวนที่กำลังจะเข้าชานชลาประกาศดังก้อง  ในขณะที่รถไฟฟ้าเริ่มลดความเร็วลง



        ครื่นๆๆฃ



        รถไฟที่กำลังจะหยุดกลับพุ่งกระโจนออกจากชานชลาอย่างรวดเร็วสร้างความแตกตื่นแก่ผู้โดยสารที่ยืนรออยู่   และรวมถึงผู้โดยสารในรถไฟที่ต่างหัวทิ่มหัวตำล้มลุกคลุกคานกันทั่วหน้า



        “โอย  เกิดอะไรขึ้นละนี้”



        ผู้โดยสารคนหนึ่งที่อยูใกล้ห้องคนขับร้องลั่น  ในขณะคนขับในห้องเองก็ตกอกตกใจตั้งหน้าตั้งตาพรมนิ้วลงไปบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมเพื่อพยายามควบคุมรถของตนเองอีกครั้งแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลดีขึ้นแต่อย่างใด



        ทันใดนั้นเองจอภาพคอมพิวเตอร์ในเครื่องกลับดับวูบลง  แล้วพลันกลับปรากฏภาพชายผู้หนึ่งขึ้นมาแทนที่



        “ห้า ห้า ห้า  ข่าวดีทุกท่าน  ขณะนี้รถไฟขบวนนี้ถูกข้าพเจ้าควบคุมแล้ว”



    ..................................................

    ขณะนั้นเอง ณ ตึกสูงสง่าแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร



        เสียงดนตรีดังกังวานไปทั่วห้องนอนสีขาว  ตกแต่งด้วยรสนิยมแบบยุโรปผสมผสานกับศิลปแบบจีนโบราณ  เตียงนอนกว้างขวางและเสาเตียงทั้งสี่ที่ออกลวดลายแบบยุโรปอย่างเห็นได้ชัดบวกกับลวดลายเครื่องตกแต่งห้องประภทเครื่องลายครามแบบศิลปะจีนโบราณให้ภาพลักษณ์ที่สวยงามแปลกตาบ่งบอกรสนิยมเจ้าของห้องที่ไม่ธรรมดาเชกเช่นห้องนอนของเขา   เด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งนั่งอยู่มุมหนึ่งของห้อง  หูฟังดนตรีพรางพรมนิ้วลงบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ตัวงามที่เขาเป็นผู้ออกแบบเองตรงหน้า    นิ้วเรียวงามที่ขาวซีดเพราะไม่ค่อยได้ออกจากห้องที่เย็นเยือกด้วยเครื่องปรับอากาศไปไหน  เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล้วสอดประสานไปตามจังหวะดนตรีเหมือนดังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์  หากแต่เป็นเปียนโนชั้นดีก็ไม่ปราน



    “นายน้อยคะได้เวลาทานอาหารแล้วคะ”



    เสียงหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดกึ่งชุดทำงานกึ่งชุดเมดหรือชุดของสาวใช้ดังมาจากทางหน้าประตูห้อง



    “อื่ม  เสร็จพอดีเลย”



    เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกว่านายน้อยวางมือจากงานตรงหน้าแล้วหันมามองผู้ที่เขามาใหม่  ดวงหน้าคมสันได้รูปขาวนวลและออกจะซีดพอๆกับนิ้วมืออันเรียวงามช่วยบอกให้รู้ว่ามีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอแต่กระนั้นดวงหน้าที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาจนเกือบจะสวยงามยิ่งกว่าผู้หญิงจริงๆกับบุคลิกที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวนั้นก็เรียกให้ผู้พบเห็นครั้งแรกต้องหันกลับมามองอีกอย่างชื่นชมสนใจ



    “พี่วาทีกลับมาหรือยังละ วารี”



    วารีจองมองนายน้อยของหล่อนด้วยสายตาห่วงใยแล้วตอบว่า



    “คุณวาทีโทรเข้ามาบอกว่ามีงานด่วนเข้ามา ยังกลับไม่ได้และก็ไม่รู้ว่าคืนนี้จะได้กลับหรือเปล่าคะ”



    “แย่จัง วันนี้มันสมควรจะเป็นวันครอบครัวนะ  ต้องอยู่กับบ้านพร้อมหน้าสิ  อย่างนี้สงสัยต้องโทรไปถามสักหน่อยแล้วว่ามีธุระอะไรนักหนา

    “คะ”

    หญิงสาวรับคำแต่ยังไม่ได้ออกไปไหน  ทำทาทางอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักพักก็เอ่ยขึ้นว่า

    “นายน้อยคะฉันว่านายน้อยควรหาเวลาหยุดพักผ่อนบ้างนะคะ”

    วารีเรียกตัวเองว่าฉันแทนที่จะเป็นดิฉันบ่งบอกความคุ้นเคยและสนิทกันดีระหว่างนายบ่าวทั้งสอง

    “ทำไมเหรอหรือหน้าตาฉันบอกว่าใกล้จะไม่รอดเต็มที่แล้ว”

    กล่าวจบก็หันกลับไปกดปุ่มบนแป้นคอมฯ ทันใดนั้นตัวแป้นก็พลิกเก็บตัวเองเข้ากับตัวเครื่องคอมฯจากนั้นเครื่องคอมฯตัวโตก็เปลี่ยนไปทำหน้าที่เครื่องใช้ไฟฟ้าอีกชนิดหนึ่ง

    “ช่วงนี้พบกับข่าวช่วงเย็นประจำทีวีช่องjj-tv  กับคดีดังเมื่อ2วันที่แล้วที่มีผู้ไม่ประสงค์ออกนามส่งข้อมูลสำคัญแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ  นำพาไปสู่การออกหมายจับดอกเตอร์คงสิทธิ เศรษฐีคนดังในความผิดฐานขโมยข้อมูลผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของบรัษัทที่เป็นคู่แข่งกันทางธุรกิจ…”เสียงผู้อ่านข่าวสาวสวยนามจูนลี่ลูกครึ่งไทย-อังกฤษดังมาจากเครื่องคอมฯสารพัดประโยชน์

    วารียืนนิ่งหลังจากได้ยินคำกล่าวจากนายน้อยของหล่อน

    แม้คำพูดจะดูเหมือนประชดประชันแต่น้ำเสียงที่นายน้อยของหล่อนกล่าวออกมานั้นเป็นลักษณะล้อเลียนเล่นๆมากกว่า  แต่กระนั้นหล่อนก็อดจะใจหายไปกับคำพูดนี้ไม่ได้

    “อย่าพูดอย่างนั้นซิคะ”หล่อนกล่าวเสียงแผ่ว

    “ฮึ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอแล้วกล่าวว่า

    “ฉันรู้ตัวดีน่ะ  เธอเองก็น่าจะรู้นี้ฉันนะอายุปาเข้าไปยี่สิบเอ็ดแล้วนะยี่สิบเอ็ด  แต่ดูนี้สิร่างกายฉันหยุดอยู่แค่นี้ หยุดอยู่เหมือนถูกหยุดเวลา  วิ่งแค่ไม่กี่ก้าวก็ยังไม่ไหวนาฟิกาที่ถูกทิ้งไว้ไม่ไขลานสุดท้ายมันก็คงมีแต่พังเท่านั้น  เหมือนกับฉันตอนนี้”

    กล่าวออกมาด้วยเสียงที่ปลงแล้วของเจ้าตัว  นั้นยิ่งทำให้หญิงสาวร่างบางตรงหน้าอดหวันใจไม่ได้ในที่สุดก็กลั่นใจกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอีกครั้งว่า

    “แต่นายน้อยไม่ใช้นาฟิกานะคะ”กล่าวจบก็หันหลังเดินจากไป  แต่ก่อนที่เท้าของหล่อนจะพ้นประตูห้อง  หูของหล่อนก็ได้ยินเสียงผู้ประกาศข่าวสาวดังมาสะดุดหูว่า  

    “ท่านผู้ชมทุกท่านคะ ขณะนี้มีรายงานด่วนเข้ามาทางสถานีเราว่า  เกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นเราจะขอตัดไปที่เกิดเหตุเลยนะคะ”กล่าวจบภาพข่าวก็ตัดไปยังอีกสถานที่หนึ่ง  ภาพที่เห็นคือกลุ่มนักข่าวหลายสิบคนพากันแย่งกันตั้งคำถามต่อบุรุษหนุ่มที่วารินีคุ้นหน้าเป็นอย่างดีหากแต่ผู้ที่ได้รับความสนใจกลับไม่ยอมตอบ  แต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปข้างหน้าด้วยสายตาเคร่งเครียด “นั้นคุณวาทีนี้คะนายน้อย”

    …………….

    บุรุษผู้ถูกกล่าวถึงกำลังยืนฟังคำบรรยายสถานการณ์    จากเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ในศูนย์ควบคุมใหญ่รถไฟฟ้ามหานครด้วยหน้าตาเคร่งเครียดส  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมกล้ากับเส้นผมสีดำสนิทอีกทั้งดวงหน้าคมสันได้รูปที่สามารถบอกได้เลยว่าหล่อเหลาไม่แพ้น้องชายของตนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างใช้ความคิด

    “ระบบของรถไฟฟ้าทั่วประเทศนั้นโดยปกติจะถูกควบคุมด้วยระบบออโต้โดยจะวิ่งไปตามตารางที่เรากำหนดไว้   คนขับในห้องคนขับกับเครื่องควบคุมในรถไฟมีไว้ในกรณีที่เกิดเหตุขัดข้องครับ”

    “ตอนนี้ก็เกิดเหตุขัดข้องแล้วนี้  ทำไมถึงไม่ทำอะไรละ”

    ผู้การหนุ่มกล่าวด้วยอารมณ์ขุ่นมั่ว  แน่ละวันนี้มันวันปีใหม่นี้  เป็นวันที่ครอบครัวของเขาจะได้อยู่พร้อมหน้า  แต่ทำไมต้องมามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วย

    “ดูเหมือนว่าคนร้ายได้แฮกเข้ามาในระบบของเราแล้วขโมยเอาข้อมูลและรหัสที่ใช้ควบคุมรถไฟฟ้าไป  จากนั้นใช้รหัสที่ได้ไปส่งสัญญาณวิทยุมาจากที่ใดที่หนึ่งเข้าแย่งการควบคุมจากเราไป  จากนั้นเปลี่ยนรหัสควบคุมพร้อมทั้งสั่งให้ระบบคอมฯในรถเปลี่ยนไปรับคำสั่งจากคลื่นวิทยุความถี่ที่คนร้ายกำหนดอีกชั้นหนึ่งเพื่อกันเราคิดจะแย่งการควบคุมกลับ  ผมคิดว่าลองคนร้ายเข้าไปในเครื่องคอมฯบนรถได้แล้วละก็  การตัดการควบคุมคอมพิวเตอร์จากเจ้าหน้าที่ในรถเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยครับ”เจ้าหน้าที่คนเดิมตอบมา

    “แล้วเราพอจะหาวิธีเรียกการควบคุมกลับมาอยู่กับเราได้บ้างหรือเปล่าครับ”

    บุรุษหนุ่มนายเดิมผู้ดำรงค์ตำแหน่งถึงผู้การหน่วยรักษาความสงบเฉพาะกิจพิเศษกล่าวถามขึ้นอีก

    “เราพยายามทำแล้วครับแต่ยังไม่สำเร็จ  รถไฟฟ้าที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้เป็นรถรุ่นไหม่ที่คิดค้นมาจากหลักการเดียวกับรถบังคับวิทยุ   คือมีการตั้งระบบเครื่องรับสัญญาณวิทยุบนตัวรถเข้ากับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมในรถ  จากนั้นศูนย์ควบคุมใหญ่ที่นี้จะส่งคลื่นวิทยุไปยังรถโดยที่ตัวเครื่องจะมีรหัสผ่านอีกชั้นหนึ่งอย่างที่บอกไปแล้ว  จากเหตุการณ์นี้ทางเราได้ขอความร่วมมือไปหน่วยงานสถานที่ต่างๆที่มีเครื่องส่งวิทยุให้ช่วยกันจูนหาคลื่นที่คนร้ายใช้บังคับอยู่คิดว่าอาจต้องใช้เวลาหน่อยแต่ที่หนักใจก็คือรหัสผ่านที่คนร้ายใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์บนรถนี้สิท่าทางจะยากครับ”

    จบคำบรรยายที่ฟังดูแล้วเหมือนการโฆษณาขายรถยังไงยังงันจากเจ้าหน้าที่คนเดิมผุ้การหนุ่มก็นึกได้ถึงสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง

    “แล้วคนร้ายละมีการติดต่อมาหรือยัง”

    จบคำพูดประดุจแทนคำตอบ  เสียงสัญญาณโทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น  เจ้าหน้าที่ผู้มีตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเทคนิคและควบคุมรถไฟฟ้า ที่ยืนทำหน้าที่ตอบคำถามอยู่ก็ยืนมือไปกดปุ่มรับสาย

    ปิ๊บ

    ภาพในจอโทรศัพท์ตั้งโต๊ะก็แสดงภาพเจ้าหน้าที่โอเปอร์เรเตอร์ของสถานีควบคุมนี้ขึ้นมา  พร้อมทั้งกล่าวว่า

    “บอสค่ะมีคนติดต่อมา  บอกว่าเป็นคนร้ายที่ควบคุมรถไฟอยู่ค่ะ”

    หัวหน้าวัยกลางคนจึงรีบกล่าวว่า

    “โอนสายเข้ามาเลย”

    กล่าวจบ  จึงหันมาพูดกับผู้การหนุ่มว่า “ผมจะเอาภาพขึ้นจอใหญ่เลยนะครับ”

    ผู้การหนุ่มพยักหน้าแล้วหันไปส่งสัญญาณให้กับลูกน้องที่กำลังใช้เครื่องมือเพื่อพยายามดักจับสัญญาณโทรศัพท์หาที่มาต้นทางของโทณศัพท์นี้อยู่



    -------------------------



    ขณะเดียวกันนั้นเอง  

    เมืองโตเกียว

    ประเทศญี่ปุ่น

    “พี่มาอิ พี่มาอิ”

    เสียงกังวานใสส่งมาก่อนที่ร่างเด็กสาวผู้น้องจะปรากฏตัวเข้ามาทางประตูห้องพร้อมๆกับที่หญิงสาวค่อยๆเปิดตามองผู้มาเยือน

    “อย่าเพิ่งไปกวนพี่เข้าสิลูก  พี่เข้ากลับมาเหนื่อยๆน่าจะได้พักให้สบายก่อน  นี้ท่าทางจะไม่ได้นอนเลยสิ”เสียงมารดาทั้งสองดังขึ้นตามมาอีกคนหนึ่ง  จากนั้นคุณมาลีมารดาผู้มีหน้าตาสวยงามอิ่มเอิบด้วยสายเลือดชาวไทย  บอกให้รู้ว่าเธอคงมีหน้าตาที่สวยสดไม่แพ้ลูกสาวแน่หากย้อนกลับในช่วงวัยเดียวกัน

    “แหมก็มาเอะคิดถึงนี้คะแล้วก็เป็นห่วงด้วย  ดูสิทำงานไม่ได้กลับบ้านมา 3 วันแล้ว”

    “ไม่เป็นไรคะแม่  ได้นอนสักตื่นก็ดีขึ้นมากแล้วคะ”

    เป็นความจริงที่ว่าหล่อนไม่ได้นอนเลยตลอด 2-3 คืนที่ผ่านมา  แน่ละจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกจากผลของการปะทะกันระหว่างหล่อนกับผู้บุกรุกลึกลับ   นี้ไม่ใช้ครั้งแรกที่มีแฮกเกอร์สติเฟื่องพยายามที่จะบุกเข้าไปยังฐานข้อมูลที่หล่อนดูแลอยู่  แต่หากเป็นครั้งแรกที่หล่อนพลาด  ไม่สิน่าจะเรียกว่าพ่ายอย่างหมดรูปเลยจะดีกว่า !

    “แล้วเป็นยังไงบ้างคะ  งานของพี่นะ”

    น้องสาวถาม  พร้อมกับที่โผกอดพี่สาว ที่ยังอยู่บนเตียงนอน

    “ก็ต้องนั่งถ่างตากันทั้งวันทั้งคืนเลยละกว่าจะกู้ข้อมูลกับระบบให้กลับมาใช้ได้ปกติ”

    ใช่แล้ว  ถึงแม้ข้อมูลในฐานข้อมูลที่หล่อนดูแลจะมีแบคอัพไว้แล้วส่วนใหญ่แต่จากการที่ระบบถูกทำลายซะยับเยินจากการต่อสู้กันระหว่างหล่อนกับผู้บุกรุก  ทำให้ระบบฐานข้อมูลที่ใช่อยู่เสียหายหนักต้องมานั่งเซ็ตระบบใหม่ทั้งระบบ

    “พี่มาอิรู้หรือเปล่าคะ  ว่างานพี่คราวนี้ได้ลงหน้า1เชียวน่า  แถมดูเหมือนจะกระเทือนไปกันทั้งวงการคอมฯเลยละ”

    มาอิซะอึกทันทีที่น้องสาวกล่าวจบ

    “มาเอะ”

    คุณนายมาลีเรียกเตือนผู้เป็นน้องแต่พี่สาวกลับกล่าวว่า

    “ไม่เป็นไรคะ”

    “มาเอะขอโทษคะ มาเอะไม่ตั้งใจทำให้พี่มาอิไม่สบายใจ”

    “พี่บอกว่าไม่เป็นไรไงละ  ไม่ต้องห่วงหรอกแค่นี้พี่ไม่ท้อง่ายๆหรอก   ได้ลงข่าวหน้าหนึ่งเท่จะตายไป”

    ปากพูดออกไปอย่างนั้น   แต่ในใจก็รู้สึกกังวนไม่น้อย   ธนาคารข้อมูลควีนร๊อคเป็นธุระกิจขนาดใหญ่มีสาขาอยู่ทั่วเกือบทุกประเทศ  ค่อยบริการข้อมูลต่างๆให้แก่ผู้ใช้บริการตั้งแต่ข้อมูลสำหรับเด็กจนถึงผู้ใหญ่  เรียกว่ามีข้อมูลทุกอย่างให้เรียกใช้บริการเลยเชียว  สำหรับโลกในยุคปีค.ศ.2060นี้ แน่นอน  เรียกได้ว่าเป็นโลกแห่งข้อมูลข่าวสารอย่างแท้จริง

    “แล้วทางเจ้านายเขาไม่ว่าเอาเหรอที่เรา...”

    คุณมาลีถามขึ้นไม่จบประโยคเพราะกลัวเป็นคนทำลายความมั่นใจลูกเสียเอง

    “ไม่เลยคะ  มาอิยังแปลกใจเลยว่าทำไมเขาไม่ว่าอะไรเลย   ผู้จัดการฝ่ายเขาเพียงแต่เรียกไปถามถึงเหตุการณ์เท่านั้น  แล้วก็บอกว่าการดูแลระบบข้อมูลแบบนี้ก็เหมือนเกมการต่อสู้มีแพ้มีชนะอย่าเสียใจไป  แค่เราปลอดภัยกลับมา ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรก็ดีแล้ว   แต่ความจริงมาอิว่าโดนดุยังดีกว่าเลย  แบบนี้ยิ่งฟังยิ่งละอายใจ  ที่เราทำงานให้เขาได้ไม่ดีพอ”

    ผู้ดูแลสาวตอบ  น้ำเสียงมีความทราบซึ้งใจปนละอายใจที่ตนทำหน้าที่ผิดพลาด

    “ถ้ายังไงเราก็ออกมาทำงานที่บริษัทของคุณพ่อก็ได้นี้ลูก  ถ้าลูกไม่สบายใจ     คงดีใจแน่ถ้าลูกยอมกลับมาดูแลงานบริษัท  ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อเขา   ถามเราทีไรก็บอกแต่อยากเรียนรู้ประสบการณ์บ้างละ  อยากใช้ความสามารถตัวเองบ้างละ  แม่ละเป็นห่วงเราจริงๆมั่วแต่บ้างานแบบนี้เมื่อไรได้แต่งงานมีครอบครัวซะที”

    คุณมาลีถือโอกาสหว่านล้อมลูกสาวคนโตอีกครั้งในเรื่องเดิมๆ  เพราะคุณมาลีเองก็เป็นห่วงลูกสาวอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับอาชีพของลูกสาว  ถึงแม้คุณมาลีจะไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เท่าไร   แต่ก็พอรู้ว่างานที่ลูกสาวตนทำอยู่นี้เป็นงานอันตรายอยู่ไม่ใช่น้อยในการเข้าไปต่อสู้กับผู้บุกรุกในระบบ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงโลกแห่งไซเบอร์  แต่ก็มีไม่น้อยเหมือนกันที่ผู้ดูแลระบบบางรายได้รับความบาดเจ็บทางสมองจากการปะทะกับพวกแฮกเกอร์   บ้างรายในโลกแห่งความจริงบางครั้งก็ถูกจับตัวไปเพื่อบังคับให้บอกข้อมูลบางอย่างในการที่จะเข้าไปขโมยข้อมูลที่ตนรับผิดชอบอยู่ก็มี  เรียกได้ว่าไม่ว่าโลกจริงโลกไซเบอร์ถ้าประมาทก็อันตรายพอกัน

    “เห็นทีคราวนี้ มาอิอาจต้องคิดแล้วเหมือนกันคะว่าจะอยู่ทำงานนี้ต่อดีใหม  ขอเวลามาอิหน่อยนะคะแม่เพราะถึงยังไงมาอิก็รักงานนี้มาก  อยากใช้เวลาคิดให้เยอะหน่อยก่อนตัดสินใจ”

      แน่ละ  ถึงแม้จะไม่ได้รับการถูกลงโทษใดๆเลยจากทางบริษัทในตอนนี้เพราะยังมีเรื่องวุ่นวายตรงหน้าอยู่ แต่เรื่องคราวนี้ก็ทำให้หล่อนท้อไปมากเหมือนกัน   ประกอบกับตนเองก็สำนึกรู้อยู่ตลอดว่าเมื่อใดที่เรื่องวุ่นวายในตอนนี้จบลง  เมื่อนั้นละทางผู้บริหารระดับสูงของบริษัทต้องหันมาพิพากษาหล่อนฐานทำงานพลาดแน่และในขณะเดียวกันหล่อนก็รู้ว่ามารดาเป็นห่วงตนมากกับงานที่ทำอยู่   บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่หล่อนจะวางมือจากงานนี้เสียที!

    …………..



    ด็อกเตอร์คงสิทธฺ!



    ผู้การหนุ่มใหญ์สะดุ้งตกใจเมื่อเห็นผู้ที่ติดต่อเข้ามา

    “สวัสดีทุกท่าน  หวังว่าคงจำผมได้นะ”

    ผู้การหนุ่มพยายามสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว   พลาดคิดทบทวนในใจถึงข้อมูลของบุคคลตรงหน้า  แน่ละเขาจำคนๆนี้ได้ดี  ในเมื่อคนๆนี้คือนักโปรแกรมเมอร์ชื่อดังที่ต้องคดี ถูกศาลออกหมายจับโด่งดังไปทั้งประเทศในคดีโจรกรรมข้อมูลผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของบริษัทส่งออกเครื่องอุปโภคบริโภคแห่งหนึ่ง

    “ผมจำคุณได้ด็อกเตอร์คงสิทธิ”

    “ดี ผมก็จำคุณได้ผู้การวาที”

    ผู้ที่ติดต่อเข้ามากล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่าบุคคลตรงหน้าจะเป็นใคร  แววตาที่ส่งมานั้นมีทั้งความหดหู่  สิ้นหวัง  เหมอลอย และให้ตายเถอะมีแววความบ้าคลั่งผสมปนอยู่ด้วยคล้ายคนที่มีจิตใจที่ไม่ปกติและสามารถทำได้ทุกอย่างที่ผู้คนไม่อาจคาดคิด  ผุ้การหนุ่มบอกกับตนในใจ

    “คุณต้องการอะไรกันแน่ที่ทำแบบนี้”

    ผู้การหนุ่มส่งคำถามเบสิคที่เจ้าหน้าที่ทุกนายมักถามเป็นคำถามแรกเมื่อเจรจากับผู้ก่อการร้าย

    “ต้องการอะไรนะเหรอ”ผู้ก่อการร้ายยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะกล่าวต่อว่า

    “คุณรู้ใหม่ผู้การผมนะกว่าจะมายืนอยู่บนจุดนี้ได้ต้องลบากขนาดไหน  ผมต้องทนทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองยืนขึ้นได้ในโลกที่โสมมนี้นะ  ตั้องแลกมาด้วยความพยายามขนาดไหน  ผมร้ำรวยขนาดนี้ได้ก็เพราะผมเองทั้งนั้น ไม่มีใครหรอกที่จะมาเข้าใจและช่วยเหลือเวลาที่ผมลำบากเลยแม้แต่คนเดียว  แต่ก็ดันมีคนเข้ามา  มันเข้ามาทำลายทุกสิ่งของผมทุกสิ่งที่ผมสร้างมากับมือ มันทำลายหมด”

    ด็อกเตอร์คงสิทธิ  สงบลงสักพักก่อนที่จะกล่าวต่อ

    “ผมไม่รู้หรอกนะ  ว่าไอ้คนที่มันส่งข้อมูลของผมพร้อมหลักฐานให้พวกที่เรียกตัวเองว่าคนของประชาชนอย่างพวกคุณนะมันเป็นเป็นใคร  แต่วันนี้ละผมจะให้มันและพวกคุณรู้ว่าคนอย่างผมไม่ยอมสูญเสียทุกอย่างไปคนเดียวหรอก ผมจะให้คนทั้งประเทศนี้รู้สึกสูญเสียพร้อมกับที่ผมสูญเสียไปด้วย”

    ผู้การหนุ่มรับฟังอย่างสงบจนมีช่องว่างให้เขารีบพูดแทรกมาว่า  

    “แล้วตกลงคุณต้องการอะไรกันแน่ที่ติดต่อมาทางเรา”

    ผู้ก่อการร้ายยิ้มที่มุมปากอีกครั้งก่อนจะกล่าวว่า

    “ผมก็แค่อยากให้ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่จะเกิดต่อไปนี้เป็นของขวัญจากผม  ของขวัญจากคนที่มันเสียทุกอย่างไปเพราะไอ้คนดีอย่างพวกมัน   ฝากบอกไอ้คนดีจอมแส่คนนั้นด้วยนะผู้การถ้าคุณรู้ว่ามันเป็นใคร  บอกมันว่าถ้ามันแน่จริงก็ลองหยุดผมดูแต่ถ้าไม่  ทุกชีวิตที่ตายไปวันนี้ก็เป็นเพราะมันที่มาขวางทางคนอื่นเขา”

    กล่าวจบภาพที่ติดต่อมาก็หายไป

    “ว่าไงชาย”

    ผู้การหนุ่มหันไปหาลูกน้องทั้นใดหลังการตัดการติดต่อของผู้ก่อการร้าย

    “หาที่อยู่มันไม่ได้ครับดูเหมือนมันจะติดต่อมาผ่านทางดาวเทียมหลายทอด  จนเราจับจุดที่มันส่งการติดต่อมาไม่ได้เลยครับ”

    ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมรถไฟฟ้าในห้องคนหนึ่งตะโกนมาว่า

    “แย่แล้วครับ  มีขบวนรถไฟอีก3คันถูกแย่งการควบคุมไปอีกแล้วครับ”

    “ว่าไงนะ”

    ผู้การหนุ่มหันไปทางต้นเสียงทันที  ก่อนที่จะโผร่างไปยังจอควบคุมของเจ้าหน้าที่คนนั้น

    “โถเอ่ย  ไอ้เจ้านี้มันจะทำอะไรกันแน่”

    กล่าวยังไม่ขาดคำหัวหน้าฝ่ายควบคุมรถไฟฟ้าคนเก่าที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆก็กล่าวขึ้นอีกว่า

    “ขบวนรถทั้ง 4 ขบวนเริ่มเร่งความเร็วขึ้นอีกแล้วครับ”

    ได้ยินดังนั้นผู้การหนุ่มจึงรำพึงออกมาว่า

    “มันจะทำอะไรของมันกันอีกละเนี่ย....คุณสมปองขอเส้นทางที่รถทั้งสี่ขบวนวิ่งอยู่ตอนนี้หน่อยสิ”

    ได้ยินแล้วหัวหน้าฝ่ายควบคุมก็หันไปสั่งลูกน้องว่า

    “เอาเส้นทางทั้ง4ขบวนขึ้นจอใหญ่สิ”

    ภาพบนจอปรากฏขึ้นทันใจ  แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้ากับทำให้ทุกคนในที่นั้นตื่นตระหนกกันไปตามๆกัน

    “บ้าเอ่ย  เจ้านี้มันคิดจะให้มีคนตายกี่คนกันเนี่ย”

    เสียงจากใครคนหนึ่งในห้องดังขึ้นจากนั้นห้องทั้งห้องก็ทวีความตรึงเครียสขึ้นอีกหลายสิบเท่า  เพราะเส้นทางที่รถทั้ง 4 ขบวนวิ่งอยู่นั้นกำลังจะมาบรรจบกันในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  และหากมันเกิดขึ้นละก็  ข่าวทุกสื่อในเช้าพรุ่งคงร่วมใจกันลงพร้อมกันว่า

    “รถไฟฟ้าประสานงา  ดับอนาท 4 ขบวนเป็นแน่”

    ขณะที่แต่ละคนในห้องควบคุมพากันตกตะลึงอยู่นั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังมาเรียกสติผู้การวาที

    ฉึ่งๆ เปาะ ฉึ่งๆ

    เสียงจังหวะดนตรี  สามช่าอันแสดงว่ามีผู้เรียกเข้ามายังเครื่องโทรศัพท์แบบ   ของผู้การหนุ่มดังขึ้นมา  ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบกดปุ่มรับโทรศัพท์ที่อยู่บนนาฟิกาข้อมือของตน  จากนั้นภาพคู่สนทนาก็ปรากฏบนจอภาพ  พร้อมๆกับที่ชายหนุ่มทำท่าทางขออนุญาติคนในห้องออกมาคุยโทรศัพท์ข้างนอกห้อง





    “สวัสดีครับคุณผู้การใหญ่  วันนี้มีคดีอะไรให้ปวดหัวอีกไหมครับ”

    ภาพเด็กหนุ่มผิวขาวปรากฏมาพร้อมเสียงทักทายด้วยความสนิทสนม

    “สวัสดี น้อยชายที่เคารพ”

    ชายหนุ่มตอบกลับด้วยลอยยิ้ม  แม้จะแฝงแววเคร้งเครียสอยู่มากก็ตาม และดูเหมือนคนเป็นน้องจะสังเกตุเห็นจึงถามมาว่า

    “ผมเห็นข่าวแล้ว  ทางจะหนักนะครับคดีนี้”

    “ก็มากพอดูละ”

    “นี้มันวันปีใหม่นะครอบครัวควรได้อยู่พร้อมหน้าสิ  เจ้าคนก่อเรื่องงวดนี้ท่าทางจะไม่รู้จักกาลเทศะซะเลย  แล้วรู้หรือยังครับว่าใครทำ”

    ผู้การหนุ่มยิ้มให้น้องชายอีกครั้งด้วยความสำนึกว่าคนเป็นน้องเป็นห่วงพี่ชายอย่างเขาจึงได้โทรศัพท์มาถามสถานการณ์

    “คนดังแห่งปี  ด็อกเตอร์คงสิทธิ”

    ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ดวงตาของคนน้องก็เปร่งประกายขึ้นชั่วขณะหนึ่งจากนั้นก็กลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็วแต่กระนั้นผู้เป็นพี่ก็ยั้งเห็น

    “ผู้การครับแย่แล้ว  รถไฟเพิ่มความเร็วขึ้นอีกแล้ว   ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกไม่เกิน 30 นาทีรถไฟทั้ง 4 ขบวนคงประสานงากันแน่”

    เสียงของหัวหน้าฝ่ายควบคุมไฟฟ้าดังออกมาอย่างรีบร้อนพร้อมกับที่เปิดประตูออกมาเพื่อตามเขากลับไป  หลังจากที่คนข้างในพยายามสับรางเปลี่ยนทิศทาง แต่ไม่เป็นผลเนื่องจากรถไฟทั้ง 4 ขบวนเลยจุดที่จะเปลี่ยนทิศทางได้แล้วและกำลังเร่งความเร็วเกิน170กิโลเมตร/ชั่วโมง

    “หา ว่าอะไรนะพี่”

    น้องชายกลับได้ยินข้อความอันน่าตื่นตะลึงของสถานการณ์ไปด้วย

    “ขอโทษนะต้องไปแล้ว”

    กล่าวจบผู้พี่ก็กดปุ่มวางหูทันทีแล้วรีบกลับเข้าสู่ห้องควบคุม

    ฉึ่งๆ เปาะ ฉึ่งๆ

    ยังไม่ทันที่ผู้การหนุ่มจะกล่าวอะไร ภายหลังจากที่กลับเข้ามาในห้องแล้วเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก

    “มีอะไรอีกละ พี่กำลังยุ่งอยู่นะ”

    ผู้การหนุ่มกล่าวเมื่อภาพน้องชายปรากฏขึ้นในจออีกครั้ง

    “ก็เหตุผลเดิม  วันนี้วันครอบครัวนะ  ยั้งไงพี่ก็น่าจะได้มางานลี้ยงปีใหม่บ้านเรา  ที่สำคัญต้องมาเร็วๆด้วยพวกเราไม่อยากรอนาน”

    ผู้พี่ขมวดคิ้วเข้าหากันพลางคิดว่าน้องชายของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

    “ได้กลับเร็วแน่  นายก็ได้ยินใช่ไหมเมื่อกี่นี้ อีก20นาที รถไฟฟ้า 4 ขบวน จะวิ่งประสานงากันถ้าไม่หาทางหยุดรถไฟให้ได้ละก็ได้มีคนตายเกิน400คนละงานนี้  ตอนนี้เรามืดแปดด้านกันหมดเลย  ตอนนี้ไม่ว่าเทวดาที่ไหนลงมาหน้า ฉันก็ยังไม่มั่นใจว่าจะช่วยอะไรได้เลย   รู้อย่างนี้แล้วนายจะปล่อยให้ฉันทำงานได้หรือยัง”

    พี่ชายเริ่มส่งเสียงดังขึ้นเพราะความเครียสที่กำลังจะควบคุมไม่อยู่  ส่วนน้องชายก็นั่งนิ่งอยู่ที่หน้าจอตนเองเพ่งมองมาใบหน้าของพี่ชาย  จากนั้นยิ้มน้อยๆแล้วกล่าวว่า

    “แล้วถ้าเป็นฉันละ พี่มั่นใจไหม”

    “นี้นายหมายความว่าไง”

    ผู้การหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังฟังน้องชายกล่าว

    “เอาละฉันรู้หรอกว่านี้มันงานของพี่  พลเรือนไม่เกี่ยวแต่ก็อย่างที่บอก   ฉันไม่ชอบนั่งรอนานๆ  อยากฉลองปีใหม่กันเร็วๆและที่ทำคัญตอนนี้กำลังมีคนจะตายกันเป็นเบือ เพราะงั้นวันนี้จะขอเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาพิเศษให้พี่เอง”

    ผู้การหนุ่มคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งเพื่อตัดสินใจ  โดยปกติเขาจะเป็นคนเคร่งครัดในหน้าที่  ไม่เอาเรื่องงานมายุ่งกับเรื่องส่วนตัว แต่ในขณะสถานะการณ์คับขันแบบนี้น้องชายตัวดีของเขาคนนี้น่าจะช่วยได้มากที่สุด  พี่ชายอย่างเขามั่นใจดีแม้ร่างกายของน้องชายเขาจะอ่อนแอ   แต่เรื่องปัญญาแล้วหาใครในโลกนี้เทียบเคียงได้ยากนัก!

    “ว่าไง  ยังไม่รีบเล่าสถานะการณ์มาอีก  ไม่งั้นเดียวฉันเปลี่ยนใจก่อนไม่รู้นะ”

    พี่ชายมองตาน้องชายไม่กระพริบก่อนที่จะพยักหน้าเป็นสัญญาว่าเขายอมรับความช่วยเหลือของน้องชายครั้งนี้





    “ขอเชื่อมระบบคอมพิวเตอร์ของเราเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ของการไฟฟ้าและกรมที่ดิน”

    ผู้การหนุ่มวาทีสั่งการตามที่น้องชายบอก   ในขณะเดียวกันก็ฟังคำอธิบายจากน้องชายไปพร้อมๆกัน

    “ในเมื่อเราหาทางแย่งการควบคุมคืนมาไม่ได้งั้นเราก็ต้องถามเอาจากด็อกเตอร์คงสิทธิเท่านั้นละ”

    น้องชายกล่าวมาอย่างชวนให้งงงวนยิ่งนัก

    “นายพูดอย่างนี้หมายความว่านายมีวิธีหาตัวด็อกเตอร์คงสิทธิสินะ”

    น้อง

    ชายยิ้มน้อยๆที่มุมปากอันเป็นท่าประจำตัวก่อนที่จะกล่าวต่อว่า

    “การที่คนร้ายจะใช้ข้อมูลรหัสการควบคุมรถไฟฟ้าไปใช้ควบคุมรถไฟฟ้าได้จริงนั้น  แน่นอนที่ว่าเขาจะต้องมีเครื่องส่งวิทยุที่จะคลื่นวิทยุไปยังตัวรถ  ดังนั้นถ้าหาจุดส่งคลื่นวิทยุได้เราก็หาตัวคนร้ายเจอและเครื่องส่งวิทยุขนาดที่ใหญ่พอที่จะส่งคลื่นวิทยุไปควบคุมรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งคันได้นั้น  ตัวเครื่องเองจะต้องใช้กำลังไฟฟ้าเป็นจำนวนมากแน่ซึ่งในปัจจุบันเครื่องส่งคลื่นวิทยุที่ใหญ่และสถานที่ที่จะมีกำลังไฟฟ้ามากพอให้มันทำงานทั่วประเทศได้นั้นในประเทศไทยก็มีอยู่แห่งเดียวคือที่ที่นายยืนอยู่นั้นละ”

    ผู้การหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า

    “เดียวๆฉันตามนายไม่ทันแล้ว นายบอกว่าเครื่องส่งวิทยุให้รถไฟฟ้านั้นมีอยู่แค่ที่ศูนย์ควบคุมนี้ที่เดียวไม่ใช้เหรอ  งั้นเจ้าด็อกเตอร์เสียสตินั้นส่งคลื่นวิทยุมาจากไหน  อย่าบอกว่ามันอยู่ในศูนย์นี้นะ”

    “ฉันบอกว่าเครื่องวิทยุที่ใหญ่พอที่ควบคุมรถไฟฟ้าทั่วทั่งประเทศไทยได้มีอยู่ที่ศูนย์นั้น  แต่ก็ไม่ใช่ว่าเครื่องที่เล็กกว่านั้นจะไม่มีนี้ เอาละระบบของเราพร้อมหรือยัง”

    ผู้การหนุ่มหันไปมองที่จอใหญ่ในห้องควบคุมก่อนที่จะหันกลับมาตอบว่า

    “พร้อมแล้ว”

    “ทีนี้เราก็มาดูเส้นทางของรถไฟฟ้านี้กัน  รถไฟฟ้าทั้ง 4 ขบวนวิ่งและถูกแย้งการควบคุมไปในบริเวณเส้นทางแถบปริมณฑลทั้งสิ้น  จากนั้นขบวนรถไฟทั้ง 4 ขบวนถูกสั่งให้วิ่งวนไปมาในเส้นทางแทบปริมนฑนนั้นไปจนถึงจันทบุรี  แสดงว่าเครื่องส่งที่มันใช้เป็นเครื่งส่งขนาดเล็กกว่าของที่เราใช้อยู่ทำให่สามารถควบคุมรถไฟฟ้าได้แค่ภายในบริเวณแทบนั้นเท่านั้น   แต่ถึงอย่างนั้นเครื่องส่งวิทยุนั้นก็ต้องใช่ไฟฟ้ามากอยู่ดี”

    ผู้การหนุ่มรับฟังและคิดตามอย่างหนักจนกระทั้งเริ่มตามทั้นน้องชายและยิ้มออกมาได้  จากนั้นกล่าวอย่างดีใจต่อประโยคว่า

    “ดังนั้นถ้าจะหาเจ้าด็อกเตอร์นั้น  เราก็แค่ตรวจการไช้ไฟฟ้าว่าบริเวณเส้นทางที่รถไฟฟ้าวิ่งอยู่นี้มีสถานที่อะไรที่ใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมากในตอนนี้  แค่นี้เราก็เจอเจ้านั้นแล้ว”

    “ใช่  ในวันปีใหม่อย่างนี้โรงงานต่างๆหยุดทำการ  เพราะฉะนั้นสถานที่ที่ใช้ไฟฟ้ามากๆนั้นคงจะเหลือเพียงไม่กี่ที่  เราแค่หาว่าในจำนวนนั้นที่ไหนเป็นทรัพย์สินของด็อกเตอร์คงสิทธิแค่นั้นเราก็หาเขาเจอแล้ว”

    แต่ยังไม่ทันขาดคำผุ้การหนุ่มก็นึกถึงสิ่งหนึ่งได้

    “แล้วเราจะมั่นใจได้ยังไงว่าด็อกเตอร์คงสิทธิจะใช้สถานที่ที่เป็นทรัพย์สินของเขาละ  เขาอาจใช้ที่ไหนก็ได้ในบริเวณนั้น”

    “ไม่หรอกคนสติแตกอย่างด็อกเตอร์คงสิทธินะมักจะถือตัวว่าตัวเองฉลาดมีปริญญาเอกฐานะรำรวยทั้งๆที่ตัวเองเป็นพวกประเภทฉลาดแต่ไม่เฉลียวแถวยั้งบองตื้นด้วย คนอย่างเขาไม่คิดอะไรซับซ้อนได้ขนาดนั้นหรอก”

    แม้จะส่งสัยที่น้องตอบกลับแบบที่เหมือนจะรู้จักคนผู้นี้อย่างดี  แต่กระนั้นผู้การหนุ่มก็ไม่มีเวลามาใส่ใจนอกจากรีบทำตามที่น้องชายบอก

    “พบแล้วครับ  อยู่ที่โรงงานขนาดเล็กแห่งหนึ่งแถวจังหวัดจันทบุรีครับ”

    เสียงเจ้าหน้าที่รายงานมา  ผู้การหนุ่ม

    “เจอแล้วละ ขอบใจมาก”

    “ไม่เป็นไรครับ  ที่เหลือก็แล้วแต่พวกพี่แล้วนะ”

    ยังกล่าวไม่ทันจบดี   มีเสียงดังมาอีกว่า

    “รถเร่งความเร็วอีกแล้วครับ จากที่เราคำนวณไว้เหลือ 15 นาที ตอนนี้เหลือไม่ถึง 10 นาทีแล้วครับ”

    “บ้าชะมัด  ฉันต้องรีบไปแล้วละ”

    “ขอให้โชคดีครับ”

    สิ้นการกล่าว  ผู้การหนุ่มก็วางสายแล้วรีบนำหน่วยเฉพาะกิจขึ้นเครื่องบินพิเศษประจำหน่วยที่จอดรออยู่ ณ สนามหน้าศูนย์ไปยังที่ที่ตนจะสามารถหยุดคนร้ายสติแตกผู้นี้ได้







    พอหน้าจอข้างหน้าที่ใช้ติดต่อกับพี่ชายดับลง   ชายหนุ่มร่างผอมบางก็หันหน้าไปพูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆเก้าอี้ที่ตนนั่งว่า

    “เวลาไม่ถึง 10 นาที แบบนี้พวกเขาจะไปทันไหมนะ เธอว่ายังไงวารี”

    “ท่าทางจะต้องวัดดวงที่ความเร็วของพวกเขาแล้วคะ  ฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นะคะว่าพวกเขาจะไปทัน”

    นายน้อยของเธอนั่งนิ่งสักครู่ก่อนที่จะถอนใจเสียงดัง

    “เฮ่ย  แบบนี้สงสัยเราคงต้องช่วยเขาอีกหน่อยแล้ว  เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไปทัน”

    วารีได้ยินดังนั้นก็รู้ว่านายน้อยของหล่อนคิดจะลงมือเองแล้วและหล่อนก็คงไม่มีทางห้ามได้แม้จะห่วงมากแค่ไหนจึงกล่าวว่า

    “ระวังตัวด้วยนะคะนายน้อย”

    “ฉันจะกลับมาอย่างปลอดภัยให้เธอขุนฉันจนอ้วนเลยเชื่อสิ”

    นายน้อยของวารีกล่าวพร้อมกับยิ้มน้อยๆที่มุมปากจากนั้นยิบเครื่องสวมหัวสีเงินขึ้นสวม  จากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีชายหนุ่มก็มายืนอยู่ในห้องๆหนึ่งที่มีสีเงินยวงพร่างพราวใช้แล้วมันคือโลกแห่งไซเบอร์นั้นเอง

    “สวัสดีคะมาสเตอร์”

    เด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มสวมกระโปรงบานสีนำเงินเข้มรับกับเส้นผมสีเงินยวงปรากฏตรงหน้าชายหนุ่ม

    “วันนี้มีงานด่วน โดโรธีเตรียมออกปฏิบัติการ”

    “รับทราบ”

    กล่าวแล้วร่างน้อยของเด็กหญิงก็ลอยตัวเข้าหาชายหนุ่ม  เมื่อร่างทั้งสองสัมผัสกันก็เกิดแสงสีเงินสว่างทั่วห้อง  จากนั้นเมื่อร่างชายหนุมปรากฏออกมาชุดที่สวมใส่ก็พลันเปลี่ยนไปกลายเป็นชุดทัคชีโด้สีเงินยวงตัวใหม่สวมทับด้วยเสื้อครุมน้ำเงินเข้มตัวใหญ่ตั้งแต่หัวจรดเท้า

        บัดนี้ชายหนุ่มหาใช่ชายร่างบางผอมแห้งอีกต่อไป  เพราะในโลกไซเบอร์นี้เข้าคือผู้ทรงอำนาจที่ยิ่งใหญ่  ผู้ที่ใครๆในโลกไซเบอร์ต่างขนานนามเข้าว่า  เจ้าแห่งแฮกเกอร์!



    โปรดติดตามตอนต่อไป









      





      











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×