ตอนที่ 5 : Chapter 4 :: การทดสอบ(ภาคปฎิบัติ) III
ณ ห้องอาหารของอาจารย์ผู้คุมการทดสอบ เป็นหนึ่งในไม่กี่ห้องที่อยู่ในมิติปกติ เมื่อได้เวลาอาหารเย็นที่คลาดเคลื่อนจากกำหนดการณ์เดิมไปมากเพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้น อาจารย์แห่งสถาบันเชนโตเออูโนในสภาพเหนื่อยล้าก็ทยอยกันออกมาจากมิติแยกแล้วทิ้งร่างจับจองเก้าอี้บุนวมอย่างดีกันคนละตัว แม้เก้าอี้จะทำจากหนังชั้นดีและอัดแน่นด้วยใยผ้าชนิดพิเศษที่ช่วยผ่อนคลายความอ่อนล้าก็มิได้ช่วยลดทอนความปวดหนักไปทั่วสารพางค์กายนี้ได้
อาจารย์ยี่สิบคน กับผู้เข้าทดสอบสอบสองพันคน
ใช้งานเยี่ยงทาส ยังน้อยไป
“ทุกๆปีฉันอยากจะลาออกก็เพราะงานรับนักเรียนใหม่นี่ล่ะ”แบคอนเอ่ยทำลายความเงียบอันแสนอึมครึมด้วยสภาพเพื่อนร่วมโต๊ะแต่ละคนที่ไม่ได้แตกต่างจากเขาเท่าไร อาหารหน้าตาชวนน้ำลายสอกับกลิ่นกระตุ้นความอยากอาหารดูไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา ไม่มีใครคิดจะจับช้อนด้วยซ้ำไป
“ทำไมไม่ลาออกไปเสียล่ะ”
คนตัวเล็กตวัดสายตาไปตามเสียงทุ้มที่ควรจะสบายหูหากไม่ได้มาพร้อมประโยคกวนใจ บุคคลที่เข้ามาใหม่ทั้งสองทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่เหลืออยู่ รอยยิ้มเย้าแหย่ที่ตั้งใจส่งมาให้แบคอนจากหนึ่งในสองคนนั้นทำให้หัวคิ้วบางกระตุก
“เพราะอยากจะอยู่ขัดขวางโครงการไร้สาระต่างๆนาๆของนายไง ไคมัส”
“อ้อ นี่ไง ตัวถ่วงความเจริญของฉัน”
ด้วยความสัจจริง ชาร์ลแทบจะคว้าตัวคนข้างๆที่ทำท่าจะทะยานข้ามโต๊ะไปหักคอคู่สนทนาของตัวเองไว้ไม่ทัน ใครๆก็รู้ว่าแบคอนกับไคมัสเหมือนน้ำมันกับกองไฟ ใกล้กันเมื่อไรก็เกิดมหันตภัยอยู่เสมอ
เป็นเรื่องตลกร้ายที่พวกเขามีวงโคจรชีวิตซ้อนทับกันมาเกือบสิบปีแล้ว
ขู่จะสาปกันอยู่ทุกวันแต่ไม่เคยเห็นฆ่าฟันกันจริงๆจังๆเสียที จะมีก็แต่ฟาดฟันกันด้วยฝีปาก
ซึ่งผู้ชนะส่วนใหญ่ เห็นทีจะเป็นฝั่งร่างสูงเจ้าของผิวกร้านแดดเพราะชื่นชอบการออกกำลังกายกลางแจ้งนั่นเสียมากกว่า ไฮบ์ตระกูลจิ้งจอกเลือดร้อนมักจะโดนไฮบ์ตระกูลหมีช่างก่อกวนเย้าแหย่อยู่เสมอ
เดือดร้อนเขี้ยวของทั้งสองฝ่ายต้องคอยห้ามปราม
จะเรียกว่าห้ามปรามก็ไม่ถูกนัก เพราะทางฝั่งของไคมัสดูจะเป็นการตักเตือนมากกว่า
“เลิกบ้าสักทีเถอะไคส์ ฉันรำคาญ”
“รู้อะไรไหมเซรัล ฉันว่าการยอมเป็นเขี้ยวให้คนอย่างมันนี่เป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตนายเลย”แบคอนหันไปพูดกับร่างสูงที่ตัวบางกว่าคนข้างๆอยู่มาก และนั่นก็ได้รับการถอนหายใจหนักๆกลับมา กับประโยคสั้นๆที่ทำให้ผู้ร่วมโต๊ะลงมติว่าวันนี้จิ้งจอกชนะหมีเพราะความช่วยเหลือของเสือดาวหนุ่ม
“ฉันก็ว่างั้น”
แต่แล้วเกมก็เปลี่ยนเมื่อไคมัสปรายสายตาชั่วร้ายมาหาร่างเล็กที่หัวเราะชอบใจกับชัยชนะชั่วคราวของตน ยังไม่ทันได้ชื่นชมก็โดนยึดคืนด้วยประโยคเดียว
“นี่ วันนี้ฉันจะได้ทดสอบภาคปฏิบัติเด็กในความดูแลของนายนี่ ใช่ไหม แบคอน”
ขนคอคนโดนเรียกลุกชันพร้อมๆกับดวงตาเรียวที่เบิกกว้างขึ้น คนหางตาตกเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่หลุดคำสบถหยาบคายออกมา
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กในความดูแลของเขาทุกคนอยู่ในกำมือของเจ้าหมีโรคจิต
โดยเฉพาะเด็กที่เขาถูกชะตาหนักหนา พนันได้เลยว่าต้องเป็นที่ถูกใจของเจ้าบ้าอำนาจนี่แน่นอน
กลับลำเรือไม่ทันมีแต่ต้องกางใบไปต่อ
“ถ้านายขัดคำสั่ง ทำเกินจำเป็น เตรียมตัวเขียนรายงานอธิบายสักสามร้อยหน้าไว้ได้เลย”
“รีบขู่แบบนี้แสดงว่ามีคนที่ถูกใจล่ะสิ”
อีกครั้งที่เจ้าของผิวสีเข้มทำให้คู่สนทนาเข่นเขี้ยวใส่ด้วยคับข้องใจที่โดนรู้ทันไปเสียหมดจนน่าหงุดหงิด
ก่อนที่สงครามระหว่างจิ้งจอกกับหมีจะบานปลาย ทุกอย่างก็ต้องเข้าสู่ความสงบเมื่อใครคนหนึ่งที่เงียบฟังมานานเอ่ยปาก
“พอสักทีเถอะทั้งสองคน แค่นี้พวกเราก็เหนื่อยกันจะแย่ ถ้ามีแรงมากพอจะทะเลาะกัน ฉันจะให้พวกนายรับผิดชอบเด็กเพิ่มสักสิบยี่สิบคน ดีไหม”
แน่นอนว่าไม่ดี
ทั้งแบคอนและไคมัสจึงได้ปิดปากเงียบทันที
“ยูจีน ได้ข่าวว่านายให้มิทานอสค้นหาอะไรบางอย่าง มีปัญหาอะไรหรือ”เจ้าของผิวขาวราวหิมะแรกของปีหันไปถามคนตัวเล็กที่สุดที่นั่งตัวสั่นด้วยหวาดหวั่นกับการปะทะคารมเมื่อครู่จนแทบจะซุกตัวลงไปอยู่ใต้โต๊ะรอมร่อ
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณซาฮาล”ยูจีนเลี่ยงจะตอบคำถาม เพราะเกรงจะทำให้ทุกคนเป็นกังวล เขาเกลียดนิสัยขี้กลัวของตัวเอง และครั้งนี้เขาก็เอาแต่ลังเลจนไม่กล้าเอ่ยปากต่อหน้าผู้ร่วมงานเกือบสิบชีวิตที่ร่วมโต๊ะอยู่
ซาฮาลมองยูจีนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาไป นั่นทำให้คนตัวเล็กหายใจได้คล่องขึ้นหลังจากกลั้นหายใจด้วยความวิตกอยู่นาน
ได้แต่ภาวนาว่าเด็กดีอย่างคาดิเนียลจะไม่ก่อปัญหา มิเช่นนั้นเขาคงรู้สึกผิดมากจนไม่อาจให้อภัยตัวเอง
“ปีนี้มีใครน่าสนใจเป็นพิเศษไหม”ซาฮาลนำบทสนทนาอีกครั้งขณะกวาดสายตาไปทั่วโต๊ะ เขาสังเกตเห็นว่าดวงตาแบคอนเป็นประกายเพียงใด แต่ปากบางนั้นยังคงเม้มแน่นไม่ยอมเอ่ยคำใดออกมา ดูอึดอัดเสียงจนคนถามได้แต่ลอบขำ
คงกลัวไปเข้าหูคนที่นั่งตรงข้ามเข้า
“ไฮบ์คนหนึ่งในความดูแลของผม ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวครับ”เป็นจูนิเอลที่นั่งหลังตรงอย่างผู้รู้มารยาทบนโต๊ะอาหารเป็นอย่างดีเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“นั่นฉันกับมาคัสจะได้ทดสอบเขาใช่ไหม”ร่างหนาที่นั่งข้างกันหันมาถามเสียงสูงอย่างกระตือรือร้น ซึ่งจูนิเอลทำเพียงปรายตามองแล้วพยักหน้าน้อยๆอย่างขอไปที เขาไม่ค่อยสบอารมณ์กับท่าทางตื่นเต้นเกินจริงของเพื่อนร่วมงานคนนี้เท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้เกลียด
“ว้าว น่าสนุก”
“น้อยๆหน่อยเถอะจาซัน ถ้านายเล่นสนุกมากไประวังจะได้เขียนรายงานเป็นเพื่อนไคมัสมัน”
คำพูดของมาคัสเรียกสายตาขุ่นๆจากคนถูกพาดพิงได้เป็นอย่างดี และเรียกเสียงหัวเราะคิกจากใครอีกคนได้ด้วย
“ทานอาหารแล้วแยกย้ายไปทำงานต่อ เราควรจะเริ่มการทดสอบต่อไปให้ทันก่อนเที่ยงคืน”
สิ้นคำของผู้มีตำแหน่งสูงกว่า การทานอาหารก็เริ่มขึ้นอย่างช้าๆ บทสนทนาเปลี่ยนประเด็นเป็นเรื่องทั่วไป
คงมีเพียงยูจีนที่หัวใจเต้นระรัว ภาวนาซ้ำๆให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
hf
ก้อกๆ
“คุณคาดิเนียลครับ”
เสียงเคาะเบาๆที่บานประตูบ่งบอกนิสัยช่างเกรงใจของผู้เคาะได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นโชคดีของจูนิเอลที่คนในห้องเพียงแค่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างมิได้กำลังอยู่ในห้วงนิทรา มิเช่นนั้นแล้วผู้ดูแลรูปงามคงต้องยืนรอจนขาแข็งด้วยไม่กล้าเสียมารยาทเปิดประตูเข้าไปโดยพละการ
คาดิเนียลละสายตาจากแผ่นฟ้าสีดำที่ถูกระบายด้วยสีทองนวลในคืนเดือนเพ็ญ ตัวเอกในค่ำคืนนี้หนีไม่พ้นโคมรัตติกาลดวงโตที่ลอยเด่นอยู่เพียงหนึ่งเดียว แสงสว่างสีอ่อนนั้นมีพลังมากพอจะกลบแสงของดาวทั้งท้องฟ้า คนที่เปิดหน้าต่างออกมาเพราะหวังจะนั่งมองดาวแก้เบื่อจึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายเป็นนั่งชมจันทร์แทน
นั่นก็ไม่ได้แย่นักหรอก เมื่อการชมจันทร์ครั้งนี้มีกลิ่นไออุ่นๆของใครบางคนผ่านประสาทรับสัมผัสของเขามาเป็นระยะ
สภาวะปลดขีดจำกัดนั้นกระอักกระอ่วนด้วยพลังเวทย์ที่ตื่นตัวตลอดเวลาก็จริง
แต่คาดิเนียลปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข้อดีของมันก็คือทำให้เขาได้พิจารณากลิ่นประจำตัวของทรานส์คนนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนและลงความเห็นว่ากลิ่นอ่อนๆนั้นช่างคล้ายกลิ่นของอากาศในฤดูใบไม้ผลิ ความอบอุ่นที่โอบล้อมเข้ามาหลังความหนาวเหน็บ หอมจางด้วยกลิ่นของต้นอ่อนดอกไม้ที่แตกใบแรก ฟ้าใสกับลมแผ่วๆที่ทำให้ต้องสูดจมูกฟุดฟิด กระตุ้นให้ลิงโลดกระโจนออกจากชายคาไปวิ่งถลารับลมจนหูลู่ ในกรณีที่ถ้าเขาเป็นหมาจริงๆ
ถึงคาดิเนียลจะไม่เคยเกลือกกลิ้งไปบนพื้นดินอุ่นๆในฤดูใบไม้ผลิ เพราะเขาเป็นไฮบ์ที่ยังใช้ชีวิตแบบมนุษย์ และสาบานเลยว่าถึงจะเป็นทรานส์ช่วงลอสเขาก็คงไม่ไปนอนคลุกฝุ่นที่ไหนเล่น กระนั้นทุกปีในช่วงอากาศอบอุ่นที่หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นความสดใหม่ของต้นไม้ใบหญ้าก็ทำให้คาดิเนียลอารมณ์ดีเอามากๆ
จะบอกว่าเป็นฤดูที่ชอบที่สุดก็ได้อยู่หรอก
เพราะแบบนั้นเลยยิ่งสนใจเจ้าของกลิ่นนี้เข้าไปใหญ่
จะว่าไปก็เป็นกลิ่นที่ชวนให้คิดถึงอยู่เหมือนกัน
“ครับคุณจูนิเอล”เสียงทุ้มตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ที่ทำให้จูนิเอลต้องเงยมองเมื่ออยู่ในระยะใกล้เช่นนี้ ผู้ดูแลถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อให้ระยะห่างระหว่างเขากับผู้เข้าทดสอบที่เปิดประตูออกมานั้นเหมาะแก่การสนทนา
“พักผ่อนเป็นยังไงบ้างครับ สบายตัวขึ้นไหม”
“ก็ดีครับ แต่ผมนอนไม่หลับก็เลยนั่งเล่นเรื่อยเปื่อย”รอยยิ้มกว้างจนตาเรียวหยีลงกลายเป็นขีดตามแบบฉบับของเจ้าตัวมาพร้อมเสียงหัวเราะเก้อๆ เพราะผู้ดูแลสั่งไว้ให้หลับสักตื่นเพื่อปรับสภาพร่างกาย แต่เขาทำไม่ได้ก็เลยหวั่นใจว่าจะโดนดุ
โชคดีที่จูนิเอลทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ
แน่ล่ะ บอกแล้วว่ารอยยิ้มของคาดิเนียลนั้นเอาชนะได้ทุกอย่าง
“หลังจากนี้คุณอาจจะเสียดายที่ไม่ได้นอน”จูนิเอลพูดด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกล้อซึ่งมีไม่บ่อยนัก นั่นทำให้คาดิเนียลเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แล้วประโยคต่อมาก็ทำให้เขาเข้าใจว่าผู้ดูแลคนนี้กำลังสนุกที่จะได้เห็นเขาเข้าห้องทรมาน
“ตอนนี้ได้เวลาแล้ว ถ้าคุณไม่ขัดข้องอะไร ผมจะพาไปห้องทดสอบต่อไปเลยนะครับ”
จูนิเอลเดินนำคาดิเนียลที่ออกจากห้องมาอย่างง่ายดาย ดูเหมือนเขาจะเตรียมตัวอยู่แล้ว และการเตรียมพร้อมเช่นนั้นก็ถูกใจจูนิเอลเหลือเกิน ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขาสนใจในตัวผู้เข้าทดสอบในความดูแลของตัวเองอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่สนใจเชิงชู้สาวแต่หมายถึงสนใจในความสามารถ จูนิเอลเป็นประเภทหลงใหลในการพัฒนาศิษย์ที่มีแวว และคาดิเนียลก็มีแววไม่น้อยเลยในสายตาเขา
อยากจะขัดเกลา เจียระไนให้เป็นเพชรเม็ดงาม
“เชิญครับ”คาดิเนียลค้อมหัวขอบคุณผู้ดูแลที่เปิดประตูให้ และเดินแทรกผ่านประตูสีขาวสะอาดตาเข้าไปในห้องที่มีลักษณะไม่แตกต่างกับห้องอื่นๆที่เขาเคยผ่านมาเท่าไรนัก มีโต๊ะสำหรับผู้คุมการทดสอบ มีเก้าอี้ของผู้เข้าทดสอบ บางห้องอาจจะมีเตียงและอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับตรวจร่างกาย บางห้องมีหน้าต่างบานใหญ่ให้แสงสว่าง แต่ห้องนี้กลับไม่มีอะไรพิเศษที่บ่งบอกลักษณะของการทดสอบ มีเพียงโต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สำหรับสองคน
พิเศษกว่าห้องอื่นก็ตรงที่จูนิเอลซึ่งมักจะยืนรอเขาที่หน้าประตูรอจนกว่าการทดสอบจะจบลง กลับเดินตามเขาเข้ามาและทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ผายมือให้เขานั่งลงที่เก้าอี้อีกตัว แน่นอนว่าคาดิเนียลทำตามอย่างว่าง่าย
จะบอกว่าคุณจูนิเอลเป็นผู้คุมการทดสอบนี้งั้นหรือ
“ก่อนคุณจะเข้าไปในห้องทดสอบภาคปฏิบัติ คุณจะต้องลงนามในเอกสารยินยอมฉบับนี้ก่อนครับ”
เอกสารที่ว่าถูกยื่นมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม เขามองมันด้วยสายตาสงบนิ่ง นี่เป็นอีกหนึ่งในเรื่องเล่าของพี่ชาย ตอนเล่าออกจะกระท่อนกระแท่นเพราะต้องพยายามสรรหาคำมาอธิบายหลบเลี่ยงโทษทัณฑ์ของเวทย์แห่งสัจจะ คาดิเนียลจึงจำได้ดี เพราะมันอันตราย จึงต้องจำให้ขึ้นใจ
หลังลงนามในเอกสารนี้ไป จะเข้าสู่บททดสอบที่เขาไม่รู้อะไรเลย
มันไม่มีในเรื่องเล่าของพี่ชาย
เพราะพี่ชายของเขาเป็น ทรานส์
การทดสอบที่แตกต่างกันสุดขั้วนั้นเขารู้ดี ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทดสอบของไฮบ์ แต่อะไรก็ตามที่ออกจากปากคนอื่น ไม่ใช่คนในครอบครัว เขาก็ไม่ค่อยจะได้ใส่ใจจำนักหรอก
หนังสือยินยอม
การทดสอบภาคปฏิบัติของ คาดิเนียล รหัส 1210
หากเกิดการผิดพลาดที่อาจทำให้ถึงชีวิต หรือบาดเจ็บสาหัส ผู้เข้ารับการทดสอบและครอบครัวไม่มีสิทธิ์เรียกร้องความรับผิดชอบใดๆจากสถาบันเชนโตเออูโน
ยินยอม ลงนาม …………………………………………….
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”
เกริ่นมาเสียขนาดนี้ แล้วบอกไม่ให้กังวล นั่นแหละที่น่ากังวล
แม้แต่รอยยิ้มของจูนิเอลที่ปิดท้ายประโยคนั่นยังดูน่ากลัวเลยพับผ่าสิ
“ฝากบอกที่บ้านด้วยนะครับว่าผมรักทุกคน”คาดิเนียลเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะหยิบปากกาที่วางอยู่ข้างกระดาษแผ่นน้อยแต่แสนน่าหวาดหวั่นขึ้นมาจับไว้แน่น บรรจงลงชื่อในช่องว่างที่เว้นไว้ให้ ราวกับเติมเต็มย่อหน้าสุดท้ายในนิทานสยองขวัญ เป็นอีกครั้งที่เขาเห็นกระดาษจุดไฟขึ้นด้วยตัวเองแล้วกลายเป็นเถ้าสีเทาๆก่อนจะค่อยๆสลายเป็นควันหายไป
ไม่มีโอกาสให้เปลี่ยนใจเลย
ยอมรับเลยว่าเหงื่อที่ชื้นหลังทั้งที่เพิ่งอาบน้ำนี้ไม่ได้เกิดจากอากาศร้อน ห้องนี้ออกจะเย็นเกินไปเสียด้วยซ้ำ
ไม่ปฏิเสธด้วยว่าเสียงหัวเราะเอ็นดูของจูนิเอลนั้นไม่ได้ช่วยปลอบประโลมอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อมันมาพร้อมประกายวามวาวในดวงตาเรียวที่โตกว่าเขาอยู่หน่อย
“ขอให้โชคดีนะครับ เชิญเปิดประตูด้านหลังคุณเข้าไปได้เลย”
คาดิเนียลลุกจากเก้าอี้ เมื่อหันหลังไปมองก็พบว่ามีประตูสีดำสนิทตัดกับผนังสีขาวสะอาดปรากฏขึ้นมา ช่างสร้างบรรยากาศชวนขนหัวลุกเก่งกันเสียจริง ทั้งคนที่ร่างเอกสารยินยอม ทั้งคนที่สร้างประตู รวมถึงคนที่ยิ้มอารมณ์ดีอยู่ด้านหลังเขาตอนนี้ก็ด้วย
“เมื่อคุณเปิดประตูกลับออกมา ผมจะอยู่ตรงนี้แน่นอนครับ”
หวังว่าผมจะได้กลับออกมานะครับ คุณผู้ดูแล
hf
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน แม้จะเป็นเวลาที่คู่ควรกับการนอนขดใต้ผ้าห่มแล้วจมอยู่กับห้วงนิทรา แต่ในวันที่มีภารกิจสำคัญต้องทำ แบคอนไม่คิดว่าแมวน้อยในความดูแลของเขาจะหลับสนิทได้ถึงเพียงนี้
อาซาเอลนอนหลับสนิท ปะป่ายแขนขาไปทั่วเตียงจนสภาพที่ผู้ดูแลเข้ามาเห็นนั้นไม่น่าชมเท่าไรนัก ที่เขาต้องเข้ามาในห้องส่วนตัวของคนอื่นมิใช่เพราะไม่รู้มารยาท แต่เพราะเขาทั้งเคาะทั้งเรียก จนทุบประตูแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ขานตอบ วูบหนึ่งนึกห่วงจนร้อนใจทนไม่ไหวต้องใช้เวทย์ปลดกลอนประตูโดยพละการ
จะเรียกว่าขี้เซาสมเป็นแมวหรืออะไรดี
“คุณอาซาเอล ตื่นได้แล้วนะครับ”เรียกเบาๆด้วยเกรงใจคนบนเตียง สีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดเมื่อกลางวันยังย้ำเตือนในความคิดว่าวันนี้ช่างหนักหนาเหลือเกินสำหรับร่างสูงโปร่งแต่แสนจะผอมบางตรงหน้านี้
“คุณอาซาเอล เราต้องเริ่มการทดสอบก่อนเที่ยงคืนนะครับ”มือเรียวแตะลงบนท่อนแขนก่อนจะออกแรงเขย่าเบาๆหวังให้อีกคนรู้สึกตัว
นิ่งสนิท
แบคอนไม่ใช่คนมีความอดทนเท่าใดนัก
“อาซาเอล”เสียงสูงเริ่มกดต่ำเมื่อเรียวคิ้วของคนพูดขยับขมวดเข้าหากัน
“ขอโทษด้วยนะ”
จบการขอโทษที่อีกฝ่ายไม่ได้ยิน มือสองข้างของผู้ดูแลหนุ่มก็จับเข้ากับผ้านวมปูเตียงที่ร่างสูงนอนทับอยู่ ก่อนจะออกแรงเพียงนิดสะบัดผ้าผืนใหญ่ขึ้น
ตุบ
ผลที่ได้คือเด็กหนุ่มที่น้ำหนักไม่สมดุลกับส่วนสูงปลิวตกลงข้างเตียง จุกเกินกว่าจะร้อง และเมื่อพร้อมจะร้องก็ต้องหุบปากฉับเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่ยืนค้ำหัวอยู่
ได้แต่ยิ้มหวานเอาใจส่งไปให้ แล้วตามด้วยการดีดตัวลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่
อาซาเอลรู้ดีว่าตัวเองขี้เซา
และรู้ด้วยว่าคนที่ต้องมาปลุกเขานั้นจะมีอาการหงุดหงิดทุกคนไป
การโดนสะบัดจนตกเตียงยังน้อยนัก เมื่อเทียบกับวิธีการปลุกมากมายที่มารดาและน้องสาวร่วมสายเลือดสรรหามาใช้กับเขา
hf
อาจเพราะนอนไม่เต็มอิ่ม
อาจเพราะเป็นหนึ่งวันที่ยาวนาน
อาจเพราะโดนลากออกมาในเวลาวิกาล
สติสัมปชัญญะของอาซาเอลจึงขาดเป็นช่วงๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนประตูสีดำสนิทด้านหลังปิดลงและหายไปตามแบบฉบับการทดสอบของสถาบันเชนโต
ไม่อนุญาตให้ถอยหลังกลับ
เชื่อเถอะว่าตอนลงนามในหนังสือยินยอม เขาไม่ได้อ่านรายละเอียดด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเห็นสภาพห้องตรงหน้าก็อยากวิ่งกลับไปอ่านใหม่อีกสักรอบ
ในนั้นมีบอกไว้ไหม ว่าหากเขาเป็นอะไรไป จะส่งร่างของเขากลับไปให้ครอบครัว
“ยินดีต้อนรับครับคุณอาซาเอล”
ไม่ยินดีเลยสักนิดครับ
อาซาเอลกวาดตามองไปรอบห้อง ซึ่งเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผนังห้องอยู่ตรงไหนและมีอะไรอยู่ภายในห้องแสนเย็นเยียบนี้บ้าง ในกรอบสายตามีเพียงความมืด เป็นความมืดที่เงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆอย่างเป็นกังวลของตนเอง
อาซาเอลคงกลายเป็นคนตาบอดโดยสมบูรณ์หากเขาไม่ใช่ทรานส์ในตระกูลแมว ปลายนิ้วหัวแม่มือสัมผัสเข้ากับวัตถุสีเงินเนื้อบางที่สวมอยู่รอบนิ้วชี้ ด้วยอากาศที่เย็นเฉียบในห้องส่งผลให้โลหะบนนิ้วเขาเย็นไปด้วย หากแต่วินาทีถัดมาเนื้อโลหะก็ร้อนขึ้นราวตกลงในเตาหลอม ความเจ็บปวดบางๆแล่นริ้วจากปลายนิ้วขึ้นสู่ท่อนแขนพาให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแต่สีหน้ายังเรียบเฉย นัยน์ตาสีเดียวกับความมืดในห้องบัดนี้ถูกเคลือบด้วยเยื่อบางๆสีเหลืองอมเขียวราวอัญมณีหายาก ฉับพลันห้องอันมืดมิดก็เริ่มฉายทัศนียภาพจริงออกมา แต่ยังคงเป็นภาพโทนสีซีเปีย มันเป็นมุมมองของแมว
ย้อนกลับไปสู่หน้าหนังสือที่อาซาเอลเคยอ่าน การใช้เวทมนต์โดยไม่ผ่านการฝึกฝนนั้นสร้างภาระหนักแก่ร่างกาย ยิ่งอายุน้อยเท่าไร การควบคุมพลังเวทย์ยิ่งทำได้ยากจนอาจเป็นภัยกับตนเอง เด็กทุกคนเมื่อเกิดมาจึงต้องมีโลหะควบคุมพลังเวทย์คู่กาย ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในรูปลักษณ์ของเครื่องประดับชิ้นเล็กๆที่พกพาง่าย มันไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นตัวนำการใช้เวทมนต์ แต่มันเป็นสิ่งที่คอยปรับสมดุลพลังเวทย์ กดเก็บไว้ไม่ให้ทะลักทลายจนเป็นอันตรายต่อตัวเด็กๆเอง เมื่อเติบโตขึ้นและได้เข้าเรียนในสถาบันเวทมนต์ต่างๆจึงจะได้รับอนุญาตให้ถอดออกแล้วเปลี่ยนเป็นโลหะตัวนำแทน
หากแต่อาซาเอลนั้นดื้อรั้น หลีกหนีการเข้าเรียนจนอายุจวนเจียนจะเกินกำหนด พลังเวทย์ในร่างกายเอ่อล้นจนแหวนวงเล็กบนนิ้วชี้เกือบจะเก็บกดพลังงานเหล่านั้นไม่ไหว คนดื้อลอบใช้พลังเวทย์ที่รั่วไหลออกมากับการร่ายคาถาง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่นการดึงเอาความสามารถบางประการของสัตว์ต้นตระกูลที่สืบทอดผ่านอณูพันธุกรรมมาใช้ ก็ถือเป็นเวทย์ง่ายๆสำหรับทรานส์ หรือแม้แต่ไฮบ์บางคน
สำหรับอาซาเอลแล้วเขาทำได้ดีทีเดียว
ดีเสียจนมุมมองของแมวที่เขากำลังใช้อยู่นี้ฉายชัดว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ร่วมห้องขนาดกว้างเป็นสามเท่าหรือมากกว่านั้นเมื่อเทียบกับห้องอื่นๆที่ผ่านมา
แถมใครคนนั้นยังใช้เวทย์แบบเดียวกับเขาอีกด้วย
ดวงตาเรืองรองสีอำพันที่มองตรงมาจากอีกฟากฝั่งชวนให้ขนอ่อนลุกชัน อาซาเอลลอบกลืนน้ำลายแต่ยังคงวางท่าสบายๆตามแบบฉบับคนเกลียดการพ่ายแพ้ เขาไม่ชอบให้ใครเห็นว่าอ่อนแอหรือกำลังหวาดกลัว แม้เหงื่อจะซึมขมับอีกแล้วก็ตาม
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมชื่อเซรัล เป็นหนึ่งในผู้คุมการทดสอบภาคปฏิบัติของคุณ”ร่างสูงโปร่งที่มีความสูงใกล้เคียงกัน แถมยังผอมบางไม่แตกต่างกับอาซาเอลแย้มรอยยิ้มมาให้ท่ามกลางความมืด
หนึ่งในผู้คุม นั่นหมายความว่ามีมากกว่าหนึ่ง
อาซาเอลกลอกตามองรอบตัวอีกครั้งแต่ไม่พบใครอื่น สัมผัสจางๆบางอย่างดึงให้เจ้าของผมสีรัตติกาลเพ่งมองเข้าไปในห้องกระจกที่อยู่ติดผนังฝั่งหนึ่ง มันกินพื้นที่ผนังด้านนั้นไปทั้งแถบ แต่ก่อนจะได้สำรวจห้องต้องสงสัย ความสนใจก็ถูกดึงกลับมาที่อีกคนเสียก่อน
“อย่างที่คุณเห็น ผมเป็นทรานส์ สายเลือดของเราน่าจะใกล้เคียงกัน คงคุยกันง่ายขึ้น”
เซรัลเดินเข้ามาใกล้คนที่ยืนนิ่งแต่สำรวจทุกอย่างรอบตัวอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าอาซาเอลกำลังระแวงจนภาพซ้อนของแมวที่กำลังโก่งหลังขู่ฟ่อซ้อนทับขึ้นมา และแมวอีกตัวในห้องก็หาได้สนใจ เจ้าของผิวขาวซีดกับเรือนผมสีอ่อนเดินเข้าใกล้จนเลยจุดปลอดภัยที่อาซาเอลขีดไว้ ทันทีที่เซรัลยกมือขึ้นจึงได้รับปฏิกิริยาตอบกลับเป็นการกระโดดถอยหลังไปสองก้าวของผู้เข้าทดสอบ
เซรัลหัวเราะ
อาซาเอลนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเสียฟอร์ม
“ก่อนอื่นต้องขอให้คุณเปลี่ยนชุดก่อน”คนกระโดดหนีมองตามสายตาอีกฝ่ายก็เห็นว่าในมือที่ยกขึ้นมานั้นมีเพียงผ้าหนาที่พับมาอย่างดี นั่นยิ่งทำให้คนระแวงรู้สึกเสียหน้าเข้าไปใหญ่ อาซาเอลหัวเราะเก้อก่อนจะเดินเข้ามารับชุดไป เมื่อกางออกเขาก็ต้องหันมองผู้คุมการทดสอบคล้ายขอคำยืนยัน
นี่มันจะเรียกว่าชุดได้ไหม
ในเมื่อมันเป็นเสื้อตัวโคร่งเพียงชิ้นเดียว กะจากสายตาแล้วความยาวคงยาวคลุมเพียงครึ่งขาอ่อน เนื้อผ้าสีเข้มที่อาซาเอลมองไม่ออกว่าเป็นสีอะไรนั้นหนาพอจะปกปิดร่างกายได้ แต่ตอนใส่คงวูบโหวงช่วงล่างเอาการ
“เชิญเปลี่ยนชุดเลยครับ เราจะเริ่มการทดสอบกันแล้ว”กล่าวจบเซรัลก็หันหลังเดินหายเข้าไปในห้องกระจก ย้ำว่าหายเข้าไปแบบเดินทะลุกระจกเข้าไปเลย ถ้าอาซาเอลไม่รู้จักคำว่าเวทมนต์ดีอยู่แล้ว คงได้วิ่งกันป่าราบเพราะภาพที่เห็น
มองผ้าในมืออีกครั้งก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วจัดการเปลี่ยนชุดตามคำสั่ง ช่วงล่างที่เย็นวูบด้วยมีเพียงชั้นในตัวจิ๋วนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับอาซาเอล เขาไม่เคยเก้อเขินกับเรื่องแบบนี้ ถามตามตรงก็มีบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เด็กหนุ่มที่เติบโตสมวัยอย่างเขาไม่มีอะไรต้องอายอยู่แล้ว
“ถอดแหวนของคุณวางไว้ในกล่องแล้วเดินมากลางห้องด้วยครับ”
กล่องที่ว่าปรากฏตรงหน้าของเขา มันเป็นกล่องใส่เครื่องประดับฉลุลายเรียบๆที่เขาเห็นได้ทั่วไป อาซาเอลเม้มริมฝีปากก่อนจะค่อยๆเลื่อนแหวนวงสวยออกจากนิ้ว ความเจ็บปวดแล่นริ้วตามมาทุกขณะที่เนื้อโลหะออกห่างผิวเนื้อ แต่เมื่อหย่อนเจ้าโลหะสีเงินนั้นลงในกล่อง เขาก็ต้องคำรามออกมาเบาๆเพราะความทรมานที่พุ่งขึ้นมาจุกอก ลากขาของตัวเองไปยังกลางห้องตามคำที่ได้ยิน
“คุณชอบเล่นกีฬาไหม”เสียงเดิมที่อาซาเอลรู้ดีว่าเป็นของเซรัลถามกลั้วหัวเราะ
เวลาแบบนี้จะมาชวนคุยเรื่องกีฬาทำไมกัน เจ็บไปทั้งตัวจนอยากจะลงไปดิ้นให้รู้แล้วรู้รอดอยู่แล้ว
“ก…ก็ชอบครับ”กัดฟันตอบคำถาม เห็นผอมบางแบบนี้แต่เขาชื่นชอบกีฬากลางแจ้งเป็นพิเศษ แม้จะไม่ค่อยมีโอกาสได้เล่นเพราะโชคชะตาของทรานส์นั้นต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน แต่เขาก็หาโอกาสออกกำลังอยู่เสมอ ตอนเด็กๆเขามักออกไปที่ลานกว้างของเมืองเพื่อเล่นสนุกตามประสาเด็ก แต่เมื่อลอสครั้งแรก เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปตามลำพังเป็นเวลานานๆอีก กีฬาสำหรับเขาเลยกลายเป็นอะไรที่เล่นคนเดียวในสวนของบ้านได้
“งั้นคงสบายๆ”
พูดจบทัศนียภาพโดยรอบก็สว่างวาบจนแสบตา อาซาเอลต้องรีบปรับดวงตาให้เป็นปกติ การเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิดนั้นมีผลหนักหนาเมื่อไม่มีอุปกรณ์กดพลังเวทย์ เขาเกือบจะทรุดลงไปนั่งกับขอบสระว่ายน้ำเย็นๆแต่ยั้งตัวไว้ได้ทัน
สระว่ายน้ำงั้นหรือ
ผู้เข้าทดสอบกวาดตามองไปรอบๆและพบว่าตัวเองอยู่ริมสระว่ายน้ำจริงๆ
เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าห้องทั้งห้องเป็นมิติแยกอีกมิติที่จะเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่ใจของผู้สร้าง
สร้างมิติซ้อนในมิติอีกทีนี่มันเรื่องอะไรกัน คนพวกนี้เป็นใครถึงได้ทำเรื่องยากๆกันตลอดเวลา
“เรามาเริ่มกันเลยนะครับ”
เดี๋ยวๆ เริ่มอะไรกันล่ะ ไม่อธิบายกันหน่อยหรือไง
“เฮ้ย”
อาซาเอลร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกคล้ายโดนจับโยนลงสระ ตอนนี้เขากลายเป็นตุ๊กตาในเมืองจำลองของใครบางคนไปแล้ว จะจับลากจับโยนไปตรงไหนก็ได้ ซ้ำร้ายที่ๆโดนโยนลงมายังเป็นสระน้ำวนขนาดยักษ์นี่อีก
“ถ้านายปล่อยให้ตัวเองโดนดูดลงไปในน้ำวน ฉันไม่รับประกันความปลอดภัยนะ”เสียงทุ้มต่ำที่อาซาเอลไม่เคยได้ยินดังขึ้น แต่เขาไม่มีเวลาคิดว่าใครเป็นคนพูด สิ่งที่ทำได้คือว่ายหนีแรงดึงจากคลื่นน้ำที่ดูดเข้าหาจุดศูนย์กลาง สระว่ายน้ำนิ่งสงบเมื่อครู่กลายเป็นทะเลคลั่งไปแล้วทันทีที่ร่างกายเขาสำหรับผิวน้ำ
ความพยายามในการตะเกียกตะกายต้านแรงดูดทำได้ยากขึ้นเมื่อรับรู้ได้ถึงความแสบบนผิวเนื้อ เมื่อเหลือบมองตาคมก็เบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก เลือดสดๆกำลังกระจายลงในน้ำที่บิดเกลียวอย่างบ้าคลั่ง ทะเลคลั่งกำลังจะกลายเป็นทะเลเลือด กว่าอาซาเอลจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อรับมือ ความเจ็บแสบก็เกิดขึ้นทั่วสารพางค์กายจนต้องกัดฟันคำรามเสียงต่ำ
หลังผ่านความเจ็บปวดนับครั้งไม่ถ้วน อาซาเอลก็เข้าใจเงื่อนไขของเกม หากเขาอยู่ตำแหน่งเดิมนานเกินไป กระแสน้ำเชี่ยวรอบตัวจะเพิ่มความเร็วขึ้น สัมผัสที่ต้องผิวราวใบมีดเล็กๆนับล้านที่กรีดให้เนื้อปริแตก มันบีบบังคับให้ต้องพาร่างทวนน้ำเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ
นี่มันกีฬาบ้าอะไร อุทกภัยชัดๆเลยไม่ใช่หรือ
“ถ้าไม่วิ่งให้เร็วกว่านี้ จะโดนหินทับตายเอานะ”
นี่ก็ไม่ใช่กีฬาวิ่งธรรมดาแล้ว ไอ้ก้อนหินยักษ์ที่กลิ้งตามไม่หยุดหย่อนนั่นมันอะไรกัน แล้วเถาวัลย์ที่จู่ๆก็โผล่พรวดจากดินมารัดตรึงดึงเขาเข้าหาหินนี่ก็ด้วย บ้าไปกันใหญ่แล้ว
“อดทนหน่อยไอ้หนู ถ้าหล่นลงไปศพคงไม่สวยเท่าไรนะ”
การโหนบาร์เดี่ยวจำเป็นต้องมีบ่อจระเข้อยู่ข้างล่างด้วยหรือไง มองก็รู้แล้วว่าเป็นจระเข้แท้ๆไม่ใช่ทรานส์ในร่างสัตว์ ไม่ต้องสงสัยให้มากความ คนคิดการทดสอบนี้จิตใจต้องไม่ปกติแน่นอน
“สุดท้ายแล้ว หลบให้ดีล่ะไอ้หนู นั่นไม่ใช่บอลธรรมดา ถ้าโดนเข้าล่ะก็…มันจะระเบิดล่ะ”
หูของอาซาเอลไม่ได้ยินเสียงเตือนท้ายประโยคด้วยซ้ำไป เพราะเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นตรงแขนซ้ายสร้างบาดแผลฉกรรจ์พร้อมเสียงหวีดแหลมที่ค้างอยู่ในโสตประสาท ความมึนงงก่อให้เกิดความเจ็บปวดครั้งที่สอง สาม และนับครั้งไม่ถ้วน
นี่เขากำลังทดสอบเพื่อเข้าเรียน หรือตกเป็นเหยื่อในเกมโรคจิตของใครบางคนกันแน่
นรกมีอยู่จริงไหมน่ะช่างมันเถอะ แต่ปีศาจน่ะมีอยู่จริง
นั่น ในห้องกระจกนั่นมีอยู่สองตัว
อาซาเอลทิ้งร่างลงพิงผนังเย็นเฉียบสีดำสนิท เขากลับมาห้องเดิมอีกครั้ง ตามความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ไปไหนมาตั้งแต่แรก ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นในห้องนี้เพียงห้องเดียว เพียงแต่ตอนนี้มันกลับไปเป็นห้องมืดเหมือนครั้งแรกที่เหยียบเข้ามา ทั้งที่เมื่อครู่ยังเป็นสนามยิงลูกเบสบอลมหาภัยที่ทำให้เขาได้แผลมาเพิ่มอีกสองแห่ง จนเลิกนับไปแล้วว่าตัวเองบาดเจ็บไปกี่จุดหลังผ่านการทดสอบสุดระห่ำพวกนั้น
ความแสบที่ชัดเจนที่สุดแล่นมาจากหางคิ้วขวา แผลใหม่เพราะสะเก็ดระเบิดเมื่อครู่ทำให้เลือดสีสดส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไหลลงมาปิดทัศนียภาพตาขวาจนพร่าเลือน แต่ถึงไม่มีเลือดพวกนี้เขาก็มองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว อาซาเอลไม่มีแรงแม้แต่จะปรับสภาพดวงตาตัวเองให้มองในที่มืด
ในยามที่ร่างกายถูกใช้งานเกินขีดจำกัดตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดนั้น พลังเวทย์ถูกใช้ไปพร้อมๆกับพลังกาย การรักษาตัวเองถือเป็นเวทย์พื้นฐานที่ร่างกายจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนโดยมิต้องผ่านกระบวนการคิด ยิ่งบาดแผลสาหัสยิ่งใช้พลังเวทย์ในการฟื้นฟูมากตามไปด้วย แม้ทั่วร่างจะหลงเหลือแผลสดเพียงไม่กี่แผล แต่คราบเลือดที่เกรอะกรังตามส่วนต่างๆบ่งบอกว่าร่างกายเขาเคยเต็มไปด้วยบาดแผลเกือบทุกตารางนิ้ว
ผิวบางส่วนเหลือรอยปริที่แสบมิใช่น้อยเมื่อใช้ปลายนิ้วแตะ แม้เลือดสีสดจะหยุดไหลจากปากแผล แต่การสมานตัวที่ไม่สมบูรณ์บ่งบอกว่าพลังเวทย์เหลือน้อยเต็มทีจนร่างกายเก็บกักไว้ใช้ต่อลมหายใจของร่างนี้มากกว่าจะนำมาสมานแผลที่ได้รับ
ร่างกายของเขาร้องประท้วงไปทั่วทุกอณูที่ประกอบเป็นเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่ดูอ่อนแรงคล้ายจะหักสองท่อนได้ง่ายๆในเวลานี้ อาซาเอลสัมผัสได้ถึงลางร้ายที่คืบคลานเข้ามา
บางที การทดสอบทั้งหมดนี้ อาจมีเพียงเป้าหมายเดียว
จงใจ
ทำให้ลอส
“ฉันว่าเราเจอตัวเต็งไตรกีฬาของสถาบันแล้วนะเนี่ย ไอ้หนู ยังอยู่ดีไหม ถ้าจะตายก็สั่งลาครอบครัวสักหน่อยสิ”
ระหว่างเซรัลที่ส่งเสียงหัวเราะมาเป็นระยะ กับคนที่เอาแต่เรียกเขาว่าไอ้หนูด้วยเสียงทุ้มต่ำนั่นน่ะ เขายกให้คนที่เขาไม่รู้ชื่อเป็นบุคคลที่เกลียดที่สุดตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา
อาซาเอลกัดฟันส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอ อยากจะพุ่งเข้าใส่ฉีกกระชากร่างของคนที่อยู่หลังกระจกบานใหญ่ให้ไม่เหลือชิ้นดี เอาให้ไม่กล้าปริปากเรียกเขาว่าไอ้หนูอีกเลยตลอดชีวิต แต่แล้วคนที่กำลังนั่งเข่นเขี้ยวอยู่บนพื้นก็ต้องชะงัก ยกมือขึ้นลูบหน้าเรียกสติตัวเอง มือเย็นเฉียบสั่นระริกเมื่อพบว่าสติสัมปชัญญะของตัวเองเริ่มจะขาดหาย
เสียงคำรามเมื่อครู่ไม่ใช่อะไรที่มนุษย์ทำกัน
และไม่ใช่เสียงคำรามของ แมว ด้วย
“อดทนได้ดีมากไอ้หนู แต่นายจะต้องเสียใจที่กัดฟันทนมาถึงขนาดนี้”
“ปล่อยให้ตัวเองลอสไปเสียก็สบายแล้วแท้ๆ”
เสียงทุ้มที่หลอกหลอนในโสตประสาทนั้นฟังดูโรคจิตขึ้นไปอีกขั้นจนคนฟังได้แต่กระถดตัวเข้าหากำแพงแข็งหวังใช้เป็นที่พึ่ง ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเมื่อสัญชาตญาณของเขาหวีดร้องอย่างหนักให้ลุกขึ้นแล้ววิ่งหนี แต่ร่างกายไม่อาจตอบสนองความต้องการนั้นได้
มีบางอย่างกำลังเข้ามา
อะไรบางอย่าง
จึก!
ความปวดแสบที่เกิดขึ้นที่ต้นคอทำให้อาซาเอลต้องยกมือขึ้นกดผิวเนื้อที่เริ่มบวม เสียงหึ่งๆที่ลอยไกลออกไปบ่งบอกว่าสิ่งที่สร้างรอยแผลให้เขาเป็นสัตว์จำพวกแมลง
“นั่นสัตว์เลี้ยงของฉันเอง มันเป็นสัตว์ตัวโปรดที่ฉันใช้เก็บสารอันตราย มันสะดวกกว่าเข็มฉีดยาอีกนะ เพราะมันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่ามาก”
“งานของฉันคือการรวมวิทยาการยุคเก่าที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์กับศาสตร์ของเวทมนต์”
“และสิ่งที่กำลังเข้าสู่ร่างกายของนาย เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอก”
อาซาเอลได้ยินสิ่งที่ไคมัสพูด แต่ไม่สามารถประมวลผลได้ ความผิดปกติกำลังเกิดขึ้นทั่วร่างกาย
เจ็บ
ทั้งที่ไม่มีอะไรแตะต้องเขาเลย แต่เจ็บ เจ็บเหมือนเข็มนับพันทิ่มแทงจากภายใน
“นายคงรู้แล้วว่าเป้าหมายการทดสอบนี้คืออะไร”
แผ่นอกกว้างที่มีกล้ามเนื้อบางๆสมส่วนสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะถี่รัว กระตุกแรงทุกครั้งที่สายลมเย็นไร้ที่มาในห้องปิดตายนี้ตกกระทบผิว
พิษนั่น เร่งการรับสัมผัสความเจ็บปวดถึงขีดสุด
อย่าว่าแต่มีดหรือของมีคม
เพียงแค่สายลมผะแผ่วก็ไม่ต่างอะไรกับคมเหล็กที่บาดผิว
อีกฝ่ายยังคงพร่ำพูดต่อไปราวกับมองไม่เห็นคนที่บิดทุรนทุรายอยู่บนพื้น
เซรัลขมวดคิ้วมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆหากแต่ไคมัสยกนิ้วเรียวขึ้นแตะริมฝีปากบางเป็นนัยว่าให้เงียบไว้ และเขี้ยวอย่างเขาไม่อาจต้านทานคำสั่งนั้นได้แม้มันจะส่งผ่านมาทางสายตา
เจ้าของเรือนผมสีอ่อนหนึ่งเดียวในห้องนี้เริ่มไม่พอใจผู้ผูกพันธะของตัวเอง ไคมัสไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการรุนแรงถึงเพียงนี้ มองก็รู้ว่าถ้าปล่อยไปสักพักอาซาเอลก็ต้องลอสอยู่แล้ว เหตุใดต้องไล่ต้อนเด็กคนนั้นอีก ไคมัสเหยียบเส้นที่ผู้อำนวยการขีดไว้ หากเขาข้ามไปมากกว่านี้ ผลที่ตามมาคงไม่น่าพิสมัย
“สำหรับเพียวและไฮบริดเราจะทำให้พวกนั้นปลดปล่อยพลังเวทย์ออกมาเท่าที่จะสามารถทำได้ แต่มันไม่โหดร้ายนักหรอก การปล่อยให้เด็กเลือดร้อนบ้าพลังทั้งหลายอัดพลังออกมาเรื่อยๆจนกว่าจะถึงจุดที่น่าพอใจนั้นไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหน”
“แต่กับทรานส์น่ะ แตกต่าง เป้าหมายของเราคือทำให้ลอส แล้วปล่อยให้ฟื้นตัว หากนายไม่สามารถกลับร่างมนุษย์ได้ตามกำหนด จะสอบตก”
ตามกติกาไคมัสควรจะอธิบายเรื่องราวพวกนี้เสียแต่แรก แต่เขาไม่ทำ เพราะทรานส์บางคนยินยอมที่จะลอสเพื่อแลกกับการถูกปลดปล่อยจากสนามทดสอบนี้ ถ้าเกิดกรณีนั้นขึ้นในการทดสอบที่เขาเป็นผู้คุม เขาคงจะเบื่อตาย สู้ปล่อยให้เจ้าลูกหมาลูกแมวน้อยทั้งหลายดิ้นรนจนถึงที่สุดแล้วลอสไปในขณะที่เจียนตายนั้นน่าดูกว่ามาก
ยอมรับว่าโรคจิต
ก็ไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้งเวลามีคนด่า
“หืม รู้แบบนี้แล้วยังไม่ยอมลอสอีกหรือ”
เจ้าของผิวกร้านแดดที่สตรีเพศมากมายหลงใหลเท้าคางมองร่างตรงหน้าด้วยสายตาสนอกสนใจ ใคร่อยากรังแกให้มากกว่าที่เขาได้รับอนุญาต
ร่างกายสูงแต่ผอมบางกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงกำแพงสีดำสนิท เส้นผมสีเข้มจนเกือบกลืนไปกับสีของผนังห้องนั้นเปียกลู่ด้วยเหงื่อกาฬจากความทรมาน บางส่วนแห้งกรังเพราะคราบเลือด ท่ามกลางความมืดมิดของห้องมืด ดาวดวงเดียวที่ยังทอประกายวาบชวนประหวั่นคือแววตาแข็งกร้าวของนักล่า มันกำลังสั่นไหวคล้ายจะขาดใจ ไคมัสรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมองเห็นเขาที่นั่งคนละฟากกระจกเวทมนต์ แต่ดวงตานั้นมองตรงมายังเขาราวสัมผัสตัวตนได้
มันก่นด่า และสาปแช่ง
ระคนไปกับความทุกทรมานที่สะท้อนออกมา
พิษร้ายคงคืบคลานไปทั่วร่างของเด็กหนุ่ม
วิธีแก้พิษนั้นง่ายดาย หากทรานส์ที่ได้รับพิษลอสเมื่อไร ความเจ็บปวดก็จะยุติลง
เจ้าของร่างกำยำกำลังรู้สึกตื่นเต้นจนทุกอณูของร่างกายสั่นระริกด้วยความหฤหรรษ์ต่อสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า
อะไรกันหนอ อะไรกัน
อะไรที่เป็นเหตุผลให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งอดทนต่อความเจ็บปวดปานจะขาดใจมาได้นานขนาดนี้
ไม่ใช่ความหยิ่งยโส
ไม่ใช่ความทะนงในศักดิ์ศรี
หากแต่เป็นสัญชาตญาณเรียบง่าย ที่ทรงพลังต่อทุกชีวิต
ในฐานะนักล่าที่ชื่นชอบการมองเหยื่อทุรนทุราย เขาคิดอะไรไม่ออกเลยนอกเสียจาก
ความกลัว
ไม่มีอะไรผลักดันผู้ถูกล่าให้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดได้ดีไปกว่าความกลัวอีกแล้ว
ความหวาดกลัวชนิดใดหนอที่ทำให้คนตรงหน้ากัดฟันตะเกียกตะกายออกจากกับดักของเขาได้ถึงเพียงนี้
กลัวตายงั้นหรือ
ไม่ใช่
ความเจ็บปวดจากพิษของเขายิ่งทิ้งไว้นานยิ่งเพิ่มทบทวี จนความตายอาจจะสบายเสียกว่า
มีอะไรที่น่าพรั่นพรึงกว่านั้นอีกหรือ…
“พอเถอะไคส์ นี่มันเกินไปแล้ว”
เซรัลเอ่ยเสียงเรียบ ผู้ผูกพันธะไม่จำเป็นต้องฟังคำตักเตือนใดจากเขี้ยวของตน หากแต่ร่างระหงนี้มิใช่แค่เขี้ยว แต่เป็นคู่ชีวิตของเขาด้วย การที่อีกฝ่ายออกปากแม้เขาจะสั่งห้ามนั้นหมายถึงความอดทนมาถึงขีดจำกัดแล้ว
“ถ้าเด็กนั่นไม่ยอมลอส เราก็ไปต่อไม่ได้นะ”น้ำเสียงที่ใช้ช่างแตกต่าง ถ้อยคำละมุนละไมที่มีให้คนตรงหน้าเท่านั้นมาพร้อมสัมผัสอ่อนโยนที่แตะบนหลังมือขาวซีด โชคดีที่กระจกนี้จะเก็บกักประโยคสนทนาทุกประโยคที่คนภายในไม่ต้องการให้คนด้านนอกได้ยิน แต่ถึงกระจกจะไม่ทำหน้าที่ของมัน ผู้ถูกกระทำเพียงหนึ่งเดียวก็ไม่มีสติพอจะทำความเข้าใจประโยคใดๆแล้ว
“หยุดฝืนตัวเองได้แล้วอาซาเอล นายกำลังทรมานตัวเอง การลอสไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรอกนะ เราทำเพื่อวัดว่าหากนายลอสระหว่างอยู่ในสถาบัน นายจะอยู่รอดในนั้นได้หรือไม่ หากนายดื้อแพ่ง สิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่านะ”
อดรนทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปาก เขาเองก็เป็นทรานส์ และเป็นทรานส์ที่หยิ่งทะนงไม่แพ้ใคร แต่เขาไม่เข้าใจเด็กตรงหน้าจริงๆ มันควรจะเลยขีดจำกัดมามากแล้ว เงื่อนไขของการลอสนั้นคือการกระตุ้นให้ทรานส์ปล่อยพลังเวทย์ออกมาในปริมาณมาก อาจจะในคราวเดียวหรือค่อยๆสูญเสียพลังงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ วิธีการนั้นทำได้ง่ายดาย เพียงกระตุ้นสัญชาตญาณทั่วไป เช่น หิว เหนื่อย เศร้า เจ็บปวด หวาดกลัว กระหาย โกรธ หรือความต้องการในกามารมณ์
เพื่อปกป้องสิทธิ์ของผู้เข้าทดสอบ ผู้อำนวยการสถาบันเชนโตจึงอนุญาตให้เกิดการกระตุ้นได้เพียงบางรูปแบบเท่านั้น พวกเขาจึงเลือกการกระตุ้นความเจ็บปวด ความหวาดกลัว และความเหนื่อย ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าทดสอบปลดปล่อยพลังเวทย์ออกมาในปริมาณมากในเวลาสั้นๆ หวังให้ผู้เข้าทดสอบลอสโดยเร็วจะได้ไม่ต้องทรมานนานนัก
แต่ทำไมมันถึงยังไม่ได้ผลกับเด็กคนนี้
อาซาเอลเข้าใจในสิ่งที่เซรัลพูด หากแต่เขาไม่อาจปล่อยตัวเองให้ลอสได้
ไม่ควรปล่อยให้ลอสในสภาพนี้ พลังเวทย์น้อยเกินไปที่จะจำแลงกาย…
ขอเพียงพลังเวทย์อีกเพียงนิด เขาจะยอมลอส แต่ทุกวินาทีที่ร่างกายทรมานเพราะพิษนั้น ไม่อาจฟื้นฟูพลังเวทย์ได้เลย
ทำอย่างไร
ต้องทำอย่างไร
ถ้อยคำสุดท้ายจากปากมารดายังดังก้องในหัว
อย่าปล่อยให้ตัวเองลอสโดยสมบูรณ์
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป มันต้องออกมาแน่ๆ ร่างที่เขาเพียรปกปิดมาตลอดชีวิตตั้งแต่จำความได้ ตั้งแต่ลอสครั้งแรก
“นายไม่ใช่แมวตามที่ลงในประวัติใช่ไหม”เสียงทุ้มต่ำของไคมัสกระตุ้นให้ร่างที่นอนแน่นิ่งลืมตาขึ้นอีกครั้ง ประกายวูบไหวสีฟ้าจางๆในดวงตานั้นหายไปอย่างรวดเร็ว
“ปิดบังอะไรอยู่”
การทดสอบกลายเป็นการสอบปากคำไปได้อย่างไร
ไหนบอกว่าจะไม่มีใครสงสัย
อาซาเอลเม้มริมฝีปาก อยากจะส่งกระแสจิตไปหามารดาเสียจริงว่าสิ่งที่อิซาเบลกลัวนั้นเกิดขึ้นแล้ว อยากจะส่งไปหาบิดาด้วยว่าคำพูดง่ายๆว่า ไม่มีใครสงสัยหรอก น่ะมันผิด
วูบ
ความอบอุ่นแผ่วเบาแตะผิวของเขา มันไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่มันช่วยบรรเทาลง เป็นพลังงานแบบที่เขาสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ หากแต่ตอนนี้มันไม่ได้คุกคาม มันกำลังปลอบโยน
พลังเวทย์ของใครบางคนไหลซึมมาจากที่ไหนสักแห่ง
พลังเวทย์นั้นเป็นสิ่งเฉพาะบุคคลก็จริง แต่มันสามารถถ่ายทอดระหว่างกันได้หากทั้งสองฝ่ายยินยอม บ่อยครั้งที่เกิดขึ้นในกระบวนการทางการแพทย์ การมอบพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งให้คนอ่อนแอก็สามารถช่วยต่อชีวิตได้
ดูเหมือนพลังงานจางๆนี้จะมาพร้อมเจตนารมณ์บางอย่าง
และอาซาเอลก็ไม่ขัดเจตนานั้น
ความอุ่นวาบแทรกเข้ามาทุกอณูร่างกายเมื่ออาซาเอลรับเอาพลังงานนั้นเข้ามาเป็นของตัวเอง
และมันมากพอ จะคงรูปร่างที่เขาตั้งใจให้ใครอื่นมองเห็น
เมี้ยว
“อ้าว”
เสียงแปลกใจของคนในห้องกระจกจุดรอยยิ้มเยาะบนริมฝีปากของแมวดำตัวน้อย สิ่งมีชีวิตตัวไม่ใหญ่ไปกว่าแมวธรรมดาทั่วไปเคลื่อนตัวช้าๆด้วยท่วงท่าชวนมองออกมาจากกองเสื้อตัวโคร่งที่บัดนี้ไร้ค่าไปเสียแล้วเมื่อคนสวมใส่มีขนปกคลุมร่างกายแทน
สำหรับอาซาเอลแล้ว การลอสคือการเดินไปไหนมาไหนด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ต่อให้เป็นคนมีความมั่นใจสูงก็ยังอดรู้สึกแปลกไม่ได้
“ทำไม..”
“คราวนี้ก็ปล่อยผมออกไปได้แล้ว”ปากเล็กขยับเป็นคำพูดของมนุษย์ขัดประโยคของผู้คุมการทดสอบ นั่นทำให้ไคมัสดวงตาลุกวาว เขาสงสัยอะไรบางอย่างในตัวเด็กคนนี้ ยิ่งอาซาเอลหนี เขายิ่งอยากพิสูจน์
คราวนี้รอด ใช่ว่าครั้งต่อไปจะรอดอีก
“เด็กนี่น่าสนใจ เพราะแบบนี้แบคอนถึงได้หวงหนักหนา”เสียงหัวเราะทุ้มในลำคอนั้นเรียกสายตาอ่อนใจจากคนข้างๆได้เป็นอย่างดี
ชะตากรรมของผู้รับการทดสอบนั้น คงไม่มีอะไรโชคร้ายไปกว่าการได้รับความสนใจจากแบคอนและไคมัสพร้อมๆกันอีกแล้ว
แต่เซรัลปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กคนนี้มีบางอย่างพิเศษ ทั้งพิเศษและอันตราย ความลับบางอย่างถูกซ่อนไว้ใต้ความดื้อรั้นนั้น
เขาไม่อยากรู้หรอกว่ามันคืออะไร ไม่ได้สนใจยุ่งเรื่องคนอื่นเหมือนผู้ผูกพันธะของเขา ตราบเท่าที่ความลับนั้นไม่สร้างภัยให้ใคร ก็ไม่จำเป็นต้องขุดคุ้ย
อาซาเอลถูกปล่อยออกจากห้องทดสอบในสภาพสัตว์ตัวเล็กสีดำสนิท ขนเป็นมันวาวเกรอะกรังด้วยของเหลวสีเข้ม ทันทีที่แบคอนเห็นสภาพของเด็กในความดูแลก็แทบจะเดินเข้าไปสาปส่งคนในห้อง ติดที่หน้าที่ของเขาคือพาร่างกระจ้อยที่กำลังอ่อนแรงนี้ไปพักผ่อนเสียก่อน
แล้วค่อยคิดบัญชีก็ยังไม่สาย
อาซาเอลคิดว่าการโดนแบคอนโอบอุ้มนั้นก็เป็นรางวัลที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับความพยายามในห้องมืดนั่น ทรานส์ในร่างแมวน้อยเบียดตัวซุกอ้อมกอดอุ่นแล้วหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน
สุดท้ายแล้วอาซาเอลก็ให้คำตอบตัวเองได้ว่าเขาอยากเจอเจ้าหมาป่าตัวโตนั้นหรือไม่
อย่างน้อยก็ต้องไปขอบใจสักหน่อย สำหรับพลังงานชีวิตน้อยนิดที่เขายืมมาในวันนี้
แถมหลังจากนี้อาจจะต้องยืมอีกไม่มากก็น้อย เพื่อช่วยให้เขาผ่านพ้นช่วงลอสไปสักที
ยาวสุดๆไปเลยจ้าา
ตอนนี้อาจจะงงๆหน่อย แต่สรุปได้ว่า
อาซาเอลไม่ใช่แมวธรรมดา
และคุณแมว(ปลอม)กับหมาป่าเขาก็เริ่มมีความสัมพันธ์ดีๆต่อกันแล้ว
จบ
55555555555555555555555555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เนื้อเรื่องน่าติดตามมากคะ บรรยาย เก่งมากกกกกกกกกกกกกกกก
ก็เงี้ย สามีช่วยภรรยา555
จริงๆน้องคืออะไรกันนะ ถึงขนสดต้องปิดบังไว้ขนาดนี่
นี่อยากเห็นหน้าตัวละครแล้วนะเนี่ยยย คิดไปต่างๆนาๆละ แบคฮยอน ชานยอล ไค เซฮุน และแบบจิน แดฮวี หลิน จีฮุน เปนใครวะะ โผล่ออกมายังเนี่ยยย5555555
น่่่่่่่่่่่่่่่่่่าติดตามสุดๆเลยฮะะ
เพราะทั้งสองเป็นคู่ชีวิตกันสินะเลยสามารถรับรู้และส่งพลังงานถึงกันได้ ตื่นเต้นมากค่ะ ชอบมากๆ
อยากรู้ด้วยว่าถ้าทั้งคู่เจอกันจะเป็นยังไง