ตอนที่ 18 : Chapter 16 :: คืนจันทร์สีเลือด I
ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์นับจากวันที่โดนเรียกเข้าห้องเย็นของซีมอส กิจวัตรประจำวันของสามสหายเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างคือการทำความสะอาดโรงเรือนที่สามตามบทลงโทษที่ได้รับ แต่ไม่ว่าจะทำไปเท่าไรงานก็ดูจะไม่ลดลงแม้แต่น้อย เช่นนั้นทุกๆวันเด็กหนุ่มทั้งสามจึงต้องลากร่างกายอ่อนเพลียกลับหอพักในตอนที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ทันเวลาประตูหอปิดอย่างเฉียดฉิวทุกวี่วัน
นั่นเป็นสาเหตุให้อาซาเอลอยากฝังร่างลงในเนื้อเตียงมันเสียเลย เมื่อพบว่ายามเช้ามาเยือนทั้งที่ร่างกายยังคงเมื่อยขบจากการใช้แรงงานในวันวาน
ก้อกๆ
ทรานส์หนุ่มขดตัวบนเตียง กดหมอนแนบหูทั้งสองข้างหนีเสียงเคาะประตูที่ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นใคร เพราะมินาคัสทำเช่นนี้ทุกเช้านับตั้งแต่วันที่เขาตื่นสายจนเข้าเรียนคลาสเช้าไม่ทัน หลังจากทำงานบำเพ็ญประโยชน์ไปได้สามวันถ้วน
“อาซาเอล อย่างอแง”เสียงทุ้มของคุณพ่อจำเป็นดังลอดเข้ามาภายในห้อง ลูกชายที่กำลังงอแง จึงได้แต่กัดฟันกรอดแล้วดีดตัวขึ้นนั่ง
หงุดหงิดตั้งแต่เช้าจะทำให้ทั้งวันกลายเป็นวันน่าเบื่อ แต่ช่วยไม่ได้ในเมื่อเขาหงุดหงิดไปเสียแล้ว วันนี้ทั้งวันคงต้องทนเบื่อ และเบื่อมากยิ่งขึ้นเมื่อคิดว่างานใช้แรงงานยังรอเขาอยู่หลังจบวิชาสุดท้ายของวัน
“ฉันกับแจนิวาลจะไปรอที่ห้องอาหารแล้วกัน”ผู้รักษาสมดุลหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าแมวขี้เซาก็ได้แต่ยิ้มขำ ก่อนจะหันมาโอบไหล่คนขี้เซาอีกคนที่ยืนทำหน้ายุ่งอยู่ข้างๆกัน การตบไหล่เบาๆคล้ายปลอบยิ่งทำให้แจนิวาลหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นจนต้องสะบัดแรงๆให้มือนั่นหลุดไปเสีย
ก็ไอ้คนทำตัวเป็นคุณพ่อของกลุ่มเล่นปลุกเขาแต่เช้าตรู่ นั่งเฝ้าหน้าประตูห้องน้ำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มประหลาดๆ และทันทีที่เขาเตรียมตัวเสร็จก็โดนลากมาปลุกลูกรักที่นอนอุตุอยู่ห้องถัดไป ลำเอียงเห็นๆ ทั้งที่เพียวหนุ่มคิดว่าจะได้นอนต่ออีกสักหน่อยแล้วเชียว
“ขาไม่เป็นอะไรแน่นะ”
แจนิวาลกลอกตาให้กับคำถามวนซ้ำๆที่ได้ยินตั้งแต่ลืมตาตื่น... ไม่สิ ตั้งแต่เย็นวานที่เขาเดินสะดุดรากไม้แห้งในโรงเรือนที่สามจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ทำเอาอาซาเอลขำแทบขาดใจตาย ส่วนมินาคัส เจ้าชายจอมปลอมก็ช่างแสดงออกได้สมกับเป็นพวกร้ายลึกจริงๆ ปากเอาแต่ถามอาการแต่สายตากลับวาววับฉายแววขบขันอยู่ตลอด สู้ให้หัวเราะออกมาดังๆแบบอาซาเอลเสียยังน่าโมโหน้อยกว่าท่าทางกลั้นยิ้มเช่นนั้น
“ลองให้ฉันกระโดดฟาดขากับหน้าหล่อๆของนายสักทีเอาไหม จะได้เลิกถามเซ้าซี้”
คนตัวสูงกว่ากลั้นขำเมื่อภาพในหัววนซ้ำตอนที่คนตัวเล็กกลิ้งหลุนๆไปกับพื้นเปื้อนฝุ่น ห่วงก็ห่วง แต่ท่าทางงงๆเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั่นน่าเอ็นดูจนกลั้นยิ้มแทบไม่ไหว โชคดีที่ไม่มีส่วนใดแตกหัก ไม่เช่นนั้นคงกลายเป็นขำไม่ออกเสียมากกว่า
“ยอมรับแล้วหรือว่าฉันหล่อ”มินาคัสเลิกคิ้วถามคนที่หันมามองหน้าเขา เพียวหนุ่มทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อที่ได้ยินประโยคหลงตัวเองเช่นนี้แต่เช้า
“ฉันเคยเถียงนายด้วยหรือ ที่เข้าไปทำความรู้จักด้วยก็เพราะหน้าแบบนั้นเท่านั้นล่ะ ถ้านายหน้าตาดีน้อยกว่านี้หน่อยอย่าคิดเลยว่าจะได้เป็นเพื่อนกับฉัน”แจนิวาลระบายยิ้มเหนือกว่าราวกับเป็นผู้ชี้นิ้วเลือกมินาคัสมาจากตู้แสดงผลงานของจิตรกร
เป็นผลงานชิ้นที่ถูกใจ
แน่ล่ะ คนหน้าตาดีก็มักคบกับคนหน้าตาดีไม่ใช่หรือ ดูเอาเถิด กลุ่มเขาสามคนมีใครไร้เสน่ห์ดึงดูดบ้าง เรื่องนี้ใช่ว่าเขาคิดไปเอง ความโด่งดังของกลุ่มเด็กใหม่ที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับกลุ่มอันธพาลรุ่นพี่จนหัวโจกโดนเชิญออกจากสถาบันนั้นกลายเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่หลายวัน
รายละเอียดที่บิดเบือนไปบ้างไม่ได้สร้างความรำคาญให้แจนิวาลสักนิด แม้จะมีคนเล่าว่าอาซาเอลทำแขนรุ่นพี่หักคามือแจนิวาลก็มิคิดแก้ไข เพราะหากไม่มีใครห้ามไว้เจ้าตัวร้ายนั่นอาจหักกระดูกใครเข้าจริงๆก็เป็นได้ ทว่าสิ่งที่เพียวหนุ่มสนใจนั้นคือ ข่าวลือเหล่านี้แพร่สะพัดไปพร้อมกับคำบอกเล่าที่ว่าเด็กใหม่ทั้งสามมิใช่เพียงกล้าหาญปกป้องผู้อ่อนแอ ซ้ำยังหน้าตาดีราวเทพบุตร ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็ได้รับสายตาชื่นชมจากเหล่าทรานส์อยู่เสมอ เรื่องพวกนี้จะมีก็แค่มินาคัสกับอาซาเอลเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเอาเสียเลย
หรือเพราะเป็นจุดสนใจจนเคยชินก็มิอาจรู้
อ่า เขาเองก็ควรรีบชินได้แล้วสินะ ชินกับการเป็นคนดัง
คนตัวเล็กเผลอยิ้มกริ่ม ยืดอกอย่างไม่รู้ตัวจนมินาคัสได้แต่ลอบส่ายหน้า
ยอมแพ้
ดูเหมือนมินาคัสจะเจอทักษะหลงตัวเองขั้นสูงกว่าเข้าให้เสียแล้ว
hf
อาซาเอลคิดว่าวันนี้หอพักเงียบเหงาเป็นพิเศษ แต่เพิ่งรู้เมื่อครู่นี้เองว่าวันนี้สถาบันเชนโต เงียบเหงาผิดปกติ
แมวหนุ่มกวาดตามองคลาสเรียนวิชา Human Type ที่มีคนบางตาอย่างเห็นได้ชัด ใช่ว่าพวกเขามาเร็วกว่าปกติ ออกจะสายไปหน่อยเสียด้วยซ้ำเพราะแจนิวาลเจ็บขาจนเดินไม่ถนัด แม้เจ้าตัวจะออกปากปฏิเสธมาตลอดทางแต่พออาซาเอลแกล้งเดินเร็วขึ้นเพียงนิดเพียวหนุ่มก็เบ้หน้าเพราะเข่าที่เสียดจากการล้มกลิ้งเมื่อวันก่อน
เช่นนั้น เหตุใดห้องเรียนที่เคยแน่นขนัดจึงได้เหลือที่ว่างมากมายเช่นนี้ ซ้ำตำแหน่งหน้าห้องที่เป็นของอาจารย์ประจำวิชาผู้เคร่งครัดเรื่องเวลาก็ยังคงว่างเปล่า
วันนี้มีการยกเลิกคลาสเรียนกะทันหันงั้นหรือ
“เริ่มแล้วสินะ”
มินาคัสพึมพำคล้ายรำพึงกับตนเอง ทว่าก็ลอยเข้าหูเพื่อนสนิททั้งสองที่ยืนห่างกันเพียงคืบ
แจนิวาลมุ่นหัวคิ้วอย่างใช้ความคิด คนช่างสังเกตกวาดตามองรอบห้องอีกหนขณะเดินตรงเข้าไปนั่งที่ประจำ
กลุ่มหมาป่าหายไป
กลุ่มทรานส์บางส่วนที่เขารู้จักก็ไม่อยู่ที่นี่
อาจารย์ชาร์ลก็ด้วย
หรือว่า…
“บางทีอาจารย์ชาร์ลอาจจะติดภารกิจด่วน เรากลับไปนอนกันดีไหม”อาซาเอลพูดด้วยแววตามีความหวัง
คนนอนไม่เต็มอิ่มคงไม่ทันได้สังเกตรายละเอียดรอบตัว ในหัวของอาซาเอลมีเพียงผ้านวมอุ่นๆและเตียงนอนนุ่มสบายเท่านั้น แมวหนุ่มขี้เซามิได้ใยดีกับผู้คนในชั้นเรียนแสนบางตา หรืออาจารย์ร่างสูงที่มาไม่ตรงเวลา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดการยกเลิกคลาสเรียนอย่างกะทันหันด้วยอาจารย์มีภารกิจด่วน เหล่านักเรียนเข้าใจดีว่าคณาจารย์ของสถาบันแห่งนี้แบกรับความปลอดภัยของอาณาจักรไว้ เป็นบุคลากรชั้นแนวหน้าที่สละเวลาอันมีค่ามาบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ที่จะกลายเป็นอัญมณีของอาณาจักรสืบไป
“ไม่ได้ติดภารกิจหรอก อาจจะมีเหตุจำเป็นอื่น แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะงดคลาสหรอกนะ”มินาคัสพูดขณะเตรียมอุปกรณ์ขึ้นมาวางบนโต๊ะ เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนการสอน แม้ผู้รักษาสมดุลไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนในสถาบัน แต่สิ่งที่เขาได้รับจากสถาบันเชนโตล้วนเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ผู้รักษาสมดุลหนุ่มจึงสนใจใคร่รู้และตั้งอกตั้งใจเรียนเสมอ ยกเว้นยามที่ต้องหลบออกไปทำภารกิจลับบ้างเป็นครั้งคราว
“เหตุจำเป็นอะไร”แมวดำเลิกคิ้วถาม
อาซาเอลเริ่มกวาดสายตามองรอบตัว ดวงตาสีรัตติกาลน่าหลงใหลหรี่ลงช้าๆเมื่อพบว่ากลุ่มคนที่คุ้นเคยหายไป
หากไม่นับคาดิเนียลที่ช่วงนี้ขาดเรียนเป็นว่าเล่น นี่เป็นครั้งแรกที่กลุ่มหมาป่าหายไปทั้งฝูง
เพราะใกล้คืนจันทร์สีเลือดแล้วกระมัง พวกหมาป่าจึงได้เริ่มเก็บตัว
เสียงแจนิวาลดังขึ้นในหัว
อาซาเอลสบตาเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันแต่กลับเทเลพาทีมาแทน
คืนจันทร์สีเลือด
เหมือนจะเคยได้ยินมาบ้าง
ค่ำคืนที่ผู้สืบเชื้อสายหมาป่าจะมีสัณญาตญาณอยู่เหนือหลักของเหตุและผล กระหายเลือด เข่นฆ่าได้แม้แต่คนในครอบครัว
ช่างป่าเถื่อน
หัวใจทรานส์กระตุกวูบเมื่อประหวัดถึงใครบางคนที่สืบสายเลือดหมาป่าเช่นกัน จะว่าไปก็ไม่ได้เจอหน้าคาดิเนียลมาหลายวันแล้ว แม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยิน หรือหมาบ้านั่นจะเก็บตัวกับเขาด้วยเหมือนกัน
แค่จินตนาการถึงยามที่ร่างสูงเจ้าของรอยยิ้มสดใสถูกอาบชโลมไปด้วยเลือดจากเหยื่อที่ล่าได้ อาซาเอลก็ตัวสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้
ความกลัวถาโถมแม้รู้ดีว่ามันเป็นเพียงความคิดของตนเอง
“อาซาเอล”เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆพร้อมมือที่แตะบ่า มินาคัสสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่แปรปรวนจากคนข้างตัว คนโดนเรียกพ่นลมหายใจยาวเพื่อสงบสติอารมณ์ พลังเวทย์สีเหลืองนวลค่อยๆเสถียรตามอารมณ์ผู้เป็นเจ้าของ
แบบนี้ไม่ตายกันหมดหรือ สถาบันนี้มีหมาป่าอยู่เท่าไร แม้แต่อาจารย์ชาร์ลยังได้รับผลกระทบจนเข้าชั้นสาย มีหวังเกิดฆาตกรรมหมู่ขึ้นแน่ ทางสถาบันไม่มีมาตรการอะไรเลยงั้นรึ
ทรานส์หนุ่มเริ่มออกอาการร้อนรน แค่ต้องอยู่ท่ามกลางนักล่าก็ต้องระแวงทุกฝีก้าว มารู้ว่าผู้มีอำนาจสูงสุดอาจลักพาตัวตนไปทรมานก็จิตตกจนไม่กล้าทำอะไรไปพักใหญ่ ไม่ทันไรต้องมาเจอกับคืนที่เป็นดั่งฝันร้ายของเหล่าทรานส์อีก
มันไม่เกินไปหน่อยหรอกหรือ!
สถาบันเชนโตไม่สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
พฤติกรรมตามสายเลือด ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ
การล่า หรือถูกล่า ไม่ว่าจะสยดสยองเพียงใด มันก็เกิดจากสัญชาตญาณที่ติดตัวเรามา แม้แต่เพียวยังมีสัญชาตญาณการล่าเลย หากหมาป่าจะคลุ้มคลั่งไล่ฆ่าทุกคนในสถาบันก็ถือเป็นเหตุสุดวิสัยกระมัง
แจนิวาลไหวไหล่เมื่ออาซาเอลหันมาถลึงตาใส่ราวไม่เห็นด้วย
ถ้าวิวัฒนาการกันมาถึงขนาดนี้แล้วยังใช้สัญชาตญาณเป็นข้ออ้างไม่หยุดหย่อน ก็คืนสู่ร่างสัตว์กันไปเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ
การปะทะฝีปากระหว่างเพียวกับทรานส์เริ่มตั้งเค้าทะมึน แต่ก็ถูกสะกัดด้วยคนที่เปิดประตูเข้ามาดึงดูดสายตาจากนักเรียนในห้องไปเสียก่อน
มินาคัสเบิกตากว้างเสียจนอาซาเอลกับแจนิวาลมองสลับเพื่อนสนิทกับคนแปลกหน้าที่เดินเข้ามาอย่างไม่เข้าใจ
“สวัสดี ผมชื่อเทนไฮม์ มาสอนแทนอาจารย์ชาร์ลที่ต้องไปทำธุระด่วน”รอยยิ้มอบอุ่นระบายบนใบหน้าคมของอาจารย์เทนไฮม์
มินาคัสไม่เคยเอ่ยชื่ออาจารย์คนใดยามพูดถึงเหล่ากบฏแห่งเชนโตเออูโน เขาเลี่ยงคำ และพยายามพาดพิงผู้อื่นให้น้อยที่สุด ระมัดระวังเสียจนบางครั้งเล่าอะไรไม่ได้ศัพท์ เป็นหน้าที่ของคนฟังที่ต้องประติดประต่อเรื่องเอง แม้ยามกางเขตแดนป้องกันมินาคัสก็ยังมีสีหน้าลำบากใจและไตร่ตรองทุกคำพูดอยู่เสมอ
กระนั้นสีหน้าของผู้รักษาสมดุลหนุ่มยามนี้ กับรอยยิ้มประหลาดที่อาจารย์เทนไฮม์ส่งมาให้ การพยักหน้าน้อยๆให้กับอาซาเอลอย่างจงใจก็ทำให้หนึ่งเพียวหนึ่งทรานส์พอจะรู้ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นหนึ่งในตัวละครของเรื่องเล่าขาดๆเกินๆของมินาคัส
ทว่าเป็นใครกัน
เสียงพูดคุยในห้องยังคงจอแจด้วยนักเรียนส่วนใหญ่คาดหวังให้เกิดการยกเลิกคลาสจะได้กลับไปนอนไม่ก็เที่ยวเล่นในรั้วสถาบัน อย่างไรเสียก็ดีกว่าการนั่งฟังบรรยายตลอดสามชั่วโมง เช่นนั้นเมื่อผู้ที่เดินเข้ามาไม่ใช่บุคคลคุ้นเคยซ้ำยังดูเป็นมิตรไม่น่าหวั่นเกรงเหมือนอาจารย์ชาร์ล
นกกระจอกก็เริ่มแตกรัง
ฉับพลันที่รอยยิ้มบนริมฝีปากของอาจารย์เทนไฮม์จางลงเพียงนิด ความกดดันภายในห้องเพิ่มสูงขึ้นชั่วพริบตาหนึ่ง สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเหล่านักเรียนกรีดร้องจนตัวแข็งทื่อ หลายคนเผลอกลั้นหายใจ สายตาทุกคู่หันมาด้านหน้าของชั้นเรียน เลือดในร่างยังคงสูบฉีดออกจากหัวใจในอัตราที่เร็วกว่าปกติ
พลังเวทย์นี่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
แต่ที่น่าหวั่นกลัวกว่านั้นคือพลังเวทย์ที่กำลังตื่นกลัวถูกบังคับให้สงบลงโดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้นักเรียนตกอยู่ในภาวะมึนงงครู่หนึ่งจนกระทั่งเสียงทุ้มของอาจารย์ช่วยดึงสติกลับมา
นี่หรือที่บอกว่าสูญเสียการควบคุมไป มองอย่างไรก็ยังแข็งแกร่งจนน่ากลัวมิใช่หรือ
มินาคัสมองคนตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด
ในขณะที่อาซาเอลกับแจนิวาลรู้ตัวแล้วว่ากำลังเผชิญหน้ากับใคร
อาซาเอลเคยโดนมินาคัสบังคับให้พลังเวทย์สงบมาก่อนจึงรู้ ส่วนแจนิวาลนั้น...
เพราะรู้ว่าผู้รักษาสมดุลทำสิ่งใดได้บ้าง จึงคาดเดาได้ว่าคนตรงหน้าเป็นสิ่งใด และแข็งแกร่งเพียงใด
อดีตผู้รักษาสมดุล
ผู้ถอนตัว
คนทรยศ
หลากหลายชื่อที่ถูกคนอื่นเรียกขาน
แต่ปัจจุบันเขาคือหนึ่งในผู้นำของเหล่ากบฏ
ศาสตราจารย์เทนไฮม์คนนั้น
สามสหายที่ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของบุคคลหน้าชั้นเรียน รู้สึกราวโดนกวนตะกอนบางอย่างในจิตใจขึ้นมาพร้อมกัน ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน...
“พร้อมสำหรับการเรียนการสอนวันนี้กันแล้วใช่มั้ย”ศาสตราจารย์เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มเป็นมิตรอีกหน “จริงๆแล้วผมเคยสอนวิชานี้นะ เมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นอาจารย์ชาร์ลของพวกคุณยังเป็นเด็กขี้โมโหนั่งคิ้วผูกเป็นปมอยู่หลังห้องตรงนั้น”ว่าพรางชี้ไปแถวหลังสุดซึ่งเคยถูกครอบครองโดยฝูงหมาป่า ทว่าวันนี้ว่างเปล่า
การแนะนำตัวเช่นนั้นทำให้ทุกคนในห้องกลืนน้ำลายเพราะรู้ถึงความอาวุโสของคนตรงหน้า ยิ่งใบหน้าเต่งตึงไม่สมวัยนั้นเปื้อนรอยยิ้มมากเท่าใดยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น
นี่มันอาจารย์ระดับสูงมิใช่หรือ หากทำอะไรพลาดไปมิโดนดีดออกจากสถาบันเลยรึไง
“แย่หน่อยที่เหตุการณ์มันกะทันหันเสียจนผมไม่ทันได้เตรียมตัว แต่จะให้ปล่อยพวกคุณกลับหอไปทั้งแบบนี้ก็คงไม่ได้ งั้นวันนี้เรามาเรียนโดยให้พวกคุณเป็นคนสอนก็แล้วกัน”
ว่าไงนะ?
คล้ายได้ยินเสียงกระซิบเพราะความงงงวยดังจากทั่วห้อง แม้ไม่เข้าใจแต่ไม่มีใครกล้ายกมือถาม
“ทุกตระกูลมีเรื่องเล่า ทุกสายพันธุ์มีตำนาน และคงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าลูกหลานที่สืบสายเลือดเหล่านั้น”
เทนไฮม์ยิ้มกริ่ม
“ผมรู้ว่าพวกคุณบางคนต้องปกปิดสถานะ แต่ข้อมูลการสืบเชื้อสายใดถูกบันทึกในระเบียนประวัติ เป็นข้อมูลสาธารณะ บ้างสืบเชื้อสายแมวใหญ่ บ้างสืบเชื้อสายหมาป่า บ้างมาจากตระกูลหมีเก่าแก่ หรือแม้แต่เพียว ก็มีเรื่องเล่าของตัวเอง”
“วันนี้ผมจะให้พวกคุณออกมาเล่า เรื่องเล่า นิทาน ตำนาน อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสายเลือดของคุณ”เทนไฮม์กวาดสายตาไปรอบห้อง นักเรียนส่วนใหญ่หลบสายตาและกระสับกระส่ายเพราะอาการประหม่า
“ทำไมเครียดกันขนาดนั้น เอาล่ะ ผมจะเริ่มเป็นคนแรก แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าของตระกูลผม เป็นเรื่องที่ผมเล่าแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้”อาจารย์หนุ่มพิงสะโพกกับขอบโต๊ะ กอดอกทำหน้าครุ่นคิดคล้ายกำลังเรียบเรียงเรื่องราว
“คืนจันทร์สีเลือด กับคำสาปของเหล่าหมาป่า”
แว่วเสียงสูดลมหายใจ
อาซาเอลมิได้ใส่ใจอยากรู้ว่าเป็นของใคร เพราะยามนี้เขากำลังจ้องมองอาจารย์อาวุโสด้วยสายตาใคร่รู้ คนตรงหน้ากำลังส่งสัญญาณเตือนแก่ทุกคนให้รับรู้ว่าสิ่งใดกำลังจะมา
“คืนจันทร์สีเลือดคือคืนเดือนเพ็ญที่พระจันทร์เต็มดวงถูกย้อมด้วยสีแดงฉาน ไม่อาจทำนาย ไม่อาจอธิบายว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทว่ามันส่งผลต่อพลังเวทย์ในกายของผู้สืบเชื้อสายหมาป่า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ หรือมนุษย์ สัญชาตญาณการล่าของพวกเขาจะถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด จนแม้แต่ฝูง ก็แตกเป็นเสี่ยง”
ห้องเรียนตกอยู่ในความเงียบ รอคอยให้อาจารย์พูดต่อ
“หมาป่าน่าเกรงขามเมื่ออยู่เป็นฝูง แต่หมาป่าคลั่งที่แตกจากฝูงและมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อล่านั้นอันตราย ว่ากันว่าตระกูลหมาป่าใหญ่ๆหลายตระกูลล่มสลายเพราะฆ่ากันเองในคืนจันทร์สีเลือด ใช่ มันเป็นเรื่องจริง”
แมวหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างฝืดฝืน
“น่ากลัวใช่หรือไม่ ถูกแล้วที่พวกคุณกลัว เพราะในสถาบันแห่งนี้มีผู้สืบเชื้อสายหมาป่าอยู่เกือบครึ่งของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทั้งในสถาบัน และรอบๆสถาบัน”
รอยยิ้มที่หายไปจากใบหน้าของอาจารย์เทนไฮม์ยิ่งทำให้ความวิตกกังวลกัดกินเหล่าทรานส์และผู้อ่อนแอ
“แต่ใช่ว่าเราทั้งหมดจะตายในคืนจันทร์สีเลือด วิธีรอดชีวิตแสนง่ายดาย”อาซาเอลหรี่ตามองเมื่อเทนไฮม์จงใจเว้นวรรคให้คนฟังลุ้นตาม “เพียงแค่อย่าอยู่ใกล้พวกหมาป่าในคืนนั้น จงหลบซ่อน จงเร้นกาย จงปิดประตูหน้าต่างให้แน่นหนา แต่หากโชคร้ายตกเป็นเป้าของพวกเขา อย่าคิดแม้สบตา กลับหลัง แล้ววิ่งหนีให้เร็วสุดฝีเท้า อย่าเผชิญหน้ากับหมาป่าในคืนที่พวกเขาแข็งแกร่งที่สุด เพราะคุณ จะแพ้”
ใช่ว่าทุกคนจะพ่ายแพ้ให้กับหมาป่าในคืนพระจันทร์สีเลือด แต่กับนักเรียนใหม่ที่อยู่ภายในห้องนี้ นี่เป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดหากอยากรอดชีวิต
“เรื่องที่ผมเล่าอาจไม่น่าฟังสักเท่าไร แต่ผมต้องเล่าเพราะอีกสองวันจะถึงคืนวันเพ็ญ และจากการคาดเดาของนักพยากรณ์ที่เก่งที่สุดของเรา คืนนั้น พระจันทร์จะกลายเป็นสีแดง”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีอย่างห้ามไม่ได้ แม้หลายคนพอจะเดาได้จากการที่หมาป่าเริ่มเก็บตัว แต่เวลาอีกเพียงสองวันนั้นทำให้ความหวาดกลัวกัดกินสติของพวกเขา นักเรียนในห้องลืมไปเสียสิ้นว่าจะต้องออกมาเล่าเรื่องของตนต่อ จนกระทั่งเสียงดีดนิ้วของอาจารย์หนุ่มดังขึ้นพร้อมกลิ่นหอมประหลาด ถุงผ้าสีขาวสะอาดตกลงบนโต๊ะตรงหน้านักเรียนทุกคน
“นั่นเป็นของขวัญจากอาจารย์ยูจีน อาจารย์ประจำวิชาสมุนไพรศาสตร์ ไม่แน่ใจว่าพวกคุณเคยเจอรึเปล่า แต่เขานั่งหลังขดหลังแข็งเพื่อทำถุงบุหงาใส่ดอกไม้หลากชนิดที่มีฤทธิ์ขับไล่สัตว์จำพวกหมาป่าเอาไว้ อาจารย์ไคมัสก็ช่วยด้วย เขาหยดสารสกัดอะไรสักอย่างที่ช่วยให้ดอกไม้ส่งกลิ่นได้แรงขึ้นลงไป หวังว่าจะไม่อันตราย”ท้ายประโยคอาจารย์เทนไฮม์พูดเสียงเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน
ยกเว้นผู้ที่รู้ดีว่า ไคมัส เป็นคนเช่นไร
“ไม่ได้ป้องกันได้อย่างเด็ดขาด ทว่าช่วยให้พวกเขาชะงัก สร้างโอกาสให้พวกคุณได้หาทางหนีทีไล่ อ่า ไคมัสเรียกมันว่าการซื้อเวลาตาย”อีกครั้งที่เทนไฮม์พึมพำกับตนเอง
“เอาเป็นว่าพกติดตัวเอาไว้ก็แล้วกัน เมื่อเวลานั้นมาถึงหวังว่าจะเป็นประโยชน์”
“เอาล่ะ ผมคิดว่าพวกคุณคงอยากนั่งคิดอะไรกันสักหน่อย งั้นเปลี่ยนจากการออกมาเล่าหน้าชั้นเรียนเป็นเขียนรายงานส่งผมก็แล้วกัน สรุปความให้จบในหน้าเดียว ส่งเมื่อหมดเวลา”
เทนไฮม์ทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะหน้าชั้นเรียน กอดอกกวาดสายตามองนักเรียนที่เริ่มหยิบปากกาขึ้นเขียนเรื่องเล่าของสายเลือดตนเอง หลายคนมีท่าทีเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งดวงตาคมของอาจารย์หนุ่มสบเข้ากับสายตาที่มองตรงมาของเด็กหนุ่มร่วมสายเลือด
สายเลือดของผู้รักษาสมดุล
น่าสนใจทีเดียวว่ามินาคัสจะเขียนสิ่งใดลงในกระดาษ
อาซาเอลหยิบถุงผ้าสีขาวขึ้นมาดูใกล้ๆ กลิ่นหอมฉุนลอยเตะจมูก จนต้องรีบเอาออกห่างตัว อย่าว่าแต่หมาป่าเลย แม้แต่แมวอย่างเขาก็ไม่พิสมัยกลิ่นเช่นนี้สักเท่าไร
“เราคงต้องทำถุงผ้านี่เพิ่มสักร้อยถุง”แจนิวาลพึมพำ
“ทำไปทำไม ฉันเลือกเก็บตัวอยู่ในห้องแล้วร่ายเวทคุ้มกันให้หนาๆเข้าไว้ดีกว่า”อาซาเอลเอ่ยพร้อมถอนหายใจยาว “ที่เหลือก็ทำได้แค่สวดภาวนาให้รอด”
หากจะมีใครสักคนเป็นเป้าของหมาป่า ชื่อแรกที่ปรากฏในหัวก็คือชื่อของเขาเอง เช่นนั้นแล้วถุงผ้าเหล่านี้เป็นร้อยถุงก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอกกระมัง
“นายลืมหรือ”แจนิวาลหันมามอง และนั่นทำให้อาซาเอลคิดทบทวนคำถามของเพื่อนอีกหน
ลืม
ลืมสิ่งใดกัน
ถ้าจำได้ก็คงไม่เรียกว่าลืม
“วันนั้นเป็นวันเก็บเกี่ยวผลของต้นลูกกวาด”
ต้นลูกกวาด อีกหนึ่งบทลงโทษที่พวกเขาได้รับ ตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ไม่ใช่เพียงโรงเรือนที่สามที่พวกเขาต้องดูแลเสียจนไม่มีเวลาพักผ่อน เจ้าต้นไม้เอาแต่ใจนั่นก็สูบพลังกายพลังใจของพวกเขาไปไม่น้อย ด้วยต้นอ่อนนั้นแสนเปาะบาง ต้องเพาะในกล่องกระจก ควบคุมสารอาหาร ปริมาณน้ำ และอุณหภูมิให้คงที่อยู่เสมอ หากพลาดเพียงนิดพวกมันจะแห้งตาย ซ้ำร้ายรสชาติยังออกมาแตกต่างกันตามแต่สภาพแวดล้อมที่ได้รับ มันคงไม่ลำบากเท่าใดนักหากเจ้าหญิงแคนดี้เป็นคนที่สามารถบอกได้ว่าชื่นชอบรสชาติเช่นไร เช่นนั้นพวกเขาจึงต้องปลูกต้นลูกกวาดในปริมาณมาก และสร้างสภาพแวดล้อมในกล่องกระจกที่แตกต่างกันเพื่อหวังว่าสักต้นในนั้นจะให้ผลที่ถูกปากเจ้าหญิง
การจำลองสภาพแวดล้อมแบบต่างๆภายในกล่องกระจกใช้พลังเวทย์ไม่น้อย ทั้งป่าดิบชื้น ทุ่งหญ้า ทะเลทราย รายละเอียดของปริมาณน้ำ สารอาหาร อุณหภูมิที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยล้วนต้องใช้พลังเวทย์ในการกำหนดและรักษาสมดุลเอาไว้ เรียกได้ว่าแทบจะรีดเร้นทุกอณูวิญญาณออกมาหล่อเลี้ยงเจ้าพวกต้นอ่อน โดยมีเจ้าตัวอ้วนสีขาวปุกปุยวิ่งอยู่บนคานของโรงเรือนเพื่อเยี่ยมชมเหล่าทาสเป็นครั้งคราว
พวกเขาปลูกต้นลูกกวาดไปยี่สิบต้น ครึ่งหนึ่งตายภายในสามวันแรก ที่เหลือรอดกำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมหวานลอดออกมาจากกล่องกระจกใส ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวคือสิบวัน
ตรงกับคืนจันทร์สีเลือดพอดี
ช่างเหมาะเจาะราวกับสวรรค์บัญชาให้พวกเขาตายเพื่อต้นไม้พวกนั้น
“ฉันจะปล่อยให้พวกมันแห้งตาย”อาซาเอลกัดฟันกรอด
หากไม่เก็บเกี่ยวตามเวลาต้นไม้ทุกต้นจะยืนต้นตาย พลังเวทย์ หยาดเหงื่อ และความพยายามตลอดสิบวันจะมลายหายไปพร้อมกับซากต้นไม้แห้งๆ
กระนั้นก็ดีกว่าเป็นเขาเองที่ตายเพราะกรงเล็บของหมาป่าสักตัว
“ไม่ได้ เราไม่มีเมล็ดพันธุ์เหลือแล้วนะ อย่างน้อยถ้าล้มเหลวก็ต้องมีไว้เริ่มต้นใหม่ ฉันไม่อยากจะคิดว่าอาจารย์ซีมอสจะลงโทษเรายังไงถ้าพลาดจากการปลูกต้นลูกกวาด ไม่สิ หมายถึงเจ้าหญิงแคนดี้ เจ้าอ้วนนั่นมองจิกฉันจากคานโรงเรือนทุกครั้งที่ฉันสบตา”แจนิวาลทำหน้าเหยเกเมื่อนึกถึงสายตาของก้อนขนสีขาว
“ชูการ์ไกรเดอร์น่ากลัวกว่าหมาป่าหรือแจนิวาล”อาซาเอลมองเพื่อนสนิทอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าคนฉลาดอย่างเขาจะชั่งน้ำหนักไม่ได้ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน
ชีวิต
หรือปากท้องของเจ้าสัตว์พิทักษ์นั่น
อ่า แต่เมื่อคิดว่ามันเป็นสัตว์พิทักษ์ของใครก็ดูจะมีน้ำหนักขึ้นมาอีกโขทีเดียว
hf
“หมดเวลา ส่งกระดาษของคุณมาด้านหน้า”
เหล่านักเรียนทยอยวางปากกาในมือลงเมื่อศาสตราจารย์เทนไฮม์ให้สัญญาณ อาจารย์หนุ่มยืนขึ้นแล้วมองไปรอบห้องคล้ายกำลังหาอะไรบางอย่าง
“คุณ เก็บรวบรวมแล้วตามไปส่งที่ตึกภาควิจัย”
มินาคัสพยักหน้าน้อยๆ ตอบรับคำสั่งของเทนไฮม์โดยมีอาซาเอลและแจนิวาลเหลือบมองอย่างรู้ทัน ดูเหมือนเหล่าผู้รักษาสมดุลมีเรื่องต้องคุยกันเป็นการส่วนตัว
“งั้นพวกเราจะไปนั่งรอที่ลานกว้างนะ”อาซาเอลเอ่ยเพื่อเปิดโอกาสให้มินาคัสได้คุยกับเทนไฮม์ตามลำพัง แต่กลับได้การส่ายหน้าปฏิเสธจากเพื่อนสนิท
“ไปด้วยกันเถอะ”
อาซาเอลหรี่ตามองคนรูปงามที่จ้องเขม็งคล้ายมีบางอย่างอยากพูดแต่พูดไม่ได้ ก่อนจะหันไปสบตากับเพียวร่างเล็กข้างกายที่พยักหน้าเบาๆ
“ดีเหมือนกัน ฉันยังไม่เคยใช้สิทธิ์เข้าใช้ห้องสมุดของตึกภาควิจัยสักครั้ง บางทีในนั้นอาจมีวิธีเร่งการออกผลของต้นลูกกวาด เราจะได้ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อปากท้องของเจ้าปุกปุยนั่น”แจนิวาลจงใจพูดเพื่อไม่ให้เป็นการผิดสังเกตที่พวกเขาจะยกโขยงขึ้นตึกภาควิจัยกันทั้งกลุ่ม
เพราะมิอาจรู้ได้ว่าใครลอบมองพวกเขาอยู่ในเงามืดหรือไม่
hf
สามสหายเดินตามศาสตราจารย์หนุ่มต้อยๆมาจนถึงตึกภาควิจัยโดยไม่มีบทสนทนาใดแม้แต่คำเดียว มีเพียงการเหลือบมองกันเป็นระยะของคนช่างพูดอย่างแจนิวาลและอาซาเอล มินาคัสถอนหายใจให้กับท่าทางลุกลี้ลุกลนของเพื่อนสนิท เดาไม่ออกเลยว่าทั้งคู่มีกี่ร้อยพันคำถามรอการระเบิดออกมา
เปิด
หนึ่งเพียวหนึ่งทรานส์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกังวานที่มิใช่เกิดจากการเปร่งเสียงผ่านริมฝีปาก ราวกับว่ามันดังก้องอยู่ในหัวและในอากาศรอบตัวเขา เทนไฮม์หันมายิ้มเอ็นดูเด็กทั้งคู่ที่หันมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง อาซาเอลรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของบรรยากาศ ยามเมื่อเดินตามเทนไฮม์เข้ามาในเขตพื้นหินที่ปูอย่างเป็นระเบียบล้อมรอบตึกที่ได้ชื่อว่ามีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาเป็นอันดับสองของสถาบัน
แน่นอนว่าอันดับหนึ่งคือตึกอำนวยการ
แจนิวาลเป็นเพียว มิได้มีประสาทสัมผัสไวเท่าทรานส์ แต่การที่จู่ๆอาซาเอลก็ดวงตาเบิกกว้างหันรีหันขวางนั้นไม่ปกติ เขาจึงพลอยระแวงรอบตัวไปด้วย
ทันทีที่หนึ่งอาจารย์สามศิษย์เดินผ่านประตูไม้หนาหนักเข้ามาได้ บรรยากาศประหลาดๆก็รายล้อมจนแม้แต่แจนิวาลยังรับรู้ถึงการมีอยู่ของอาณาเขตบางอย่าง
“ขอโทษด้วยหากเขตแดนของผมรบกวนพลังเวทย์พวกคุณ มันจำเป็นจะต้องใช้เขตแดนระดับสูงเพื่อเก็บความลับในนี้ให้เป็นความลับต่อไป คุณจะรู้สึกอึดอัดอยู่ชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น พวกมันตรวจสอบคุณเสร็จเมื่อไร จะรู้สึกสบายขึ้นเอง”เทนไฮม์พูดด้วยหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะเดินนำไปตามโถงทางเดินยาว ตีคู่ไปกับมินาคัสที่นิ่งเงียบมาตลอดทางจวบจนตอนนี้ ทิ้งให้ผู้ไม่คุ้นเคยกับเขตแดนระดับสูงสองคนทำหน้าเหยเก
การโดนตรวจสอบเช่นนี้คล้ายกับกำลังโดนจับถอดเสื้อผ้าเพื่อค้นทุกซอกทุกมุมโดยไม่อาจขัดขืน
ทว่าใบหน้าของสองสหายก็เหยเกจนอธิบายยากเมื่อพบว่าร่างที่เดินอยู่ข้างๆมินาคัสจู่ๆก็หายวับไปกับตา
“ฉันคิดมาตลอดว่าสถาบันแห่งนี้มหัศจรรย์มากท่ามกลางโลกที่มีเวทมนต์อยู่ทุกหนแห่ง แต่ที่นี่ก็ยังพิเศษ แต่ดูเหมือนฉันจะยังประเมินมันต่ำไป เรามีอาจารย์เป็นวิญญาณงั้นหรือ”เพียวหนุ่มหันมองเพื่อนข้างตัวด้วยใบหน้าซีดเผือด ในขณะที่อาซาเอลได้แต่อ้าปากงับลม อยากจะอธิบายอะไรสักอย่างแต่ก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเช่นกัน
“ไม่ใช่วิญญาณ แต่เป็นภาพลวงตา”ผู้ไขเรื่องราวให้กระจ่างเป็นผู้รักษาสมดุลหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ในโถงทางเดินนี้ มินาคัสหันมาเอ่ยเรียบๆก่อนจะเร่งให้สหายที่ยังมึนงงเร่งฝีเท้า เพราะบุคคลที่เพิ่งหายตัวไปนั้นกำลังรออยู่ในห้องทำงานของเขา
สถานที่ที่มินาคัสมาเมื่อคราวก่อน
ผู้รักษาสมดุลหนุ่มผลักประตูเข้าไปในห้องที่เคยมาเพียงหนึ่งครั้ง นับตั้งแต่เมื่อครั้งประชุมลับเขาก็ไม่ได้เหยียบย่างมาที่นี่อีกเพราะเกรงจะผิดสังเกต การสื่อสารระหว่างกันมักใช้จดหมายภูต ไม่ก็การฝากถ้อยคำสั้นๆมากับเหล่าคณาจารย์ที่ร่วมกลุ่มกบฏแห่งเชนโต
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาจะได้เจอกับเทนไฮม์ตัวเป็นๆ และหวังว่าจะได้พูดคุยกันอย่างจริงจังเสียที
ชายผู้มีอายุเป็นปริศนาที่ใบหน้าไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะทำงาน มิได้เอ่ยสิ่งใดเมื่อมีแขกเปิดประตูเข้ามา เขาทำเพียงชี้ให้มินาคัสวางกระดาษเขียนรายงานของเหล่านักเรียนลงตรงมุมหนึ่งของโต๊ะ
“คุณออกไปนอกตึกภาควิจัยได้”มินาคัสเอ่ยเรียบๆ
“ก็ไม่เชิง สิ่งที่พวกคุณเห็นเป็นแค่ภาพลวงตา หรือจะเรียกว่าร่างแยกก็ได้”เทนไฮม์วางปากกาลงและเงยขึ้นมองลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยมีโต๊ะทำงานคั่นกลาง
“แล้วที่คุณบอกว่าไม่ออกไปพบผมตั้งแต่แรกเพราะไม่สะดวกจะออกนอกตึกล่ะ”มินาคัสเลิกคิ้วถาม พยายามอย่างยิ่งให้น้ำเสียงยังสุภาพอยู่
“ก็ตามนั้น ฉันอธิบายให้เธอฟังไปแล้วเมื่อคราวก่อน”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วฉับ ไม่พอใจกับคำตอบ
คนๆนี้สามารถออกมาช่วยเขาได้ตั้งแต่ต้น แต่ปล่อยให้เขาทำตัวเป็นตาบอดคลำทางเองอย่างทุลักทุกเล จนตอนนี้ภารกิจก็ยังมิคืบหน้าเท่าที่ควร
“ครั้งนี้ฉันออกไปทำงาน อย่างไรเสียสถาบันก็ยังจ้างงานฉันในฐานะอาจารย์ ก็ต้องทำงานให้คุ้มค่าแรง ขนาดออกไปทำงานยังออกไปได้แค่ร่างแยก แล้วเธอคิดว่าฉันจะออกไปช่วยเธอได้ตามใจชอบงั้นหรือ”เทนไฮม์ประสานนิ้ววางศอกบนโต๊ะ รอคำตอบจากมินาคัสด้วยสีหน้าอ่อนโยนอย่างเป็นมาตลอด และรอยยิ้มบนมุมปากก็กว้างขึ้นเมื่อเด็กน้อยตรงหน้าเขามีสีหน้าอ่อนลง
“ขอโทษครับ”
“เอาล่ะ ไหน ใครเป็นใครกันบ้างนะ ถึงผมพอจะเดาออกแต่ก็ช่วยแนะนำตัวสักหน่อยสิ ผมจำเป็นต้องรู้ว่าใครกำลังยืนอยู่ในอาณาเขตแห่งความลับของผม และกำลังจะได้เป็นส่วนหนึ่งของความลับเหล่านั้น”สายตาของผู้อาวุโสเลื่อนมายังอีกสองคนในห้องที่ยืนเงียบเพราะไม่กล้าขัดบทสนทนาที่เกือบจะมาคุเมื่อครู่
“ผมแจนิวาล เพียว คนธรรมดาที่ก็ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ทำไมเหมือนกัน”เด็กหนุ่มหัวเราะให้กับคำพูดและชะตากรรมของตนเอง
แม้เตรียมใจไว้บ้างแล้วแต่ความรู้สึกแปลกแยกยังมีอยู่เต็มอก
สองคนตรงนั้นเป็นผู้รักษาสมดุล ตัวตนที่แม้แต่โลกก็ยังก้มหัวให้ในบางโอกาส
คนข้างๆเขาเป็นผู้มีภาชนะที่สอง ตัวตนที่โลกยินยอมให้ใช้พลังเท่าที่ต้องการ
แล้วเขาเป็นใครกัน
ตัวตนเล็กจ้อยที่โลกไม่เคยมองเห็นจนกระทั่งตอนนี้
“แจนิวาล ผู้ที่มีคะแนนข้อเขียนสูงสุดของรุ่น ฉลาดรอบรู้ที่สุดในรุ่น หากคุณมองออกไปให้ไกลกว่าคนข้างตัวคุณจะพบว่าคุณไม่เคยเป็นคนธรรมดา คุณเป็นตัวตนเกินเอื้อมสำหรับใครหลายคน มันสมองนั่นน่าอิจฉาสำหรับคนมากมาย”
เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังนั้นแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเพียวหนุ่ม
เขารู้มาเสมอว่าตนเองทำอะไรได้บ้าง
แต่เหตุการณ์บางอย่างทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจไป ไม่ว่าจะแสดงออกอย่างหยิ่งทะนงเพียงใดแต่โลกทำให้เขาตระหนักว่าตัวเองเล็กจ้อย สิ่งที่ทำได้เล็กจ้อย ความรู้ที่มีน้อยนิดเสียจนทำอะไรแทบไม่ได้
เป็นเหตุผลให้เขามาที่นี่ ทำทุกอย่างเพื่อที่วันนึงเขาอาจจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเองได้บ้าง และดูเหมือนสวรรค์จะตอบรับความต้องการของเขาด้วยการผลักเขาเข้าสู่วังวนปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเองมาก
คำถามที่ว่า แล้วเขาทำอะไรได้บ้าง ยังคงไม่ได้รับคำตอบ
“แย่หน่อยที่คุณเป็นคนดวงไม่ค่อยดีเท่าไร จึงต้องตกกระไดพลอยโจนมาอยู่กับเจ้าพวกนี้”เทนไฮม์พยักเพยิกไปทางเจ้าพวกนี้ ก่อนจะระบายยิ้มอีกหน “ทว่าคุณมีเหตุผลที่อยู่ตรงนี้แน่นอน สักวันคุณจะได้คำตอบของทุกคำถามที่คุณสงสัย คุณรู้วิธีหาคำตอบเสมอ ใช่มั้ยแจนิวาล”
“ครับ!”
เพียวหนุ่มระบายยิ้มกว้างก่อนจะตอบรับด้วยเสียงดังฟังชัด
เทนไฮม์มิได้มีความสามารถในการพยากรณ์หรือทำนาย
ทำได้อย่างมากก็แค่การคาดเดา
แต่เพราะผ่านโลกมานาน ประสบการณ์ทำให้การคาดเดาแม่นยำขึ้น
เขารู้ดีว่าตัวตนของแจนิวาลจะเปลี่ยนกระแสอะไรบางอย่างได้
น่าสนใจมากทีเดียว
“แล้ว...”
ผู้อาวุโสจงใจปล่อยหางเสียงลากยาวขณะเบนสายตามายังเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายจนละสายตาไม่ได้ในครั้งแรกที่มอง
เทนไฮม์รู้ดีว่าเด็กคนนี้เป็นใคร แต่ยังอยากให้อีกฝ่ายแนะนำตัว เขาอยากรู้ปฏิกิริยาของอาซาเอลต่อตัวเขา
แจนิวาลกระทุ้งศอกใส่สีข้างของคนตัวสูงกว่าจนแมวหนุ่มร้องเสียงหลง
“เจ็บนะ”
“แนะนำตัวสิ”เพียวหนุ่มพยักเพยิก
“ผมอาซาเอล เป็นทรานส์ที่มีภาชนะที่สอง และอาจกำลังโดนผู้อำนวยการหมายหัว จะตายวันตายพรุ่งยังไม่แน่ใจครับ”
การแนะนำตัวของอาซาเอลทำเอาแจนิวาลรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที
ดูเอาเถิด ช่างประชดประชันไม่มีใครเกิน
“เท่าที่ฉันรู้ นอกจากมีภาชนะที่สองแล้วยังเป็นสายพันธุ์ผ่าพงศ์ด้วยสินะ ในรายงานของเธอก็เขียนตำนานเกี่ยวกับสายพันธุ์ผ่าพงศ์มานี่”อาจารย์หนุ่มหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมากวาดสายตาอ่านคร่าวๆ ก่อนจะสะดุดที่ข้อความส่วนหนึ่ง “สายพันธุ์ผ่าพงศ์ตระกูลแมว พบได้ไม่ยาก มีอยู่หลากหลายชนิด แต่บางชนิดนับว่าเป็นของล้ำค่าในตลาดมืด และบางชนิดมีตำนานเล่าขานว่าหากเกิดในตระกูลใดจะนำความล่มสลายมาสู่ตนเองและตระกูล”
“เขียนได้ดี ในฐานะผู้นำความล่มสลายมาสู่ตนเองและตระกูลสินะ”
อาซาเอลกัดฟันกรอด
บางทีเขาก็อยากเผาสถาบันแห่งนี้เสียให้สิ้น เพราะอาจารย์แต่ละท่านช่างขยันยั่วโทสะเขาเสียเหลือเกิน ไม่บอกก็รู้ว่าเทนไฮม์ได้ยินเรื่องนี้จากใคร
ตลอดหลายปีนี้มีคนเพียงคนเดียวที่ได้เห็นร่างลอสแท้จริงของเขา
คีย์
ความลับชั่วชีวิตที่ถูกเปิดโปงทีละอย่าง ทั้งที่เพียงก้าวย่างเข้ามาในรั้วสถาบันแห่งนี้ได้ไม่นาน
มันน่าเจ็บใจ
ที่เขาต้องซุกซ่อนอยู่ภายใต้การดูแลของครอบครัว ที่เขาต้องฝึกจนเลือดตาแทบกระเด็นเพื่ออำพรางร่างลอส ที่เขาต้องเจอกับทุกเรื่องเลวร้ายตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งหมดเกิดจากสิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เขาไม่ได้เลือก
ภาชนะที่สอง
สายพันธุ์ผ่าพงศ์ตามคำทำนาย
ไม่ว่าจะสิ่งใดก็มากพอให้ชีวิตวุ่นวายไร้จุดสิ้นสุด
ตั้งแต่ลอสครั้งแรก พ่อแม่แทบขังเขาไว้ในห้องไม่ให้พบใคร การเป็นภาชนะที่สองนั้นล้ำค่าเป็นที่ต้องการของผู้ล่า ทว่าคนในตระกูลต่างยินดีช่วยเหลือเพราะถือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข แต่หากใครล่วงรู้ว่าเขาเป็นสายพันธุ์ผ่าพงศ์ที่คำทำนายประจำตระกูลเขียนเอาไว้ว่าจะนำความล่มสลายมาให้แล้วล่ะก็
ตลาดมืดใด หรือห้องวิจัยลับที่ไหน ก็จะไม่มีวันได้ตัวเขาไป
เพราะผู้อาวุโสในตระกูลบางคนที่แสนคร่ำครึและยึดติดกับทุกตัวอักษรในบันทึกของตระกูลจะสังหารเขาเสียตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
นั่นเป็นเหตุผลที่ทั้งพ่อและแม่หวงแหนเขามากกว่าสิ่งใด
จนกระทั่งสูญเสียเขาไปครั้งหนึ่ง
อิซาเบลและสามีที่สูญเสียลูกชายออกจากอกแม้จะประคบประหงมเสียจนลูกไร้ชีวิตอิสระ ลูกชายที่กลับมาพร้อมสภาพจิตใจแตกเป็นเสี่ยง มิอาจเหมือนเดิมได้อีก
ทั้งสองตระหนักรู้ตอนนั้นว่าพวกตนเลือกเส้นทางที่ผิด
หากเลี้ยงให้อาซาเอลเข้มแข็งเสียตั้งแต่ต้น เขาอาจปกป้องตนเองได้มากกว่านี้ หากอธิบายและบอกทุกสิ่งที่เจ้าตัวน้อยควรรู้ เขาอาจระวังตัวและรู้จักหลบหลีก
การโดนลักพาตัวครั้งนั้นเปลี่ยนแปลงทุกอย่างสิ้น
เมื่อโลกอันแสนโหดร้ายเป็นผู้สอนทุกอย่างแทนบิดาและมารดา เด็กแสนบริสุทธิ์ในวันนั้นจึงแปดเปื้อนด้วยรอยเลือดและเต็มไปด้วยบาดแผล แม้ยังมีชีวิต แต่จิตใจได้บิดเบี้ยวไปแล้ว
ทำได้เพียงโอบกอดด้วยความรัก ให้เด็กน้อยได้ทำสิ่งที่อยากทำ ดึงรั้งออกจากเงามืดในจิตใจ ปลอบประโลมเมื่อจำเป็น และสอนให้รู้วิธีมีชีวิตรอดในโลกที่ไม่เป็นมิตร
เช่นนั้นอาซาเอลจึงได้มายืนอยู่ตรงนี้แทนที่จะถูกซ่อนอยู่ในบ้านเหมือนเมื่อวัยเยาว์
กระนั้นทั้งพ่อและแม่ก็คงไม่คิด ว่าส่งเขามาผจญกับภัยร้ายเข้าเสียแล้ว
“พวกคุณรู้ทุกอย่างแล้ว จะทำเช่นไรกับผม”อาซาเอลถามด้วยเสียงไม่ใคร่เป็นมิตรนัก
กลไกการระวังภัยของแมวหนุ่มกำลังทำงาน เขาไม่คิดไว้ใจใครอีก ยิ่งคนที่รู้เรื่องราวมากเท่าไร ยิ่งวางใจไม่ได้ ไม่มีใครละความต้องการได้จนหมดสิ้น
“ทำให้เธอมีชีวิตต่อไปอย่างปกติ”เทนไฮม์ตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างเคย กระนั้นก็มิอาจลดความดื้อแพ่งในดวงตาของอาซาเอลลง
“คนที่สักวันหนึ่งจะหาผมเจอแข็งแกร่งแค่ไหนคุณก็รู้ดี หรือบางที ใครสักคนในกลุ่มของพวกคุณอาจเกิดความโลภขึ้นมาเสียเอง”
อาซาเอลเม้มริมฝีปากด้วยรู้ว่าใช้คำพูดไม่เหมาะสม ตัวเขาเริ่มสั่นแม้แจนิวาลจะแตะเบาๆที่แผ่นหลังแต่ก็ไม่ช่วยอะไร ความหวาดกลัวกำลังครอบงำเด็กน้อยร่างสูงคนนี้เสียแล้ว
“เรามีพลังมากพอเท่าที่จำเป็นต้องใช้แล้วเด็กเอ๋ย แค่เด็กน้อยตัวกระจ้อยที่ยังสั่นกลัวต่อทุกอย่างในโลกนั้นไม่พอจะกระตุ้นความอยากของพวกเราหรอก”เทนไฮม์เอ่ยพร้อมใช้พลังปลอบประโลมอาซาเอล จนเมื่อเด็กน้อยตัวกระจ้อยของเขาสงบลงจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเหย้าแหย่ “ยกเว้นว่าเธอมีโอกาสได้เติบโตเป็นคนที่น่าสนใจกว่านี้ หากคู่ควรกับการล่า เราสักคนหนึ่งอาจกระตือรือร้นขึ้นมาก็เป็นได้”
“หากผมมีโอกาสได้เติบโต ยามนั้นจะไม่มีใครแตะต้องผมได้อีก”ประกายที่ฉายในดวงตาสีนิลบริสุทธิ์นั้นเรียกรอยยิ้มจากเทนไฮม์ได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนวันหนึ่งข้างหน้าอาซาเอลจะเป็นคนที่น่าสนใจมากทีเดียว
“แต่ผมคงไม่มีโอกาสได้เติบโตหากคนอื่นรู้ คนที่ชั่วร้าย หากไม่โดนล่า เลือดผมก็จะเปื้อนมือคนในตระกูลอยู่ดี ผมบอกตรงๆว่ากังวลเรื่องสายพันธุ์ผ่าพงศ์มากกว่าภาชนะที่สองเสียอีก อย่างไรเสียตอนนี้ภาชนะที่สองของผมก็ใช้การไม่ได้ แต่หากคนในตระกูลผมรู้เรื่องร่างลอสแท้จริงของผมเข้า ไม่ใช่แค่ผม แต่พ่อแม่และน้องสาวของผมจะโดนตราหน้าเป็นผู้ทรยศที่ซุกซ่อนตัวผมไว้ไปด้วย”
“ไม่ต้องกังวลไป บางครั้งคำทำนายก็เป็นแค่เรื่องเพ้อฝันของนักพยากรณ์ที่ถูกพลังกลืนกินจนเสียตัวตน ฉันไม่อยู่ในฐานะที่จะอวดอ้างอำนาจอะไรได้อีกด้วยเป็นผู้ถอนตัวจากอำนาจพิเศษเหล่านั้น แต่ขอยืนยันว่าสายพันธุ์ผ่าพงศ์ก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มิอาจสร้างสิ่งชั่วร้ายใดๆได้ จะสำคัญก็แค่กับพ่อค้าในตลาดมืดและพวกหัวเก่าคร่ำครึเท่านั้น”
“เด็กน้อยเอ๋ย ในประเด็นนั้นเธอก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนอื่น เป็นผู้สืบเชื้อสายของสัตว์ที่แสนงดงามชนิดหนึ่งเท่านั้น”
ราวกับถูกปลดปล่อยจากโซ่ตรวน
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นเอ่ยว่าตัวตนของเขานั้นมิได้แตกแยกจากผู้ใด
เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาที่มีสิทธิ์มีชีวิต ชีวิตที่ธรรมดา
“การที่เธอวิตกกังวลเป็นเพราะการปลูกฝังและสิ่งต่างๆที่พบพานมาตลอดชีวิต พ่อแม่ของเธอพยายามปกปิดตัวตนเธอจากทุกคนนั้นเกิดจากความรัก เป็นสิ่งที่ถูก แต่ถูกเพียงครึ่ง ความรักต้องอาศัยความเข้าใจ เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ฉันมั่นใจว่าเธอเติบโตมาด้วยความรักที่ล้นปรี่ หวังว่าตอนนี้เธอจะมีความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น”
อาซาเอลนิ่งงัน ขบคิดกับคำพูดของเทนไฮม์จึงมิทันได้สังเกตสีหน้าของผู้รักษาสมดุลทั้งสองที่เหลือบมองกันอย่างสื่อความนัย
มินาคัสเม้มริมฝีปากแน่น จ้องมองเพื่อนสนิทร่างโปร่งด้วยสายตาอธิบายยาก
เช่นนี้
เช่นนี้เองสินะ
เช่นนี้ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปทันทีที่อาซาเอลลอสครั้งแรก
เพราะบิดาและมารดาต้องการปกป้องลูกชายจากเงื้อมมือของคนในตระกูล จึงมิอาจให้ตกไปเป็นเขี้ยวของผู้ใด จึงมิอาจยอมให้เสี่ยงภัยอยู่ในที่สว่าง จึงต้องเก็บซ่อน จึงต้องยึดคืนเขี้ยวของเขาไปจากอก
แต่ช่างประไร
อดีตนั้นจบไปแล้ว
เขามิได้รู้สึกสูญเสียอีกแล้ว
มีเพียงความเข้าใจที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นยามเมื่อได้รับคำตอบที่เคยตั้งคำถามไว้ในอดีต
“แต่อย่างไรเสียการมีภาชนะที่สองของเธอต่างหากที่น่าเป็นห่วง เรื่องนั้นพิเศษอย่างเลี่ยงไม่ได้”
ราวกับกระชากทุกคนกลับมาอยู่กับปัจจุบันและความเป็นจริง อาซาเอลหายใจสะดุดอีกหน
“ภาชนะที่สองของผมใช้การไม่ได้”แมวหนุ่มกัดริมฝีปากก่อนจะเอ่ยต่อ “ผมไม่สามารถแลกเปลี่ยนพลังเวทย์ธรรมชาติได้ มันมีพลังของใครบางคนอัดแน่นอยู่ ไม่มีใครเอาออกไปได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไร”
“รู้ได้อย่างไรว่าไม่มีทาง”
คำพูดของเทนไฮม์ทำเอาอาซาเอลลืมวิธีออกเสียง
กว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอก็ใช้เวลาเกือบสองนาที
สองนาทีที่ภาพมากมายหลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึก
ภาพที่เหล่านักวิจัยชั่วทำกับเขาในห้องทดลองใต้ดิน
พวกนั้นพยายามทุกวิถีทางเพื่อกระชากพลังเวทย์ออกจากภาชนะที่สองของเขา
แม้บางวิธีจะเป็นการฆ่าเขาทั้งเป็น พวกมันก็ยังทำ
“เคยมีคนพยายาม หลายคนพยายาม”แมวหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ ความเจ็บปวดที่เคยได้รับถูกบันทึกเป็นความทรงจำของร่างกาย แม้ความทรงจำจะแตกเป็นเสี่ยง แต่เนื้อตัวยังรู้สึกถึงทุกสัมผัสที่โดนกระทำ
“ที่คนเหล่านั้นทำไม่สำเร็จไม่ใช่เพราะผิดวิธี แต่เพราะผิดเวลา”
“ศาสตราจารย์”
มินาคัสเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นหลังจากเงียบไปนาน
เทนไฮม์ก็ไม่ต่างจากเขา ไม่มีสิทธิ์แตะต้องกงล้อโชคชะตาของใคร แม้ถอนตัวไปแล้วก็ใช่ว่าจะเปิดเผยความลับได้ ไม่ควรทำ หากคนตรงหน้าฝืนจะทำ เขาก็ไม่เกรงกลัวที่จะขัดขวาง
“อย่าเข้มงวดนักเลยมินาคัส เราไม่มีสิทธิ์เปิดเผย แต่ไม่เคยมีใครห้ามมิให้เราเอ่ยคำใบ้”
ช่างเจ้าเล่ห์นัก
ใช้ช่องว่างของกฎให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองได้อย่างชาญฉลาด แต่ก็หน้าไม่อาย
สิ่งที่ท่านปู่เคยบอกไว้ไม่ผิดสักนิดเดียว
“อีกไม่นานจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อยามนั้นมาถึง อันตรายจะคืบคลานเข้าใกล้ตัวเธอมากกว่าที่เคย จงหาวิธีรับมือ”เทนไฮม์หันมาพูดกับอาซาเอลอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่เพียงแค่ฟังก็ขนลุกซู่
“หมายความว่าอย่างไร”เด็กหนุ่มเอ่ยถามทันควัน
“หากฉันพูดเกรงว่าผู้รักษาสมดุลผู้เคร่งครัดในกฏเกณฑ์ตรงนี้จะสังหารฉันเสียกระมัง เช่นนั้นก็จงปล่อยมันไปตามกงล้อแห่งชะตา”เทนไฮม์ไหวไหล่ สร้างความหงุดหงิดในใจมินาคัสและอาซาเอลเป็นอย่างมาก
มินาคัสเคยบอกอาซาเอลแล้วว่าความลับบางอย่างเขาพูดไม่ได้ การแตะต้องสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก่อนเวลาอันควรจะทำให้โชคชะตาบิดเบือน และส่วนใหญ่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง เพียงแค่นี้ชีวิตอาซาเอลก็แทบไม่เจอเรื่องดีแล้ว หากฝืนให้เทนไฮม์พูดแล้วเจอบทลงโทษที่หนักกว่าเกรงว่าตัวเขาจะรับไม่ไหว
แม้ไม่เข้าใจแต่ส่วนลึกในจิตใต้สำนึกบอกเขาว่า มีบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงจริงๆ บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับใครบางคนที่เขารู้จักดี แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
ลืมเลือนไปนานแสนนาน
ใครบางคนที่สำคัญ
“อย่างไรก็ตาม พวกเธอทั้งสามคนต้องเตรียมตัวสำหรับคืนจันทร์สีเลือด เหมือนกับที่ทุกคนในสถาบันต้องทำ เรื่องนี้ไม่มีแบ่งแยก เขี้ยวหมาป่ากำลังจ่อคอเราทุกคน”เทนไฮม์ลุกขึ้นยืนทำให้เด็กหนุ่มทั้งสามขยับตัวตาม
“แล้วเรื่องผู้อำนวยการ”มินาคัสเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนักว่าระหว่างผู้อำนวยการกับคืนจันทร์สีเลือดอะไรที่ต้องจัดลำดับก่อนหลัง
“ช่วงนี้เขาเงียบมาก สงบราวกับคลื่นลมในทะเลก่อนพายุจะมา”เทนไฮม์เอ่ยอย่างใช้ความคิด
“แต่ไม่ว่าอะไรกำลังจะมา จันทร์สีเลือดมาก่อนแน่”ศาสตราจารย์หนุ่มออกตัวเดินนำไปทางประตูที่ไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นมาเมื่อใด มันเชื่อมระหว่างห้องทำงานกับห้องที่ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นห้องสมุดของตึกภาควิจัย
ชั้นหนังสือมากมายวางติดกันจนแน่นขนัด กลิ่นไอความเก่าแก่ชัดเจนเสียยิ่งกว่าห้องสมุดของสถาบัน หนังสือหลายเล่มมีโซ่รัดเอาไว้ หรือมีลักษณะอื่นที่ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
สาบานว่าอาซาเอลจะไม่เปิดหนังสือเล่มใดในนี้หากไม่จำเป็น
“ฉันได้ยินที่แจนิวาลกับอาซาเอลคุยกัน อีกสองวันจะถึงวันเก็บเกี่ยวสินะ”
เด็กหนุ่มที่ถูกเอ่ยชื่อพยักหน้ารับ บางทีพวกผู้รักษาสมดุลอาจมีหูทิพย์ มินาคัสเองก็ได้ยินเวลาพวกเรากระซิบนินทาเช่นกัน
“ฉันมีหนังสือดีๆ แต่จะมีประโยชน์หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเธอเอง”ศาสตร์จารย์พูดพร้อมเดินไล้นิ้วไปตามสันของหนังสือหลายเล่ม ก่อนจะหยุดอยู่ที่หนังสือเล่มหนึ่งแล้วดึงมันออกมาจากชั้น
อย่างน้อยหนังสือก็ไร้เสียงกรีดร้องและไม่มีโซ่ตรวน
นั่นอาจหมายถึงมันปลอดภัย
“นี่เป็นบันทึกของศาสตราจารย์คนหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายเขาก็สร้างพืชพันธุ์ผสมที่กินเนื้อเป็นอาหารขึ้นมาและกลายเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของมัน ตอนที่พวกการ์เดี้ยนจัดการเจ้าต้นไม้นั่นน่าสยดสยองไม่น้อย เป็นเรื่องน่าเศร้าทีเดียว โชคดีที่บันทึกเล่มนี้ถูกเก็บรักษาเอาไว้ที่นี่”
ไม่เห็นจะปลอดภัยสักนิด!
“มันมีสูตรปุ๋ยที่ช่วยเร่งผลเร่งดอกของต้นไม้หลายชนิดอยู่นะ”ว่าพลางส่งหนังสือให้แจนิวาลที่รับมาด้วยสีหน้าเหยเก
“เท่าที่จำได้ ไม่น่าจะอันตราย”
แล้วถ้าจำผิดล่ะครับ!
“ในนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ทำมันซะ ไม่ว่ายังไง คืนจันทร์สีเลือดพวกเธอก็ต้องอยู่แต่ในห้อง อย่าเสี่ยงชีวิตเพื่อต้นไม้หรือสัตว์พิทักษ์ ซีมอสก็คงไม่อยากให้เกิดเหตุสลด แต่เขาก็เถรตรงมากพอจะหาบทลงโทษอื่นที่แรงกว่ามาใช้หากพวกเธอพลาด”
เทนไฮม์พูดจบก็หันหลังกลับคล้ายจะเดินกลับไปยังห้องทำงานของตน
“ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ ผมอาจใช้พลังเร่งผลของต้นลูกกวาดได้”มินาคัสเอ่ยก่อนจะดึงหนังสือออกจากมือแจนิวาล ดูจากประวัติคนสร้างแล้วเจ้าปุ๋ยที่เกิดจากหนังสือเล่มนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
“ใช้พลังผู้รักษาสมดุลในอาณาเขตของยูโนดิซัสงั้นรึ ต้นไม้นั่นจะดูดซับพลังของเธอไว้ แม้แต่ดอกผล หรือสัตว์ที่กินมันเข้าไปก็จะกลายเป็นหลักฐานชี้ตัวเธอ”
ผู้รักษาสมดุลหนุ่มชะงักก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น
เพียวหนึ่งเดียวในห้องนี้ดึงหนังสือกลับมาถือไว้เอง
“ผมจะทำมัน แต่ศาสตราจารย์ครับ พวกเรามีเรียนช่วงบ่าย”แจนิวาลเอ่ยอย่างเป็นกังวล หากทั้งสามขาดเรียนพร้อมกันอาจทำให้มีคนเพ่งเล็งได้ แม้ตอนนี้จะมีนักเรียนขาดเรียนกันมากก็ตาม
“ตอนบ่ายเป็นวิชาเล่นแร่ของแบคอนสินะ”เทนไฮม์เอ่ยด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน “ผู้ผูกพันธะต้องอยู่เคียงข้างหมาป่าของเขาในยามนี้ มิเช่นนั้นหมาบ้าจะหลุดจากกรง ฉันพนันได้ว่าช่วงบ่ายจะยกเลิกคลาสเรียน”
อ่า
แม้จะนึกไม่ออกว่าคนสุภาพอย่างหมอชาร์ลจะกลายเป็นหมาบ้าได้อย่างไร แต่พวกเขาไม่อยากเห็นมันด้วยตาอย่างแน่นอน
“ขอบคุณนะครับ”อาซาเอลเอ่ยเสียงเบาขณะที่เทนไฮม์กำลังเดินผ่านตัว
ขอบคุณสำหรับหลายๆอย่าง
อดีตผู้รักษาสมดุลอาวุโสระบายยิ้มอ่อนโยนก่อนจะเดินผ่านประตูกลับไปยังห้องของตนเอง ฉับพลันประตูบานนั้นก็เลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงสามสหายกับห้องสมุดที่แสนยิ่งใหญ่ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินเข้ามาที่พวกเขาได้มีโอกาสกวาดสายตาไปรอบตัวอย่างจริงจัง
ไม่ใช่เพียงชั้นหนังสือมากมาย แต่ที่มีทุกอย่างที่พวกเขาต้องการดังเทนไฮม์บอก
ห้องสำหรับการเล่นแร่แปรธาตุ
อุปกรณ์ปรุงยา
ห้องกระจกเก็บสมุนไพรและสารต่างๆ
แท่นสำหรับบูชาไม่ก็ร่ายเวทย์ชั้นสูง
รวมถึงอะไรหลายอย่างที่พวกเขาไม่รู้จักและไม่คิดแตะต้อง
“บางทีเราน่าจะสร้างพืชพันธุ์ผสมนั่นแล้วใช้มันกินทุกคนไปเสียเลย ฉันเหนื่อยเต็มทีแล้วกับเรื่องพวกนี้”
อาซาเอลเบิกตากว้างก่อนจะหันไปสบตากับมินาคัสอย่างขอความช่วยเหลือ
ไม่คิดว่าคำพูดนี้จะออกจากปากของแจนิวาล ซ้ำเจ้าตัวยังพูดเรียบๆขณะเดินถือหนังสือนั่นไว้ในมือตรงไปที่บริเวณปรุงยา ยิ่งสีหน้าเฉยเมยนั่นยิ่งส่งให้ประโยคที่พูดชวนขนหัวลุกไปกันใหญ่
“ฉันว่าหมอนั่นอาจจะทำจริงนะมินาคัส”
“ฉันก็ว่างั้น”
สองทรานส์รีบเดินตามเพื่อนรักไปก่อนที่เพียวหนุ่มอัจฉริยะจะสติแตกแล้วสร้างหายนะแก่สถาบันแห่งนี้เข้าจริงๆ
hf
“เป็นไงบ้าง”เสียงของผู้มาใหม่เรียกให้คนที่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาเหลือบตาขึ้นมอง ก่อนจะกลับไปจดจ่อกับการแปลงดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปแมวตัวจ้อยให้กลายเป็นแท่งคริสตัลด้วยการเล่นแร่แปรธาตุ
“ถามถึงคนไหนล่ะ”ฮาบัสเอ่ยถามโดยไม่สบตาอัย
“ทั้งสามคน”
ไฮบ์เรดวูฟร่างสูงถอนหายใจก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีผลึกแก้วสีใสรูปแมวตัวจ้อยอยู่ในมือ ฮาบัสเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านงานฝีมือ กะจะหาอะไรทำแก้เบื่อด้วยวันนี้เป็นเวรเขาเฝ้ายามและการนั่งๆนอนๆอยู่ในห้องนั่งเล่นของห้องพักพิเศษที่กั้นระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่นอย่างเป็นสัดส่วนนั้นมีอะไรให้ทำไม่มากนัก ยิ่งในสถานการณ์ที่คนทั้งสามในห้องนอนนั่งแยกมุมกันอย่างเงียบงันด้วยแล้ว ผู้สังเกตการณ์อย่าเขาจึงทำได้เพียงอาศัยอยู่ในความเงียบนั้นอย่างสงบเสงี่ยม
ไม่คิดว่าทำไปทำมาจะออกมาเป็นรูปทรงเช่นนี้ บางทีคนติดแมวคงไม่ได้มีแค่คาดิเนียล
ฮาบัสพลิกผลึกแก้วในมือไปมาขณะพยายามนึกว่าเจ้าแมวน้อยนั่นจะมีสีหน้าเช่นไรเมื่อเขานำของชิ้นเล็กๆนี้ไปมอบให้ ทว่ารอยยิ้มบางๆก็จางไปเมื่ออัยกระแอมเรียกสติให้ร่างสูงตอบคำถามเขาเสียก่อนจะฝันหวาน
“จัสตินยังสะลึมสะลือหลับๆตื่นๆ แต่ไม่มีแนวโน้มว่าจะคืนร่างสัตว์ ส่วนซากานก็นั่งฟุบอยู่ข้างเตียงไม่ยอมกินไม่ยอมนอน หนักสุดคงเป็นคาดิเนียลที่ตอนนี้เหลือแค่แรงหายใจกระมัง”
อัยพยักหน้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก
“แล้วข้างนอกเป็นไง พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวหรือยัง”ฮาบัสถามกลับ
“ยังไม่มีใครแสดงท่าทีอะไรนอกจากสายตาราวกับจับจ้องเหยื่อ รอเวลาที่เหมาะสมจะขย้ำให้แหลกลาญ บางทีพวกมันคงลืมว่าเราต่างก็เป็นนักล่า ใครจะยอมถูกฆ่าง่ายๆกัน”
กรรรรรรร
เสียงคำรามจากในห้องนอนเรียกความสนใจของไฮบ์ทั้งสองให้หันไปมอง
ดูเหมือนจัสตินจะตื่นอยู่
ฮาบัสเลิกคิ้วเมื่ออัยหยัดตัวขึ้นยืนและเดินตรงไปที่ประตูห้องนอน
“อยากเข้าไปทักทายสักหน่อย ฉันไม่ค่อยได้เจอตอนหมอนั่นตื่น”อัยตอบกลับสายตาตั้งคำถามของเพื่อนสนิทก่อนจะดันประตูเข้าไปช้าๆ
ภาพตรงหน้าคือทรานส์ผู้สืบเชื้อสายเจ้าป่าที่อยู่ในร่างกึ่งลอส ร่างกายผอมแกร็น ตัวสั่นเทา และสายตาดุร้ายราวเกลียดชังโลกทั้งใบถูกโอบกอดไว้โดยเพื่อนอีกคนของเขา
ซากานกอดจัสตินแน่นเพื่อไม่ให้เจ้าของหูกับหางสีน้ำตาลทองนั้นเข้าถึงตัวคาดิเนียลได้ แม้เสียงคำรามสลับกับการครวญครางอย่างเจ็บปวดจะกรีดเข้าไปถึงหัวใจก็ตาม
จิตใจของจัสตินสับสน บางครั้งเศร้าโศก บางครั้งเกรี้ยวกราด แต่ไม่ว่าอยู่ในอารมณ์ใด มันถูกกระตุ้นโดยคาดิเนียล ผู้เป็นเจ้าของพันธะเขี้ยว และถูกกล่อมให้สงบโดยซากาน ผู้เป็นเจ้าของหัวใจ เป็นเช่นนี้ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ยามใกล้คืนจันทร์สีเลือด
ตลอดเวลาเกือบสามปีที่การข่มตานอนยากขึ้นสำหรับคาดิเนียล การตัดสินใจของผู้ใหญ่ในครอบครัวนำมาซึ่งความผิดบาปที่จะติดตัวเขาไปทั้งชีวิต
เมื่อดวงจันทร์อาบด้วยสีแดงฉาน ทรานส์ผู้ตกอยู่ในพันธะที่ไม่สมบูรณ์จะลืมตาตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล ราวกับคอยย้ำเตือนมิให้ผู้ผูกพันธะแสนเปราะบางนี้ลืมเลือนไปว่า เขาได้ขโมยชีวิตของผู้ใดมา
“ครั้งนี้ดูดีกว่าปกตินี่”
แม้จัสตินจะแยกเขี้ยวอยู่เช่นนั้น แต่เทียบกับความคลุ้มคลั่งที่อัยเคยเห็น นี่ถือว่าสงบจนน่าประหลาดใจ
“ยังวางใจไม่ได้ ตราบใดที่พระจันทร์ยังไม่เป็นสีแดง”ซากานเกลี่ยนิ้วโป้งไล่น้ำตาของคนในอ้อมกอด จัสตินขดตัวซุกเข้าหาไออุ่นอย่างน่าสงสาร แต่ก็ไม่น่าเวทนาเท่าใครอีกคนที่นอนกองอยู่ที่มุมห้อง
คาดิเนียลเหมือนศพเข้าไปทุกที
วิถีชีวิตราวต้องสาปของคนทั้งคู่ทำให้ต่างฝ่ายต่างค่อยๆแตกสลายอย่างเห็นได้ชัด วิธีการที่ผู้อวุโสลงมติว่าเป็นการยื้อชีวิตเด็กหนุ่มผู้เป็นความหวังของตระกูล กำลังกัดกินจิตวิญญาณของเขาอย่างเงียบงัน มีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่ได้เห็นว่าทุกๆครั้งที่เกิดปรากฏการณ์จันทร์สีเลือด คาดิเนียลมีสภาพย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆเพียงใด
อีกไม่นาน คงยื้อไว้ไม่ไหว
ทั้งเขี้ยวและเจ้าของพันธะจักต้องแตกสลายตกตามกันไป
เหล่าผู้ชมโศกนาฎกรรมสบตากันอย่างมิอาจทำอะไรไปมากกว่านี้ก่อนจะค่อยๆปิดประตูห้องนอนเพื่อให้ทั้งสามคนที่ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งได้ผ่อนคลายลงบ้าง แม้รู้ดีว่าเหตุการณ์เช่นเมื่อครู่จะเกิดขึ้นอีก ยามที่จัสตินนึกขึ้นได้ว่าตนต้องหลับใหลกลายเป็นเพียงก้อนพลังงานเช่นนี้เพราะใคร
“รู้อะไรมั้ย ถ้าฉันเป็นแบบคาดิเนียล แล้วต้องผูกพันธะกับไฮซันเพื่อให้อยู่รอด ฉันยอมตายเสียดีกว่า”ฮาบัสทรุดลงบนโซฟาก่อนจะพึมพำออกมาด้วยเสียงไม่ดังนักเพราะไม่อยากให้คนในห้องนอนได้ยิน
หากต้องใช้คนรักของเพื่อนมาต่อชีวิตให้ตนเอง
หากต้องมีชีวิตโดยขโมยชีวิตผู้อื่น
ฮาบัสคงมิอาจทนให้ความรู้สึกผิดกัดกินจิตใจได้เช่นนั้น
“ถ้านายเลือกทำแบบนั้นได้ นายก็ไม่ได้เป็นแบบคาดิเนียลจริงๆหรอก เพราะการเป็นคาดิเนียลนั้น แม้แต่ความตายยังมิอาจเลือกได้เลย”
คำตอบของอัยทำให้ก้อนบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอของฮาบัส เมื่อลองคิดว่าเขาต้องทนมีชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดเช่นนั้น โดยไม่ได้เต็มใจจะอยู่ แต่ก็มิอาจตาย
แม้คาเดฮัสจะถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำตระกูลในรุ่นถัดไป แต่การสูญเสียไฮบ์ความสามารถสูงอย่างคาดิเนียลไปก็เป็นเรื่องที่ตระกูลหมาป่าแสนยิ่งใหญ่และเก่าแก่มิอาจยอมรับได้
ต่อให้พ่อแม่ของเด็กหนุ่มทั้งสองจะแยกตัวออกจากตระกูลหลักเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่ความวุ่นวายก็ตามรังควานครอบครัวนี้เสมอมา
กระทั่งคาดิเนียลประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ พวกผู้ใหญ่ปิดปากเงียบไม่ยอมให้พวกเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ่าฝูงของพวกเขา รู้เพียงพลังเวทย์ของคาดิเนียลหายไปกว่าครึ่ง ร่างกายที่เคยสมบูรณ์พร้อมกลายเป็นของมีตำหนิ เด็กน้อยที่เคยวิ่งซนด้วยกันต้องใช้ชีวิตอยู่แต่บนเตียง ครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ยังคงมอบรอยยิ้มให้กับคนรอบข้างเสมอ
ตอนนั้นเองที่ผู้อาวุโสในตระกูลเริ่มเคลื่อนไหว และตัดสินใจทำสิ่งเลวร้ายกับเด็กทั้งสามคน
หนึ่งความหวังของตระกูล
หนึ่งลูกหลานของตระกูลที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา
และหนึ่งเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง
เชื่อเถิดว่าถ้าพวกเขาไม่ใช่ผู้ร่วมเหตุการณ์ก็คงคิดว่านี่เป็นโครงเรื่องของนวนิยายน้ำเน่าที่นักเขียนสักคนปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างปมเรียกน้ำตาคนอ่าน
“อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดนักเลยฮาบัส บางทีเรื่องพวกนี้อาจจะจบเร็วๆนี้แล้วก็ได้”
“ยังไง”ร่างสูงถามกลับทันทีเมื่อเพื่อนรับเอ่ยประโยคคลุมเครือเช่นนั้น
“ก็ถ้าพวกเราทั้งหมดตายในคืนจันทร์สีเลือดนี้ ก็ไม่มีใครต้องเจ็บปวดแล้วนี่”การพูดเรื่องน่ากลัวด้วยสีหน้าเรียบเฉยของอัยเรียกใบหน้าซีดเผือดจากคนตัวสูงกว่าได้ดี
“อย่ามาพูดอะไรแบบนั้นนะอัย แค่นี้ฉันก็ระแวงหลังจะแย่ที่ให้คนอย่างนายมาระวังหลังให้เวลาสู้”
“จำไว้เถิดว่าโชคดีแค่ไหนที่มีคนอย่างฉันคอยระวังหลังให้ เพราะมันน่ากลัวกว่ามากหากฉันเป็นศัตรู”
บางคนไคโยตี้ก็น่ากลัวกว่าเรดวูฟ
โดยเฉพาะความเลือดเย็นและเจ้าเล่ห์
hf
กรรรรรรรรร
มิใช่เพียงชั้นห้าของหอพักเท่านั้นที่มีเสียงขู่คำรามของนักล่าดังออกมาจากห้องพักนักเรียน ที่ชั้นหกก็มีเสียงคล้ายๆกันดังเป็นระยะ ทว่าบรรยากาศภายในห้องแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ภายในห้องปรากฏหมาป่าสีขาวล้วนด้วยเกิดจากการกลายพันธ์ของสายเลือดที่ปกติมีสีน้ำตาลแดงมีเพียงช่วงปลายขาทั้งสี่เท่านั้นที่มีสีดำสนิทอย่างที่ควรจะเป็น มันนอนหายใจสม่ำเสมออยู่บนเตียงของผู้เป็นนาย ขาทั้งสี่ที่ยาวเก้งก้างตามพันธุกรรมของหมาป่าเคราขาวพาดงอเก็บอย่างเรียบร้อย
มองเผินๆอาจคล้ายสัตว์ป่าตามธรรมชาติ แม้จะอยู่ผิดที่ผิดทาง
ทว่าแท้จริงแล้วเขาก็เป็นหนึ่งในนักเรียนของสถาบัน
แม้ยามนี้จะไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง
ร่างเล็กของผู้เป็นทั้งเพื่อน ครอบครัว และเจ้านายเดินเข้ามาทรุดนั่งบนเตียงก่อนจะลูบขนยาวและหยาบอย่างขนสัตว์ป่านั่นด้วยสายตาแฝงความเจ็บปวด
การดูแลผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยคืนร่างสัตว์อย่างสมบูรณ์นั้นไม่ง่ายเลย แต่เขาได้ผ่านสิ่งที่ยากกว่านั้นมาแล้วจึงไม่รู้สึกลำบากเท่าใดนัก การฉุดรั้งให้ใครบางคนอยู่กับความเป็นมนุษย์แม้โลกจะเคยโหดร้ายเสียจนเด็กคนหนึ่งยอมทิ้งความเป็นคนเพื่อหนีจากเรื่องราวเหล่านั้นไปเป็นอะไรที่ใครๆก็คิดว่ามิอาจทำได้
หากทรานส์คนใดถูกธรรมชาติกลืนกิน
คืนร่างสัตว์อย่างสมบูรณ์
วิวัฒนาการถดถอย
มนุษย์ในยุคนี้ต่างรู้ดีกว่าเป็นการสูญเสียไปตลอดกาล มิอาจหวนคืน
ทว่าความเชื่อเหล่านั้นได้ถูกยืนยันแล้วว่าผิด ยามเมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งสามารถคืนความเป็นมนุษย์ให้ใครอีกคนได้ แต่ก็แลกมาด้วยบางสิ่งเช่นกัน
ด้วยเกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ หาสาเหตุที่แน่นอนไม่ได้ จึงไม่มีผู้ใดที่รู้เห็นเสี่ยงเปิดเผยมันออกไป
ทว่า
คืนจันทร์สีเลือด
เป็นช่วงเวลาที่เผยเงาของเรื่องราวเลวร้ายในอดีตได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องราวของเหล่าหมาป่า
....
50% หลังสั้นหน่อยนะคะ ต้องตัดจบก่อนที่มันจะยาวไปกว่านี้ 55555
ครึ่งหลังแอบเฉลยปมคาดิเนียลแล้วนะ หลังจากเผยเรื่องอาซาเอลไปเกือบหมดก็ได้เวลาของพระเอก(ค่าตัวแพง)ของเราสักที
แต่...ก็โผล่ปมใหม่ของอีกคู่มาด้วย(เรือใคร เตรียมพายเลย) แน่นอนว่าเกี่ยวพันกับปมเก่าที่เคยทิ้งบอมไว้ด้วย(ปมเยอะเหลือเกินแม่)
ใครจำได้บ้าง ว่าปมของใครเกี่ยวข้องกับการคืนร่างสัตว์โดยสมบูรณ์
ถ้าตอบถูกแสดงว่าต้องอ่านวนบ่อยไม่ก็ไบแอสตัวละครนั้นแน่ๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ยังรอคอยเธอ เสมอ ตามติดติดตามเลยค่ะ แงงง
ลุ้นๆทุกตอน คืนจัทร์สีเลือดที่เฝ้ารอมานานจะเป็นจุดเปลี่ยนอะไรไหมน้อออ
รอคืนจันทร์สีเลือดอย่างจดจ่อคับ! มันแน่ๆ กีส
ลุ้นทุกตอนเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ